คิดจะเขียนชื่อใครด้วยปากกาแดง แปลว่าต้องการให้คนๆนั้นตาย

ปากกาแดงเขียนตาย - บทที่ 3 ความเชื่อหรือความแค้น โดย พีจีญา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,ฆาตกรรม,หักมุม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ปากกาแดงเขียนตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ฆาตกรรม,หักมุม

รายละเอียด

คิดจะเขียนชื่อใครด้วยปากกาแดง แปลว่าต้องการให้คนๆนั้นตาย

ผู้แต่ง

พีจีญา

เรื่องย่อ

สารบัญ

ปากกาแดงเขียนตาย-บทที่ 1 กลิ่นหอมจากอะไร,ปากกาแดงเขียนตาย-บทที่ 2 หาคนหรือศพ,ปากกาแดงเขียนตาย-บทที่ 3 ความเชื่อหรือความแค้น,ปากกาแดงเขียนตาย-บทที่ 4 ใครฆ่าผอ.สุขอนันต์,ปากกาแดงเขียนตาย-บทที่ 5 เธอที่เหมือนเธอคนนั้น,ปากกาแดงเขียนตาย-บทที่ 6 ผลชันสูตร/หลักฐาน/โดนจับ

เนื้อหา

บทที่ 3 ความเชื่อหรือความแค้น

"เอ่าแล้วมีใครโทรแจ้งตำรวจหรือยัง"

สัปเหร่อเอ่ยถามผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบ บางคนก็ส่ายหน้าหรือไม่ส่งเสียงตอบอะไรจนมีเสียงของผู้หญิงรายหนึ่งที่ตะโกนพูดดังขึ้น

"โอ้ยป่านนี้มัวตั้งด่านเรียกเก็บเงินอยู่มั้ง"

คำพูดของหญิงสาวรายนี้เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมาก หลายๆคนต่างมองไปทางหญิงสาว ศพของเด็กผู้หญิงจึงถูกเลิกสนใจไปสักพักหนึ่ง 

มันก็อาจจริงที่ตำรวจทำงานล่าช้าไม่สนใจประชาชน

หวิว วี่หว่อ วี่หว่อ วี่หว่ออออ!

เสียงไซเรนรถตำรวจดังเข้ามาตามตลอดเส้นทางจนมาถึงสถานที่ ที่สัปเหร่อและชาวบ้านพบเจอศพเด็กผู้หญิง แต่ศพของเด็กผู้หญิงถูกนำร่างขึ้นรถกู้ภัยไปก่อนหน้าหลายชั่วโมงแล้ว

พอรถตำรวจจอดนิ่งสนิทแล้วนั้นก็มีนายตำรวจนายหนึ่งเปิดประตูลงมา เขาก็ต้องสงนใจคิ้วขมวดที่ไม่พบเจอใครเลย แม้แต่ศพของเด็กผู้หญิงที่ได้รับแจ้งว่าอยู่บริเวณนี้ เขายืนนิ่งไปครู่หนึ่งหันหัวมองซ้ายขวาก่อนจะกลับขึ้นรถแล้วขับออกไปในทันที

"เห็นไหม ตำรวจมันไม่สนใจ"

"เพราะเขาไม่เห็นใครหรือเปล่าเขาถึงกลับ ส่วนแกน่ะเป็นอะไรของแก เรียกตำรวจว่ามัน ตำรวจไปทำอะไรให้แก"

น้ำเสียงพูดของคนสองคนที่แอบซุ่มดูตำรวจ หลังจากตำรวจขับรถออกไปพวกเธอก็ส่งเสียงพูดคุยกัน

"พรุ่งนี้ฉันจะเล่าให้ฟัง"

เอ้ก อี เอ้ก เอ้ก...

ยามเช้าวันถัดไป

เสียงไก่ขบขันปลูกผู้คนในยามเช้า สองหญิงสาวที่เมื่อคืนพวกเธอนั้นแอบซุ่มดูตำรวจ ทั้งสองพากันมานั่งพูดคุยในร้านขายน้ำชาร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่เลนถนนใหญ่มีรถราขับผ่านมากมายเรียกได้ว่าทำเลดี

"เฮียเอาชาดำมา2แก้ว"

"ชาดำ2แก้วนะ โอเคๆ"

หญิงสาวนามว่า 'รุ้ง' หันไปสั่งน้ำชากับ 'เฮียบุญมี' ผู้เป็นเจ้าของร้าน เฮียบุญมีหันมองหญิงสาวตอบรับคำสั่งของเธอก่อนจะหันไปชงชาต่อในทันที

"ขอบใจ แต่ถามหน่อยแกจะเล่าเรื่องอะไรของแกต้องมาเล่าที่ร้านค้าเลยเหรอนังรุ้ง"

'วิไล' ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับรุ้งขยับตัวเธอเองเข้าหารุ้งเพื่อเอ่ยถามแต่เธอเลือกใช้น้ำเสียงที่แผ่วเบาคล้ายกระซิบเลยก็ว่าได้

5ปีก่อน....

หญิงสาวนามว่ารุ้งเธอมีลูกชายคนหนึ่งนามว่า 'ริว' อายุ17ปี อยู่ในช่วงเป็นวัยรุ่นแม้เธอจะเลี้ยงดูแลอย่างดีแบบแม่เลี้ยงเดี่ยวแต่การตามใจมักเป็นผลเสียที่เธอไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายของเธอเอารถมอเตอร์ไซค์ที่เธอซื้อให้ตามที่ลูกชายเธอร้องขอไปซิ่งตามถนนในยามดึกดื่นเป็นเด็กแว้นส่งเสียงรบกวนชาวบ้าน แม้ยามเช้าลูกชายของเธอจะดูเป็นเด็กเรียนขยันช่วยเธอทำงานบ้านทุกวัน เธอเล่าเรื่องลูกชายของเธอที่เสียชีวิตลงเพราะตำรวจขับรถปาดหน้าขว้างทางรถลูกชายของเธอ น้ำตาหยดไหลออกมาจากดวงตาสองข้างมือก็ใช้ปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มปากก็ยังขยับเล่าต่อ ความเร็วเกินขีดของการขับหมอบแล้วหักหลบรถจึงเสียหลักชนเข้ากับเสาไฟฟ้าทำให้ลูกชายของเธอคอหักเสียชีวิตคาที่ เธอบอกเล่าใส่เรื่องราวมากความเข้าไปเพิ่มเติม แม้เธอจะรู้ในภายหลัง หลังจากที่เธอไปรับศพลูกชาย เธอร้องเรียนตำรวจกลับถูกชาวบ้านสาปแช่งตัวเธอไปพร้อมกับลูก เธอจึงต้องย้ายออกจากหมู่บ้านนั้น ก่อนที่เธอจะเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านนี้จนปัจจุบัน

"ตำรวจฆ่าลูกชายของฉัน ลูกฉันคอหักตายคาที่"

น้ำเสียงที่กัดปากสะอื้นร่างกายสั่นไหว ถึงอย่างงี้เธอก็ไม่หยุดที่จะเล่า ปากของเธอกำลังจะขยับพูดต่อก็ได้ถูกวิไลใช้มือปิดปากของเธอไว้

"พอๆหยุดๆ ฉันสงสารแกล่ะนังรุ้ง"

"ทำไมไม่เขียนชื่อตำรวจด้วยปากกาแดงล่ะ"

สองสาวทั้งรุ้งและวิไลหันหน้ามองไปทางเฮียบุญมีพร้อมๆกัน เฮียบุญมีเดินถือถาดที่มีน้ำชาตรงมาทางโต๊ะของรุ้งกับวิไลเขายื่นวางไว้บนโต๊ะก่อนจะมองกลับสองสาวเช่นกัน

"ช้ามากนะเฮีย พึ่งจะได้"

วิไลบ่นอุบในทันทีที่เหมือนหลุดออกจากอาการเหม่อค้างเมื่อครู่ ยกเว้นเเต่รุ้งยังมองค้างเฮียบุญมีตลอดแม้เฮียบุญมีจะกลับไปชงชาให้ลูกค้าท่านอื่นต่อแล้ว

"นังรุ้งๆ" 

แปะ.....

"อะไรเนี่ยนังวิไล"

วิไลกำลังดื่มลิ้มรสชาดำอยู่นั้นเธอก็รู้สึกมองเห็นรุ้งผิดปกติไปเธอจึงตะโกนเรียกชื่อแต่รุ้งก็ยังนิ่งเฉยเหมือนคนเหม่อลอยเหมือนกับเธอที่เป็นก่อนหน้าแต่รุ้งนั้นนิ่งไปนานกว่า เรียกแล้วก็ยังไม่มีอาการตอบสนองรับเธอจึงลองตบมือเธอเองตรงต่อหน้ารุ้ง จนรุ้งมีสติกลับคืนพร้อมด้วยคำบ่นเล็กๆ หลังจากดื่มชากันเรียบร้อยแล้วเมื่อออกมาจากร้านทั้งสองสาวก็แยกย้ายกันกลับบ้านตนเอง

ยามบ่าย

"เล่นพนันก็เสียหมดตัวโอ๊ยเซ็งคงต้องกลับไปหาเจ้าหลานชายซะหน่อย นั้นอีนังรุ้งนี่"

'นิภา' สาววัยกลางคนเอ่ยคำดั่งกล่าวออกมาอย่างคนคุ้นเคยกับรุ้ง เธอยืนบ่นคำสบถคนเดียวแต่เสี้ยวสายตาเธอมองเห็นรุ้งเหมือนยืนรอใครสักคนอยู่ในซอกซอยทำตัวลับๆล่อๆกระสับกระส่ายร้อนรนใจ ในขณะนั้นรุ้งก็เดินออกไปที่ตรงนั้นนิภาเธอจึงเดินตามไปแบบทิ้งระยะห่างไม่ให้รุ้งรู้ตัวว่าเธอแอบตามมา ทำไมถึงต้องตามมาหนะเหรอเพราะรุ้งเคยเป็นคนหมู่บ้านเดียวกับเธอ หลังจากรุ้งย้ายออกจากหมู่บ้านไม่มีใครรู้ว่ารุ้งไปอยู่ที่ไหน จนเธอได้มาเห็นกับตาตัวเองจากการชื่นชอบเล่นพนันไปทุกหมู่บ้านที่ไหนมีเล่นเธอก็จะไปหมด เธอตามรุ้งมาจนเห็นว่ารุ้งนั่งอยู่ในร้านขายน้ำชา

"เฮียที่พูดเมื่อเช้าหมายความว่าไง"

"อั๊วว่าแล้วอารุ้งลื้อต้องอยากรู้"

"มันพูดอะไรกันวะ"

แม้นิภาจะอยากได้ยินเสียงคนสองคนพูดคุยกันแต่เธอก็เข้าไปใกล้มากไม่ได้ ทั้งสองคนนัดแนะกันอีกทีในเวลาที่คนนอนหลบถึงจะไม่ได้ยินเสียงเลยนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะนิภาก็แอบตามรุ้งอยู่ตลอดจนครั้งนี้เธอได้ยินแล้วว่าคนทั้งสองคุยอะไรกัน

"ถ้าลื้อเขียนชื่อตำรวจด้วยปากแดง แล้วหมึกปากกาซึมหายไปเอง แปลว่า ตำรวจนั้นตาย"

"จริงหรือเฮีย"

"มันเป็นความเชื่อมาจากตระกูลอั๊ว ครอบครัวอั๊วก็เคยเสียชีวิตเพราะตำรวจ"

06:00น.

เสียงนาฬิกาปลูกภายในห้องนอนของต๊ะดังขึ้นเขาจึงเอื้อมมือไปปิดพร้อมดีดตัวเองลุกขึ้น เขาเอาผ้าห่มที่คลุมร่างกายเขาออกก่อนจะลุกเดินตรงไปอย่างห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่ก่อนหน้านั้นเขาได้หยิบผ้าขนหนูมาด้วยแล้ว หลังแต่งตัวชุดนักเรียนเรียบร้อยเขาก็มายืนอยู่หน้าบ้านเพื่อกินข้าวที่เขาทำเองอย่างเร่งรีบ

"ว่าไงหลานรักไม่เห็นตั้งนาน น้าคิดถึงแกเหลือเกิน"

เขาไม่ตอบกลับหรือสนใจน้าของเขาเลยด้วยซ้ำเขายังคงเร่งกับเวลาต่อไป นิภาเธอจึงงัดไม้เด็ดออกมาเพราะคิดว่าถ้าบอกเรื่องนี้ไปหลานชายเธอต้องสนใจอย่างแน่นอน

"น้ามีเรื่องหนึ่งที่ว่าเขียนชื่อใครด้วยปากกาแดง แปลว่า ต้องการให้คนๆนั้นตาย"

ไม่รู้ว่าข้าวจะติดคอเขาไหมเพราะเขาหยุดการเคี้ยวหันไปมองน้าตัวเอง เธอที่เห็นหลานชายมีความสนใจก็แสยะยิ้มออกมาอย่างคนมีชัย

"น้าขอเงินแกหน่อย น้าอุตส่าห์บอกเรื่องนี้กับแก น้ารู้ว่าแกสนใจ ถือเป็นค่าตอบแทน''

ต๊ะไม่ได้ตอบกลับอะไรน้าของเขาไปเหมือนเคยแต่กลับยื่นจานข้าวให้น้าของเขาพร้อมกับเปิดฝาขวดน้ำเพื่อดื่มน้ำที่เขาเหน็บใต้รักแร้ก่อนจะยื่นขวดน้ำให้น้าเช่นเดิม แล้วจากนั้นเขาก็เดินออกไปตามถนนเพื่อมุ่งหน้าไปโรงเรียน

"ไอ้หลานเฮงซวย ฉันอุตส่าห์เลี้ยงดูแกขอเงินแค่นี้ก็ไม่ได้"

เธอเกิดอารมณ์โมโหในทันทีจึงสาดคำด่าไล่หลังหลานตัวเอง

ภาพและคำพูดทั้งหมดถูกไผ่เห็นและได้ยิน เขาจึงหลบเลียงใช้เส้นทางอื่นผ่านเพราะปกติเขาจะต้องผ่านบ้านของต๊ะ ทำให้วันนี้เขาเข้าเรียนสาย

"เฮ่ยวันนี้ไอ้ไผ่มาสายวะ"

เทมป์พูดแซวเสียงดังในตอนที่ไผ่เดินเข้ามาในห้องเรียนให้เพื่อนๆคนอื่นๆได้ยินทุกๆคนต่างส่งเสียงหัวเราะยกเว้นแต่ต๊ะเท่านั้น ไผ่ฉุนเฉียวในทันทีจึงเข้าไปคว้าเสื้อของเทมป์กำมือหง่ามจะต่อยเทมป์

"เอาดิ กูยังไม่ได้คิดบัญชีมึงในวันนั้นเหมือนกัน"

ไผ่ทำท่าจะต่อยเทมป์อยู่แล้วแต่ก็มีเสียงของฝีเท้าเดินเข้ามาพร้อมน้ำเสียงที่ดูสุขุม

"นี่พวกเธอสองคนทำอะไรกัน"

น้ำเสียงที่ไม่ใช่เสียงของครูกวิตาดั่งเดิมแต่เป็นเสียงของครูผู้ชาย

"กลับไปนั่งที่ของพวกเธอครูจะไม่ทำโทษเธอสองคน แต่อย่าให้ครูเห็นอีก"

"ครูมาผิดห้องไหมคะ ห้องนี้ครูกวิตาเป็นคนสอนนะคะ"

"นั้นสิครูกวิตาไปไหน"

"ครูคนนี้มาจากไหนกัน"

เสียงซุบซิบเริ่มดังเข้ามาจากเด็กนักเรียนที่อยู่ภายในห้องด้วยความสงสัย

"เอ่าเงียบๆนะเด็กๆ ครูขอแนะนำตัวเอง ครูชื่อว่าวิทยา ครูจะมาสอนแทนครูกวิตานะ"

"แล้วครูกวิตาไปไหนเหรอคะ"

"เรื่องนี้ครูก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ครูได้รับหน้าที่มาสอนแทนนะ"

หลังจากบอกที่มาของตัวเขาแล้วเขาก็เริ่มทำการสอนในทันที

มือสี่มือจับด้ามปากกาสีแดง เขียนชื่อใครกัน ?

"กรี๊ดดดด.."

"มีอะไร เป็นอะไรถึงกรี๊ด"

"ผอ. ผอ.สุขอนันต์เสียชีวิตแล้ว

คุณครูหลายๆคนต่างพากันมามุงดูบางคนก็กรี๊ดร้องให้กับภาพตรงหน้า คือผอ.สุขอนันต์ที่นอนเสียชีวิตตรงทางเดินใกล้ห้องผู้อำนวยการ