รัก,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,ครอบครัว,ตะวันตก,รัก,โรมานซ์,ฟีอาห์,เคียน,กีตาร์,แต่งงาน,ภรรยา,คลุมถุงชน,ฝรั่ง,ตะวันตก,วงร็อก,นักดนตรี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แกร๊ก...
สองเท้าเริ่มเดินไปตามทางเดิน เมื่อลูกบิดกลมถูกเจ้าของห้องเปิดออก หญิงสาวขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือ เพราะว่าเธอคุ้นเคยกับห้องนี้ จนบางครั้งไม่ต้องลืมตาก็สามารถนำพาตัวเองไปยังจุดหมายได้อย่างราบรื่น แต่วันนี้มันต่างออกไป เมื่อลืมตามองเห็นร่างของใครบางคน
“เคียน!”
ฟีอาห์อุทานเสียงหลง เมื่อร่างของเขาเดินก้มหน้าออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพที่มีเพียงผ้าสองผืนอยู่บนร่างกาย ส่วนล่างใช้ปกปิด ส่วนที่อยู่บนหัวก็ถูกลำแขนแกร่งที่มีเส้นเลือดปูดโปน กำลังขยี้เส้นผมสีสว่างให้หมาดน้ำ และเมื่อได้ยินเสียงของเธอ ทำให้ชายหนุ่มเงยหน้ามองพร้อมกับตกใจร่วมไปด้วย
“เป็นอะไรของคุณ”
เคียนถามพร้อมใช้ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามขวางประตูเอาไว้ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ฟีอาห์ตกตะลึงจนแทบจะลืมหายใจแล้ว ไหนจะสายตาที่หรี่มองยามหยดน้ำที่เช็ดสาดกระเซ็นนั่นอีก
สาบานกับพระเจ้าเถอะ!! ว่านี่แค่อาบน้ำเสร็จ ไม่ได้ยืนถ่ายแบบ!
“ฉะ...ฉัน”
“คุณจะเป็นลมเหรอ สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ” เคียนไม่ว่าเปล่าแถมยังเข้ามาโอบใบหน้านุ่มเพื่อสัมผัสอุณหภูมิกาย ว่ามันสูงถึงขนาดเป็นไข้หรือไม่ ทำให้ฟีอาห์หลับตาปี๋ตอบกลับไป เพราะไม่อยากแนบกับร่างเปลือยท่อนบนของเขา
“นี่ คุณ! หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ปล่อยมือออกจากหน้าฉันด้วย ฉันจะเข้าห้องน้ำ!”
“โอเค้”
เคียนทำตามคำสั่งของภรรยา และมองดูเธอเดินเข้าห้องน้ำด้วยสีหน้างุนงง เอาแต่เดินก้มหน้าแบบนั้นเดี๋ยวหัวก็ชนนั่นชนนี่จนได้หรอก ท่าทางก็ลุกลี้ลุกลน ไม่รู้จะรีบไปไหน
“คนบ้า! ทำไมยังไม่ออกไปทำงานอีกนะ...แล้วเธอเป็นอะไรฟีอาห์ ทำเหมือนไม่เคยเห็นเขาถอดเสื้อ” เธอบ่นคนเดียวในห้องน้ำขณะบีบยาสีฟัน ในใจก็คิดถึงความประหม่าของตัวเองเมื่อสักครู่ สองปีที่ผ่านมาไม่เคยตื่นเต้นอะไรแบบนี้ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงเพิ่งมาแสดงอาการกันล่ะ
A: ก็เธอเคยเห็นแต่ท่อนบนไม่เคยเห็นท่อนล่าง
B: เมื่อกี้เขาไม่ได้เผยท่อนล่างย่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องตื่นเต้น
A: แสดงว่าเธอคิดไม่ซื่อน่ะสิ ถึงได้เขินแบบนั้น
B: ฉันไม่ได้เขิน!แค่ทำตัวไม่ถูก
A: ไม่จริง!
“โอ๊ยยย พอ! หยุด” ฟีอาห์ไล่เสียงในหัวออกไป ก่อนมันจะตีกันวุ่นจนเธอเป็นบ้า ซึ่งเสียงตะโกนนั้นเองทำให้เคียนมาจ่ออยู่หน้าห้องน้ำด้วยความเป็นห่วง
“นี่ ผมถามจริง ๆ นะ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ...เอ่อ...ฉันแค่คิดถึงเพื่อนที่ทำงานที่ฉันไม่ชอบน่ะค่ะ” เธอหาเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ตอบกลับเขาไป เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มซักไซ้ตนให้มากความ
“คุณเก็บของหรือยัง”
คำถามนี้ถูกเอ่ยออกมาในขณะที่ฟีอาห์ทำธุระเสร็จเรียบร้อย มันทำให้เธอสงสัยจนต้องเปิดประตูออกมาถาม
“เก็บไปไหนเหรอคะ”
“ฟีอาห์...คุณจำไม่ได้เหรอ ว่าผมจะไปบ้านพักตากอากาศของพ่อ” เขาย้อนถาม
“เอ๊ะ!!!!?”
....................
-บ้านพักตากอากาศ-
ยานพาหนะสี่ล้อเคลื่อนตัวมายังชนบทที่ไกลจากตัวเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ตากอากาศของตระกูลเคซเพอร์ ในทุกปีลูก ๆ ทั้งสามจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ จนเหมือนเป็นธรรมเนียมของครอบครัวไปเสียแล้ว เป้าหมายก็เพื่อพูดคุยและกระชับความสัมผัสภายในครอบครัว กฎแบบนี้ถูกตั้งขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่พี่ชายคนแรกแยกออกไปมีครอบครัวแล้ว
แต่ต่อให้เป้าประสงค์มันจะฟังดูดีสักเพียงใด เคียนก็ยังแอบบ่นให้ฟังว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะพ่อยังแสดงวิสัยทัศน์อำนาจบาตรใหญ่อยู่เหมือนเดิม ส่วนพี่ชายคนโตก็ชอบกดคนอื่นให้ต่ำกว่า เจอหน้ากันทีไรถ้าไม่เงียบจนอึดอัด ก็ทะเลาะกันจนวงแตกไปคนละทิศคนละทาง สุดท้ายแล้วการนั่งจับกลุ่มเพื่อแสดงภาพครอบครัวที่อบอุ่น ก็ไม่เคยสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จนวันนี้เขาต้องหนีบแองกัสมาด้วย เผื่อพ่อและพี่ชายคนโตจะหัดเกรงใจสายตาคนนอกบ้าง จนอาจยอมเลิกทำกิริยาหยาบคายให้รำคาญใจ และยังช่วยให้ชายหนุ่มอยู่ที่นั่นครบสามวันตามกำหนดอีกด้วย
“เฮ้ย ถึงแล้ว”
เคียนปลุกแองกัสที่นั่งหลับอยู่เบาะหลังจนเจ้าตัวสะดุ้งเฮือก ก่อนจะตาโตกับภาพตรงหน้า
“โอ้โห ใหญ่ดีนี่หว่า วันหลังแอบพาเจ้าพวกนั้นมาเที่ยวบ้างดิ”
“ที่นี่มันบ้านพักตากอากาศของพ่อฉัน ไม่ใช่โรงแรมที่พาใครมาก็ได้นะเว้ย”
ขณะที่แองกัสและเคียนกำลังเถียงกันเรื่องกระเป๋าเสื้อผ้า ที่ทั้งคู่ต่างโยนภาระให้กันถือ ฟีอาห์ทอดสายตามองไปรอบ ๆ และยกแขนขึ้นชูไว้กลางอากาศ เพราะมันเย็นสบายจนรู้สึกสดชื่น
ความใหญ่โตของคฤหาสน์ ไม่ต่างอะไรกับบ้านหลักของพันโทจิมมี่ที่ใช้อาศัยอยู่ เพียงแต่มันดูเก่าแก่ด้วยอิฐสีส้มที่เริ่มหมองเท่านั้นเอง
พื้นที่ตั้งอยู่บนภูสูง จนไม่มีบ้านหลังไหนมาบดบังทิวทัศน์จากท้องฟ้าได้ มองลาดลงไปเห็นบ้านเรือนธรรมดาของประชากรที่อาศัยอยู่หนาตา จนรู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นเป็นเจ้าหญิงในปราสาทหลังงามเหมือนอย่างเทพนิยาย
และทันใดนั้นเองที่เสียงรถอีกสองสามคันก็มาจอดเทียบเรียงรายกัน โดยมันเป็นของพันโทจิมมี่และลูกชายอีกสองคนซึ่งกำลังก้าวลงมาอย่างช้า ๆ ฟีอาห์จำได้ว่าพี่ของเคียนมีชื่อว่า แมทธิวกับคอร์เนอร์ตามลำดับ คนแรกนั้นเธอเห็นหน้าตาแล้วเมื่อสองปีก่อน ส่วนคนที่สองก็เพิ่งเห็นวันนี้ คุณคอร์เนอร์มีลูกแล้วสามคน ซึ่งฟีอาห์ไม่เห็นร่างของเด็กน้อยคนใดโผล่มาเลย จึงคิดได้ว่าเขาคงมากับภรรยาแค่สองคน หน้าตาพวกเขาจะว่าไปแล้วก็คล้ายกับเคียนเหมือนกัน จริง ๆ แล้วจัดว่าดีกันทั้งบ้านเลยแหละ
ส่วนพันโทจิมมี่ก็ยังเดินมาด้วยท่าทางเย่อหยิ่งเช่นเดิม พร้อมกับมือที่ไขว้หลัง ยกอกเชิด และสีหน้าเหมือนบอกบุญไม่รับยังคงอยู่ตลอดเวลา เขามาพร้อมคนรับใช้อีกสองสามคนที่กุลีกุจอเดินตามราวกับกลัวนายหงุดหงิด และเมื่อเดินผ่านพวกเธอทั้งสาม เสียงทักทายแกมประชดประชันอย่างเคยก็ถูกพ่นออกมาจากปาก
“แต่งตัวอะไรของแก”
สั้น ๆ เพียงเท่านั้นพร้อมด้วยสายตากราดมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าไปยังแองกัส ที่ใส่เสื้อสีดำลายหัวกะโหลกและกางเกงขาสั้นธรรมดา ทำเอาเจ้าตัวกะพริบตาปริบ ๆ เพราะมองไม่ออกว่าตัวเองผิดปกติอย่างไร
“คำพูดแย่ ๆ เก็บเอาไว้พูดกับผมก็พอเถอะครับพ่อ” เคียนตำหนิพ่อตัวเองอย่างไม่เกรงใจ พอ ๆ กับที่ชายหัวหงอกไม่มีมารยาทกับแองกัส
“หึ” พันโทจิมมี่ทำเสียงดุ ราวกับเตือนลูกชายว่าเขาล้ำเส้นเกินไปแล้ว ถ้าเป็นได้ก็ควรขอโทษเสีย “ฮึ่ย!” แต่เมื่อเคียนยืนตรงและทำหน้าเฉยเหมือนไม่สะทกสะท้านกับน้ำเสียงขู่ คนเป็นพ่อก็กริ้วหนักจนรีบจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้าน
ตามด้วยแมทธิวพี่ชายคนแรก ซึ่งท่าทางไม่ต่างอะไรกับจิมมี่นัก ส่วนภรรยาที่เดินเกาะแขนยิ่งแล้วใหญ่ หล่อนใช้หางตามองผู้คนทำเหมือนตนเป็นราชนิกุลชั้นสูง ตามด้วยพี่ชายคนที่สองอย่างคอนเนอร์ ที่มีสีหน้ายิ้มแย้มมาแต่ไกล ทำให้บรรยากาศการทักทายผิดกันลิบลับ
“ไง ไอ้น้องชาย”
“ผมสบายดีคอนเนอร์” เคียนตอบพร้อมเข้ากอดพี่ชาย
“ฉันรู้ว่านายอาจจะเบื่อคำพูดของฉัน แต่...ปีนี้ก็เพลา ๆ หน่อยแล้วกัน อะไรหุบปากได้ก็ทำไปเถอะ บ้านจะได้ไม่ลุกเป็นไฟ”
“ใครจะอดทนได้อย่างพี่ล่ะ” เคียนตอบเพียงเท่านั้น
ซึ่งทำให้คอนเนอร์หัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะตบไปที่แขนอย่างเข้าใจ จากนั้นภรรยาของเขาก็เข้ามากอดเคียนราวกับน้องชายอีกคน พร้อมฝากคำทักทายแรกเอาไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เมื่อไหร่จะออกเพลงใหม่ล่ะ ฉันรออยู่นะ”
“เร็ว ๆ นี้แหละซาร่า”
เมื่อทั้งหมดเดินเข้าประตูไป เสียงหายใจโล่งของแองกัสที่ยืนเกร็งมานานก็ดังขึ้น
“พ่อฉันไม่ชอบลายหัวกะโหลก มันเหมือนพวกบูชาซาตาน แล้วก็...กางเกงขาสั้นไม่ควรใส่มาพบผู้ใหญ่” เคียนอธิบาย
“ถามจริง?ตายไปก็เหลือหัวกะโหลกเหมือนกันนี่ละว้า จะรังเกียจไปทำไม”
“เอาน่า พูดเหมือนไม่เคยโดนพ่อฉันด่า”
“ฉันไม่ใช่โรคจิตนะโว้ยที่ชอบโดนด่าน่ะ”
“ทั้งคู่หยุดเถียงกันได้ไหม เอากระเป๋าไปเก็บเถอะ”
เมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่จะเริ่มเถียงกันจนบานปลาย ฟีอาห์จึงต้องมาห้ามทัพด้วยการผลักพวกเขาให้รีบเข้าไปในบ้านซะ ก่อนที่จะตากลมเย็นจนไข้ขึ้น
เมื่อเสร็จธุระแล้ว ฟีอาห์คิดถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า นั่นคือการร่วมโต๊ะกินข้าวกับพันโทจิมมี่ แน่นอน...มันคงไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น และอาจจะต้องใช้ความอดทนและสติปัญญามหาศาลในการรับมือ หากเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด ดังนั้นแล้วเธอจึงคิดว่าการนอนชาร์จแบตเอาแรงไว้น่าจะดีกว่า
-ช่วงเย็น-
เมื่อฟีอาห์ตื่นขึ้นมาก็พบข้อความจากเคียน ที่บอกว่าจะนั่งจิบเบียร์กับแองกัสที่สวนน้ำพุใกล้โรงครัว
เวลานี้จึงเหมาะแก่การเดินสำรวจในบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจมากนัก เพราะเฟอร์นิเจอร์หรือสีของมันก็เหมือนบ้านใหญ่ที่เคยไปเยือน ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกกระชุ่มกระชวยกลับเป็นบรรยากาศเขียวชอุ่มจากต้นไม้ใบหญ้าที่ล้อมรอบมากกว่า ร่างบางจึงเปิดประตูไปยืนที่ระเบียง หวังสูดโอโซนเย็นเข้าปอดให้สดชื่น และไม่นานก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทักทาย
“ชอบที่นี่ล่ะสิ” พี่สะใภ้คนที่สองเข้ามาทักทายพร้อมกับยืนเคียงข้าง
“คุณซาร่า...”
“ฉันก็ชอบเหมือนกันนะ ถ้าไม่มีคุณพ่อละก็” ซาร่ากล่าวลับหลังพ่อสามีอย่างไม่ปิดบัง
“หรือว่าคุณซาร่าก็...”
“ไม่ชอบคุณพ่อ” เธอตอบอย่างไม่รีรอ “ใครบ้างล่ะที่ชอบท่าน แต่พวกเราทนเพราะรักลูกชายเขานั่นแหละ อีกอย่างก็ไม่ได้อาศัยอยู่บ้านเดียวกันด้วย มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
“ค่ะ...”
“ว่าแต่เธอเถอะ ลองออกไปสำรวจข้างนอกหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ”
“ชอบอ่านหนังสือไหมล่ะ”
“ชอบสิคะ”
“ข้างล่างมีห้องหนังสืออยู่ เป็นของคุณแม่พวกหนุ่ม ๆ นั่นแหละ ที่เสียไปนานแล้ว ชอบเก็บหนังสือเก่าหายากไว้ ว่าง ๆ ก็ลองไปค้นดู แล้วตรงโน้น” ซาร่าชี้ไปสุดลูกตา ซึ่งเป็นภาพของรั้วขาว เด่นเป็นจุดหมาย “เปิดออกไป เดินอีกนิดหน่อยจะเป็นกระท่อมเล็ก มีลำธารและทุ่งดอกไม้สวยเชียวล่ะ จะเอาไปอ่านตรงนั้นก็ได้นะ คงพอจะหลบเสียงบ่นของคุณพ่อได้บ้าง”
เมื่อการแนะนำอันยืดยาวได้ทิ้งเหตุผลเอาไว้ในตอนสุดท้าย ทำเอาฟีอาห์กลั้นเสียงหัวเราะไว้แทบไม่อยู่ จนซาร่าต้องตีแขนปรามเอาไว้ เพราะกลัวเสียงที่ดังเกินไปจะมีใครมาได้ยินแล้วหยิบเอาไปนินทา จากนั้นโทรศัพท์ของซาร่าก็ดังขึ้น ก่อนจะขอตัวไปหาสามีที่ส่งแชตมาตาม
ฟีอาห์ยืนเด่นกลางทุ่งหญ้า ชื่นชมทิวทัศน์ได้ไม่นานก็รู้สึกว่าท้องฟ้าเริ่มมืดราวกับแสงตะเกียงถูกหรี่ลง เธอจึงมองนาฬิกาก็พบว่ายามเย็นได้เข้ามาเยือนเสียแล้ว ในหัวพาลนึกถึงเคียนที่นั่งดื่มกับแองกัส ภาวนาให้ทั้งคู่ไม่เมาหัวราน้ำจนพันโทจิมมี่หาเรื่องมาด่าก็แล้วกัน
คิดได้ดังนั้นจึงหันตัวกลับ เพื่อเดินไปดูพฤติกรรมของชายสองคน แต่ต้องชะงักฝีเท้าเอาไว้ เมื่อพบร่างของเคียนเดินสวนมา
“อ้าว แองกัสล่ะ ทำไมเดินมาคนเดียว”
“มันจะไปต่อที่บาร์ในชุมชนน่ะ”
“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะคะ”
“ช่วงนี้มีงานประจำเมือง พ่อกับพี่ ๆ ไปตามคำชวนของคนรู้จัก ผมถึงมาถามคุณนี่ไง อยากไปหรือเปล่า”
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ” ฟีอาห์ปฏิเสธทันควัน ไอ้งานน่ะเธอสนใจอยู่หรอก แต่คนที่ต้องร่วมเดินทางไปด้วยนี่น่ะสิ แค่คิดก็รู้สึกอึดอัดแล้ว สู้อยู่เปิดโทรศัพท์ดูรายการวาไรตี้น่าจะสนุกกว่า
“อืม...ผมก็เหมือนกัน” เคียนตอบด้วยสายตาเมาเยิ้ม จนฟีอาห์เข้ามาใกล้หวังประคองยามเขาจะโซเซล้มลงไป
“คุณไหวไหมเนี่ย กินไปเท่าไร”
“ไม่ได้มากขนาดนั้นหรอกน่า เดินขึ้นบันไดได้ถือว่าไม่เมา” ว่าแล้วเขาก็เดินโงนเงนไปยังห้องตัวเองที่นอนกับแองกัส ฟีอาห์เห็นดังนั้นก็บ่นอุบอิบในใจ ท่าเดินชัดขนาดนี้เขายังบอกว่าไม่เมา ฉะนั้นแล้วจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่เธอจะต้องรับหน้าที่พยุงเขาให้ไปถึงห้องนอน
ตุ๊บ!
ไม่นานนักร่างสูงใหญ่ของเคียนก็นอนแผ่หลาอยู่บนเตียง จากนั้นฟีอาห์จึงลุกยืดตัวมองดูคนนอนหงายว่าเขาต้องการอะไรอีกหรือไม่
สีหน้าที่แสดงออกถึงความเป็นห่วง ทำให้เคียนมองไปที่ใบหน้าสวยด้วยความรู้สึกขอบคุณ ที่เธอใส่ใจเขาตลอดมา แม้การแต่งงานของทั้งคู่จะไม่ได้เกิดขึ้นจากการตกลงปลงใจ และแม้เธอจะตั้งข้อตกลงไว้เป็นกำแพงสูงแค่ไหน แต่มันก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่างี่เง่าเกินไป
ยามไม่สบายก็อาสาเช็ดตัวให้อย่างไม่บ่ายเบี่ยง หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยซึ่งอยู่บนพื้นฐานด้านความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ หญิงสาวก็เต็มใจทำให้โดยไม่มีบิดพลิ้ว สมกับที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์จริง ๆ ยิ่งนานวันความรู้สึกชอบก็กลายเป็นรักจนบางครั้งเขาก็คิดว่าตัวเองคลั่งไคล้ฟีอาห์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
และต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาลในการควบคุมความรู้สึกตนเอง จึงเป็นที่มาของการควงผู้หญิงคนอื่นอยู่เรื่อยไป แม้รู้ตัวว่าผิดแต่ก็ยังทำ เพราะตอนนั้นเธอไม่มีทีท่าจะสนใจหรือหึงหวงเลย และยังแอบคิดในใจว่าดีเสียอีก หากวันข้างหน้าหญิงสาวขอหย่าขึ้นมา ความผูกพันอันน้อยนิดจะได้ไม่ทำให้เขาเสียใจมากนัก และฟีอาห์คงได้พบชายที่เหมาะสมกว่าเป็นล้านเท่า
แต่เมื่อเธอเอ่ยปรามเรื่องผู้หญิงอื่น มันทำให้เคียนรู้สึกมีความหวัง จึงเริ่มลองรุกอีกครั้ง รวมถึงสลัดตัวปลอมทั้งหลายทิ้งไปให้หมด ในตอนแรกนั้นไม่คิดว่ามันจะได้ผลเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นอาการผิดปกติของฟีอาห์ในพักหลัง ก็ทำให้เขาแอบทึกทักเอาเองว่าเธออาจจะมีใจก็เป็นได้...
ดังนั้นก่อนที่เธอจะหันหนีออกไปจากห้อง เขาจึงดึงรั้งข้อมือบางลงมานอนกับตน
“เดี๋ยวสิ! นี่คุณ...”
เคียนเปลี่ยนเธอมาไว้ใต้ร่าง และมองใบหน้างามด้วยสายตาอ่อนโยน นิ้วโป้งใหญ่เกลี่ยไปบนริมฝีปากนุ่มช้า ๆ สายตาหวานอันต้องใจยังคงงามดั่งมีเวทมนตร์ยั่วยวนให้เขาลุ่มหลง จนอยากดูให้ชัดว่าในนั้นมิได้ร่ายคาถาอะไรไว้เป็นกับดัก เคียนจึงโน้มใบหน้าลงไปใกล้เพื่อพิสูจน์มโนทัศน์ของตัวเอง
“นี่ หยุด...อื้อ”
แม้ปากจะบอกให้เขาหยุด แต่ฟีอาห์ก็ยังต้องต่อสู้กับความปรารถนาในใจของตัวเองเช่นกัน....