รัก,ชาย-หญิง,ไทย,นิยายรัก,นิยายรัก ,นิยายรักชายหญิง,ผันพลอย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
พัชรียากำลังฟังคำอธิบายความแตกต่างระหว่างขนมปังอังกฤษและขนมปังฝรั่งเศสจากเพื่อนสนิทชาวอังกฤษอย่างมีอาภายในอะพาร์ตเมนต์ของเธอ แม้ว่าการอธิบายทั้งหมดจะมาจากความเข้าใจส่วนตัวของมีอาเองก็ตามที
มีอา โมโมอา เพื่อนสนิทรุ่นน้องจากคณะบัลเลต์ที่เดียวกันเป็นหนึ่งในเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่ส่งมอบความจริงใจให้แทนการสวมหน้ากากเข้าหากัน มีอาเป็นหญิงสาวที่มีลอนผมหยิกสีส้มแดงตามธรรมชาติ ผมของเธอยาวไปจนถึงช่วงเอวและจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของมีอาคือนัยน์ตาสีมรกต
ในลักษณะทางกายภาพของเธอและความสนใจส่วนตัวของตัวเธอ เธอนิยามตัวเองว่าเธอคือคนที่สืบเชื้อสายมาจากแม่มดจากในอดีตที่เหลือรอดจากการถูกล่าแม่มดที่เกิดขึ้นในอดีต บางคนมองว่าเธอไม่ปกติที่คิดและเข้าใจว่าตัวเองเป็นแม่มด แต่สำหรับพัชรียาเองกลับมองว่าความคิดของมีอาเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่ใช่แค่ตัวของมีอาเองที่เชื่อเรื่องแม่มด
พัชรียาได้เจอมีอาครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปีนี้ ส่วนตัวของมีอาเข้ามาเป็นนักเรียนบัลเลต์ซึ่งสถานะของเธอคล้าย ๆ กับเด็กฝึกงานในบริษัท คนทั้งคู่เริ่มมาสนิทในการแสดงเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา เพราะคนทั้งสองต้องอยู่ร่วมซ้อมด้วยกันบ่อย ๆ เลยทำให้มีโอกาสได้พูดคุยทำความรู้จักกันจนมาสนิทกันในที่สุด
ครอบครัวของมีอาเป็นชาวอังกฤษกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ปัจจุบันครอบครัวของมีอาอาศัยอยู่ในแทบชานเมืองของอังกฤษ ครอบครัวทำธุรกิจเปิดร้านเบเกอร์รีขนาดเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มากหาเลี้ยงชีพ มีอาเลยพอจะมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับขนมปังติดตัวมาบ้างจากการเข้าไปช่วยเหลือพ่อและแม่ทำขนมปังในช่วงวัยเด็ก
“ก็ประมาณนี้พอเข้าใจหรือเปล่าเบลล์?” หลังจากอธิบายจบ มีอาก็ถามถึงความเข้าใจกับพัชรียา
“ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ฉันคิดว่าถ้าได้ลองทำแล้วลองชิมคงจะเข้าใจมากกว่านี้”
“ถ้างั้นให้มีอาสอนเบลล์ทำ…เอ่อ…เอาเป็นอิงลิชมัฟฟินดีไหม? ทำง่ายไม่ยุ่งยากด้วย” มีอาเสนอตัวที่จะสอนพัชรียาทำขนมปังอังกฤษและเลือกเมนูที่น่าจะง่ายสำหรับมือใหม่อย่างพัชรียาที่เพิ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับขนมปังอังกฤษ
“อิงลิชมัฟฟิน…เอ่อ…ใช่ ขนมปังกลม ๆ หรือเปล่า” พัชรียาถามย้ำเพื่อความแน่ใจในความเข้าใจของเธอ
“ใช่”
“งั้นลองมาดูกันก่อนว่ามีของอะไรที่ต้องซื้อเพิ่มหรือเปล่า?” พัชรียาเดินนำเข้าไปในส่วนของห้องครัวเปิดดูส่วนผสมอุปกรณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่จากการทำขนมเมื่อครั้งก่อน
“อือ~ เท่าที่ดูก็ไม่มีอะไรที่ต้องซื้อเพิ่มแล้วละ? มีของแค่นี้ก็ทำได้แล้ว แล้วระหว่างเบลล์ทำอิงลิชมัฟฟิน เดี๋ยวมีอาจะแสดงฝีมือทำแยมสตรอว์เบอร์รีให้เอง” มีอาหยิบเอาของที่จำเป็นออกมาเพื่อเตรียมทำอิงลิชมัฟฟิน
มีอาคอยอธิบายและสอนการทำอิงลิชมัฟฟินตามสูตรได้เรียนรู้มาจากผู้เป็นแม่ของเธอจัดการเตรียมส่วนผสมและขึ้นรูปแป้งใช้เวลารวมประมาณชั่วโมงครึ่ง
การทำอิงลิชมัฟฟินค่อนข้างแตกต่างจากการทำขนมปังแบบอื่นตรงที่จะเอาแป้งมัฟฟินขึ้นกระทะย่างด้านละ 4-5นาทีจนสุก ส่วนของทานคู่กันจะเป็นพวกแยมหรือเนยและในระหว่างที่พัชรียากำลังทำอิงลิชมัฟฟิน มีอาก็ปลีกตัวไปทำแยมสตรอว์เบอร์รีจากผลไม้ที่เหลืออยู่ติดตู้เย็น
ความหวานหอมของเนยจากอิงลิชมัฟฟินกับความหวานติดเปรี้ยวนิดหน่อยของแยมสตรอว์เบอร์รีผสมเข้ากันได้ดีจนหญิงสาวแอบปั่นใจให้กับขนมปังจากผู้ดีอังกฤษชิ้นนี้
“เป็นไงบ้าง?” มีอาเอ่ยถามหลังจากที่กลืนคำแรกลงท้อง
“อร่อยมากเลยละมีอา แถมยังทำง่ายกว่าที่คิดอีกแบบนี้คงได้ทำกินบ่อย ๆ แล้วละ” พัชรียาพูดออกมาตามความจริงที่เธอกำลังรู้สึก
“นี่! เบลล์รู้ไหมว่าตอนนี้มีอาแอบเบื่อกับการต้องเข้าไปซ้อมที่คณะทุก ๆ วัน วันละหลาย ๆ ชั่วโมง เท้าก็เจ็บบางทีก็มีเลือดออกมา”
“ตอนที่มีอาเรียนบัลเลต์ที่อังกฤษยังไม่เห็นต้องซ้อมหนักขนาดนี้เลย” มีอาเอ่ยปากบ่นกับตารางซ้อมของคณะบัลเลต์ในตอนนี้
“แต่นั้นก็เป็นบาดแผลที่แสดงให้รู้ว่ามีอาได้พยายามอย่างเต็มที่กับเรื่องบัลเลต์ไม่ใช่หรือยัง? ที่มีอามาที่อเมริกาก็เพื่ออนาคตที่เกี่ยวกับบัลเลต์ไม่ใช่หรือยังไง?”
“เรื่องนั้นมีอาก็เข้าใจแต่มันก็แอบเหนื่อยเหมือนกันนะ”
“มีอาน่ะนับถือความพยายามของเบลล์เลยนะที่เข้าซ้อมได้ทุกวันแถมหลังจากทุก ๆ คนเลิกซ้อมกันแล้วแต่เบลล์ก็ยังอยู่ซ้อมต่ออยู่คนเดียวอีก ถ้าเป็นมีอานะ มีอาคงทำไม่ได้แค่ตารางซ้อมตามปกติก็เหนื่อยมาก ๆ แล้ว”
“ฉันไม่ได้พยายามอะไรหรอก แต่ที่ทำอยู่ในตอนนี้ก็เพราะว่าชอบอย่างไงละ?”
“ตั้งแต่ที่ฉันเริ่มเรียนบัลเลต์ครั้งแรกมันก็ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองอยากจะเป็นอะไร ถ้าเกิดในชีวิตนี้ฉันไม่ได้เป็นนักบัลเลต์ฉันก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองอยากจะเป็นอะไร” พัชรียาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
“มีความสุขจังเลยนะ ความฝันของเบลล์เนี่ย” มีอายิ้มรับกับรอยยิ้มของพัชรียา
“แล้วเบลล์ไม่คิดถึงที่บ้านบ้างเหรอ? บ้านของเบลล์อยู่ไกลจากที่นี่มากไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าบอกว่าไม่คิดถึงก็คงแปลกสินะ ฉันน่ะคิดถึงพ่อกับแม่มาก ๆ จนอยากจะกลับไปหา แต่ฉันอยากจะทำตามความฝันให้สำเร็จก่อนที่จะกลับไปเจอพ่อกับแม่”
“เบลล์อยากจะให้พ่อกับแม่ภูมิใจสินะ” มีอายิ้มให้กับพัชรียา
“แล้วตอนนี้เบลล์ไม่ได้คบหากับใครอยู่เหรอ?” อยู่ ๆ มีอาก็ถามถึงเรื่องความรักของเธอ
“ก็…เปล่านะ ฉันไม่ได้คบกับใครอยู่หรอกมีอะไรหรือเปล่า? ทำไมเธอถึงได้ถามเรื่องแบบนั้นล่ะ” พัชรียาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
“เปล่าหรอก มีอาก็แค่สงสัยนะ”
“ก็เบลล์ทั้งสวยและก็น่ารักแถมยังจะแอบดูเซ็กซี่ด้วย มีอาก็เลยสงสัยว่าเบลล์มีแฟนแล้วหรือเปล่า?”
“เบลล์บอกว่าอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเบลล์ยังไม่เจอคนที่ชอบก็คงจะมีคนที่แอบชอบอยู่แล้วหรือเปล่า?” หญิงสาวผมแดงเอามือเท้าคางยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างชอบใจ จนพัชรียาออกอาการเขินอายหน้าแก้มขึ้นสีอ่อน
“ละ…แล้วมีอาไม่มีคนที่ชอบบ้างหรือไง?” พัชรียาถามกลับ
“ไม่มีหรอก” หญิงสาวผมแดงเอ่ยปฏิเสธ
“สำหรับมีอาแล้ว มีอายังไม่เคยเจอใครที่ทำให้มีอารู้สึกใจเต้นแรงเลยสักคนหรือถ้าเจอคนแบบนั้นแล้ว”
“อย่างน้อยเขาคนนั้นก็ต้องเป็นที่คนมีอายอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน และที่สำคัญคือ…เขาต้องรักมีอาด้วยเหมือนกัน”
“นั่นสินะ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่เขารักเราเหมือนกัน” พัชรียาตอบรับความคิดของมีอา
สองเพื่อนสาวต่างสัญชาติใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนถึงช่วงที่แสงของวันใกล้จะหมดลงและมีอากลับออกไปแล้ว ภายในอะพาร์ตเมนต์เลยกลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง
เรื่องที่ได้คุยกันก่อนหน้านี้ทำให้พัชรียาคิดถึงชายคนหนึ่งที่เธอไม่อยากคิดถึงเขามากนัก ชายหนุ่มที่เคยทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง ถ้านับจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่เธอมีเขาอยู่ในหัวใจ แม้จะได้พบเจอกับคนมากมายหลากหลายรูปแบบแต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้ามาแทนที่ชายคนนั้นได้เลย
พัชรียาที่กำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่อยู่ ๆ ก็มีสายโทรศัพท์เข้ามาปลายสายส่งตรงมาจากประเทศไทยขึ้นหน้าชื่อเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด หญิงสาวกดรับสายทันทีโดยที่ไม่คิดอะไร
“ฮัลโหล คุณพ่อเหรอคะ?” พัชรียาเอ่ยทักทายผู้เป็นพ่อหลังจากที่ไม่ได้ต่อสายคุยกันมาสักระยะเวลาหนึ่ง
(เบลล์ หนูไม่ได้ยุ่งอยู่ใช่ไหมลูก?) น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อฟังดูเหมือนกำลังแอบใครบางคนเพื่อคุยโทรศัพท์กับเธอ
“คุณพ่อมีอะไรงั้นเหรอคะ? ทำไมถึงกระซิบกระซาบแบบนั้นละคะ?” พัชรียาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
(คือว่า…เอ่อ…คือว่าพ่อมีปัญหานิดหน่อยนะลูก) น้ำเสียงเอ่ยพูดติดขัดราวกับคนที่มีชนักติดหลัง
“ปัญหางั้นเหรอคะ? เกี่ยวกับคุณแม่หรือเปล่าคะ?”
(ก็เอ่อ…ใช่ลูก มันเกี่ยวกับแม่) ผู้เป็นพ่อยอมรับผิดออกมาอย่างง่ายดาย
“แล้วคุณพ่อไปทำอะไรให้คุณแม่โกรธมางั้นเหรอคะ?” พัชรียาเอ่ยถามขึ้นทันที เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นเท่าไรแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติระหว่างคู่สามีภรรยาวงศ์สุรวัฒนาที่มักจะทะเลาะกันราวกับคู่รักวัยรุ่น
(พ่อไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พ่อน่ะทั้งตั้งใจทำงานอย่างดีกลับบ้านก็ตรงเวลา วันไหนแม่เขาอยากออกไปกินข้าวข้างนอกพ่อก็รีบขับรถพาไปทันที) ผู้เป็นพ่อพยายามอธิบายแก้ตัวกับลูกสาวเพียงคนเดียว
“วันก่อนคุณพ่อแอบคุณแม่ไปตีกอล์ฟมาไม่ใช่เหรอคะ?”
(ลูก…ละ…ลูกรู้ได้ยังไงกัน?) อาการเลิ่กลั่กแสดงออกมาอย่างชัดเจนจนไม่สามารถหาประเด็นปกปิดเอาไว้ได้
“วันก่อนหนูได้คุยกับคุณแม่ วันนั้นคุณแม่ดูโกรธมากเลยนะคะคุณพ่อ หนูว่าคุณพ่อไปขอโทษคุณแม่แล้วก็สารภาพบาปไปเถอะค่ะ”
“ตอนนี้คุณแม่ยังไม่ได้อะไรมากมายคุณพ่อควรจะรีบขอโทษให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อนที่เรื่องมันจะหนักไปกว่านี้นะคะ” พัชรียาแนะนำวิธีขอคืนดีให้กับผู้เป็นพ่อ
“จริงสิคะ คุณพ่อก็ทำสเต๊กปลาแซลมอนให้คุณแม่ด้วยสิคะ”
(สเต๊กปากแซลมอนงั้นเหรอลูก?)
“ใช่ค่ะ ก็ตอนที่คุณพ่อคุณแม่ไปเดทด้วยกันครั้งแรก คุณพ่อสั่งสเต๊กปลาแซลมอนให้กับคุณแม่นี่คะ หนูว่าคุณแม่จะต้องหายโกรธแน่ ๆ เลยค่ะ”
(ดีเลย งั้นตอนนี้พ่อคงต้องไปเลือกซื้อเนื้อปลาแซลมอนดี ๆ รวมถึงพวกเครื่องเคียงอื่น ๆ ด้วย)
(ขอบใจนะลูก ไว้หลังพ่อง้อแม่เขาได้แล้ว พ่อจะโทรมาอีกทีนะลูก)
“ค่ะคุณพ่อ”
ผู้เป็นพ่อวางสายไปแค่นั้น บางครั้งพัชรียาก็รู้สึกอิจฉาความรักระหว่างพ่อและแม่เหลือเกิน ถึงแม้บางครั้งอาจจะมีเรื่องให้ต้องทะเลาะหรืองอนง้อกันอยู่บ้างแต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการเพิ่มระดับความรักที่อาจจะเบาบางลงให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ช่างแตกต่างกับความรักของเธอที่ไม่เคยแม้แต่จะพยายามเพื่อความรักเลยสักครั้ง หญิงสาวหวาดกลัวว่าสายสัมพันธ์ที่มีอยู่จะหายไปเพราะความทะเยอทะยานในความรักของเธอ ชายคนนั้นเองก็ไม่ใช่คนที่จะมาชอบหรือรักเธอ ตลอดเวลาที่รู้จักกันมาเขาวางเธอให้อยู่ในตำแหน่งที่ชัดเจนเสมอมา ตำแหน่งของความเป็น…เพื่อน