รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ครอบครัว,ไทย,รักโรแมนติก,นิยายรักชายหญิง,นิยายรัก,นิยายชายหญิง,ดราม่า,ผันพลอย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ธันวามาถึงบริษัทก่อนเวลาแปดโมงเช้านิดหน่อย เห็นกานตานั่งทำงานอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่กานตาเห็นธันวาก็หันมาทักทายตามมารยาทก่อนจะเดินไปยังโซนสวัสดิการเพื่อเตรียมกาแฟและของว่างให้กับธันวาเหมือนตามปกติ
บนโต๊ะทำงานของเขามีเอกสารสรุปการประชุมวางอยู่ตามที่เขาออกคำสั่ง ธันวาหยิบเอกสารขึ้นเปิดดู
เสียงเคาะประตูเรียกให้ชายหนุ่มหันไปสนใจ กานตาเข้ามาพร้อมกับถาดกาแฟและของว่างเหมือนปกติทุกวัน หญิงสาววางถาดกาแฟลงบนโต๊ะทำงาน
“เธอทำงานดีใช้ได้เลยนี่ ทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงได้ทำงานที่บริษัทเล็ก ๆ แบบนั้นล่ะ ทั้งที่น่าจะหางานที่ดีกว่าที่นั่นได้อีกตั้งหลายที่”
“นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวนะคะ ดิฉันขออนุญาตไม่ตอบส่วนเรื่องงานขอบคุณค่ะ แต่จะดีกว่านี้ถ้าท่านประธานจะไม่สั่งงานที่กระชั้นชิดเกินไป”
“นอกเวลางานดิฉันก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกนะคะ ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ คงจะไม่ค่อยดีสำหรับดิฉัน”
“นอกจากเรื่องงานแล้วยังมีเรื่องอะไรที่สำคัญมากกว่าอีกงั้นเหรอ?” ธันวาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
“ครอบครัวไงคะ นอกจากเรื่องงานก็คือเรื่องครอบครัวที่สำคัญมากกว่า” ธันวานิ่งชะงักไปชั่วครู่กับคำตอบของกานตา เท่าที่ชายหนุ่มรู้จักกานตามาเขาไม่เคยเห็นหญิงสาวพูดถึงครอบครัวของเธอเลยสักครั้ง
“ครอบครัวงั้นเหรอ? เธอมีครอบครัวด้วยงั้นเหรอกานตา?”
“แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นเธอจะพูดถึงครอบครัวของเธอเลยสักครั้งเลยล่ะ” ธันวาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
“ตอนนั้นไม่มี แต่ตอนนี้มีแล้ว” กานตาเลือกที่จะตอบออกไปแบบนั้น เพราะไม่อยากให้ชายตรงหน้าถามอะไรมากไปกว่านี้
“ดิฉันตอบคำถามของท่านประธานหมดแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” กานตาเดินออกไปจากห้อง โดยไม่สนใจว่าเขาจะมีสีหน้ายังไง
ร่างบางนั่งทำงานอยู่สักพักก็มีสายเรียกเข้าจากครูประจำชั้นของดนัยกานต์โทรเข้ามา หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
“สวัสดีค่ะคุณครูมีอะไรหรือเปล่าคะ? ทำไมถึงได้โทรมาตอนนี้ล่ะคะ?” กานตาเอ่ยถามปลายสายอย่างสงสัย
(สวัสดีค่ะคุณแม่ เอ่อ…คุณแม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะ เผอิญว่าวันนี้น้องเติร์ดเขาวิ่งเล่นกับเพื่อน แล้วไม่ทันระวังสะดุดเข้ากับขาตั้งชิงช้าล้มหน้ากระแทกจนเลือดกำเดาไหล) คำพูดจากปลายสายทำเอาหัวใจของผู้เป็นแม่ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
(แต่คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ตอนนี้เลือดกำเดาหยุดไหลแล้ว)
“งั้นเหรอคะ? เดี๋ยวฉันจะรีบไปที่โรงเรียนนะคะ ฝากบอกน้องเติร์ดหน่อยนะคะว่าฉันกำลังจะไปหา”
(ค่ะ ได้ค่ะคุณแม่)
หลังวางสายกานตาก็รีบเก็บของเธอและออกจากบริษัทตรงไปยังโรงเรียนของลูกชายตัวน้อยโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวผู้เป็นเจ้านายเลยสักประโยคเดียว
กานตามาถึงโรงเรียนของดนัยกานต์ก่อนเวลาพักเที่ยงนิดหน่อย ขาเรียวก้าวเท้าสับเดินตรงไปยังห้องพยาบาลของโรงเรียนทันที ภายในห้องพยาบาลมีทั้งครูประจำชั้นของลูกชายและครูห้องพยาบาล ส่วนลูกชายตัวน้อยของเธอนอนหลับอยู่บนเตียงนอน เสื้อนักเรียนมีรอยเปื้อนของเลือดอยู่ประปราย
“สวัสดีค่ะคุณแม่” ครูสาวทั้งสองเอ่ยทักทายกานตา
“สวัสดีค่ะ น้องเติร์ดเป็นยังไงบ้างคะ? แกไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ?” กานตาเอ่ยถามกับคนทั้งคู่ถึงอาการของลูกชายตัวน้อย
“เท่าที่ตรวจดูคร่าว ๆ ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแต่ไปตรวจให้แน่ใจที่โรงพยาบาลก็น่าจะดีกว่านะคะ”
กานตาลูบใบหน้าน้อยของดนัยกานต์อย่างเป็นห่วงใต้ฐานจมูกมีรอยช้ำและรอยคราบเลือดที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง
“เดี๋ยวดิฉันจัดการเรื่องใบลาให้นะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” กานตาเอ่ยปากขอบคุณ
กานตาพาดนัยกานต์ออกจากโรงเรียน มุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของเด็กชาย ดนัยกานต์ได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดจากกุมารแพทย์ที่ดูแลดนัยกานต์มาตั้งแต่แรกคลอดจนถึงปัจจุบัน การตรวจร่างกายของดนัยกานต์ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เด็กชายอาจจะยังมีอาการเจ็บที่จมูกอยู่บ้าง
หลังการตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อย กานตาพาดนัยกานต์มานั่งพักที่เก้าอี้ตรงแผนกจ่ายยาและจ่ายเงินค่ารักษา
“น้องเติร์ดนั่งรอแม่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวแม่จะไปจ่ายเงินก่อนแล้วเดี๋ยวกลับบ้านไปแม่จะทำไข่เจียวน้ำที่หนูชอบให้ดีไหมครับ?”
“ได้ครับ น้องเติร์ดจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อ”
“ดีครับ รอแป๊บหนึ่งนะครับ” กานตาเดินออก ปล่อยให้ดนัยกานต์นั่งรอที่เก้าอี้นั่งพัก
กานตาฟังคำอธิบายเรื่องยาที่ดนัยกานต์ต้องใช้อย่างละเอียดถี่ถ้วน จัดการจ่ายเงินค่ายาและค่ารักษาพยาบาลให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับไปหาลูกชายที่นั่งรออยู่ โทรศัพท์ของเธอก็แผดเสียงร้องเรียกให้เธอหันไปสนใจมันซะก่อน
กานตาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเบอร์ที่โทรเข้ามา ถึงได้นึกเรื่องที่เธอเผลอลืมเรื่องสำคัญที่ควรจะจัดการก่อนที่จะออกจากบริษัทแต่เพราะความเป็นห่วงลูกชายทำให้กานตาลืมทุกอย่าง
“สวัสดีค่ะ ท่านประธาน”
(ทำอะไรอยู่ ทำไมสายปานนี้แล้วยังไม่เข้างานไม่รู้หรือยังไงว่ามันหมดเวลาพักเที่ยงมากี่นาทีแล้ว!!!) ธันวาเอ่ยตำหนิกานตาที่หายตัวไปจากบริษัททั้งที่ควรจะอยู่ประจำหน้าห้องทำงานของเขา
“ดิฉันขอประทานโทษค่ะ ที่ไม่ได้แจ้งท่านประธานล่วงหน้าแต่คนในครอบครัวของดิฉันเกิดอุบัติเหตุ ฉันจำเป็นต้องมาดูแล”
“ดิฉันยินดีที่จะรับโทษทุกอย่างขอแค่อย่าไล่ฉันออกก็พอค่ะ”
(ดี!!! ถ้างั้นก็เตรียมตัวรับบทลงโทษพรุ่งนี้ได้เลย โทษฐานที่ออกจากงานก่อนเวลาเลิกงานและเรื่องที่ออกไปไหนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า วันนี้เธอไม่ต้องกลับมาที่บริษัทแล้วอยู่ดูแลคนของเธอไปเถอะ กานตา) ธันวาพูดคาดโทษก่อนจะวางสายไป
กานตามองโทรศัพท์มือถือที่สายตัดขาดไปเมื่อครู่ ความผิดเรื่องนี้หญิงสาวไม่มีข้อแก้ตัวเธอทำได้เพียงแค่ยอมความรับผิดเท่านั้นเอง
ในเวลาเดียวกันฝั่งของดนัยกานต์ เด็กชายนั่งรอผู้เป็นแม่ตรงเก้าอี้นั่งรอ หันมองสิ่งรอบข้างไปมาอย่างสนใจ แต่ไม่ใช่แค่ดนัยกานต์ที่สนใจสิ่งรอบข้าง
หญิงวัยกลางคนที่กาลเวลาไม่สามารถทำลายความสาวความสวยของเธอลงได้เลย แม้ว่าอายุจะเลยเข้าเลขห้าแล้วก็ตาม
หญิงวัยกลางคนมองเด็กชายตั้งแต่ที่เด็กชายเดินมาในโซนนี้ของโรงพยาบาล รูปลักษณ์หน้าตาของเด็กชายชวนให้หญิงวัยกลางคนนึกถึงลูกชายของเธอในวัยเด็ก ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กชายตรงหน้าช่างคล้ายคลึงกับลูกชายของเธอเหมือนกับการคัดลอกวางกันมาทุกระเบียบนิ้ว
“หนูจ๋า ไม่สบายงั้นเหรอถึงได้มาที่โรงพยาบาล?” หญิงวัยกลางคนย้ายมานั่งข้าง ๆ เด็กชายก่อนจะเอ่ยปากทักทายเด็กชาย ดนัยกานต์มองหญิงวัยกลางคนอย่างสงสัยไม่ได้ตอบอะไรออกไป
“ชื่ออะไรงั้นเหรอ? แล้วอายุเท่าไรแล้วงั้นเหรอ?” หญิงวัยกลางคนยังคงพยายามที่จะพูดคุยกับเด็กชาย
“แม่ไม่ให้ผมพูดกับคนแปลกหน้า ลาก่อนนะครับ” จบประโยคเด็กชายก็วิ่งตรงไปหาหญิงสาวที่น่าจะเป็นแม่ของเด็กชายทันที
หญิงวัยกลางคนมองคนทั้งสองเดินออกไปจากโรงพยาบาลทั้งที่อยากจะพูดคุยด้วยสักนิดสักหน่อยกับเด็กชายคนนั้น
หญิงวัยกลางคนมองไปยังแผ่นหลังเล็ก ๆ ของเด็กชายที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับลูกชายของเธอจนเหมือนเธอได้ย้อนเวลากลับไปเป็นสาวอีกครั้ง นึกคิดถ้าเกิดลูกชายตัวดีของเธอมีหลานให้เธอคงจะมีหน้าตาประมาณนี้ล่ะมั้ง ถ้าเกิดลูกชายของเธอจะสนใจหาคู่ครองเหมือนที่ตั้งใจทำงานอย่างหนักแบบนั้นบ้างสักนิด
ตั้งแต่เข้ามหาลัยหล่อนก็ไม่เคยเห็นลูกชายของเธอคบหากันใครเลยทั้งที่ตอนมัธยมก็ควงสาวไม่ซ้ำหน้ากันเลยสักอาทิตย์ แต่พอเข้ามหาลัยนิสัยพวกนี้ก็อันตรธานหายไป คนที่เอาแต่ทำตัวเสเพลไปวัน ๆ กับตั้งใจเรียนตั้งใจทำงานไม่สนใจผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว
หญิงวัยกลางคนได้แต่คิดหวังว่าลูกชายของเธอจะคบหากับผู้หญิงดี ๆ สักคนมีหลานที่น่ารักให้เธอได้เลี้ยงหลังวัยเกษียณสักคนสองคน