ตกงาน เมียทิ้ง และยังถูกจ้องจากคุณตาที่แก่หงําเหงือกเจ้าของร้านโชห่วยจนพจนวีร์หวาดระแวงในการใช้ชีวิต มันต้องมีอะไรแน่ๆ ปริศนาของสายตาลับๆล่อๆ เช่นนั้น...แล้วคุณล่ะคิดว่าเขาหลอนไปเองหรือเปล่า
สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,ครอบครัว,ฆาตรกรรม,ฆาตกรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
-ปี 1995-
“พบศพผู้หญิงไม่ทราบชื่อลอยมาติดโป๊ะเทียบเรือ ทำเอาคนแถวนั้นแตกตื่นกันไปหมดเลยครับ โดยเฉพาะความสยองของศพ ซึ่งเธอคนนี้ไม่มีหัว เบื้องต้นตำรวจยังไม่ทราบรายละเอียดมากกว่านี้ ผมเชื่อว่าวิธีที่โหดขนาดนี้จะเป็นข่าวที่สังคมเฝ้าจับตามองอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดีอยากให้คุณตำรวจจับตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด....”
เมื่อเสียงแว่วจากวิทยุดังเข้ามากระทบโสตประสาท ทำให้เปลือกตาที่หนักอึ้ง ค่อย ๆ ลืมขึ้นมาอย่างยากลำบาก
โดยที่เนื้อความนั้นเขายังจับใจความไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่ารายละเอียดมีอะไรบ้าง
‘พจนวีร์’ ในวัย 27 กำลังมองเพดานที่มีพัดลมหมุนวนจนมองไม่เห็นแฉกไปพัด โดยไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหวกายไปทำอย่างอื่น ราวกับว่าการนอนนั้น ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนหวงแหนจนอยากกลับสู่ห้วงนิทราไม่รู้จบ
...ชีวิตเฮงซวยพรรค์นี้ใครอยากตื่นมาเผชิญกันล่ะ...
เขานอนนิ่งอยู่ภายใต้ห้องในตึกแถว ที่ภายนอกเป็นปูนสีขาวมีคราบเชื้อราสีดำไหลฉาบเป็นเส้น ๆ
พจนวีร์เป็นชาวกรุงเทพโดยกำเนิด และเนื่องจากพ่อเป็นข้าราชการจึงทำให้ย้ายไปที่โน่นที นี่ทีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในตอนนี้เขาและน้องสาวก็โตมากพอที่จะดูแลตัวเองได้ จึงไม่ตามไปอยู่ด้วยเหมือนตอนเด็ก ๆ โดยน้องสาวตอนนี้ก็เรียนอยู่ชั้น ม.5 แล้ว
อีกปีเดียวก็จะจบมัธยม นั้นเป็นสาเหตุให้เขารับปากกับแม่ว่าจะช่วยดูแลน้องสาวเป็นอย่างดี ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากคุณป้าช่วยมาดูแลสอดส่องเป็นพัก ๆ
“การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 20 ที่ผ่านมา พรรคชาติไทยได้คะแนนเสียงสูงสุด จนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยรวมกับอีก 7 พรรคร่วม ทำให้มีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา
ส่งผลให้ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย”
แต่แล้วทันใดนั้นเอง ข่าวสารที่รายงานอย่างต่อเนื่องก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เจ้าตัวเด้งขึ้นมานั่งหลังโก่งอยู่ปลายเตียง และจัดระเบียบตัวเองด้วยการส่ายหัวเพื่อไล่อาการสะลึมสะลือ จากนั้นมองไปยังปฏิทินที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะที่มีแต่ของจุกจิกวางอยู่
“เครียดจนไม่ได้ดูข่าวสารบ้านเมืองเลยเหรอวะ”
พจนวีร์ถอนหายใจหนัก เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขายังกระโดดโลดเต้นเกี่ยวกับผลเลือกตั้งอยู่เลย แม้พรรคการเมืองที่เลือกจะไม่ได้คะแนนสูงสุด แต่มีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะได้เข้าร่วมรัฐบาล ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้น ภรรยาที่แต่งงานกันมา 2 ปีก็พูดเรื่องหย่าขึ้นมา
เธอยืนอุ้มลูกวัยหนึ่งขวบมองเขาด้วยสายตาที่เรียบเฉย พร้อมกับเอ่ยคำพูดใจร้ายนั้นจะออกมาจากปาก พจนวีร์หวังว่าสักเสี้ยวหนึ่งในหัวใจของเธอจะรู้สึกลังเลบ้าง...แต่ก็ไม่เกิดขึ้นเลย
“หย่ากันเถอะพี่ ส่วนลูกวิจะเลี้ยงเอง”
“วิเลี้ยงหรือผัวใหม่เลี้ยงกันแน่”
“พี่ วิมาคุยดี ๆ นะ ไม่ได้มาชวนทะเลาะ”
“หย่าเพราะไม่รัก พี่พอเข้าใจ แต่หย่าเพราะวิไปเป็นเมียน้อยคนอื่น พี่ไม่เข้าใจ”
“พี่วี! พี่ไม่รู้อะไรพี่อย่าพูดดีกว่า อย่างน้อยเขาก็พร้อมหย่าแล้วมารับผิดชอบวิ ไม่รังเกียจที่วิมีลูกติด”
“ที่พี่จะบอก คือการที่วิไปทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก ไม่ใช่เรื่องรักหรือไม่รัก”
“แล้วพี่เลี้ยงวิได้เหรอ”
“....”
พจนวีร์ หน้าชาเล็กน้อยและหยุดนิ่งไปราวกับโดนมนต์ต้องสาป เมื่อใบมีดแห่งความจริงได้เข้ามาเชือดเฉือนผ่านคำถามสั้น ๆ จากหญิงที่กำลังจะกลายเป็นอดีต เขาตั้งรับโดยการกลืนน้ำลายลงคอ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมของเหลวในเวลานี้มันถึงได้แสบนัก ราวกับของมีคมได้ไหลผ่านลงไป
“พี่....”
“พี่จะโดนบริษัทเลิกจ้างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” วิภาดาเติมคำพูดสามีทันที เมื่อเขาดูมีท่าทีกระอักกระอ่วนไม่กล้าเอ่ย
“ใครบอกวิ”
“เรื่องแบบนี้พี่คิดว่าจะปิดได้นานเหรอ วิเรียนไม่จบพี่ก็กำลังจะตกงาน ถ้ามันมีโอกาสให้วิคว้าไว้แม้มันไม่สวยงาม วิก็ต้องเลือก อย่างน้อยมันก็เป็นหลักประกันว่าจะมีเงินเลี้ยงลูก”
นั้นคือคำพูดสุดท้ายระหว่างพจนวีร์และวิภาดา ก่อนที่เขาจะเซ็นใบหย่าตามที่เธอต้องการในเวลาต่อมา
แต่เรื่องระทมทุกข์ยังคงถาโถมเข้ามาไม่หยุด เมื่อบริษัทเลิกจ้างอย่างที่เขาคิดจริง ๆ จะทำอย่างไรได้ล่ะ เมื่อการเข้ามาของเทคโนโลยีมันมีส่วนให้แรงงานมนุษย์ได้ล้มหายตายจากไป ช่างเขียนลวดลายประดับอย่างเขาที่ตามมันไม่ทันก็สมควรถูกทอดทิ้งไว้ด้านหลัง
แต่อย่างน้อยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการก็พอทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง หวังว่านโยบายดี ๆ ที่พร่ำบอกตอนหาเสียงมันจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น หางานใหม่ได้ง่ายขึ้น ใช้จ่ายคล่องและมีเงินเก็บ อย่างน้อยก็คืนศักดิ์ศรีความเป็นพ่อให้ตัวเองได้บ้าง ซึ่งในตอนนี้เป็นได้แค่ไอ้คนตกงานที่เมียขอหย่าและยังหาเงินมาเป็นค่าเลี้ยงดูลูกไม่ได้
และก่อนความคิดหม่นหมองจะพาเขาดำดิ่งไปมากกว่านี้ มือใหญ่ได้ยกหูโทรศัพท์เพื่อกดหมายเลขไปหาปลายสายที่ต้องการคุยด้วย
[นกรับสายค่ะ นั่นใครคะ]
เสียงที่ดูใจดีของแม่มารับสาย ทำให้พจนวีร์พอยิ้มออกมาได้บ้าง เพราะถ้าเป็นพ่อคงทะเลาะกันตั้งแต่คำแรกที่ทักทาย จบลงด้วยการกระแทกหูโทรศัพท์ลงด้วยความไม่พอใจ จากนั้นเขาจะทิ้งระยะห่างไว้นานพอสมควรถึงจะโทรหาอีกครั้ง กว่าจะได้คุยกับแม่บางครั้งก็นานเป็นเดือน
พจนวีร์เองก็คิดหนัก ว่าจะปล่อยให้อีโก้ที่มีกับพ่อกัดกินโอกาสที่จะได้พูดดุยกับแม่แบบนี้ตลอดไปเช่นนี้หรือ หากพ่อไม่ลดราวาศอกเลย ก็ต้องเป็นเขานี่แหละที่ต้องยอม และมันช่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเหลือเกิน
“แม่ ผมเอง”
[วีนี่เอง หายไปซะนานเลยลูก แม่ก็นึกห่วง โทรไปหาก็ไม่ค่อยรับสาย]
“สบายดีมั้ยครับแม่”
[….]
“แม่...แม่ครับ” พจนวีร์เรียกชื่อแม่ซ้ำ ๆ เมื่อปลายสายเอาแต่ส่งลมหายใจกลับมา
[จ๊ะลูก แม่ได้ยิน]
“อย่าบอกนะ...ว่าพ่อตบแม่อีกแล้ว”
[….]
กนกพรผู้เป็นแม่ไม่พูดอะไรตอบกลับมาเหมือนเดิม เอาแต่ร้องไห้โฮและสะอื้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าหัวใจกำลังบอบช้ำจวนจะแหลกสลาย สิ่งนั้นทำให้พจนวีร์รู้สึกร้อนรนด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าพ่อจะตบตีแม่อยู่บ่อยครั้ง แต่การสะอื้นหนักเช่นนี้แม่เพิ่งเคยเป็นครั้งแรก
“ใจเย็น ๆ นะครับแม่!”
[พ่อมีเมียน้อย]
คำตอบของแม่ ทำเขาตัวชาอีกครั้งไม่ต่างจากภรรยาเก่ามาขอหย่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อีกทั้งมันยังวนเวียนอยู่กับเรื่องเมียหลวงเมียน้อยไม่ต่างกัน สิ่งนี้ถึงกับต้องกุมขมับตัวเองด้วยความปวดหัว
ทำไมกันนะ คนเราถึงได้ถลำลึกไปรักสามีภรรยาของคนอื่นโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย....
พจนวีร์ปลอบใจแม่อยู่นานจนน้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนเริ่มร่าเริงขึ้น อย่างน้อยแม่ก็ได้ระบายเรื่องราวออกมาได้บ้าง ทำให้ตอนนี้เขามีความคิดอยากไปรับแม่มาอยู่ด้วยเหลือเกิน และหย่ากับพ่อให้มันจบ ๆ ไปเสีย แต่ด้วยสถานะตกงานในตอนนี้ ทำให้การเงินไม่อาจจะแบ่งรับแบ่งสู้หลายชีวิตได้นัก
สายตาก้มไปมองโทรศัพท์ที่เพิ่งจะวางสายอย่างเลื่อนลอย ปัญหาที่เข้ามาทำให้เขากลายเป็นคนเอื่อยเฉื่อยได้ในเวลาไม่กี่อาทิตย์ เมื่อคิดได้ว่าเอาแต่ยืนเหม่ออยู่อย่างนี้มันไม่มีประโยชน์อะไร จึงเลื่อนไปมองกรอบรูปที่วางตั้งโชว์ไว้ที่โต๊ะว่าง
...แอ๊ด...
ประตูค่อย ๆ เปิดออกพร้อมกับรอยยุบที่ปลายเตียง พจนวีร์คลี่ยิ้มบาง ๆ ให้กับ ‘กนกแพร’ หรือ ‘เจ้าแพร’ ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ ๆ ที่เขารัก รองลงมาจากพ่อแม่
มันเป็นเรื่องตลกร้าย ที่พี่ชายผู้เข้มแข็งช่วยพ่อแม่ส่งเสียงค่าเรียนอยู่ทุกเทอม อ่อนแอถึงขั้นระบายความรู้สึกให้น้องมาแบ่งรับแบ่งสู้ไปด้วยกัน
“พี่ตกงาน ส่วนพ่อ...นอกจากจะตบแม่เหมือนเดิมยังแอบมีเมียน้อยอีก พี่หย่าแล้วนะ วิเขาทนอยู่ด้วยไม่ไหว ลูกก็ไม่ได้อยู่กับพี่ บอกตรง ๆ ว่าไม่มีปัญญาแย่งลูกกลับมา แม้แต่ชีวิตของแพรพี่ก็รับผิดชอบไม่ได้”
“พ่อเป็นคนไม่ได้เรื่องมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่มีใครอยากให้แม่โดนทำร้าย แพรเองก็ยังเด็ก พี่ก็ตกงาน ตอนนี้เราทำได้แค่เพียงให้กำลังใจกันและกันเท่านั้น”
“แต่พี่สัญญานะ ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น”
ตุ๊บ
จู่ ๆ หนังสือเพลงที่วางตั้งไว้ก็หงายล้มลงมา ทำให้พจนวีร์ต้องเหความสนใจจากกรอบรูปไปมองมัน และเมื่อหยิบกลับไปเรียงไว้เหมือนเดิม เขาเห็นนิตยสารวัยรุ่นเล่มใหม่เอี่ยม ซึ่งเป็นหน้าปกดาราชายคนหนึ่งที่กนกแพรชอบ จึงอยากเปิดอ่านคลายเครียด แต่ดันเจอกระดาษโน้ตที่แปะเอาไว้เสียก่อน
‘โลกทั้งใบให้นายคนเดียว 16 มิย 38’
พจนวีร์มองดูปฏิทินอีกครั้งพบและว่ามันผ่านมาแล้ว แต่บังเอิญว่าความคิดดี ๆ ก็แทรกผ่านเข้าในสมองที่ตื้นตันไปด้วยปัญหา
“เราไม่ได้ออกจากบ้านนานเท่าไหร่แล้ววะ”
เขาจึงใช้โอกาสนี้ไปผ่อนคลายตัวเองข้างนอกเสียเลย เพราะเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหนเป็นอาทิตย์แล้ว และเมื่อกำลังเคลื่อนไหวตัวเพื่อไปปิดประตูหน้าต่าง พจนวีร์มองเห็นคุณลุงร้านโชห่วยมองจ้องขึ้นมาด้วยความรู้สึกดุดัน แม้ผ้าม่านลูกไม้มันจะบดบังทัศนียภาพข้างนอกให้เลือนรางอยู่ก็ตาม
เขารู้สึกว่าชายชราแทบไม่กะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
และเมื่อรู้ตัวว่าพจนวีร์กำลังมองกลับ เจ้าของร้านโชห่วยก็เหมือนรู้ตัวจึงแสร้งกวาดลานหน้าร้านอย่างลนลาน
“งั้น...ไปดูหนังด้วยกันเนอะ” เขาถามความเห็นของกนกแพร แทนที่จะสนใจเรื่องไร้สาระ แม้มันจะคาใจอยู่ก็ตาม
“อื้อ”
เมื่อข้อตกลงทั้งสองพี่น้องสำเร็จผล เขาก็นั่งรถเมล์ไปยังสยาม ซึ่งมีเหล่าวัยรุ่นเดินกันขวักไขว่ และเมื่อได้ตั๋วจากพนักงานนพจนวีร์ไม่รีรอที่จะเข้าไปเสพความบันเทิงของในทันที
“เฮ้อ....”
เขาบิดซ้ายขวาเล็กน้อยเมื่อการนั่งโดยไม่ขยับไปไหนเป็นเวลานาน มันให้กล้ามเนื้อตามตัวรู้สึกตึงไปหมด ชายหนุ่มวัยใกล้เลขสามห่างหายจากอะไรเช่นนี้มานาน พอได้มาคลุกคลีกับสีสันของวัยรุ่น ก็รู้สึกว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กมัธยมอีกครั้ง
จากนั้นพจนวีร์ก็หาซื้อฮอตดอกร้อน ๆ กินไปพลางระหว่างเดินเล่น
“มันก็สนุกดีนะพี่ว่า ดูเพลิน ๆ” เขาพูดพลางเคียวตุ่ย ๆ “อ้อ จะว่าไป ไอ้หนังโลกทั้งใบอะไรนั้นพี่ก็พาวิไปดูนะ เขาชอบ นุก สุทธิดา สงสัยไม่ได้เล่าให้แกฟัง มันก็ดีนะไม่ได้เน้นไปทางความรักซะทีเดียว และถ้าเป็นพี่ก็คงจะทำเพื่อแพรทุกอย่างเหมือนไอ้ไม้ทำเพื่อเม่นนั่นแหละ”
“พี่ทำเพื่อแพรทุกอย่างแล้ว แพรรับรู้ได้”
“....” พจนวีย์ไม่พูดอะไรเอาแต่พยักหน้าเพราะของกินที่กำลังเคี้ยวอยู่ “ไปเดินดูอย่างอื่นดีกว่า จะได้รู้ว่าช่วงนี้เขาฮิตอะไร”
จากนั้นก็ขยับตัวเดินอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนจากชายเอื่อยเฉื่อยจอมอมทุกข์เป็นคนกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา
จากนั้นสองขาก็หยุดนิ่งพร้อมกันที่หน้าร้านโลโก้สีแดงพื้นเหลือง เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เจอชั้นวางถูกจัดเป็นล็อกอย่างมีระเบียบ อีกทั้งยังเว้นช่องให้ลูกค้าได้เดินเหินอย่างสะดวกสบาย
ส่วนบนเชลล์ก็มีเทปคาสเซ็ทวางเรียงรายกันอยู่ จนเลือกไม่ถูกเลยว่าจะเอาอัลบัมของนักร้องคนไหนกลับไปบ้านดี
พจนวีร์ใช้นิ้วชี้กรีดไล่ไปทีละชิ้นด้วยสายตารุ่นคิด จำได้ว่าปีที่แล้วข่าวคราวการพบศพของ Kurt Cobain ทำเอาเขาเป็นโรคหลอนเพลงไปเลย ไม่กล้าฟังแม้แต่ตัวโน้ตเดียว เอาแต่เปิดวิทยุฟังข่าวสารบ้านเมืองเท่านั้น
เหตุผลก็เพราะว่าชอบวง Nirvana มาก เขารับไม่ได้เลยจากเรื่องที่เกิดขึ้น อาการช็อกจึงมาในรูปแบบปฏิเสธการฟังเพลงทั้งหมด แต่มาถึงวันนี้กนกแพรเป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับมาเสพสุนทรีย์อีกครั้ง
และทันใดนั้นเองสายตาก็ได้ไปสะดุดกับแทบดำตัวหนังสือขาวที่เป็นชื่อของวง ซึ่งมันถูกแปะไว้ที่มุมซ้ายสุดของปกเทป
‘oasis - definitely maybe’
ทำให้ความทรงจำเมื่อต้นปีที่แล้วก็ได้ผ่านเข้ามาให้เขาได้หวนคิดถึง
มันเป็นภาพของกนกแพรนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องตัวเอง โดยเปิดประตูทิ้งไว้เหมือนเคย น้องสาวไม่ได้หวงความเป็นส่วนตัวมากนัก เนื่องจากตอนนั้นเขายังไม่หย่ากับภรรยา เผื่อว่าวิภาดาจะตะโกนขึ้นมาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเลี้ยงลูก หรือหากเกิดอุบัติเหตุจะได้พุ่งตัวลงมาช่วยได้ทันทวงทีในเวลาที่เขายังไม่เลิกงาน
พจนวีย์ เดินใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้เส้นผมหลังออกมาจากห้องน้ำ เขาอยู่ในชุดสบายตัวอย่างเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้น กำลังมองกนกแพรใช้ดินสอหมุนม้วนเทปของตัวเองอยู่ ซึ่งสีหน้าเธอดูไม่ดีหนักจนเขาอยากทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเทปมันก็แค่ยานไม่ได้แตกหักเสียหายเสียหน่อย ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ไปได้
“พี่วี ซื้อเทปใหม่ให้หน่อย”
ยังไม่ทันจะหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเพื่อสนทนาตามประสาพี่น้อง กนกแพรก็หยุดต่ออายุม้วนเทปของตัวเอง และหันหลังมาทำหน้าออดอ้อนเหมือนเด็กไม่กี่ขวบ
“คราวนี้นักร้องคนไหนอีกล่ะ”
“อันนี้” กนกแพรยกเทปที่ถืออยู่ขึ้นมาให้ดู
“จะซื้อซ้ำเหรอ”
“ก็หนูหมุนมันหลายครั้งแล้วอะ มันน่าจะเสื่อมเร็ว ๆ นี้แหละ”
“เห้ยแพร ต้องฟังถึงขนาดไหนวะ มันถึงได้ยานไว้แบบนี้”
“ก็ไม่ได้บ่อยหรอก แพรอาจจะพลาดซื้อของที่มันผลิตไม่ได้คุณภาพก็ได้”
ช่างสรรหาคำพูดมาอธิบายจริง ๆ โดยไม่โทษตัวเองที่ฟังมันบ่อยจนต้องมานั่งซ่อมอยู่แบบนี้ เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าเพลา ๆ บ้างสำหรับการฟังเพลง ยัดหูฟังทั้งวันทั้งคืนแบบนั้นก็ไม่แปลกใจที่ต้องมานั่งหน้างอแบบนี้
พจนวีร์ได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ กับน้องสาว เขาจับไต๋ได้เพราะเห็นกนกแพรตัวติดกับเครื่องเล่นเทปพกพาอย่างกับตังเม ซึ่งเธอเพิ่งได้มาเมื่อปีที่แล้ว
“เครื่องเล่นพี่ก็ซื้อให้ เทปพี่ก็ซื้อให้ จะซื้อซ้ำยังต้องขอพี่อีกเหรอ ถ้าเป็นอันใหม่พี่ยังพอเข้าใจ เก็บซื้อเองได้มั้ยล่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็รอเกรดออกก่อน ถ้าไม่ตกหรือดีขึ้นพี่จะซื้อให้”
“โถ่ อีกตั้งนานกว่าจะสอบ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า จำได้มั้ยที่เราเถียงกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อน”
พจนวีร์ลืมตัวหัวเราะเสียงดังเมื่อภาพในอดีตที่ฉายในหัวจบลง ทำให้ลูกค้าบริเวณนั้นหันมามองเป็นตาเดียว
ซึ่งสิ่งนั้นทำให้กนกแพรอดขำตามไม่ได้ ไม่บ่อยหรอกที่จะเห็นพี่ชายตัวเองในมุมนี้ เพราะอายุห่างกันมาก พจนวีร์จึงทำตัวเหมือนพ่อมากกว่าพี่ชาย สีหน้าจริงจังจึงเป็นสิ่งเดียวที่กนกแพรเห็นเป็นประจำ
และเมื่อคนเป็นพี่ชายหยิบเทปชิ้นนั้นไปจ่ายเงิน กนกแพรที่ตามหลังด้อย ๆ ก็กล่าวขอบคุณในน้ำใจที่เขามีให้ ยอมซื้อเทปซ้ำนั้นเพื่อน้องสาวอย่างเธอ
“ขอบคุณนะคะพี่วี”
พจนวีร์กลับมาถึงบ้านที่มืดมิด ในขณะที่กำลังเสียบรูกุญแจที่ประตูบ้าน สันหลังของเขาก็รู้สึกเย็นวูบขึ้นมาทันใด แม้แต่ขนเส้นเล็กเส้นน้อยที่นิ่งเรียบยังลุกขึ้นตั้ง ไล่กันไปจรดท้ายทอย
เขาจึงหันไปมองเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จดจ้อง
พบว่าเป็นเจ้าของร้านโชห่วยเจ้าเดิมที่แง้มประตูไม้เก่า ๆ ส่งสายตาสอดผ่านรูเล็ก ๆ นั้นออกมา จนเขาร้อนรนและเริ่มรู้สึกมีอารมณ์โมโห ครั้นจะเดินเข้าไปถามชายชราก็ปิดประตูร้านทันที
พจนวีร์จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะไขประตูบ้านเข้าไปและปิดมันเสียงดัง ราวกับจงใจให้ชายแก่ฝั่งตรงข้ามให้ได้ยินว่าเขาไม่พอใจ
ภาพตรงหน้ามืดมิดเหมือนชีวิตเขาไม่มีผิด ก่อนจะไล่เปิดไฟให้ความสว่างไสว และกับข้าวถุงที่ซื้อมาก็ถูกเทลงไปชาม
เขาจัดโต๊ะลวก ๆ เพื่อนั่งกินไปพลาง โดยที่ไม่ลืมวิ่งขึ้นไปหยิบเครื่องเล่นเทปลงมาด้วย อดใจไม่ไหวถึงขนาดนี้ นั้นก็เพราะว่าอยากรู้นัก ทำไมกนกแพรถึงได้ชื่อชอบวงนี้
เขาโยกหัวไปพร้อมข้าวที่ค่อย ๆ ตักเข้าปาก รอยยิ้มที่สูญหายไปเป็นอาทิตย์กลับมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้กนกแพรที่อยู่ข้าง ๆ อมยิ้มไม่ต่างกัน
“เห็นมั้ย บอกแล้วว่าของดี ทีนี้เลิกดูถูกได้ยัง โลกนี้ไม่ได้มีเนอร์วาน่าวงเดียวที่เจ๋งหรอกนะ”
“เอ่อ ยอมรับก็ได้วะ”
หูฟังยังคาอยู่อย่างนั้นแม้ว่าข้าวในจานจะหมดไปแล้ว ดูเหมือนบทเพลงจะบำบัดจิตใจของพี่ชายได้จริง ๆ ตามที่ตัวเองหวังไว้ ไม่มีอะไรที่กนกแพรจะยินดีได้เท่านี้อีกแล้ว
“น้องเป็นกำลังใจให้พี่นะคะ แม้ความสุขในตอนนี้มันก็เป็นช่วงสั้น ๆ แต่น้องเชื่อว่าต่อไปมันจะวิ่งเข้ามาหาพี่โดยที่พี่อาจจะตั้งรับไม่ทันเลยก็ได้ ทุก ๆ อย่างที่พี่รอคอย ทุก ๆ อย่างที่พี่ค้นหา น้องขอให้พี่สมหวังไว ๆ”