”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล - บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.6ชีวิตที่วนลูป โดย Jigsaws X VIIII @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด,บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,สะท้อนปัญหาสังคม,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

บ้าบอ,ฆาตกรรม,เสียดสีสังคม,ความรัก,ครอบครัวบิดเบี้ยว,เลือดสาด,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,อาชญากรรม,ดราม่า

รายละเอียด

”เราเกิดมาทำไม“ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเลือกเกิดได้ ผมคงไม่เกิดมาให้คนรอบข้างต้องมาลำบาก มันคงจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา……

ผู้แต่ง

Jigsaws X VIIII

เรื่องย่อ

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.2559 และ (พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ทุกฉบับที่มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์อันเป็นของเจ้าของผลงานทุกประการ)

ไม่อนุญาตให้คัดลอก ปลอมแปลง ดัดแปลง สแกนหนังสือ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหา เพื่อสร้างฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือทางอื่นทางใดก็ตาม รวมถึงภาพปกนิยายและภาพประกอบนิยายในเล่มด้วยประการเดียวกันทั้งสิน



เรื่องย่อ : นิว เด็กหนุ่มที่กลายมาเป็นจำเลยในชั้นศาล เพราะคดีบางอย่างที่เขาได้ทำไว้ ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลได้อนุญาตให้เขาได้เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด จำเลยหนุ่มจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เขาได้เจอ ได้เห็น และได้กระทำลงไป จากคนที่เคยใสสะอาด กับต้องมาแปดเปื้อนเพราะเหตุการณ์บางอย่าง แต่อีกไม่ช้าความจริงของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น กำลังจะถูกเปิดเผยในชั้นศาล…!!!!!


เรื่องราวทั้งหมดของเขาจะถูกเล่าผ่านในชั้นศาลด้วยกันทั้งหมด 3 บท ได้แก่


CHAPTER 1 : MY MISERABLE LIFE > บทที่1 ชีวิตที่เหลวแหลก 6 ตอน


CHAPTER 2 : BIRTH OF NEW LIFE > บทที่2 เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง 10 ตอน


CHAPTER 3 : I KILL YOUR IDOL > บทที่3 เมื่อผมฆ่าไอดอลของคุณ 8 ตอน


Coming soon 2024


*หากมีการถยอยลงนิยายบทที่1จำนวน6ตอนแล้ว

ตอนที่1-3จะเปิดให้อ่านฟรี ส่วนตอนที่4-6จะขอติดเหรียญนะครับ เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายทำปกนิยายหรือค่าใช้จ่ายต่างๆในอนาคตครับ


***ประกาศ WEDDING UNVERSE TIMELINE***     ผมจะขยาย WEDDING UNVERSE TIMELINE ออกมาอีก 2 ภาค เพื่อเป็นการปิดจักรวาลนี้ให้จบเรื่องราวทั้งหมด และจะไม่แต่งเพิ่มต่ออีกเนื่องจากไม่มีไอเดียที่จะสารต่อ ถึงมีมันก็อาจจะวกวนอยู่หลูบเดิม ผมจึงมีแพลนแต่งอีกแค่2ภาคเพื่อขยายเนื้อหาบางส่วนให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อปิดจักรวาลนี้ ใครสนใจก็สามารถรอติดตามได้ในอนาคตนะครับ 



สารบัญ

MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.1วัยเด็กที่น่าจดลืม,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1:ชีวิตที่เหลวแหลก 1.2วัยรุ่นที่แตกสลาย,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.3ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.4ความกลัวและความโดดเดี่ยวที่เจือจาง,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่ 1 : ชีวิตที่เหลวแหลก 1.5ความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน,MY STORY IN COURT : เรื่องราวของผมในชั้นศาล-บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.6ชีวิตที่วนลูป

เนื้อหา

บทที่1: ชีวิตที่เหลวแหลก 1.6ชีวิตที่วนลูป

ผมย้อนนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขหลังจากที่กลับมาจากไปเที่ยวในครั้งนั้น มันเป็นความสุขเพียงไม่กี่เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม มันดีเสียจนผมเก็บเอาไปเพ้อ หากเป็นไปได้ในอนาคตผมอยากใช้ชีวิตร่วมกันกับเคโอ มันดูเหมือนฝันไปมากทีเดียว

“ที่ฟังจากที่เล่ามา ทุกอย่างมันก็ดีขึ้นแล้วนี่ แล้วนายจะก่อเหตุทำไม?” อัยการเอ่ยถามจำเลยหนุ่มอย่างสงสัย

“คุณต้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้เข้าใจครับ...” ชายหนุ่มตอบกลับเป็นนัย ทั้งที่อัยการก็รู้เรื่องราวจากสำนวนที่เขาให้การรับสารภาพมาบ้างแล้ว แต่เขาก็อยากที่จะได้ยินจากปากของผู้กระทำเองมากกว่าการอ่านสำนวนผ่านตัวหนังสือ เขาอยากที่จะเห็นสีหน้าท่าทางและแววตาของผู้ต้องหากับตาของตัวเอง


เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนเช้า ผมมองดูหน้าจอ ไม่คุ้นว่าเป็นเบอร์ใคร ผมไม่อยากหงุดหงิดกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จึงไม่ได้รับสาย แต่มันก็ดังอยู่แบบนั้นจนผมเกิดความรำคาญ ผมจึงกดรับเพื่อหวังว่าจะใช้เป็นที่ระบายอารมณ์

“สวัสดีครับ!”

“กว่าจะรับได้นะ...” ผมขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินน้ำเสียงของปลายสาย เหมือนว่าผมจะเคยได้ยินมันจากที่ไหน

“ใคร!!?” ผมถามสั้น ๆ ผมไม่ชอบให้ใครมาตีสนิท

“ความจำสั้นจริงเลยนะจ๊ะ เมียจ๋า” เสียงหัวเราะคิกคักของมันทำให้ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว

“ไอ้เด็กเหี้ยมึงโทรมาทำไม!!”

“ทีนี้จำได้แล้วสินะ”

“มึงเลิกยุ่งกับกูได้แล้ว!!”

“ก็แค่จะบอกว่าหากยังอยากได้เงินคืน ก็มาเอาได้ทุกเมื่อนะ เตรียมไว้ให้แล้ว”

ผมไม่เชื่อคำที่มันสาธยายออกมา ผมไม่อยากนึกถึงเงินก้อนนั้นที่ผมเฝ้าเก็บหอมรอบริบมาแล้ว จึงไม่ได้ตอบรับคำพูดของมัน ผมวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะข้างหัวเตียงด้วยมือที่สั่น ตัวของผมสั่นไปทั้งตัว ความรู้สึกที่โดนกระทำในอดีตมันย้อนกลับจุกอยู่ที่อก เสียงพล่ามของมันราวกับพวกเมายายังคงก้องอยู่ในหูของผม

วังวนอดีตดึงผมให้จมลงกับความทรมานอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง ผมไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงานจึงลาป่วยฉุกเฉินในวันนั้น ผู้จัดการใจดี พิจารณาให้ผมหยุดอย่างไม่ต้องส่งใบรับรองแพทย์ เพราะผมเป็นพนักงานที่ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย

ในเวลานั้นผมจึงนึกทบทวนถึงหลายอย่างที่เผชิญมาลำพัง ผมยังคงอาลัยในเงินที่ผมเก็บหอมรอมริบไว้ไม่ลืม ผมยังคงอยากได้มันกลับคืนมา เงินซื้ออนาคตของผมแม้ว่าจะไม่ได้มีมันอยู่ในวันนั้น แต่หากมีมันในวันนี้ ผมก็อาจจะทำสิ่งที่หวังไว้สำเร็จก็เป็นได้

“...โอนเงินมาให้ก็แล้วกันนะ จะบอกเลขบัญชีให้” ผมตัดสินใจโทรกลับไปที่หมายเลขที่โทรเข้ามาหลังจากเรียกความกล้าอยู่พักใหญ่

“ถ้าไม่มาเอาเองก็ไม่ต้องเอา!” ผมลังเลหลังจากฟังเงื่อนไขของมัน และรู้ว่ามันต้องมีแผนชั่วอะไรอีกแน่ ๆ

“เออ...เออ ที่ไหนล่ะ!” ผมเลือกสถานที่นัดพบเป็นในร้านกาแฟบริเวณนั้นที่มีผู้คนพลุกพล่าน จากนั้นผมก็ไปถึงสถานที่ไม่ถึงสองชั่วโมงถัดมาตามลำพัง

“มาถึงแล้ว...ไม่เห็นเลย อยู่ตรงไหน?” ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ ไร้เงาสวะของมัน

“เดินเข้าซอยมา...”

“เข้าซอยทำไม? นัดกันที่ร้านกาแฟนี่!!” ผมเริ่มส่งเสียงดัง คิดเผื่อเอาไว้บ้างแล้วว่ามันอาจสับปลับ

“เข้ามาเหอะน่า...ถ้าไม่เข้ามาก็กลับไปซะ!!”

ผมไม่ได้ตอบกลับอะไร พริบตาหนึ่งเสียงข้อความก็ดังขึ้น เป็นมันที่ส่งโลเคชั่นมาให้ผม ผมเดินเข้าไปในซอยตามหมุดนำทาง มองไปรอบ ๆ ตรงจุดหมายปลายทางก็เห็นร้านคาราโอเกะร้านหนึ่ง ผมจึงเดินเข้าไปตรงประตูร้านด้อม ๆ มอง ๆ อยู่บริเวณนั้น

“เชิญครับคุณลูกค้า”

“ไม่ได้มาเที่ยวหรอก มาหาคนน่ะ นัดเพื่อนไว้” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ

ผมยืนอยู่หน้าร้านคาราโอเกะ ที่นี่คงจะเป็นร้านนิยมที่วัยคะนองในพื้นที่ใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์กัน พนักงานคงเห็นว่าผมรุ่นราวคราวเดียวกับพวกมันเลยชักชวนผมให้เข้าไปในร้าน ผมไม่อยากเข้าไปในสถานที่แบบนั้น มันเป็นสถานที่อโคจรและมันอาจนำความวิบัติมาให้ผมอีกก็เป็นได้

“คุณนิวหรือเปล่าครับ?” พนักงานอีกคนที่เดินมาจากภายในร้านเอ่ยเรียกชื่อผม ผมจึงพยักหน้าตอบรับคำถามของเขา

“เชิญข้างในเลยครับ” เขาผายมือเชื้อเชิญ ผมเดินเข้าไปอย่างไม่รีรอและไร้สติ จนกระทั่งได้ยินเสียงทักทาย

“มาแล้วเหรอครับพี่...” ไอ้ชั่วตัวการมันส่งเสียงทักทายผม ไม่ทันไรมันก็เข้ามาใช้แขนคล้องคอผม แล้วพาผมเข้าไปในห้อง จึงเห็นเพื่อนอีก 5 คนของมันนั่งอยู่เต็มห้อง กำลังกินดื่มกันอย่างเฮฮา

“ปล่อย!” ผมสะบัดไหล่ออกอย่างแรง

“สนุกด้วยกันก่อนสิครับพี่ชาย”

“ฉันไม่มีเวลามานั่งเล่นกับพวกแกหรอก รีบ ๆ คืนมาซะ ฉันจะได้รีบกลับ!!” ผมยื่นคำขาด

“ดื่มกับพวกเราสักดริ้งก่อน แล้วผมจะโอนคืนให้เลย” ผมขมวดคิ้วแน่น เมื่อได้ยินคำว่าโอนจากปากมัน

“ไหนว่า...!!??”

“ใครมันจะพกเงินสด ๆ เป็นก้อนอย่างนั้นล่ะครับ” พวกมันยังโยกโย้กวนประสาทของผมไม่เลิก

“ไม่มีคืนก็บอกมาดี ๆ ก็ได้เว้ย จะไม่ได้ไม่เสียเวลามา” ผมสบถ ก่อนที่จะเดินหันหลังออกไป แต่มันก็รีบคว้าข้อมือผมเอาไว้

“ดื่มก่อน...เดี๋ยวคืนให้!” มันยื่นแก้วเข้ามาที่หน้าผม สายตาของเพื่อนมันจับอยู่ที่หน้าผม ผมกวาดตามองเพื่อนมันจิตใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก ผมจึงรับแก้วที่มันส่งให้มากระดกลงคอ

“นี่แก่ใส่อะไรในแก้ว ทำไมมันมึนหัวแบบนี้” ท่ามกลางอาการวิงเวียน ผมได้ยินเสียงหัวเราะของพวกมันดังจนหัวของผมแทบระเบิด จากนั้นภาพทุกอย่างก็เลือนรางลง

“อ้า...เชี่ย ทำไมมันเสียวกว่าของผู้หญิงอีกวะ!!”

“กูบอกแล้วว่ามันเด็ด!!”

“ทำไมนานจังวะ ตากูมั่งได้แล้ว!”

“เออ...ๆ ...จะเสร็จแล้ว”

“ตากูสักที... อ้า...แม่งโคตรแน่นเลย ตูดแม่งก็เด้งดีจัง!!”

เสียงอึกกะทึกครึกโครมทำให้ผมเริ่มมีสติ ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน ผิวสัมผัสเย็นวาบราวกับผมกำลังเปลือยกายจึงค่อย ๆ ขยับเปลือกตาทั้งสองข้างลืมขึ้น ภาพที่เลือนรางเมื่อครู่เริ่มเห็นภาพชัดขึ้นความรู้สึก ความเจ็บและปวดพร่าเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายให้ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับผม

“ไอ้พวกเหี้ย!!” ผมตะโกนสบถสุดเสียงด้วยความโกรธ แต่เสียงที่ออกมากลับแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าพวกมันกำลังรุมโทรมทางทวารหนักของผม แต่ผมก็ไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตัวเอง อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยากดประสาทที่เจือจางมาในเครื่องดื่ม มันทำให้ผมหมดสติแต่มันไม่มีฤทธิ์มากพอที่จะทำให้ผมตาย ผมจะไม่พยายามดิ้นรน เพราะมันไร้ประโยชน์ ผมจะไม่ร้องขอความเมตตาจากไอ้พวกสัตว์นรก แต่ผมไม่ได้สมยอม และไม่มีวันจะสมยอม...แต่หากเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาของผม ผมจะอดทน

ในเวลานั้นผมมองไปยังวัตถุเงามันในห้องร้องเพลง มันสะท้อนภาพที่ผมกำลังถูกกระทำจนชัดแจ่มเต็มสองตา ผมเห็นหนึ่งในพวกของไอ้นรกนั่นมันกำลังใช้อวัยวะเพศของมันกระเข้าที่รูทวารของผมอย่างเมามัน ไอ้นรกอีก 3 คน ช่วยกันกดแขนขาผมไว้จนไม่สามารถดิ้นได้ พวกมันอีก 2 ก็เอาตัวตนของมันยัดใส่ปากของผม ผมได้แต่ทนอยู่กับความทรมานที่วนกลับซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น ผมกำหมัดแน่นด้วยความแค้น พวกมันยังคงสลับเปลี่ยนกันไปมาอย่างสนุกสนานบนร่างกายที่เจ็บปวดของผมภายใต้หัวใจอันเจ็บช้ำของผมที่ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้เลย

พอมันสนุกกับร่างที่ย่อยยับของผมจนพอใจ พวกมันก็ทิ้งผมเอาไว้พร้อมกับร่างที่บอบช้ำ ผมพยายามใช้แรงที่มีอยู่คลานไปหยิบเสื้อผ้ามาคลุมเรือนร่างที่เปล่าเปลือยของตนเองบรรเทาความหนาวสั่นที่เกิดขึ้นจากเครื่องทำความเย็นในห้อง ผมร้องไห้จนตัวโยน ภายในใจคิดถึงแม่และเคโอเป็นอย่างมาก ผมขดตัวนอนอยู่ในห้องพักหนึ่งจนพอมีแรง ผมจึงค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นมานั่งที่โซฟา สวมเสื้อผ้าอย่างช้า ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องนรกนั่นอย่างสะบักสะบอม

ในหัวของผมไม่หลงเหลืออะไร มีเพียงความว่างเปล่าอยู่ในนั้น ผมเดินไปตามทางราวกับคนวิญญาณ จนกระทั่งผมเดินผ่านร้านของโชห่วยข้างทางร้านหนึ่ง ผมเดินตรงเข้าไปในนั้นทันที

“เอาไรจ๊ะ” เสียงหญิงสูงอายุเอ่ยถามผม ผมไม่สนใจที่จะตอบคำถาม

เพราะผมมัวแต่มองหาทางออกให้กับชีวิต มันคือแสงสว่างของความทุกข์ ในวันที่ทุกอย่างมันไม่เหลืออะไรแม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นคน ความหวัง และความฝันมันจางหายไปจนหมด ในที่สุดผมก็ได้พบสิ่งที่ต้องการ ผมฉวยมันเอาไว้ในมือ เดินไปจ่ายเงินให้เจ้าของร้านโดยไม่รอเงินถอน

ผมเดินเรื่อยมา เสียงฟ้าดังครืน ๆ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าเห็นเมฆสีเทาลอยต่ำ ในไม่ช้าสายฝนคงเทลงมา ในเวลานั้นคงไร้ผู้คน เป็นเวลาที่เหมาะสมที่ผมจะจบชีวิตของตนเอง ชีวิตอันน่าสมเพชที่แสนสุดจะทรมาน ผมเดินเลี้ยวเข้าตรอกหนึ่ง มันเปลี่ยวไม่ค่อยมีคนสัญจรเดินผ่านไปมา มีถังขยะตั้งอยู่เรียงราย จากนั้นก็หยุดเดินมาตรงจุดหนึ่งที่ผมเห็นสมควร

ผมยกขวดน้ำยาล้างห้องน้ำขึ้นมาดู เวลานั้นนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกลาใครสักคน และคนเดียวที่ผมอยากจะบอกลาที่สุดก็มีอยู่เพียงคนเดียว

“ฮัลโหล พี่มีอะไรหรือเปล่า?” ทันทีที่ผมได้ยินเสียงนั้นก็จุกที่อก

“แค่...”

“แค่อะไรเหรอพี่...?”

“แค่จะโทรมาบอกน่ะ”

“บอกอะไรพี่ นั่นพี่กำลังร้องไห้อยู่เหรอ?”

“ไม่มีอะไรหรอก กำลังกินอะไรอยู่น่ะ คิดถึงเธอพอดี เลยโทรมา”

“ไม่จริง ทำไมเสียงพี่ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ พี่เป็นอะไรบอกผมได้นะ อย่าลืมสิ...ผมเคยบอกแล้วไงว่าจะคอยอยู่ข้าง ๆ พี่เสมอ อะไรที่พี่แบกมันไว้ผมจะช่วยพี่แบกเอง!”

“ขอบใจนะเคโอ ตั้งแต่ที่ฉันรู้จักเธอมา เธอคือคนที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันเลย”

“งั้น...พี่ช่วยบอกผมทีว่าพี่เป็นอะไร แล้วพี่อยู่ไหน ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้”

“ไม่ต้องหรอก ก็แค่จะบอกว่า........ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันทำตามที่สัญญาในวันนั้นไม่ได้อีกแล้ว เราคงจะไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกแล้วล่ะ ขอให้เธอมีชีวิตที่ดีนะเคโอ...”

“เดี๋ยวสิพี่ พี่จะไปไหน พี่อย่าทำแบบ……”

ผมตัดสายของเขาทิ้งในทันทีเพราะไม่อยากจะยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ถ้ายืดเยื้อผมคงไม่ได้ทำ ผมนั่งลงกับพื้นปูนและมองไปรอบ ๆ ที่มีเพียงถังขยะ ชีวิตขยะก็ควรจบไปแบบเศษขยะ ผมหยิบขวดยาล้างห้องน้ำขึ้นมาแล้วเปิดฝามันออกกำลังกระดกขวดขึ้นดื่ม

“นี่...อย่าบอกพวกมันนะ ว่าฉันอยู่ตรงนี้” ผมมองหน้าคนที่เข้ามาขัดโอกาสของผม

“จะแอบใคร ก็แอบเหอะ ต่างคนต่างทำเรื่องของตัวเองไป ผมไม่ยุ่งหรอก” ผมพูดอย่างไม่ได้สนใจ

“แล้วนี่แกจะทำอะไร...” คำถามของเขาทำให้ผมหันไปมองหน้าของเขาอย่างขุ่นเคือง

“ลุงไม่ต้องยุงเลย!” ผมคำนวณคร่าว ๆ จากริ้วรอยบนใบหน้า อย่างน้อยเขาต้องมีทุนมามากกว่าพ่อหรือแม่ผมอย่างแน่นอน คำสรรพนามแบบนั้นถูกกลั่นกรองออกมาจากความคิดของผมในทันที

“ตัวเล็กตัวน้อยคิดฆ่าตัวตายแล้วหรือไง...ไอ้เด็กนี่!” ผมไม่ได้ใส่ใจถ้อยคำที่ไม่สุภาพของเขาสักเท่าไหร่ แต่ก็สัมผัสความห่วงใยที่ส่งมาจากถ้อยคำของคนแปลกหน้า

แต่ผมไม่สนใจเสียงของลุงที่ซ่อนตัวอยู่ข้างถังขยะเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผมพยายามที่จะกระดกมันลงคออีกครั้ง ก็มีคนวิ่งเข้ามาในซอยอีก ทั้ง ๆ ที่ผมก็มองแล้วว่าไม่น่าจะมีใครผ่าน แต่มันกลับมีคนชุกชุมมากกว่าที่คิด

“เอ้ย น้องเห็นคนแก่ ๆ วิ่งมาแถวนี้ไหม?” ผมส่ายหน้า ไม่อยากจะเสวนาให้ยืดยาว

“อย่ามาโกหก เมื่อกี้กูเห็นมันวิ่งมาทางนี้...”

“เอ้า...ถ้าเห็นก็หาเอาสิ จะมาถามทำไม”

“อ้าว...ไอ้เด็กเปรต นี่วอนตีนกูซะแล้ว เดี๋ยวมึงได้จมตีนกูตรงนี้แหละ”

ผมถอนหายใจออกมาอย่างเป็นสุข อย่างน้อยตีนก็มาถึงผมแล้ว...ผมจะได้ตายสมใจอยาก

“เห้ย กูอยู่นี่ เด็กนั่นมันไม่เกี่ยว มึงอยากฆ่ากูก็มาเลย กูอยู่นี่”

“แหม...ไอ้แก่...กว่าจะโผล่หัวมาได้นะมึง!!”

“เออ...มาเลย กูรอให้มึงมาฆ่ากูอยู่ตั้งนานแล้ว”

“เดี๋ยวกูจัดให้ สมพรปากมึงแน่ ไอ้แก่!!”

ความตายของผมถูกฉกฉวยไปต่อหน้าต่อตา ผมคงต้องลงมือด้วยตนเองอีกครั้ง ผมมองขวดน้ำยาที่อยู่ในมือที่กระฉอกหกออกไปหน่อย ได้ยินเถียงกันไปมาของลุงและมัจจุราชในคราบกุ้ยกำลังนอนยื้อแย่งมีดกันไปมา ผมมองดูการกระทำของพวกเขาอย่างลุ้นระทึก ลังเลอยู่นานว่าจะจบของตนเองหรือจะช่วยชีวิตลุงคนนั้นดี

ผมตัดสินใจที่จะช่วยลุง ผมคว้าเอาแท่งเหล็กที่อยู่ใกล้มือฟาดไปที่ชายคนนั้นอย่างไม่ได้นับจำนวน จนเขาหมดสติ จากนั้นผมและลุงก็รีบพากันออกมาจากซอยสวะนั่น


“ดูเหมือนเธอกำลังจะสับขาหลอกอยู่ใช่ไหม เพราะไม่มีอะไรเลยที่เกี่ยวข้องกับคดีเลย” อัยการตั้งข้อสงสัย เพราะเขาจับต้นชนปลายสิ่งที่จำเลยหนุ่มเล่ามาทั้งหมดแล้วไม่เห็นจุดเชื่อมโยงกับการพิจารณาคดีเลยแม้แต่น้อย

“เกี่ยวสิครับ...เพราะหลังจากนี้มันจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเลือกที่จะทำความผิดอย่างที่ทุกคนในชั้นศาลได้รับรู้” จำเลยหนุ่มตอบโต้ด้วยน้ำเสียงที่สงบ ราบเรียบ

“ถ้าอย่างนั้นก็พูดถึงตรงที่เชื่อมโยงเลยสิ พวกเราไม่ได้มานั่งฟังอัตชีวประวัติของเธอนะ พวกเรากำลังทำงานกันอยู่” ผมเข้าใจแล้ว พวกเขาไม่ต้องการการปูเรื่อง เขาต้องการเรื่องราวที่ตรงประเด็น ผมจึงพยักหน้ารับ

“ตอนที่เธอฟาดหัวชายคนนั้น เธอแน่ใจได้อย่างไรว่าเขายังมีชีวิตอยู่” ผู้พิพากษาเอ่ยถาม

“ครับ ผมเห็นเขายังหายใจอยู่ เขานอนนิ่ง ๆ” จำเลยหนุ่มตอบ

“ศาลจะให้โอกาสพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ในเนื้อหาอีกครั้ง หากโยกโย้พูดอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องก็ควจะต้องขอให้พอแค่นี้” ผู้พิพากษาปราม ผมคงสาธยายยืดยาวไม่ตรงกับเนื้อหา

“ได้ครับ ผมจะบอกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคดีความ...”

จำเลยหนุ่มได้ตอบผู้พิพากษาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ไร้ซึ่งกิริยาที่แสดงถึงความไม่พอใจต่อคำพูดของผู้พิพากษาก่อนที่เขาจะหยุดนิ่งไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง เพราะกำลังนึกย้อนถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เขาไม่ได้พูด สถานการณ์จริงที่ซ่อนอยู่ในแววตาของจำเลยหนุ่ม


“ผมเป็นคนย่อยไอ้ชั่วนั่น ให้เหลือแค่เศษเนื้อ ผมทำให้สมองที่คิดแต่จะคอยรังแกคนอื่นของมันกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ สีแดงสดไหลนองไปตามพื้นปูน ตอนที่ผมกำลังทำให้หัวของมันฉีกออกจากกันจนเห็นเนื้อสีชมพูผมแหกปากร้องลั่น เลือดสีแดงฉานของมันค่อย ๆ ไหลออกมาตามรอยเปิดของแผล มีเพียงแค่ลิ้นและฟันล่างที่ยังพอคงสภาพดี ผมพบว่าตอนนั้นผมโคตรมีความสุข ผมได้ปลดปล่อยทุกสิ่งออกมาจนหมดสิ้น ทั้งความโกรธแค้น ความเจ็บความสิ้นหวังที่มีอยู่ในใจลงที่ร่างของไอ้สวะนั่น ผมกระชากวิญญาณของเขาออกจากร่าง ผมเป็นคนมอบความตายให้กับมัน ผมเหมือนเปลวเพลิงที่เกรี้ยวกราด ตอนที่หัวของมันกำลังแบะออกจากกันจนเละเทะไปหมดฟันบนแตกหลุดออกมาจนหมดผมนึกถึงปากที่มันกำลังขยับพูด...

ตอนนั้นผมรู้สึกถึงความชุ่มชื้นที่อาบอยู่บนร่างกายของผม ผมใช้ลิ้นแตะเล็มคาวเลือดที่ติดอยู่บนริมฝีปาก มันหวานฉ่ำราวกับน้ำหวาน กลิ่นคาวความสะใจคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ...

ตอนนั้นผมได้ยินเสียงลมหายใจที่สั่นเครือของใครคนหนึ่งอยู่ข้างหูผม

“พอได้แล้ว มันตายไปแล้ว ทิ้งเหล็กนั่นไปซะ...” ผมยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ยังนึกสนุกที่ได้กวัดแกว่งมันไปมาก่อนที่ปล่อยท่อนเหล็กให้หลุดจากมือ

“มารับฉันทีสิ!!” ลุงที่ผมช่วยชีวิตเอาไว้ รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทร ผมไม่รู้ว่าเขาโทรไปที่ไหน ผมจึงมองไปที่เขา เขารีบคลานเข้ามาคว้าเหล็กเอาไว้

“ช่วยส่งพิกัดมาให้พวกเราด้วยครับ” ผมได้ยินพวกเขาคุยกันเต็มสองรูหู ดูสายตาของเขาหวาดระแวงผมมากกว่าตอนที่พบกันคราวแรก

“พวกเรากำลังไปรับท่านครับ รอสักครู่...”

ผมไม่รู้หรอกว่าเขากำลังจะพาใครมา ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นตำรวจหรือใคร ผมก็ไม่หวาดกลัวมันอีกแล้ว ผมข้ามผ่านความรู้สึกแย่ ๆ แบบนั้นมาได้ ผมรู้สึกเป็นอิสระที่สุดเท่าที่ผมได้มีชีวิตมา จากนี้ผมรู้ว่าจะกำจัดคนที่ผมไม่ชอบออกจากชีวิตได้อย่างไร ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่เคยได้เรียนรู้ที่จะรักษาคนที่ผมรักเอาไว้กับผมก็ตาม

“เธอคง...ผ่านอะไรมาเยอะสินะ...ไม่เป็นไรนะ” ลุงคนนั้นโอบไหล่ปลอบใจผม ทำให้ผมอุ่นใจได้มากกว่าที่ผมอยู่ใกล้พ่อเสียอีก

ขณะที่ลูกน้องของเขากำลังเก็บกวาด ผมเห็นเขายืนมองไปที่เศษเนื้อตรงหน้าด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ จากมุมมองที่มีสติของผมมันช่างเป็นภาพที่โหดร้าย ที่เกิดจากเยาวชนเป็นผู้กระทำ...