”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล - บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.5ความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน โดย Jigsaws X VIIII @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด,บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า

รายละเอียด

”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

ผู้แต่ง

Jigsaws X VIIII

เรื่องย่อ

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.2559 และ (พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ทุกฉบับที่มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์อันเป็นของเจ้าของผลงานทุกประการ)

ไม่อนุญาตให้คัดลอก ปลอมแปลง ดัดแปลง สแกนหนังสือ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหา เพื่อสร้างฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือทางอื่นทางใดก็ตาม รวมถึงภาพปกนิยายและภาพประกอบนิยายในเล่มด้วยประการเดียวกันทั้งสิน



เรื่องย่อ : นิว เด็กหนุ่มที่กลายมาเป็นจำเลยในชั้นศาล เพราะคดีบางอย่างที่เขาได้ทำไว้ ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลได้อนุญาตให้เขาได้เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด จำเลยหนุ่มจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เขาได้เจอ ได้เห็น และได้กระทำลงไป จากคนที่เคยใสสะอาด กับต้องมาแปดเปื้อนเพราะเหตุการณ์บางอย่าง แต่อีกไม่ช้าความจริงของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น กำลังจะถูกเปิดเผยในชั้นศาล…!!!!!


เรื่องราวทั้งหมดของเขาจะถูกเล่าผ่านในชั้นศาลด้วยกันทั้งหมด 3 บท ได้แก่


CHAPTER 1 : MY MISERABLE LIFE > บทที่1 ชีวิตที่เหลวแหลก 6 ตอน


CHAPTER 2 : BIRTH OF NEW LIFE > บทที่2 เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง 10 ตอน


CHAPTER 3 : I KILL YOUR IDOL > บทที่3 เมื่อผมฆ่าไอดอลของคุณ 8 ตอน


Coming soon 2024


*หากมีการถยอยลงนิยายบทที่1จำนวน6ตอนแล้ว

ตอนที่1-3จะเปิดให้อ่านฟรี ส่วนตอนที่4-6จะขอติดเหรียญนะครับ เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายทำปกนิยายหรือค่าใช้จ่ายต่างๆในอนาคตครับ


***ประกาศ WEDDING UNVERSE TIMELINE***     ผมจะขยาย WEDDING UNVERSE TIMELINE ออกมาอีก 2 ภาค เพื่อเป็นการปิดจักรวาลนี้ให้จบเรื่องราวทั้งหมด และจะไม่แต่งเพิ่มต่ออีกเนื่องจากไม่มีไอเดียที่จะสารต่อ ถึงมีมันก็อาจจะวกวนอยู่หลูบเดิม ผมจึงมีแพลนแต่งอีกแค่2ภาคเพื่อขยายเนื้อหาบางส่วนให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อปิดจักรวาลนี้ ใครสนใจก็สามารถรอติดตามได้ในอนาคตนะครับ 



สารบัญ

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.1วัยเด็กที่น่าจดลืม,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1:ชีวิตที่เหลวแหลก 1.2วัยรุ่นที่แตกสลาย,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.3ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.4ความกลัวและความโดดเดี่ยวที่เจือจาง,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.5ความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.6ชีวิตที่วนลูป

เนื้อหา

บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.5ความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

“ทุกอย่างก็ดูเป็นไปด้วยดี แล้วอะไรเป็นแรงจูงใจให้ก่อเหตุขึ้นได้ล่ะ?”

หลังจากที่ผมเงียบเพื่อทบทวนเรื่องราวที่ผมจะพูดต่อไป อัยการก็พูดขึ้นท่ามกลางห้องพิจารณาอันสงบของศาลด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาส่งสายตาแฝงคำถามเอาไว้มาให้ผม ผมได้แต่ส่งยิ้มผ่านแววตาคืนให้แก่ความเดียงสาของเขา

ใครบ้างจะลืมสิ่งที่เลวร้ายได้เพียงแค่กระพริบตา หากสิ่งนั้นพรากเอาความสมบูรณ์แบบไปจากชีวิตของคนผู้นั้น ผมคนหนึ่งที่ทำไม่ได้ ผมไม่เคยลืม...ไม่ว่าสิ่งดี ๆ จะเข้ามาทำให้มันจางลง แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น มันยังคงอยู่เป็นแผลสดในใจของผมตลอดมา และไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่มันจะจางหายไป

“ใช่ครับมันดี แต่จะดีกว่านี้หากมันไม่มีอะไรเกิดสิ่งแย่ ๆ ขึ้นกับผม นอกจากผมจะโดนกระทำแล้ว ผมยังถูกเพิกเฉยจากความยุติธรรมอีก ถึงวันนี้ผมได้เป็นมหาเศรษฐี หรือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่เคยเกิดขึ้นกับผมนะครับ ถึงเคโอจะเข้ามาทำให้ชีวิตผมดีขึ้น เขาก็เป็นวิตามินที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในความรู้สึกผมครับ ไม่ใช่ยา ยาคือความยุติธรรมที่ผมต้องการรับมันครับคุณอัยการ” ผมชี้แจงอย่างชัดเจน

“ผมขอพูดต่อนะครับ” จำเลยหนุ่มเอ่ยขออนุญาต

“เชิญ” ผู้พิพากษาอาวุโสบนบัลลังก์เอ่ยพูดพร้อมพยักหน้าเป็นการให้อนุญาตแก่เขา

“แต่...ศาลที่เคารพครับ!” ในขณะนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

ผมยืนสงบนิ่งไม่หันมองไปทางเจ้าของเสียงอย่างครั้งที่แล้วมา ในสมองเรียบเรียงถ้อยคำที่จะพูดต่อไป

“อัยการสิงห์ กรุณาอยู่ในความสงบด้วย” ผู้เป็นประธานในห้องพิจารณาเอ่ยปราม

อัยการหนุ่มสงบปากลงในทันที แต่ท่าทีและสีหน้าของเขาไม่ได้สำรวมไปด้วย มันยังคงแฝงความหงุดหงิดและความไม่พอใจเอาไว้อย่างชัดเจน

ในชั้นศาลประธานคือผู้พิพากษาผู้นั่งบัลลังก์ อำนาจการตัดสินใจเด็ดขาดจึงขึ้นอยู่กับผู้นั่งบัลลังก์ ผู้เข้าร่วมพิจารณาไม่ว่าจะมาด้วยหน้าที่ใด หากละเมิดศาล คนผู้นั้นอาจถูกพิจารณาให้ได้รับโทษก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้น อัยการหนุ่มก็ยังพยายามที่จะคัดค้านไม่ให้ผมพูด เขาคงจะมีบางอย่างในใจ จึงพยายามคัดค้านในทุกคราวที่สบโอกาส

ผมเห็นเขานิ่งเงียบไป ผมจึงเริ่มที่จะบอกเล่าเรื่องของผมต่อไป...

หลังจากเดทแรก ผมกับเคโอไปไหนมาไหนในวันหยุดด้วยกันบ่อยขึ้น ผมมักพูดขอบคุณเขาเสมอ เพราะผมอยากขอบคุณ เรียกได้ว่าเขาคือสิ่งที่ดีที่เรียกได้ว่าแทบจะที่สุดรองจากแม่ของผมเลยก็ว่าได้ เขาทำให้ชีวิตของผมสดใสเหมือนโลกไร้แสงสว่างได้รับความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ เขาทำให้ทุกอย่างในชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมมีรอยยิ้มได้บ่อยขึ้น ยิ้มให้คนอื่นได้เยอะขึ้น นอนหลับได้ดีขึ้น เข็มทิศชีวิตของผมกำลังพาผมเดินไปบนเส้นทางที่เรียกว่าความสุข ก่อนหน้านี้ผมแทบไม่รู้จักมัน ผมกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะออกเดิน แต่ตอนนี้ข้าง ๆ ผมมีเคโอ เขาก้าวเดินไปพร้อมกับผม เขาเป็นเพื่อนร่วมทางของผม เป็นเข็มทิศที่ทำให้ชีวิตผมเดินต่อไปได้

ผมขอผู้จัดการร้านปรับเปลี่ยนเวลาเข้างานเป็นช่วงเวลากะกลางวันติดกันสองกะ เพราะผมอยากใช้เวลากับเคโอให้มากกว่านี้ ผมไม่รู้ว่าผมคิดถูกไหม รู้ก็แต่ว่าใจของผมมันเรียกร้อง ผมรู้สึกกระวนกระวายนิดหน่อยเมื่อไม่เห็นหน้าเขาตอนที่ผมอยากเห็น ผมโทรหาเขาไม่ได้เพราะมันเป็นกฎของร้าน ถ้าเขาไม่มาจิตใจของผมก็จะวุ่นวายจนรู้สึกหงุดหงิด เป็นอย่างนั้นอยู่สองสามครั้งจนเพื่อนที่ทำงานทัก ผมจึงเริ่มสังเกตตัวเอง

“ผมมีสอบตอนเช้า เลยไม่ได้แวะมา อย่างอนกันนะ...” เขากระซิบลงข้าง ๆ หูผม ตอนที่ผมกำลังเรียงของใส่ชั้น ผมแอบอมยิ้ม รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก

“งอนเค้าใช้กับผู้หญิง แล้วอีกอย่างไม่มีเรื่องอะไรให้ไปงอนคุณสักหน่อย” ผมโต้ ผมเองก็ไม่เคยงอน เลยไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงไอ้อาการงอนที่เคโอว่า

“พี่กำลังคิดถึงผมใช่ไหมล่ะ!” ผมหันขวับไปมองหน้าคนรู้ทัน

ใช่ผมกำลังคิดถึงเขา เพราะปกติเราจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้าและเคโอเองก็ไม่ต้องขึ้นห้องเรียน การย้ายกะจึงเป็นเหตุผลหลังที่ทำให้เจอกันน้อยลง เพราะเราทั้งคู่จึงต่างคนต่างใช้เวลาเพื่อทำกิจกรรมของแต่ละคน เคโอเรียนและผมเองก็ต้องทำงาน

“ผมสอบอีกสองวัน หลังจากนั้นจะหยุด เราไปเที่ยวไกล ๆ กันนะ”

ผมยังไม่มั่นใจว่าจะไปที่ไกลกว่านี้ได้ไหม ถึงแม้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาจะออกไปข้างนอกได้บ่อยขึ้น แต่พอคิดที่จะออกไปไกลกว่านี้ผมกับรู้สึกกังวล ผมจึงไม่ได้ให้คำตอบเคโอ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเพราะเคโอรู้ดีว่าเขาจะต้องทำยังไงให้ผมอยู่ในอารมณ์ที่มั่นคงในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

“พี่ไม่มีเพื่อนสนิทเหรอ?” ผมเหลือบตามองใบหน้าของเคโอ สัมผัสได้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร

“ไม่มีหรอก...”

“แล้วแฟนล่ะ...?” เขามองผมตาใส ๆ

“เพื่อนสนิทยังไม่มี ถามหาแฟนเหรอ?” ผมถามกลับ

“ไม่มีเพื่อนสนิท แต่ก็มีแฟนได้นี่นา มันเป็นเลเยอร์ความสัมพันธ์ครับ แบบพัฒนากับไม่พัฒนา” ผมหัวเราะความคิดที่แสนทะลึ่งทะเล้นของเขา ผมจำไม่ได้แล้วว่าเคยหัวเราะแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือไม่เคยเลยก็นึกไม่ออก

“ไม่มี...เพื่อนสนิทก็ไม่มี แฟนก็ไม่มี ทำงานหามรุ่งหามค่ำขนาดนี้ใครจะมาจีบ ใครจะอยากรักคนจน คนบ้างานล่ะ” ผมพูด

“ถ้าหากมีใครสักคนล่ะครับ...” ผมรู้ว่าเคโอหมายถึงอะไร เขาอยากที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเองก็อยากที่จะตกลง แต่ผมก็ยังรู้สึกกลัว กลัวความรู้สึกหลากหลายที่จะเกิดขึ้น และหนึ่งในนั้นคือกลัว กลัวที่จะพลาดหวังเป็นที่สุด

แต่เคโอพยายามทำให้ผมมั่นใจในตัวเขา เขาพยายามอยู่ในทุกที่ทุกทางและทุกเวลาของผม แม้กระทั่งผมกำลังจะออกไปทำงานตอนเช้ามืดก็ตาม

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณพี่คนขยัน” ผมหันมองตามเสียงในทันที ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ของผม

“มาทำอะไรที่นี่เคโอ...”

“มารับพี่ไปพร้อมกันน่ะสิครับ...”

เขาชี้มือไปทางรถ ฉีกยิ้มให้กับผม เหมือนว่าเขากำลังให้ผมเติมคะแนนจิตพิสัยให้กับเขา จึงได้มาทำดีกับผม

“นี่...มาทำดีด้วยเนี่ย ไม่มีอะไรตอบแทนให้หรอกนะ” ผมพูดทีเล่นทีจริง แต่ผมก็ไม่มีอะไรให้เขาจริง ๆ นั่นแหละ

ผมตั้งใจที่จะเริ่มต้นเก็บเงินเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ผมจึงไม่อยากที่จะฟุ่มเฟือย ทั้งกินทั้งเที่ยวนั่นทำให้ผมไปถึงจุดหมายปลายล่าช้า ผมจึงไม่เสียเวลาให้กับความรู้สึกอื่น ๆ นอกจากมุ่งหน้าเดินหาความสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว และผมจะบอกกับเคโออย่างไรดี อีกอย่างหากบอกไปชีวิตผมอาจพลาดสิ่งที่ดีสุดท้ายในชีวิตก็เป็นได้

“เดี๋ยวครับพี่!!”

ผมชะงักเท้าเดินทันทีที่เคโอส่งเสียงเรียกผม เขาวิ่งเข้ามาทางข้างหน้าของผม และจู่ ๆ ก็ก้มลงที่เท้าของผม

“ปล่อยให้เชือกรองเท้าหลุดแบบนี้ เดี๋ยวก็เดินสะดุดหรอก”

ผมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วหน้าจากคำพูดและการกระทำของเขา คนที่ผูกเชือกรองเท้าคนสุดท้ายให้ผมคือแม่ จากนั้นก็ไม่เคยมีใครเอาใจใส่ผมอีกเลย แค่เชือกรองเท้า ใครจะใส่ใจ ชีวิตผมทั้งคนยังถูกทิ้งไว้อย่างไม่ไยดีนับประสาอะไรกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้ผมชื่นใจ แต่ด้วยเหตุผลอะไร เคโอจึงรู้จุดที่จะบริหารมัน

ผมและเคโอไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น จนแทบจะตัวติดกัน ผมยอมที่จะละเมิดกฎของร้าน แอบส่งข้อความหาเขาในขณะทำงาน จนเพื่อนร่วมงานแซวว่าผมกับเคโอเป็นคู่หวาน ผมปฏิเสธเพราะเราสองคนไม่ได้คบหากัน ผมพูดเองไม่ได้ว่าเราเป็นคู่รัก แต่ผมก็อดที่จะเขินไม่ได้ทุกครั้งที่พวกเขาพูดแซว

หลังจากที่ผมเลิกงาน เคโอก็มาจอดรถรอรับผมไปส่งที่อพาร์ทเม้นท์เหมือนในทุกวัน แต่วันนี้เขามีท่าทีแปลกไป เหมือนกับว่ามีเรื่องที่จะต้องใช้ความคิด ผมจึงเลือกที่จะไม่ถามอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เรื่องของตัว อีกอย่างผมก็ไม่มีปัญญาช่วยเหลือใคร

พวกเราส่งข้อความหากันทุกคืน จนมีใครสักคนหลับไปพร้อมกับข้อความของอีกคนทุกคืน ในคืนนั้นก็เช่นกัน เราคุยกันผ่านกล้องอยู่พักใหญ่ จากนั้นเขาก็ส่งข้อความเข้ามาหาผม

“เรามาคบกันเถอะครับ...”

ผมหยุดคิดไปชั่วขณะ เพราะผมไม่เคยถูกขอคบจากใครมาก่อน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะตงิดใจว่าสักวันเขาจะต้องทำแบบนี้อย่างแน่นอน แต่ผมก็ไม่ปักใจนักเพราะไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ผมอ่านข้อความนั่นจนครบทุกตัวอักษร แต่ไม่ได้ตอบกลับไปนานอยู่หลายนาที จนเคโอส่งข้อความเข้ามาอีกครั้ง

“ผมอยากให้พี่เปิดโอกาสให้ผมได้รักพี่นะครับ”

ผมอ่านข้อความของเคโอที่ส่งมาวนไปวนมาอยู่หลายครั้ง ครุ่นคิดถามตัวเองไปมาอยู่หลายคราว ผมอาจทำได้ไม่ดีเพราะปมที่มัดผมเอาไว้ มันเหมือนตรวนที่ทำให้ผมตกเป็นนักโทษในความรู้สึกของตนเอง

“พี่อาจไม่ใช่คนที่ดีที่เคโอตามหา แต่ถ้าเราลองมาพยายามด้วยกัน พี่ก็จะทำมันให้ดีที่สุด”

จากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นมากราวกับเด็กได้สิ่งของถูกใจ ผมเองก็อธิบายไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหนเพราะผมเองก็เพิ่งเคยสานต่อความสัมพันธ์แบบคนรักเป็นครั้งแรกเหมือนกัน

ทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ผมกับเคโอจะออกไปข้างนอกด้วยกันเสมอ แต่ครั้งที่ผ่านมาเขาแต่งตัวดีอีกทั้งใส่น้ำหอมจนหอมฟุ้งกว่าทุกครั้งจนรู้สึกผิดสังเกต แต่ผมก็ไม่พูดอะไร

เขาขับรถพาผมไปตามถนนที่ไม่คุ้นตา ผมอ่านป้ายจึงพอรู้ว่าเขากำลังจะพาผมออกนอกเมือง เคโอคงสังเกตเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของผม

“ไม่ต้องกังวลนะครับพี่ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว”

ไม่มีอะไรให้ผมต้องเป็นกังวล และเรื่องที่ผมกังวลมันก็เกิดขึ้นเองตามสภาพจิตใจของผม เคมีในสมองของผมคงสั่งให้ผมต่อต้านสิ่งใหม่ สิ่งใหม่พวกนั้นที่รวมไปถึงสภาพแวดล้อมด้วย เพราะมันไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยของผม ถึงแม้จะพยายามแล้วผมก็ไม่อาจสลัดมันให้หลุดออกไปจากความรู้สึกไม่ได้

แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังพยักหน้ารับพร้อมกับขอบคุณเคโอที่เขาพยายามที่จะช่วยผมให้หลุดพ้นจากความรู้สึกแย่ ๆ ที่กำลังสร้างปัญหาให้กับผมอยู่นี้

“อื้ม...ขอบคุณนะ”

ผมรู้สึกดีไม่น้อยที่มีเขาอยู่เคียงข้าง คำพูดและรอยยิ้มของเขาทำให้ผมรู้สึกเป็นสุขได้อย่างน่าประหลาด อย่างที่ผมไม่อาจปลอบประโลมตัวเองได้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นผมไม่รู้จะเรียกมันว่าความรักได้หรือเปล่า เพราะผมเองก็ไม่เคยรู้จักมันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นระดับความสัมพันธ์แบบไหน ความรู้สึกปลอดภัยไร้กังวลที่แม่มีให้กับผมรวมว่ามันเป็นความรักด้วยหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นตอนนี้ผมก็คงกำลังได้รับความรักจากเคโออยู่

ผมคิดอะไรเพลิน ๆ เส้นทางถนนที่ผ่านไป สายลมปลิดปลิวความรู้สึกเลวร้ายให้หลุดออกไปจากความคิดของผมบ้าง จนกระทั่งล้อทั้งสี่หยุดเคลื่อนที่ ผมจึงหันไปมองหน้าคนที่นั่งหลังพวงมาลัย

“ปะ...”

“ที่นี่มัน ที่ไหนกันเหรอ...?”

“บ้านพักตากอากาศริมชายหาด ที่ผมเคยพูดให้พี่ฟังไงครับ หลังบ้านติดทะเลเหมือนเรามีชายหาดส่วนตัวเลยล่ะ”

ผมทอดสายตามองทะเล ความกว้างใหญ่ของมันทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระ เสียงคลื่นที่ดังแซ่ซ่านตลอดเวลาทำให้จิตใจผมสงบลงอย่างน่าประหลาด ธรรมชาติคงกำลังเยียวยาผม ผมไม่เคยได้มาทะเลสักครั้งจึงไม่อาจหาคำนิยามง่าย ๆ มาจดจำความรู้สึกบันทึกลงในใจ ผมจึงโผเข้ากอดเคโอ

“ขอบคุณนะ” ผมพูดได้แต่เพียงเท่านั้น จากนั้นน้ำตาที่ปริ่มขอบตาก็ไหลออกมาจากตา

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ ขอบคุณที่ทำให้ทะเลมีความหมายกับผมมากกว่าคำว่าเดียวดายนะครับ”

พวกเราสวมกอดกัน เป็นการกอดที่ผมรู้สึกสดชื่นและอบอุ่นใจเป็นอย่างมากจนผมไม่อาจบรรยายมันออกมาเป็นคำพูดได้ อ้อมกอดสุดท้ายที่ผมเคยได้รับ อ้อมกอดของแม่ ความอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยแบบนั้นผมยังจำมันได้เป็นอย่างดี จู่ ๆ ผมก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ร้องออกมาเถอะครับ หากมันทำให้พี่รู้สึกดีขึ้น”

“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะเคโอ” ไม่มีคำไหนที่ผมจะพูดนอกจากคำว่าขอบคุณ

ผมต่อมน้ำตาแตก ผมยอมรับว่าอ่อนไหวกับการให้ของเขา ไม่เคยมีใครทำอะไรให้ผม มีแต่อยากจะได้อะไรจากผมมากกว่า สิ่งถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยความเกลียดชัง ความขาดแคลนทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจในครอบครัวรวมถึงความรักและความเข้าใจ มีเพียงแต่เคโอเท่านั้นในตอนนี้ที่เข้าใจผมที่สุด และดูเหมือนว่าจะเข้าใจดีมากกว่าตัวผมเองด้วยซ้ำ

“บ่ายแล้ว พวกเราช่วยกันขนของเข้าบ้านเถอะครับ จะได้ไปหาอะไรใส่ท้องกัน” ผมลืมไปเสียสนิท หากเคโอไม่พูด

เราช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถ หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมก็จัดแจงนำอาหารที่เตรียมมาด้วยมาไว้ที่โต๊ะนั่งเล่นตรงระเบียงหลังบ้าน ก่อนที่ผมและเคโอจะเติมลงท้อง แสงแดดเริ่มหักเหไปทางอื่น ผมเดินลงจากระเบียงตรงไปยังชายหาด น้ำทะเลซัดขึ้นมาสัมผัสฝ่าเท้าของผมมันทั้งอุ่นและเย็นสบายในคราวเดียว ผืนทรายละเอียด โอบอุ้มเท้าของผมไว้ ผมก้มหน้ามองดูรอยจารึกบนผืนทรายที่ถูกเลือนไปพร้อมกาลเวลา

สิ่งที่ผมควรจะเก็บเอาไว้คือความสุข ผมควรเก็บเกี่ยวมันไว้เป็นพลังงานเพื่อก้าวเดินต่อไป ผมเงยหน้าขึ้นรับลมพร้อมกับเดินเรียบริมชายหาดที่ทอดยาว ในขณะนั้นเอง น้ำจำนวนหนึ่งก็กระเซ็นมาโดนผม ผมหันไปมองเห็นเจ้าของรอยยิ้มยืนยิ้มแป้น แช่เท้าไว้ในทะเลแค่ข้อเท้า

“มาทะเลทั้งทีเรามาเล่นน้ำด้วยกันเถอะนะครับ”

ผมไม่ลังเลที่จะรับคำเชิญชวน รีบวิ่งลงไปวักน้ำขึ้นสาดคนที่กำลังส่งยิ้มท้าทาย พวกเราวิ่งเล่นกันไปมาราวกับว่าเป็นเด็กสิบขวบ เสื้อผ้าของพวกเราเปียกชุมน้ำจนมะล่อกมะแล่ก พวกเราล้มใส่กันบนน้ำ ร่างกายสัมผัสกันจนผมเกิดความรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก แต่จู่ ๆ ก็เกิดความกลัวขึ้นมาผมจึงเดินจากเคโอมาเสียเฉย ๆ

“อ้าว...พี่ครับ!” เขาส่งเสียงเรียกผม ถึงผมได้ยินแต่ก็ไม่หยุดที่จะก้าวเท้าเดินต่อไปจนถึงบ้านพัก ผมเดินเข้าบ้านพักและเปลี่ยนเสื้อผ้า เคโอเดินตามเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเอาไปจ้างที่ร้านซักแห้ง

ส่วนผมเดินลงมานั่งรับบรรยากาศตรงริมระเบียง ลมพัดเย็นสบาย ทำให้ผมผ่อนคลายจนเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกก็ตอนที่แสงอาทิตย์กำลังลอยตัวสะท้อนผืนน้ำมาเข้าตาผม เคโอเองก็เหมือนกัน เขากอดอกหลับตานิ่งอยู่บนเก้าอี้พักตัวยาวข้าง ๆ ผม

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู กว่าสองชั่วโมงที่หลับไป ผมรู้สึกสดชื่น ร่างกายเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก สายลมพัดผ่านเป็นระลอก บรรยากาศยามเย็นที่ไม่สามารถหาได้จากในเมืองใหญ่

“ได้พักเต็มที่ไหมครับ?”

“อื้อมันดีมากเลย...ขอบคุณมากนะที่พามาที่นี่”

“ผมดีใจที่พี่ชอบครับ”

ผมรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มที่เปลี่ยนไปของผม รู้สึกได้ว่ามันออกมาจากหัวใจ มันดีจริง ๆ ที่เราได้มาเจอกัน เคโอเขาเป็นคนที่ผมไม่คิดเลยว่าจะดีได้มากขนาดนี้ ก่อนหน้านั้นผมคิดว่าทุกคนบนโลกใบนี้มีแต่คนที่ไม่น่าไว้ใจ มีแต่คนที่สร้างความโหดร้ายให้แก่กัน เมื่อเคโอเข้ามาในชีวิตของผมความคิดเหล่านั้นมันก็เริ่มละลายหายไป การมองโลกของผมจากในมุมมืดก็เปลี่ยนแปลงไป สิ่งใหม่ก่อตัวขึ้นในความคิดของผม มันคือความหวัง ผมหวังว่าชีวิตจากนี้จะดีขึ้นกว่าวันที่ผ่านมา

ผมหันไปมองใบหน้าของเคโอวัยรุ่นหนุ่มลูกครึ่งไทย-บราซิล ผมไม่เคยมีชีวิตชีวาแบบนั้นมาก่อน มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เป็นความทรงจำที่ผมอยากจะเก็บไว้ในใจตลอดไป

“ขอบคุณนะที่ทำทุกอย่างให้”

“ผมเองน่ะสิที่ต้องขอบคุณพี่ หากพี่ไม่ยอมเปิดใจ ผมเองก็คงจะเขินแย่ ไม่รู้จะไปต่อยังไงเหมือนกัน” ผมมองสบนัยน์ตาของเขา แววตาที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย

“ให้รางวัลผมหน่อยสิ...” เคโอทำแก้มป่อง เอียงคอมาให้ผม ท่าทางแบบนี้ผมเคยทำกับแม่เมื่อตอนยังเด็ก

“เธอนี่นะ...”

ผมรู้สึกเขินจนใบหน้าร้อนผ่าว มองดูแก้มป่อง ๆ แล้วใจผมก็สั่น อาจเป็นเพราะเป็นการแสดงความรักครั้งแรกของผมกับผู้ชายด้วยกัน ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดเอาไว้เลยว่าหากผมมีความรักผมจะแสดงออกอย่างไรบ้าง ชีวิตของผมมันไม่ได้อำนวยความสะดวกให้ความคิดฟุ้งซ่านแบบนั้นเข้ามา เรื่องราวที่เป็นไปในแต่ละวันของผม ชวนให้ผมครุ่นคิดกับการเอาชีวิตรอด ตอนนี้ผมรู้สึกลำบากใจที่ต้องแสดงออกความรักโดยไร้แนวทางปฏิบัติ แต่ผมก็ตัดสินใจยื่นจมูกเข้าไปชนแก้มของเขา

“โอ้...!!” เคโอร้องเสียงหลง ทำเอาผมรู้สึกตกใจขึ้นมา

“ปะ ปะ เป็นอะไรเหรอ?”

“พี่หอมแก้มผม!!”

“อ้าว...ก็ขอรางวัล แล้วก็ยื่นแก้มมานี่...ก็เลยคิดว่า...” ผมตกใจเป็นอย่างมากรู้สึกละอายใจเป็นที่สุด

“ที่ผมทำเสียงดังเพราะตกใจน่ะ แต่ตกใจเพราะดีใจนะ ไม่ใช่ตกใจอย่างนั้น” ผมจึงโล่งอก ปล่อยลมหายใจออกมาเป็นสายยาว ผมไม่เก่งเรื่องความสัมพันธ์ ผมกลัวว่าจะทำมันพัง

“เธอนี่...” ผมผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง เคโอดึงผมลงนั่งข้าง ๆ ที่ของเขา แววตาของเราทั้งคู่ผสานกัน

ผมใช้ริมฝีปากสัมผัสเข้ากับริมฝีปากของเขา เคโอเบิกลูกตากว้าง เขาคงไม่ทันได้คิดว่าผมจะกล้าทำในสิ่งนี้ แต่พอเขาแน่ใจ ก็เหมือนกับว่าเขารอเวลาที่ผมและเขาจะได้ใกล้ชิดกันมานาน มันเร่าร้อนขึ้น ผมรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนของผมสั่น เขาจูงมือพาผมเดินเข้าไปในบ้านถึงห้องนอน ผมนั่งลงบนเตียงเขาถอดเสื้อออกจนเห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ส่วนผมมีกล้ามเนื้อบ้างแต่ก็บางเบาเหลือเกิน เคโอก็เริ่มใช้ริมฝีปากสัมผัสไปตามซอกคอ อกและท้องของผมอย่างประณีต จนกระทั่งเขาเริ่มจะใส่ตัวตนของเขาล่วงล้ำเข้ามาที่ร่างกายของผม ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดมันก็ผุดขึ้นมาในสมองผมในทันที จากนั้นมันก็ทำลายสัมพันธภาพของผมและเคโอให้ยุติลง

“ทำไม่ได้!”

“พี่...ไม่ได้ชอบผู้ชายเหรอ?” เขาพูดเหมือนน้อยใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้น...” ผมจะบอกได้ยังไงว่าก่อนหน้านี้ผมเพิ่งผ่านเรื่องที่แย่ที่สุดมา

ความเจ็บเหล่านั้นมันหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ความเจ็บที่แสนทรมานแทบปางตาย ร่างกายที่เปลือยเปล่าถูกปู้ยี้ปู้ยำมันแล่นเข้ามาในหัวจนผมไม่สามารถที่จะสานต่อความสัมพันธ์กับเคโอต่อได้

“ผมทำพี่เจ็บเหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจ

“อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก พี่ไม่พร้อมเอง”

ผมทำได้แต่เพียงปลอบใจเขา เพราะผมยังไม่พร้อมที่จะบอกเล่าสิ่งที่ผมได้เผชิญมา ผมยังจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่ลืม มันเจ็บปวดที่สุดมันทรมานอยู่ในใจเหมือนกำลังตกอยู่ในนรก

เขาเข้ามากอดผมไว้แน่น พร่ำขอโทษผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมก็ได้แต่บอกกับเขาว่า มันไม่ใช่ความผิดเขาเลย เขาไม่ได้ทำให้ผมเจ็บแม้แต่น้อย แต่มันเป็นความเจ็บที่ออกมาจากในใจของผม ผมได้แต่ปลดปล่อยความทุกข์ผ่านน้ำตาออกมาอยู่พักใจ จนใจของผมสบายขึ้น เขาดึงผ้าห่มมาโอบล้อมตัวผมไว้และถามถึงสิ่งที่ผมได้เจอมา

ผมเริ่มนึกถึงมันและพรั่งพรูเรื่องราวทั้งหมดออกมาให้เขาได้ฟัง เขามองหน้าผมนิ่ง นัยน์ตาของเขาส่อแววเคียดแค้น

“สารเลว!” เขากอดผมไว้กับอกแน่น ราวกับว่ากำลังปกป้องผมจากอันตราย

“แล้วพี่ไม่เอาเรื่องมันเลยเหรอ คนเลว ๆ แบบนี้ไม่ล่ามารับผิดมันก็จะได้ใจไปทำกับคนอื่นอีก”

“โอเคขึ้นมากแล้วล่ะ เพราะไม่อยากวุ่นวายกับคนพวกนั้นอีก ตอนนี้แค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบและมีความสุขก็พอ”

ผมถอนหายใจอย่างโล่งใจ จากนี้ต่อไปผมไม่ต้องมีอะไรปิดบังกับเขาอีกต่อไปแล้ว ผมรู้สึกเป็นตัวเองมากขึ้นเหมือนไม่ต้องพาความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในความรู้สึกไปซ่อนไว้ตรงนั้นตรงนี้

“รู้อย่างนี้แล้ว เราตัดสินใจได้เลยนะ ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้” ผมตัดสินใจบอกกับเขาอย่างไม่อ้อมค้อม เคโอยังมีโอกาสที่จะเจอคนอีกมากมายที่ดีกว่าผม ที่สมบูรณ์มากกว่าผม และผมไม่อยากให้เขาเสียเวลา

“พี่พูดอะไรแบบนั้น แค่พี่ยอมพูดคุยกับผม ผมก็สัญญากับตัวเองว่าจะรักพี่ตลอดไปเพียงคนเดียวแล้ว แต่ถ้าพี่ยังไม่อยากจะยกระดับความสัมพันธ์ เราก็คบกันแบบป๊อปปี้เลิฟก่อนได้นี่...”

“ขอบใจนะ ขอเวลาหน่อยก็แล้วกัน”

เขากอดผมอีกครั้งพร้อมกับใช้มือลูบศีรษะของผมอย่างเบามือ คืนนั้นเราต่างคนต่างนอนคนละห้อง เขาอยากให้ผมผ่อนคลายมากที่สุด เช้าของวันอาทิตย์พวกเรากินอาหารเช้าร่วมกันอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราตกลงคบหากับแบบป๊อบปี้เลิฟเหมือนก่อนที่จะมาทะเลด้วยกัน มันยังคงเป็นอย่างนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“ขับรถกลับดี ๆ ล่ะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ” เขาพยักหน้ารับอย่างทุกครั้ง

“ขอบคุณที่ยังเหมือนเดิมนะครับ แต่ผมขออย่างหนึ่งได้ไหม?” ผมขมวดคิ้วรอฟังคำขอของเขา

“ผมขอบอกรักพี่ทุกวันละกันนะ...”

ผมเผลอหลุดหัวเราะออกมา เพราะหน้าตาและท่าทางที่ใสซื่อของเขา

“ตามใจ หากเธอไม่เบื่อพี่ซะก่อนนะ”

เขายื่นมือมาจับมือผมไว้แน่น ผมส่งยิ้มให้เขา เราปล่อยมือกันพร้อมกับส่งยิ้มให้กัน

เหมือนว่าหลายอย่างยังคงอยู่ และมีบางสิ่งเปลี่ยนไป แต่ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขา มันเหมือนว่าจะไม่ลดน้อยลงเลย ผมกับเขาสวมกอดกันอีกครั้งเพื่อบอกลา ก่อนที่เขาจะเดินหันหลังกลับไปเหมือนทุกครั้ง.....