ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นมันกลับไม่ไปตามเส้นทางที่ควรจะไป
"อ้าวเฮ้ย! มึงจะไปไหนอีกละ ทำไมไม่ยูเทิร์น เป็นเอามากนะมึงไอ้นิลแล้วเมื่อไรกูจะได้แดกข้าววะ!"
ผมตะโกนผ่านหมวกกันน็อค มันคงไม่ได้ยินแต่มันต้องรู้ถึงการกระทำของผมจากการใช้ฝ่ามือฟาดหลังมันไปหลายที ผมสังเกตุเห็นหัวไหล่มันยกขึ้นยกลงตามจังหวะหัวเราะของมัน แต่ก็ปล่อยไปตามเคย ขี้เกียจขัดใจมัน เอาให้มันเต็มที่ไปเลย มันจะทำอะไรก็ปล่อยให้มันทำ ผมเหนื่อยแล้ว ที่สำคัญท้องผมก็ร้องไม่หยุด ผมนั่งเงียบสุดทาง คอยดูว่ามันจะไปจอดตรงไหน ใกล้มืดแล้วด้วย สักพักรถก็เข้ามาจอดอยู่ที่หัวสะพานข้ามแม่น้ำ
"ปะมาแดกข้าวกัน ตรงนี้มันโคตรโรแมนติก มึงยังไม่เคยมาใช่ไหมนี่คือที่โปรดของกูเลยล่ะ กูชอบมานั่งมองดูพระอาทิตย์ตกตรงนี้"
"สรุปแล้วมึงพากูมากินข้าวที่กลางสะพานหรอ?"
ผมชี้นิ้วไปที่สะพานก่อนถามมัน
"ก็ใช่ไง ที่กูพามึงมาที่นี่นะมันเป็นที่ๆกูเวลามีปัญหากับพ่อแม่กูชอบมานั่งมองดูพระอาทิตย์ตกหรือมองวิวทิวทัศน์แถวนี้ทำให้จิตใจสงบ แล้วก็ไม่เคยบอกใครเลยว่ามาหลบอยู่ตรงนี้ เงียบสงบดีคนก็ไม่ค่อยมีอะ มาๆมานั่งห้อยขาแดกข้าวกัน"
"โอเคเอาที่มึงสบายใจแล้วกัน ตอนนี้กูหิวไม่สนห่าเหวอะไรละ"
ผมนั่งลงห้อยขาตามมัน รีบแกะกล่องข้าวแล้วกินอย่างมูมมาม แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
" กูไม่ยักรู้มาก่อนว่ามึงชอบมาตรงนี้ งั้นกูขอหักคะแนนความเป็นเพื่อนสนิทของมึงลงสิบคะแนน"
ผมพูดโดยที่มีข้าวอยู่เต็มปาก
" ถึงมึงจะหักคะแนนกู ตอนนี้เดี๋ยวกูเล่าอะไรให้มึงฟัง มึงก็เพิ่มคะแนนเหมือนเดิมแหละเพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องหัก เข้าใจปะ"
" เออตามใจมึง เล่ามาเลยเดี๋ยวจะมืดค่ำแล้ว"
ความหิวทำให้ผัดกระเพราหมูกรอบของโปรดผมมีความอร่อยมากเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกหลายร้อยเท่า จึงทำให้ผมลืมไปว่า มันยังไม่ได้ถอดหมวกกันน็อคออก แต่ที่สำคัญมันก็ยังไม่ได้กินข้าวเลยด้วยซ้ำ
" แล้วทำไมมึงยังไม่กินล่ะ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะตายหรอก "
ผมวางข้าวกล่องลง และรีบดึงหมวกมันออก เห็นน้ำตามันไหลอาบสองแก้ม
"เป็นเหี้ยอะไรของมึงอีกแล้ว หยุดดราม่า แล้วแดกข้าว ไม่งั้นกูจะกลับแล้วนะ"
ผมพูดขู่มัน
"ถ้ากูตายมึงเอากระดูกกูมาลอยตรงนี้ด้วยนะ"
มันพูดพลางเหม่อลอยมองแสงสะท้อนของพระอาทิตย์ที่อยู่กลางแม่น้ำ
"ถ้ามึงยังพูดเรื่องตายกับกูอีกกูจะไม่อยู่กับมึงแล้วนะไม่งั้นกูก็จะกระโดดลงไปตายตรงนี้แหละ จะได้ตายตายกันไปทั้งคู่ เบื่อโลกเหมือนกันว่ะ"
ผมเผลอหลุดพูดแรงไปเพราะความโมโห
" โอเคกูไม่พูดละ กูจะบอกให้มึงนะ กูกะว่าจะพาผู้หญิงสักคนนึง มาสารภาพรักตรงนี้ คงโรแมนติกน่าดู แต่กูคงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว กูเลยคิดว่าพามึงมาดีกว่า"
พูดจบมันก็ปาดน้ำตาแล้วแกะข้าวออกมาตักกินทำให้ผมโล่งใจมาหน่อย
" นั่นๆๆ อย่านะ ไม่เอานะ มึงจะพากูมาที่นี้เพื่อสารภาพรักไม่ได้นะโว้ย!"
ผมพูดกวนมันพร้อมทำท่าผงะออกไป
" ควX... อย่างมึงไม่ต้องให้กูสารภาพหรอกมึงก็รู้อยู่ละว่าเพราะยังไงเราก็รักกันเนาะฮาๆ"
มันหัวเราะชอบใจ มันคงจะเป็นไบโพล่าอย่างที่ผมคิดจริงๆ คนอะไรเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้
" พอเลยมึง ผัดกระเพรากูหวานไปหมดแล้ว เลี่ยนมากจะอ๊วก"
พูดจบผมก็ตักข้าวคำสุดท้ายเข้าไปเต็มปากก่อนพับกล่องยัดใส่ถุงพลาสติกแล้วยืนขึ้น รอมันกินจนเสร็จ แล้วก็ยื่นมือไปให้มันจับเพื่อจะดึงมันลุกขึ้น
" มึงว่าจะมีฉากกูล้มทับมึงไหมวะตอนที่มึงดึงมือกูขึ้นเนี่ย ฮ่าๆๆ"
มันกระชากมือผมเบาๆแล้วหัวเราะ
" ไม่เอาไม่วายนะมึงฮ่าๆ"
ผมพูดพร้อมยื่นเปิดปากถุงพลาสติกให้มันเอากล่องข้าวเปล่าใส่ลงไป
"เรามาถ่ายรูปคู่กันตรงนี้ เป็นอนุสรณ์เพื่อนสนิท กลับสถานที่ที่กูชอบ เก็บไว้เป็นที่ระทึกเอ๊ย! ทะรึกเอ๊ย! ระลึก ถูกแล้ว"
มันเล่นมุกชงเองตบเอง ก่อนดึงแขนผมไปใกล้ตัวมันเอียงหน้าเอาหัวชนหัวผม แล้วหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป
" โคตรเหี้ยมากไอ้นิลมืดตึ๊ดตื๋อ แต่ก็สวยดีนะ เห็นเป็นเงา ฉากหลังเป็นแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่กำลังตกโอเคได้อยู่อาร์ตอยู่ ส่งมาให้กูด้วย "
ผมกับมันเดินไปเกือบจะถึงหัวสะพาน แต่ก็มาสะดุดตาอยู่กับร่างเงาปริศนาร่างใหญ่ที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า
"มึงเห็นอย่างที่กูเห็นหรือเปล่า?"
ผมหยุดถามมัน
" เออกูก็เห็นเหมือนกัน ไอ้คนนั้นไงคนที่ยืนจ้องเราตรงที่เราซื้อกับข้าว ไม่ผิดแน่มันแน่นอน "
ผมทำตัวไม่ถูกยืนเกาะกับมันอยู่ ในขณะที่ร่างสูงโปร่งใส่ฮู้ดคนนั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้ทีละนิด ทีละนิด
" เอายังไงดีล่ะทีนี้"
มันถามผม ในขณะที่เราทั้งคู่เดินถอยหลังกันไปทีละก้าว
" มันใกล้เข้ามาแล้ว เอาไงดีวะ วิ่งฝ่ามันไปเลยดีไหม"
มันออกความเห็นด้วยความตื่นเต้น
"กูจะนับหนึ่งถึงสามนะแล้วเราวิ่งฝ่ามันไปเลย"
ผมกำมือมันแน่น
" เดี๋ยวนะ ทำไมเราไม่วิ่งไปข้างหลังล่ะ"
มันขัดผมขึ้น
" จะเอายังไงกันแน่จะเดินหน้าหรือถอยหลัง มึงเลือกมาสักอย่างสิมันใกล้เข้ามาแล้วนะเร็วๆ! "
ผมกับมันกำลังจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ในใจผมคิดว่าจะตะโกนให้คนช่วย แต่หากเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดล่ะ แต่คนอะไรนะ จะต้องมาทำตัวลึกลับขนาดนั้น แต่ถ้าวิ่งกลับไปข้างหลัง มันก็มืดไปหมด แล้วตอนนี้ ไฟตรงนั้นก็เสีย รถเราก็จอดอยู่ข้างหน้า ในขณะที่กำลังลุกลี้ลุกลนกันอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จากชายตัวสูงที่อยู่ข้างหน้า ผมเห็นมันยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
ก่อนทำท่าหุนหันแบบไม่พอใจ ชี้หน้ามาที่ผมกับไอ้นิล ก่อนจะหันหลังเดินกลับจนลับตาไป
"เฮ้อ...! สงสัยจะคนบ้าแถวนี้มั้ง... มันไปละ"
ผมกับไอ้นิล ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนรีบพากันบิดรถกลับบ้านอย่างไม่สนโลก
💀💀💀💀💀