ระทึกขวัญ,อาชญากรรม,ลึกลับ,เลือดสาด,ลึกลับ,สยองขวัญ,ระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สามวันผ่านมาแล้ว ที่เกิดอุบัติเหตุกับมิ้นเพื่อนร่วมชั้นของผมที่จากไปโดยไม่มีวันกลับ บรรยากาศภายในโรงเรียนก็ยังคงดูอึมครึมหดหู่เหมือนเดิม ต่างพูดถึงการตายของมิ้นตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ยังคงจับกลุ่มคุยกันไม่จบสิ้นสักที กิจกรรมหน้าเสาธงก็ดูกร่อยๆ แม้แต่เพื่อนในห้องเรียนก็ไม่มีกะจิตกะใจอยากจะเรียนกัน ครูก็คงไม่อยากที่จะสอน แจกชีทสั่งงานเสร็จก็เดินออกจากห้องไป จนค่อนวันแล้วทุกอย่างก็ไม่กลับไปเป็นปกติเลย อาหารกลางวันก็ดูจืดชืด เป็นอะไรกันไปหมดก็ไม่รู้ ผมก็เข้าใจนะว่าการที่มีนักเรียนตาย ก็ย่อมเศร้าและหดหู่เป็นธรรมดา ผมก็เป็น แต่ผมคิดว่าผ่านมาหลายวันแล้วบรรยากาศมันไม่น่าจะเศร้าขนาดนี้ คนที่เป็นไปกับเขาด้วยก็คือไอ้นิล เพื่อนสนิทผมที่วันนี้ดู แปลกไปกว่าวันอื่นๆ ผมสังเกตุดูมันตั้งแต่เช้าแล้ว มันดูมีอาการหวาดระแวง ทำตัวปิดปากเงียบไม่คุยกับใครแม้กระทั่งผมที่เป็นเพื่อนสนิทมัน ผมพยายามเดินเข้าไปหา พยายามทักทายพูดคุย แต่มันกลับหลบหน้าเดินหนีตลอด แม้แต่จะกินข้าวเที่ยง ก็ยังนั่งแยกโต๊ะออกไปนั่งคนเดียวเลย ทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก เสียงออดหมดเวลาพักกลางวันดังขึ้น นักเรียนต่างทยอยกันกลับเข้าชั้นเรียน ผมคอยสังเกตอาการของมันขณะที่มันนั้นยังนั่งเหม่อลอยที่โรงอาหารอยู่
"นี่ไอ้นิล ! เป็นห่าอะไรของมึง ไม่รีบกลับเข้าห้องล่ะ"
ผมตะโกนเรียก แต่เหมือนเดิมไม่ได้คำตอบอะไรจากมันเลย มันยังคงเหม่อลอยถือช้อนส้อมคาไว้ในมือ ข้าวก็เหลือเต็มจาน ราวกับว่าไม่ได้กินเลยสักคำด้วยซ้ำ
"ช่างแม่ง"
ผมสบถเบาๆแล้วเดินหันกลับด้วยความรำคาญ ทันใดนั้นเสียงวิ่งจากไกลๆ ใกล้เข้ามาจากด้านหลังผม ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ไอ้นิลก็วิ่งมายืนขวางด้านหน้าผมแล้ว มันกางมือออกด้านข้าง แล้วเปลี่ยนมายันมือไว้ตรงหัวเข่า ก้มหัวลง หายใจหอบเหนื่อย ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองผม แล้วค่อยๆยืดตัวตรง หายใจเฮือกใหญ่เอามือถูกันไปมา ด้วยความประหม่า เหมือนกำลังจะรวบรวมสติ
"ไอ้นิลมึงเป็นไบโพล่าเหรอ?"
ผมถามด้วยความงงกับอาการที่มันเป็น แล้วเดินเข้าไปหามัน ยื่นหน้าเข้าใกล้ จนสังเกตุเห็นน้ำตาที่คลอเบ้าตาของมัน เหมือนว่ากำลังจะร้องไห้
"เฮ้ย! ไอ้นิล..มึงเป็นเหี้ย..อะไรของมึงวะ"
ผมพูดเสียงดังทำให้มันหลบหน้าก้มลงมองพื้น
"ไอ้แก๊ป คือกูทนไม่ไหวแล้ว...กูต้องบอกมึงแล้วว่ะ"
มันเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม
"เฮ้ย! พูดได้ด้วยว่ะ กูก็นึกว่าใบ้แดกไปซะละ"
ผมพูดกวนมันแต่ดูมันไม่ตลกเอาเสียเลย
"เออๆ...มึงมีอะไรจะบอกกูเหรอ?"
ผมรอฟังคำตอบ จะได้รู้เสียทีว่ามันเป็นบ้าอะไรของมันกันแน่
"เอ่อคือ...กระดาษสีดำนั่น..."
มันพูดเสียงต่ำอยู่ในลำคอ
"ฮะ!...อะไรนะ กระดาษสีดำอะไรของมึง"
ผมทวนคำพูดมัน แต่มันเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมพูดต่อ
"กระดาษนั่นน่ะคือมัน...เอ่อ..โธ่เว้ย! กูไม่รู้จะบอกมึงยังไง..มึงต้องว่ากูบ้าแน่ๆ..."
มันหยุดพูดแล้วเอามือกุมหัว
"เชี้ย...มึงอย่าหยุดพูดดิ กูคาใจนะ คือกูไม่ว่ามึงบ้าหรอก...ทุกวันนี้มึงก็บ้าอยู่แล้ว...ฮ่าๆๆ"
ผมพูดติดตลกแล้วหัวเราะกลบบรรยากาศตึงเครียดที่มันสร้างขึ้น แต่พอมองหน้ามัน เหมือนเดิม มันไม่ขำด้วยเลย ผมจึงหยุดหัวเราะและหุบยิ้มทันที
"ตกลงมึงจะบอกกูไหมฮะ!"
ผมรู้สึกหงุดหงิดมาก อยากรู้ว่ามันจะบอกอะไรกันแน่ เอาแต่ก้มหน้าก้มตา คราวนี้ผมเห็นน้ำตามันหยดลงพื้น มันเอามือขยุ่มผมแล้วทึ้งไปมา ผมจึงรีบแกะมือมันออกจากหัว เพราะมันเริ่มทำร้ายตัวเองแล้ว
"เฮ้ย! หยุดไอ้นิลมึงเป็นอะไรของมึงวะ ไม่ต้องบอกกูก็ได้... อึก!..."
พูดไม่ทันจบมันก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดจนหน้าอกกระแทกกัน มันร้องไห้ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง ทำเอาคนรอบข้างหันมามอง ผมพยายามแกะมือมันออกแต่มันยิ่งรัดตัวผมแน่นกว่าเดิม จึงปล่อยเลยตามเลยให้มันร้องไห้ให้เต็มที่ คราวนี้รอบกายไม่ได้หยุดมองกันธรรมดา มีเอามือป้องปากกระซิบนินทากันเป็นกลุ่มๆแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ในตอนนี้ผมสนแต่สิ่งที่มันเป็นอยู่มากกว่า ผมจึงกอดมันตอบ สักพักมันก็ปล่อยมือออก
"มึงมีอะไรบอกกูได้เลย กูเป็นเพื่อนมึงนะ ถ้าช่วยได้กูก็จะช่วย"
ผมตบไหล่มันเบาๆเป็นการปลอบแม้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร
"มึงช่วยกูไม่ได้หรอก.."
มันตะคอกใส่หน้าผม พลางเอามือเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลอาบแก้ม
"ทำไมวะ!"
ผมจับไหล่มันเขย่า
"พรุ่งนี้กูจะตาย!"
พอมันพูดจบก็ปัดมือผมออก เมื่อได้ยินสิ่งที่มันพูดผมก็อึ้งไปสามวิ
"เวรแล้วไง...มึงอย่าทำอะไรบ้าๆนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษากูได้ อย่าคิดอะไรแบบนั้นดิ ยังมีคนรักคนห่วงใยมึงอยู่นะอย่างน้อยมึงก็มี..."
"กูไม่ได้จะทำแบบที่มึงคิด"
มันพูดแทรกผมขึ้นมา
"แล้วที่มึงพูดมามันหมายความว่ายังไง?"
" ไอ้แก๊ป...มึงตั้งใจฟังกูนะ กูจะตายตอนสิบโมงตรง วันเสาร์ที่สิบแปด ก็คือวันพรุ่งนี้ ไอ้กระดาษนั่นมันบอก กระดาษสีดำที่ครูมานะชัยให้มา มึงจำได้ไหมอาทิตย์ก่อนที่มิ้นจับสลากได้กระดาษนั่น ตอนแรกกูไม่เชื่อหรอก แต่สามวันก่อนกูแอบได้ยินมิ้นกับโบคุยกัน มิ้นมันบอกกับโบว่าข้อความในกระดาษสีดำนั่นบอกว่ามันจะตายในวันนั้นตอนเย็น ดูเหมือนโบไม่ค่อยเชื่อกูได้ยินยังหลุดขำเลย พอตอนเย็นมันก็โดนรถชนจริงๆ มึงเข้าใจยัง ไอ้กระดาษเฮงซวยมันบอกว่ากูจะตายตอนสิบโมงของวันพรุ่งนี้..."
มันพูดเบาลงในประโยคสุดท้าย
" นี่มึงหมายถึงการ์ดที่ครูมานะชัยแจก ก่อนที่ครูจะฆ่าตัวตายเหรอ มึงเชื่อไอ้การ์ดบ้าบออะไรนั่นถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ มันอาจจะบังเอิญก็ได้ มึงนี่ก็อย่าคิดมากไป"
ไม่รู้ผมพูดออกไปแบบนั้นได้ยังไง ทั้งที่ในหัวมีแต่ความสงสัย ทั้งเรื่องคุณครูมานะชัย เรื่องการตายของมิ้นหรือแม้กระทั้งเรื่องการ์ดสีดำอะไรนั่น
" กูคิดแล้วล่ะ มึงต้องพูดแบบนี้....กูไม่น่าบอกเรื่องนี้กับมึงเลย เสียเวลาเปล่า พูดไปมึงก็ไม่เชื่อกู..."
มันพูดขึ้นมาขณะที่ผมกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดเรื่องที่มันเล่าให้ฟังอยู่ แล้วมันก็เดินกลับเข้าไปห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ผมจึงรีบวิ่งตามไปแล้วดึงแขนมันจับไหล่ให้หันหน้ามา
" เอางี้แล้วกัน พรุ่งนี้กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึง โอเคมั้ย! "
ผมพูดหนักแน่นแล้วจ้องตารอคำตอบจากมัน แต่มันจับมือผมออกจากไหล่แล้วเดินไป ผมจึงรีบกอดคอมันล็อคเข้ามา แล้วเดินไปด้วยกัน
" มึงไม่ต้องกลัวนะ... กูจะปกป้องมึงเอง เพราะมึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู "
ผมแอบเลี่ยนในคำพูดของตัวเอง แต่อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของมัน
" ใบ้แดกอีกแล้ว ไอ้นิล ตกลงจะให้กูไปอยู่เป็นเพื่อนมั้ยพรุ่งนี้...ฮะ! "
ผมพับแขนเข้ามาล็อคคอมันแน่น
" เชี้ย! กูหายใจไม่ออก...ก็นี่แหล่ะไอ้เเก๊ป ที่กูต้องการได้ยินจากปากมึง กูต้องการให้มึงเชื่อและช่วยกู "
พูดจบมันก็ดึงมือผมออก ฟังจากน้ำเสียงและท่าทางมันแล้วดูจริงจังมาก
" มึงเข้าห้องไปก่อนเลยนะเดี๋ยวกูไปห้องน้ำ"
มันผลักผมเข้าห้องแล้วก็เดินแยกไปห้องน้ำ ผมมองตามหลังมันไป และมีความรู้สึกว่ามันอุ่นใจขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว
💀