"คุณแค่อยากได้ร่างกายฉันเท่านั้น" "ผมชอบคุณ ถ้าไม่หวังแบบนั้นจะให้หวังอะไร"

บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก - #track5 บาร์เหล้าที่ครึกครื้น โดย Di-N(ดิเอ็น) @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,ตะวันตก,รัก,โรมานซ์,ฟีอาห์,เคียน,กีตาร์,แต่งงาน,ภรรยา,คลุมถุงชน,ฝรั่ง,ตะวันตก,วงร็อก,นักดนตรี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รัก,โรมานซ์,ฟีอาห์,เคียน,กีตาร์,แต่งงาน,ภรรยา,คลุมถุงชน,ฝรั่ง,ตะวันตก,วงร็อก,นักดนตรี

รายละเอียด

"คุณแค่อยากได้ร่างกายฉันเท่านั้น" "ผมชอบคุณ ถ้าไม่หวังแบบนั้นจะให้หวังอะไร"

ผู้แต่ง

Di-N(ดิเอ็น)

เรื่องย่อ



เคียน เคซเพอร์ (Cian Kezper) | อาชีพ : นักดนตรี | วง : Paranoiz (พารานอยซ์) | ตำแหน่ง: Guitar (กีตาร์โซโล่)


เขาเป็นนักดนตรีของวงชื่อดัง และปราถนาหญิงสาวในคราแรกที่เห็น และไม่คาดคิดว่าความอิจฉาที่อยากแย่งเธอมาจากแฟนหนุ่ม มันจะถูกสนองราวกับพรที่พระเจ้าประทานให้ แม้การผูกมัดมันค่อนข้างจะเหมาะเจาะกับคำว่า 'จังหวะนรก' ก็ตาม

ฟีอาห์ ไอดิน (Fiadh Aidyn) | อาชีพ : พนักงานบริษัทเอกชน | ตำแหน่ง : นักสังคมสงเคราะห์

เพียงแค่เห็นเคียนในคราแรก ก็เกิดอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด จากสายตาที่จดจ้องราวกับจะถอดเสื้อผ้าออกมาทีละชิ้น ชายหนุ่มไม่มีสิ่งใดเลยที่ตรงเสปคของฟีอาห์ แต่ทว่าอุบัติเหตุไม่คาดคิด มันทำให้เธอกับเขาต้องผูกพันธะที่เรียกว่าชีวิตคู่ไปตลอดการ

บทรักน้ำเน่าของนักดนตรีกับนักสังคมสงเคราะห์สาวที่มีเหตุให้ต้องคลุมถุงชนจะดำเนินจะจบเช่น เชิญชวนทุกท่านมาสัมผัสนิยายรักแนวดนตรีเซ็ตติ้งยุโรปกันค้าาาาา

สารบัญ

บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#TRACK บทนำ,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#TRACK1 อยากแย่ง,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#TRACK2 ปัจจุบัน,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#TRACK3 สมรส,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#TARCK4 #track4,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#track5 บาร์เหล้าที่ครึกครื้น ,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#track6 บ้านพักตากอากาศ,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#track7 รวมเป็นหนึ่ง(NC),บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#track8 ศึกสะใภ้,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#track9 รดน้ำดอกไม้,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#track10 เสียงไฮโน้ต,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#track11 อดีตย้อนกลับมาหา,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-#track12 โมลีนยอดนักสันนิษฐาน,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-TRACK#13 คนใกล้ตัว,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-TRACK#14 หลอกล่อ,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-TRACK#15 ฟีอาห์ติดกับ,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-TRACK#16 เหนือกว่าผู้หญิงทุกคน (NC),บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-TRACK#17 ฟีอาห์หายไป,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-TRACK#18 นางเอกหนังน้ำเน่า,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-TRACK#19 จุมพิตหวานเริ่มทางใหม่ (End),บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-Bonus Track #1,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-Bonus Track #2,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-Bonus Track #3,บทรักน้ำเน่าของคนไม่ถูกเลือก-Bonus Track #4

เนื้อหา

#track5 บาร์เหล้าที่ครึกครื้น

เมื่อหมดเวลาอัดเพลง วงพารานอยซ์ได้ตกลงกันว่าจะนัดสังสรรค์กันที่บาร์ประจำ โดยมีแองกัสเป็นหัวหอกในการชักชวน อีกทั้งยังดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะเป็นเวลาหลายวันแล้วที่ไม่ได้กระดกแอลกอฮอล์กระแทกปาก เขาไม่ลืมนัดโมลีนมาด้วย ซึ่งหญิงสาวบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่าช่วงนี้เครียดกับงานเดินแบบ แต่แองกัสกลับคิดว่าเธอคงไม่ถูกใจเพื่อนในวงการสักคนที่ต้องทำงานร่วมกัน ถึงได้หาข้ออ้างบ่นโน่นบ่นนี่หาคนนินทาด้วย แย่หน่อยที่เขาเป็นผู้ชาย จึงไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับการเมาท์มอยอะไรพวกนี้

ร้านเจ้าประจำนั้นอยู่ไม่ไกลจากห้องอัดในค่ายเพลงมากนัก มันตั้งอยู่ในย่านดนตรีที่มีศิลปินเปิดหมวกมานั่งบรรเลงบทเพลงกันตั้งแต่หัววัน ซึ่งก็ถือว่าเหมาะกับผู้ที่นิยมเสพความสุนทรีย์ของดนตรีแกล้มอาหารไปพลาง ๆ อย่างพวกเขา

ทั้งห้าคนแบกเครื่องดนตรีประจำกายขึ้นหลังและเดินหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางซอกซอยของร้านที่มีแต่ผู้คนจอแจ จนกระทั่งถึงร้าน เสียงกริ่งกระทบประตูจึงดังขึ้น เป็นสัญญาณเตือนว่ามีลูกค้าเข้ามา

พนักงานเห็นดังนั้นจึงพยักหน้ารับ เป็นอันว่ากลุ่มคนหนุ่มสาวที่ใช้ผ้าปิดปากปกปิดใบหน้าคือวงดนตรีที่มีชื่อเสียง และกำลังมาเยือนที่ร้านเหมือนเคย

เมื่อพูดถึงการตกแต่งภายในร้าน ที่นี่มีแสงนีออนเป็นตัวอักษรแสดงวลีติดตามซอกต่าง ๆ ประดับอยู่ ทำให้พื้นที่รับรองลูกค้ามีบรรยากาศสลัวเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์คันทรีได้เป็นอย่างดี

เคยมีคำถามว่าทำไมวงหนุ่มสาวอย่างพารานอยซ์ถึงชอบมาขลุกอยู่ที่บาร์ภาพลักษณ์เก่าคร่ำครึเช่นนี้ เพราะคนแก่ไม่เรื่องมาก ไม่โหวกเหวกมาเที่ยวขอลายเซ็นยามสังสรรค์ อย่างมากก็แค่จ้องมองที่เจอคนดัง ขืนเอาเวลาไปนั่งร้านที่เป็นแหล่งสุมหัววัยรุ่น คงไม่ได้ลิ้มลองน้ำเมารสชาติดีอย่างแน่นอน

ภายในตัวสถานที่เป็นแถวตอนทางยาว ฝั่งซ้ายเป็นหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งมองออกไปเห็นนอกร้านได้ มีผนังไม้ลวดลายสวยกั้นข้างเพื่อแบ่งโซนเอาไว้ มองไปแล้วคล้ายที่นั่งในตู้รถไฟรุ่นคลาสสิกเลยทีเดียว

ในส่วนที่ติดหน้าต่างเป็นโซฟาสีแดงเข้ม ผู้นั่งต้องหันหลังให้กระจก ใครนั่งตรงนี้คงต้องอดมองวิวนอกร้านอย่างช่วยไม่ได้ และมันกว้างพอสำหรับใครหลายคน

ตรงกลางมีโต๊ะสี่เหลี่ยมกั้นระหว่างเก้าอี้ไม้เนื้องาม และทั้งหมดที่กล่าวมานี้นับรวมเป็นหนึ่งโซน ถัดไปเป็นพื้นที่โล่งสำหรับเดินสวนกันไปมา และฝั่งขวาตรงข้ามเป็นที่นั่งบาร์ติดกับเคาน์เตอร์พนักงาน ยามเดินผ่าน พวกเขาไม่ลืมที่จะทักทายเจ้าของร้านร่างอ้วน ผู้กำลังเช็กยี่ห้อแอลกอฮอล์บนผนังชั้นวาง เพื่อเตรียมสับเปลี่ยนเมื่อสินค้าตรงหน้าหมดขวด

เมื่อเลือกโซนได้แล้ว ทุกคนก็สงวนพื้นที่เล็ก ๆ ของโซฟาเพื่อวางกีตาร์กับเบสของสมาชิกที่เล่นเครื่องสาย และแองกัสเป็นคนเดียวที่แทบไม่นั่งพักเหมือนคนอื่น ๆ เขาเดินไปยืนเท้าคางที่เคาน์เตอร์เพื่อพินิจว่าเขาจะเลือกน้ำเมาชนิดไหนเข้าไปขับเคลื่อนร่างกาย และเมื่อตระหนักว่าในหัวไม่มีไอเดียอะไรเลย เมนูเดนตายจึงผุดออกมาจากปาก

“เบียร์สดแก้วหนึ่ง”

พนักงานสาวกดคันโยกให้เครื่องดื่มยอดนิยมไหลรินลงแก้วสูง ความซ่าของฟองขาวช่างยั่วยวนใจ อีกทั้งกลิ่นของมันก็หลอกล่อจนอยากกรอกเข้าปากให้หมดภายในอึกเดียว

“คนปกติเขาก็หาที่นั่งก่อน มีแต่นายนี่แหละไปยืนจ้องยี่ห้อเหล้า ไม่เข้าปากแค่สองสามวันเองนะ ลงแดงเหมือนไม่ได้สูดผง” เคียนบ่นเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมวงดีดราวกับม้าคึก

“ช่วงนี้ทำเพลงเครียดจะตายห่า พวกนายไม่อยากจนตัวสั่นกันบ้างเหรอ แล้วนายเนี่ยนะ พักหลังขี้บ่นเหมือนบิ๊กจิมเลยว่ะ”

“พูดงี้มันหยามกันนี่หว่าแองกัส บอกฉันเรื้อนเหมือนหมายังดีกว่าบอกว่าฉันเหมือนพ่อนะโว้ย ถอนคำพูดเถอะ ถ้ายังเป็นเพื่อนกันอยู่”

“ไม่!” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หยิบเบียร์ที่พนักงานยื่นให้ซดอึกใหญ่ และผ่อนลมปากยียวนเหมือนคนที่ทำภารกิจลุล่วง

เมื่อพูดถึงบุคคลที่แองกัสพาดพิง มันจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากพันโทจิมมี่พ่อของเคียน โดยทั้งวงมักเรียกท่านว่า ‘บิ๊กจิม’ อันเนื่องมาจากตำแหน่งสายอาชีพที่ชายวัยกลางคนนั้นภูมิใจนักหนา

อันที่จริงพวกเขาเคยไปเยือนบ้านของเคียนอยู่ครั้งหนึ่ง และก็เป็นไปตามคาด โดนนายทหารยศใหญ่บ่นเป็นหางว่าว ทั้งตราหน้าว่าไร้มารยาท พูดจาเหมือนคนชั้นต่ำไร้การศึกษา และอะไรอีกหลายอย่างที่มันไม่อยู่ในกฎระเบียบ ซึ่งพ่อของเคียนก็พาลไม่ปลื้มไปเสียหมด จึงทำให้ศึกพารานอยซ์ vs บิ๊กจิมเกิดขึ้น

พวกเขาเถียงกันจนคฤหาสน์แทบแตก จนกระทั่งจบลงเพราะโดนไล่ออกมา จากนั้นให้ตายก็ไม่เคยไปเหยียบบ้านของเคียนอีกเลย

เพราะเหตุการณ์นั้นเองจึงเป็นที่มาของฉายา ‘บิ๊กจิ๋ม’ ที่พวกเขาตั้งขึ้นมาล้อยามไม่พอใจชายแก่ ซึ่งก็คงไม่ต้องบอกว่าจุดประสงค์ของคำนั้น เด็กระยำห้าตัวอยากด่าท่านว่าอะไร

มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อบิ๊กจิมอยากมาด่าพวกเขาว่า ‘Fuck Boys!’ ก่อนทำไมเล่า แม้แต่ลูกตัวเองก็ไม่เว้น เพราะฉะนั้นแล้วชื่อบิ๊กจิ๋มจึงเหมาะกับท่านที่สุด

บรรยากาศครึกครื้นไปได้พักใหญ่ จากนั้นไม่นานสมาชิกในวงคนอื่นก็ทยอยลุกไปสั่งเครื่องดื่มของตัวเองบ้าง โดยมีลูกค้าหลายคนปรายตามองพวกเขาเป็นระยะ ก่อนที่ร่างอรชรของฟีอาห์จะปรากฏขึ้นมาและมาในชุดเดรสสีขาวทับด้วยสูทดำ อันเป็นเอกลักษณ์ของสาวออฟฟิศ ทำให้เคียนซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาแปลกใจว่าเธอโผล่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“ว่าไง ฟีอาห์ มานี่ ๆ” แองกัสคนเดิม ยกมือโชว์แก้วเบียร์ที่ตัวเองกำลังดื่มอยู่ชูขึ้นเป็นการชักชวน

เจ้าสิ่งนี้เองที่ทำให้คำถามในใจของเคียนได้รับคำตอบ อีกทั้งยังสงสัยต่ออีกว่าแองกัสโทรชวนใครมานักหนา และก็ไม่ปล่อยให้ค้างคาใจอยู่นาน เมื่อแม็กโผล่เข้ามาพร้อมกับผู้หญิงปริศนาคนหนึ่ง

“ไอ้ห่าแองกัส ไหนมึงบอกว่าชวนแค่นี้ไง” โคดี้ มือเบสบ่น เมื่อเพื่อนที่รู้จักทยอยเข้ามาทีละคนสองคน ซึ่งมากกว่าที่ตกลงไว้

“ฉันมาไม่ได้หรือไงโคดี้” ผู้จัดการวงขมวดคิ้วถามอย่างไม่พอใจ

“มาได้โว้ย ผมแค่บ่นเฉย ๆ”

“นี่แฟนฉัน ลิลลี่” แม็กโอบแขนแฟนสาวเป็นการประกาศสถานะ จากนั้นแย่งที่นั่งโคดี้ราวกับจะเอาคืนที่พูดจาเหมือนกีดกันตน โดยการดึงแขนเสื้อให้มือเบสหนุ่มลุกขึ้น และดันแฟนสาวให้ไปนั่งข้าง ๆ เคียน จนทำให้มือกีตาร์หนุ่มต้องขยับตัวไปชิดฟาเบียและกอดคอเพื่อนร่วมวงไว้ เพราะไม่อยากตัวติดกับหญิงอื่นให้ฟีอาห์ไม่สบายใจ จากนั้นแม็กก็นั่งทับที่ของโคดี้เป็นการปิดท้าย จนคนไร้ที่นั่งอยากเอาหลังมือฟาดใส่หน้าไอ้ผู้จัดการจอมกวน

ตอนนี้ฝั่งหน้าต่างมี ฟาเบีย เคียน และลิลลี่ ถัดมาเป็นแม็กที่แย่งเก้าอี้ได้สำเร็จ ตามด้วยเบ็นและแองกัส ส่วนโคดี้แก้ปัญหาโดยการขยับไปนั่งตักเบ็นเสียเลย

“โถ่~ ตัวนายเล็กมากมั้ง ถึงมานั่งตักฉันเนี่ย ดูไซซ์ตัวด้วย หนักโว้ย ไสตูดไปนั่งที่อื่นไป” ซึ่งทำให้เบ็นบ่นยกใหญ่ว่าตัวเองไม่ใช่ที่รองรับหมีควาย และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้โคดี้ไปจ่อมก้นที่อื่น

“ฉันนั่งแยกคนเดียว ใครจะเป็นเพื่อนคุยวะ” ซึ่งโคดี้ก็ให้เหตุผลว่าการแยกไปนั่งมันเหงาปาก จะไปนั่งหงอยทำไมให้โง่

และทั้งหมดก็ได้เริ่มพูดคุยกันต่อ ทั้งเรื่องมีสาระและไร้สาระปนกันไป ยกเว้นฟีอาห์ที่ยังยืนนิ่ง เพราะโดนสายตาคมของเคียนหรี่มองอย่างเจ้าเล่ห์มาพักใหญ่แล้ว เขากำลังส่งสัญญาณให้เธอมานั่งข้าง ๆ จะได้ถีบฟาเบียไปสู่ที่ชอบ ๆ และมือที่กอดคอมันอยู่ จะได้โอบไหล่นวลแทนระหว่างดื่มเหล้า เพียงเท่านั้นฟีอาห์ก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มคิดลามกอะไรอยู่ คงเตรียมตัวเลื้อยมือลูบเนื้อตัวเต็มที่ล่ะสิ!

“มานั่งนี่สิ น้องสะใภ้” ฟาเบียเมื่อเห็นสงครามเย็นระหว่างสองสามีภรรยา ก็รู้ว่าตัวเองต้องระเห็จไปทางอื่น จึงลุกเปิดโอกาสให้ทันที พร้อมกับบอกว่าตนขอไปสั่งเบียร์เพิ่ม โดยไม่ลืมดึงแขนเล็กให้เดินผ่านตักแองกัสมาอย่างทุลักทุเลเพื่อนั่งแทนที่ตัวเอง ก่อนจะยักคิ้วส่งเคียนเป็นการเสร็จสิ้นเป้าประสงค์

และทันทีที่ร่างบางนั่งลง มือของเคียนก็เข้าโอบเอวดั่งที่คาด
ฟีอาห์นึกบ่นในใจ ว่าทำไมตัวเองไม่เรียนเลขเก่งเหมือนคำนวณพฤติกรรมของเขาบ้าง!

“พักหลัง ๆ นี้ดูคุณทำตัวแปลก ๆ นะ” เขายื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหู มือที่โอบเอวเปลี่ยนมาวางบนไหล่โซฟาเพื่อให้เธอคลายอึดอัด

“ฉันระวังตัวกับคุณเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

“เหรอ...คุณกลัวผมทำให้ท้องหรือไง” ความผิดปกติมันเริ่มจากที่เคียนพูดเรื่องมีลูก ทำให้พอจะเดาได้ว่าสาเหตุคืออะไร เขาจึงหยิบมันมาขยี้อารมณ์ฟีอาห์ต่อ เหมือนสนุกที่ได้เห็นเธอโกรธ

“นี่ หยุดเลย!” เรียวคิ้วงามขึงใส่ด้วยความดุ ที่เคียนกล้ากระซิบเรื่องนี้กลางวงเหล้าอย่างไม่อายเพื่อน แม้แต่ละคนจะแข่งกันคุยเสียงดังก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้ยิน

“คุณรู้ไหมความหลงใหลของผมที่มีต่อคุณ มันมากชนิดที่ผมอ่านภาษากายของคุณได้เลยนะ”

“เหม็น กินไปเท่าไรแล้ว” ฟีอาห์ไม่อยากให้เคียนพูดต่อในประเด็นเดิม จึงแกล้งไม่ตอบและเปลี่ยนเรื่องมากล่าวหาลมหายใจที่เจือไปด้วยกลิ่นเหล้าของเขาแทน

“เวอร์ ผมจิบไม่กี่อึกเองนะ” ริมฝีปากยังเฝ้ากระซิบข้างหู จนใบหน้าฟีอาห์แดงระเรื่อเหมือนถูกปัดด้วยบลัชออน จากนั้นจมูกโด่งของเขาก็เลื่อนมาคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม จนมันร้อนผ่าวเหมือนน้ำเดือดที่กำลังปะทุ

“อย่าทำแบบนี้ คนก็เยอะ อายบ้างสิ” เสียงหวานแผ่วกระซิบกลับ จากนั้นใช้นิ้วเรียวแตะที่ปากสามีเป็นการห้ามปราม แถมในตอนที่กำลังหาวิธีผละจากการโอบไหล่ของชายหนุ่ม ก็มีสมาชิกคนหนึ่งเอ่ยแซว มันทำให้ฟีอาห์เขินหนักกว่าเดิม

“เน่ ๆ ฉันพาไปเปิดห้องมะ” โคดี้บ่น ในขณะที่คนอื่นไม่มีใครสนใจพฤติกรรมของทั้งคู่ เพราะนิสัยหยอกเย้าฟีอาห์เมื่อได้โอกาส เคียนทำมาแต่ไหนแต่ไรและเห็นจนชิน จะมีแต่ไอ้คนที่บ่นนี่แหละ ที่มันไม่ปกติ

“โสดแล้วอย่าพาลเพื่อนดิวะ ภาพมันตำตาตำใจคนโสดมาก ก็ลุกจากตักเบ็นไปนั่งที่อื่นไป๊” แองกัสหยอกกลับแถมยังทำท่ากลั้นขำกับคนไร้คู่

“เสือก มึงก็โสด”

“โสดที่ใจโว้ย แต่ตัวไม่โสด”

“แบบนั้นเขาเรียกเงี่ยน เอาดะไปทั่ว” คำโต้กลับของโคดี้ ทำให้แองกัสยกนิ้วกลางกระแทกหน้าอย่างหมั่นไส้

“เฮ่ย พอ ๆ เถียงกันต่อแม่งได้แลกหมัดกันชัวร์” เบ็นซึ่งมีหน้าที่เป็นกรรมการชั่วคราวกล่าวห้ามทัพ ก่อนจะรินน้ำเมาให้ทั้งคู่ และยกแก้วดื่มเพื่อสานต่อบรรยากาศวงเหล้า

แต่ถึงโคดี้จะไม่เอ่ยทัก ฟีอาห์ก็คิดเอาไว้แล้ว ว่าจะหยุดมือที่เลื้อยเหมือนหนวดปลาหมึกของเคียนให้ได้ ก่อนเขาจะขึ้นคร่อมเธอคาโต๊ะ

“ฉันว่า...ฉันไปสั่งอะไรดื่มบ้างดีกว่า”

ฟีอาห์ไม่รีรอให้เคียนอนุญาต เธอแกะมือที่ไหล่ออกแล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์ ทำให้เขานึกเสียดายจนมองตามหลังร่างอรชรตาละห้อย แม้เธอจะมอบความใกล้ชิดให้เพียงไม่กี่นาที

ฟีอาห์เดินเรื่อยขึ้นมาใกล้ประตูร้าน เมื่อเห็นโซนนั้นคนไม่หนาแน่นเท่าไรนัก จากนั้นสั่งค็อกเทลสีหวานให้ตัวเอง และหมายจะยึดตรงนี้เป็นที่มั่นนั่งจิบเงียบ ๆ คนเดียว เพราะตัวเองไม่รู้เรื่องดนตรีที่หนุ่ม ๆ คุยกันนัก เลยไม่อยากไปนั่งกร่อยให้เสียบรรยากาศ ส่วนผู้หญิงอีกคนอย่างลิลลี่ หล่อนก็เอาแต่จับมือถือแขนและนัวเนียอยู่กับแม็กโดยไม่สนใจใคร

เมื่อนั่งเอ้อระเหยอยู่ไม่นาน ทันใดนั้นเองความเงียบสงบก็ถูกเสียงคุ้นเคยทลายลง

“ว่าไง! คุณนายเคซเพอร์!” ไม่ตะโกนเปล่า ร่างของคนปริศนายังเข้ามากอดเธอแน่นจากด้านหลัง แล้วโยกไปมาเป็นการทักทาย

“โมลีน!” ฟีอาห์อุทานดังไม่แพ้เสียงตะโกนทักทายของคนมาเยือน ทำให้หลายคนพุ่งเป้ามามองกันเป็นตาเดียว รวมถึงแองกัส ตัวตั้งตัวตีของการสังสรรค์ครั้งนี้ด้วย เจ้าตัวโบกไม้โบกมือให้โมลีนไปร่วมจอยกันที่โต๊ะ แต่นางแบบสาวยกมือหยุดเป็นการขอเวลานอกเพื่อคุยกับฟีอาห์

“ใช่ ฉันเอง ทำหน้าเหมือนเห็นผีเลยนะ”

“ไม่ได้เห็นผีอะไรหรอก แต่บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องเรียกคุณนายเคซเพอร์ ฉันไม่ชิน”

“โอ๊ย แต่งงานกับเคียนมาตั้งสองปี ชินได้แล้วจ้ะ แล้วฉันจะไม่เลิกเรียกด้วย”

“โถ่!”

ฟีอาห์ห่อไหล่ตกเมื่อคำขอถูกปฏิเสธ โมลีนคือแฟนเก่าของเคียนและแองกัสตามที่ได้รับรู้มา ในตอนแรกนั้นคิดว่าเจ้าของร่างระหงจะเย่อหยิ่งเหมือนนางแบบคนอื่น ๆ แต่พอรู้จักกันจริง ๆ แล้ว โมลีนเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่ายมาก

ในช่วงแรกที่อยู่กับเคียน กลัวแทบแย่ว่าจะโดนเหม็นหน้า เพราะอย่างไรแล้วสถานะแฟนเก่ากับภรรยา มันต้องมีความรู้สึกอะไรบางอย่างมาปิดกั้นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว อาจจะทำให้พวกเธอสองคนตะขิดตะขวงใจที่จะรู้จักกัน แต่เมื่อได้พูดคุยกับโมลีนความรู้สึกเหล่านั้นกลับไม่ปรากฏให้เป็นอุปสรรคเลย

หลังจากจดทะเบียนสมรส เคียนพาเธอไปแนะนำกับกลุ่มเพื่อน ก็มีโมลีนนี่แหละที่โพล่งออกมาว่าคุณนายเคซเพอร์ ทำให้เพื่อน ๆ เรียกตามจนทำตัวไม่ถูก และเขินทุกครั้งที่ได้ยินคำนี้

“แล้วไง ทำไมถึงโผล่มาได้ล่ะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นมานั่งก๊งเหล้ากับพวกฉัน” โมลีนเอ่ยถาม

“แองกัสชวนน่ะ ไม่กล้าปฏิเสธ แล้วมันก็เลิกงานพอดี ไม่ได้ติดธุระอะไรก็เลยมาได้” พูดจบแก้วค็อกเทลใบสวยก็ถูกฟีอาห์ยกเทียบเรียวปาก เพื่อจิบของเหลวสีหวานนั้นไปพลางระหว่างพูดคุย มันกระตุ้นให้โมลีนอยากดื่มบ้างจึงสั่งมาลงกระเพาะในเวลาต่อมา

“จริงสิไม่ไปนั่งกับพวกเขาล่ะ ฉันนั่งคนเดียวได้” ฟีอาห์เสนอ เพราะสาวสังคมคงไม่ชอบการปลีกวิเวกมานั่งคุยกันสองคนนัก เธอกลัวว่าเพื่อนสาวจะเบื่อแย่

“ไม่เอาหรอก เหม็นขี้หน้าอีนั่น”

“อีนั่น?” จู่ ๆ โมลีนก็กล่าวถึงใครบางคนอย่างไม่มีสาเหตุ จน
ฟีอาห์นึกงงจึงทวนถามกลับไป

“ถ้าพูดแล้วอย่าหันไปมองนะ แฟนแม็กผู้จัดการวงไง”

“อ้อ...” ฟีอาห์ทำหน้านึกออก แต่ยังสงสัยว่าทำไมโมลีนถึงดูไม่ชอบใจฝ่ายนั้นนัก หน้าลิลลี่ก็สวยสมเป็นนางเอกหน้าใหม่ ขนาดเธอยังเกือบขอถ่ายรูปกับลายเซ็นเลย แต่นึกได้ว่ามันเป็นเวลาส่วนตัวจึงเลิกล้มความคิดนั้นไป

ส่วนเรื่องที่โมลีนไม่ชอบหล่อนอย่างออกนอกหน้า มันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเธอ จึงทำได้แค่พยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้อยู่ในที

“ตอบได้แค่นั้นเองเหรอฟีอาห์ จำไม่ได้หรือไง”

“จำใครล่ะ”

“ก็ยัยลิลลี่ไง เมื่อสองปีก่อนมันก็อยู่ด้วยนะ วันที่โฮป....” เมื่อรู้ตัวว่าตนชักจะพูดมากเกินไป จนอาจไปสะกิดแผลใจของคู่สนทนา โมลีนจึงยั้งปากไว้ทันที

“อ้อ...งั้นเหรอ”

“ไม่ต้องมางั้นเหรอเลยนะ ตัวเองก็คุยกับนางอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ฮะ! ฉันเนี่ยนะ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“อ้อ! จริงสิ! นึกออกแล้ว” ฟีอาห์ทำท่าปิ๊งขึ้นมาในหัว

ลิลลี่คือคนที่บอกว่าโมลีนเป็นแฟนเก่าแองกัสกับเคียนนั่นเอง บ้าจริง ๆ เธอขี้ลืมขนาดนั้นไปได้ยังไงนะ ซึ่งไม่ต่างกับโมลีนนัก รายนั้นทำหน้าเหลือเชื่อจนโอเวอร์

“ตาย ๆ นังนั่นเป็นหนึ่งในบุคคลที่เธอต้องเตรียมขึ้นบัญชีดำเลยนะ อดีตแฟนคลับวงพารานอยซ์ และนางคลั่งเคียนหนักมาก ตอนฉันคบกับเคียนก็เป็นอีนี่แหละที่ชอบปล่อยข่าวลือแปลก ๆ”

“ข่าวอะไรล่ะ”

“ก็เรื่องที่ฉันชอบคบซ้อนไง”

“เป็นเรื่องจริงนี่นา...ไปโกรธเขาทำไมล่ะ”

“มันก็ใช่ แต่รสนิยมของฉัน เคียนรับรู้และเราก็ตกลงกันแล้ว แต่อีบ้านั่นไปใส่ไฟตามวงเมาท์หาว่าฉันนอกใจ จนมันปูดกลายเป็นข่าวดังขึ้นมา บิ๊กจิมถึงได้เหม็นขี้หน้าฉันอยู่ทุกวันนี้ไง ฉันไม่ได้แค้นที่ต้องเลิกกับเคียนหรอกนะ ผู้ชายหาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่แค้นที่มันทำให้ฉันได้สถานะสาวร่านแห่งวงการต่างหาก อย่าให้มีโอกาสนะ จะเหยียบให้จมดินเลยอีนางเอกแอ๊บแบ๊ว!”

“ชู่~ อย่าพูดเสียงดังเดี๋ยวเขาก็รู้ตัวหรอก” ฟีอาห์เอามือมาแตะปากนุ่มของโมลีนเหมือนที่ทำกับเคียน เพราะสองคนนี้เหมือนกันอยู่หนึ่งอย่าง คือการพูดโพล่งโดยไม่ระวัง ทำให้ฟีอาห์ไม่สงสัยเลยว่าช่วงหนึ่งทำไมพวกเขาคบกันได้

“ก็มันอดไม่ได้นี่”

โมลีนเปรยพร้อมกับส่งสายตาชิงชังตวัดใส่นังตัวดีที่กำลังคลอเคลียกับผู้จัดการวง พร้อมกับย่นจมูกและเบะปากอย่างหมั่นไส้

เมื่อค็อกเทลหมดแก้ว ประจวบกับเก้าอี้บาร์ที่ตรงกับโต๊ะพารานอยซ์เว้นว่าง โมลีนจึงชวนให้ฟีอาห์ไปจับจองที่นั่ง ทำให้การพูดคุยสนุกยิ่งกว่าเดิม คนร่างบางไม่รู้สึกเหงาปากเลยสักนิด เพราะมีนางแบบสาวช่างจ้ออยู่ข้าง ๆ แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่บรรยากาศดูอึมครึม และจะเป็นช่วงไหนไปได้ล่ะ นอกเสียจากโมลีนกับลิลลี่จำต้องใส่หน้ากากพูดคุยกัน แต่ด้วยความมืออาชีพด้านเข้าสังคมของคนบันเทิง ทำให้ทุกอย่างราบรื่นไม่มีเรื่องน่าอึดอัดอย่างที่คาด

..........

กระทั่งจบปาร์ตี้ที่ครื้นเครง สภาพที่ฟีอาห์เจออยู่ตอนนี้มันไม่สนุกเหมือนก่อนหน้านี้เลย เพราะแองกัสเมาหัวราน้ำจนเดินทางไม่ไหว เคียนจึงต้องเป็นสารถีมาส่ง และขอร้องให้เธอขับรถเจ้าตัวไล่ตามมาทีหลัง

เท่านั้นไม่พอ ยังต้องช่วยเคียนหิ้วปีกนักร้องหนุ่มขึ้นห้องอีกต่างหาก

ทั้งสามคนเดินอย่างทุลักทุเลจนกระทั่งถึงห้อง เคียนใช้เท้าถีบประตูหมายจะโยนเพื่อนร่วมวงลงเตียง แต่ทันใดนั้นเอง เขาเสียหลักสะดุดขาที่พัลวันกันจึงฉุดให้ทั้งสามคนล้มคว่ำหน้าไปกับเตียงด้วยกันทั้งหมด

“โอ๊ย คุณอะ!”

“ขอโทษ ๆ”

แรงทุ่มที่เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ ทำให้แขนแองกัสกดน้ำหนักทับคอฟีอาห์ จนต้องกล่าวเอ็ดสามีที่ไม่ทันระวัง เคียนจึงขอโทษและรีบยกแขนแองกัสออก และขณะที่ดันตัวเองขึ้นมาหมายจะหันหลังลุกขึ้นยืน เธอก็ปะทะเข้ากับหน้าของเคียนในทันที

ความใกล้ชิดเพียงปลายจมูกชนกัน ทำให้เคียนเห็นดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างชัดเจน แสดงถึงความตื่นตระหนกที่ผ่านเข้ามาโดยไม่ทันตั้งรับ มันแสดงออกมาจากฤทธิ์ไอร้อนของแอลกอฮอล์ที่ทั้งคู่ได้ดื่มเข้าไป ซึ่งพ่นออกมาผสมกัน ปลุกเร้าให้ร่างกายปั่นป่วนจนต้องสยบมันด้วยริมฝีปากที่ดึงดูด

ฟีอาห์รับจูบรุกรานโดยท่าทีประหม่า ฝ่ามือที่แผ่ยกไว้ทั้งสองข้าง ลังเลว่าควรจะผลักอกเขาเป็นสัญญาณให้หยุดดีหรือไม่ แต่ในขณะที่คิดมากอยู่นั้น เคียนก็ขบกลืนความนุ่มนวลของปากเธอไปเสียแล้ว

สัมผัสเบารุกคืบอย่างทะนุถนอม ราวกับกลัวเธอจะได้แผล ทำให้ฟีอาห์เคลิบเคลิ้มโดยหลับตาพริ้มอย่างลืมตัว...

ถึงไม่เข้าใจตัวเองนัก ว่าหลังจากคำสารภาพโรคจิตนั่นออกจากปาก ทำไมเธอถึงไม่เป็นตัวเองขนาดนี้ เมื่อก่อนเพียงแค่เคียนจะเข้ามาใกล้ก็ต้องรีบเอ่ยห้ามในทันที แต่พักหลังทำเช่นนั้นไม่ได้เลย หรือเพราะร่างกายมันอยากตอบสนองเพื่อรับความตื่นเต้นเข้ามาไว้ข้างใน

คงเพราะไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนเลย จึงส่งผลให้อารมณ์เร่าร้อนเข้าครอบงำถึงเพียงนี้ หรือไม่...ก็อาจจะเป็นคำพูดที่เฝ้าบอกว่าเขาหลงใหลเธออย่างไร ที่เที่ยวเป่าหูให้ฟังทุกวัน หัวใจจึงเปิดรับพิษคำพูดแสนหวานเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว ฟีอาห์ไล่เรียงสาเหตุอยู่ในความนึกคิด จนไม่สังเกตว่าปากของชายหนุ่มเลื่อนมาซุกไซ้ที่คอเรียว มันทำให้เสียงหวานหลุดความพึงพอใจออกมาเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเอง!

“ถ้า...จะทำกัน....ฉาน...จะ....” คำพูดยืดยานของแองกัสที่หันคอมามองภาพตรงหน้าอย่างสะลึมสะลือ ทำให้ทั้งคู่ได้สติ และเป็นฟีอาห์เองที่รีบผลักอกของเคียนออกไป จนเจ้าตัวเกือบเซล้มไปข้างหลัง

“ฉะ...ฉันไปรอคุณข้างนอกนะ” ฟีอาห์รีบวิ่งออกไปจากห้องนี้ เพื่อรวมอารมณ์แตกกระเจิงของตัวเองให้กลับคืนมา ส่วนชายหนุ่มใช้มือตบกะโหลกเพื่อนร่วมวงเบา ๆ ที่บังอาจรู้สึกตัวตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม

“เวรเอ๊ย! แองกัส เสือกมาพูดอะไรกันตอนนี้วะ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง”

ทั้งคู่เดินลงมายังหน้าอะพาร์ตเมนต์ที่จอดรถทิ้งไว้ และก้าวขึ้นไปนั่งเพื่อกลับห้องของตัวเอง ตลอดทางไม่มีใครคิดจะเริ่มบทสนทนากันเลยสักคำ ทำให้ความเงียบงันเข้าปกคลุมภายในห้องโดยสาร เหลือไว้แต่เพียงเสียงเครื่องยนต์ของรถที่ขับเคลื่อนไปมาบนถนนด้านนอก คงเพราะอารมณ์เสน่หาเมื่อสักครู่มันทำให้ฟีอาห์หวนนึกถึงครั้งแรกที่ได้นั่งรถของเขา จนไม่กล้าพูดคุยกันตามปกติ ก็มันช่างร้อนแรงถึงขนาดทำให้เธออ่อนไหวราวกับหิมะโดนแดดเผาเสียขนาดนั้น

หรือไม่ก็ บริเวณช่องว่างในหัวใจเธอถูกเคียนค่อย ๆ รุกคืบเข้ามาครอบครองเรียบร้อยไปแล้ว