ตกงาน เมียทิ้ง และยังถูกจ้องจากคุณตาที่แก่หงําเหงือกเจ้าของร้านโชห่วยจนพจนวีร์หวาดระแวงในการใช้ชีวิต มันต้องมีอะไรแน่ๆ ปริศนาของสายตาลับๆล่อๆ เช่นนั้น...แล้วคุณล่ะคิดว่าเขาหลอนไปเองหรือเปล่า
สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,ครอบครัว,ฆาตรกรรม,ฆาตกรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
‘พจนวีร์’ มองภาพข่าวในทีวีด้วยลมหายใจแรง จนกระทบไปยังไหล่หนาทั้งสองข้างทำให้มันยกขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเลือดในกายก็กำลังสูบฉีดอย่างเร็วถี่ ราวกับว่าเขาเพิ่งหลุดพ้นจากการวิ่งหนีสิ่งที่น่ากลัวได้อย่างหวุดหวิด
“ตำรวจได้ความคืบหน้าแล้ว ทราบว่าศพไม่มีหัวเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาลัย xxx โดยญาติได้เข้ามาแจ้งความกับตำรวจ และบอกว่าลูกสาวได้หายตัวไปสองสามวันแล้ว ไม่แน่ใจว่าศพจะใช่หรือเปล่า เพราะบริเวณนั้นใกล้กับหอพักที่ลูกสาวอาศัยอยู่ และเมื่อถูกยืนยันแล้วว่าเป็นนางสาว A คนเป็นแม่เป็นลมในทันที”
เนื้อความในข่าวทำให้เขาพอจะโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง ตั้งแต่ติดตามข่าวนี้ก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับเต็มไปหมด โดยเฉพาะการเฝ้ามองจากลุงเจ้าของร้านโชห่วยตรงกันข้าม แต่เขาก็ไม่กล้าเดินเข้าไปถามโดยตรงนัก หากไม่ใช่ช่วงเวลาที่ตัวเองโกรธจัด ๆ ซึ่งเขาก็ไม่ใช่คนขี้โมโหหรือโกรธใครง่าย ๆ เสียด้วย มีหลายครั้งที่เดินวนไปวนมาหน้าบ้าน เพราะลังเลว่าจะเอาไปถามเอาข้อเท็จจริง แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้แล้วเดินเข้าบ้านเหมือนเคย
“แพรว่าพี่ขี้ขลาดปะ” จู่ ๆ พจนวีร์ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ในขณะที่แอบแง้มหน้าต่างบนห้องนอนเฝ้ามองชายชรากลับบ้าง
“ไม่นะคะ น้อยครั้งที่พี่วีจะตัดสินใจอะไรผิดพลาด ไม่ว่าพี่คิดจะทำอะไร แพรจะเป็นกำลังใจให้ค่ะ”
“....” เขาไม่ตอบอะไร มีแต่เสียงถอนหายใจเท่านั้นที่ดังขึ้นมา
กริ้ง กริ้ง กริ้ง
ทันใดนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์สะกิดให้เขาหยุดการกระทำอันโรคจิตนั้นลง พจนวีร์รีบไปรับสายก่อนที่คนโทรเข้ามาจะยอมแพ้และเลิกถือสายไป หากเป็นข่าวดีเกรงว่าจะไม่ได้รับรู้ทันท่วงที จนเป็นอันต้องปัดไปวันอื่น ๆ
“วีครับ”
[ไงไอ้วี]
น้ำเสียงเช่นนี้พจนวีร์จำได้ทันทีว่าเขาคือ ‘สันติ’ เพื่อนตั้งแต่มัธยมนั้นเอง
“มึงนี่เอง มีอะไรล่ะ”
[จะมีอะไร๊ ก็โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบนั่นแหละ]
“กูสบายดี”
[แล้วช่วงนี้มึงทำอะไรวะ]
“นั่งอ่านหนังสือเหมือนเดิมนั่นแหละ เจ้าแพรชอบอ่านนิยายแนวสืบสวน กูไม่มีอะไรทำเลยแอบไปจิ๊กมาอ่าน เยอะซะจนไปสมัคเป็นพนักงานโรงหนัง”
[อ้าว มึงได้งานแล้วเหรอ ทำไมไม่บอกกันบ้างวะ]
“มันไม่ใช่งานที่กูภูมิใจจะบอกนี่หว่า”
[โถ่ อย่างน้อยก็รายงานชีวิตให้เพื่อนฝูงรู้บ้าง คนเป็นห่วงมึงเยอะ]
“เอ่อ ขอบใจ...” จบคำพูดนี้พจนวีร์ได้ยินเสียงของสันติคุยเรื่องข้าวเย็นกับใครสักคน
เขาคิดว่าคงเป็นคนในครอบครัวที่บังเอิญผ่านมาเจอเพื่อนคนนี้กำลังคุยโทรศัพท์ จึงสบโอกาสถามเสียเลย ซึ่งน้ำเสียงของสันติดูหงุดหงิดอย่างมากที่ถูกแทรก
[โทษทีวะมึง ย่ามาขัดจังหวะพอดี]
“มึงโชคดีนะที่เลือกเรียนบัญชี ตราบใดที่โลกใบนี้หมุนด้วยเงิน อาชีพนี้คงจะกลายเป็นอาชีพที่เก่าแก่ของโลก พอ ๆ กับโสเภณี”
เมื่อได้ยินเสียงของสันติเคลียร์ธุระกับคนที่บ้านเสร็จแล้ว พจนวีร์จังตัดพ้อกับชีวิตตัวเองเล็กน้อย และชื่นชมสันติที่สายตาแหลมคมเลือกเรียนคณะดี ๆ ไม่ทำให้ตัวเองลำบาก
[ไม่หรอกน่า จังหวะชีวิตทุกคนมันไม่เหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรรับประกันได้ว่าพนักงานบัญชีจะไม่ตกงาน มึงอย่าเอาตัวเองไปเทียบคนอื่นสิวะ มึงก็มีดีในแบบของมึง แค่ช่วงนี้อาจจะดวงตกเท่านั้นเอง]
“กูขอบใจมึงมาก"
[เอ้อ!กูมีเพื่อนเขียนแบบสถาปัตย์ ช่วงนี้มันฝึกโปรแกรม...เอ่อ...ห่าอะไรซักอย่างนี่แหละ ต่อไปใครใช้คอมพ์คล่องจะได้เปรียบนะ มึงลองใช้เวลาว่างช่วงนี้ลองศึกษาดูมั้ย]
“มึงดูราคาคอมพ์แต่ละเครื่องก่อน ครึ่งแสนเป็นอย่างต่ำ กูจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อ”
[เดินไปทางไหนก็ไม่ได้เลยเหรอวะ]
“กูขอบใจมึงนะไอ้ติ ที่มึงแนะนำมาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์หรอก ใครจะไปรู้พรุ่งนี้กูอาจจะถูกหวยก็ได้”
[กูขอให้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เถอะ สาธุ]
“ฮ่า ๆ มึงจะบวชด้วยมั้ยไหน ๆ ก็สาธุแล้ว”
[ไม่เอาโว้ย]
“เอ่อ ไอ้ติมึงได้ตามคดีศพไม่มีหัวมั้ย”
[ถึงไม่ตามกูก็รู้โว้ย ออกข่าวถี่ขนาดนั้น]
“มึงคิดว่าใครเป็นฆาตกร”
[ใครจะไปรู้ เมื่อวันก่อนโน้นมึงก็ถามเรื่องนี้]
“ก็บอกแล้วไง ว่าช่วงนี้กูอ่านแนวนี้เยอะ จนกูคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นนักเขียนนิยายซะด้วยซ้ำมั้ง”
[ฮ่าๆ ๆ ๆ ถามจรี๊งไอ้วี!อย่างมึงกับการเป็นนักเขียนมันห่างไกลกันมากนะโว้ย]
“น้ำเสียงแบบนี้มึงดูถูกกูเกินไป ไอ้ติ! วันข้างหน้ากูดังกูจะทำเป็นไม่รู้จักมึง”
[ครับ ๆ คุณพจนวีร์ นักเขียนซีไรท์ชื่อดัง]
“ไอ้ห่ามึงนี่!”
[แล้วความเห็นของคุณนักเขียนชื่อดัง คิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ] เมื่อเห็นของพจนวีร์ดูร่าเริงเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สันติจึงหาเรื่องคุยต่อ อย่างน้อยช่วงเวลาสั้น ๆ ไอ้เพื่อนบ้ามันจะได้มีความสุขบ้าง
“กูไม่รู้ ไม่ได้สนใจเรื่องจริงขนาดนั้น แต่ถ้ากูลองดัดแปลงมาเป็นนิยาย กูจะออกแบบให้มันเป็นการฆ่าสุ่มเหมือนเรื่องฆาตกรรม abc ของอกาธา คริสตี้ เรื่องมันจะได้น่าสนใจหน่อย”
[งี้มันก็ก๊อปอะดิ]
“ทำไมอะ ละครเมื่อปี 28 ยังเคยก๊อป death on the nile ของป้าคริสตี้เลย”
[กูไม่รู้จักหรอก เอาเป็นว่ากูเป็นกำลังใจให้]
“ขอบใจเว้ยเพื่อน”
[วี...] จู่ ๆ น้ำเสียงของสันติที่เปล่งออกมาจากปลายสายก็เปลี่ยนอารมณ์ไปอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรรึเปล่า”
[กูว่ามึงบอกพ่อแม่มึงไปเถอะ จะได้ไม่ต้องมานั่งอมทุกข์แบบนี้ นี่มันก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะ]
“อืม...กูเข้าใจที่มึงบอก”
ทั้งคู่หยุดบทสนทนาไว้เท่านั้น และสิ่งที่สันติได้เอ่ยเตือนเขามันทำให้ความหม่นหมองกลับมาอีกครั้ง สายตาเลื่อนลอยอย่างเคยยืนมองโทรศัพท์สีขาวอยู่เนิ่นนาน กระทั่งรู้สึกถึงสายลมเย็นวาบเข้ามาปะทะด้านหลัง
“เจ้าแพร...”
“แพรเป็นกำลังใจให้พี่นะคะ แพรรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะก้าวข้ามปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้”
“พี่เหมือนคนขี้ขลาด กลายเป็นคนไม่ได้เรื่องไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่จริงหรอกค่ะ คนเรามีวิธีรับมือต่างกัน ปัญหาตอนนี้มันอาจจะเป็นใหม่จนพี่หาวิธีแก้ยังไม่ได้ แต่แพรเชื่อว่าพี่จะผ่านมันไปได้”
“มันจะดีกว่านี้ ถ้าแพรบอกอะไรพี่บ้าง”
พจนวีร์เหมือนคนหมดเรี่ยวแรงจะเดินต่อ เขาถดตัวถอยหลังไปหน้าต่างเล็กน้อย แต่ลืมไปว่าตัวเองนั้นเปิดมันเอาไว้ จึงเกือบทำให้หงายหลังตกลงไป
“ห่าเอ้ย!กู”
เขาหันตัวไปหมายจะปิด เพราะรู้สึกหงุดหงิดใจจนอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่สายตาจากชายชราฝั่งตรงข้ามก็คอยจดจ้องขึ้นมาอีกครั้ง
“อะไรกันนักกันหนาวะ มองห่าอะไร!”
พจนวีร์หมดความอดทน จึงรูดม่านที่บดบังอยู่ตะโกนด่าออกไป และยังไม่ทันจะมองปฏิกิริยาว่าลุงเจ้าของร้านขายของชำจะมีสีหน้าอย่างไร เขาย่ำฝีเท้าหนักเดินลงไปด้านล่าง หมายจะเดินไปกระชากคอเสื้อเอาข้อเท็จจริง
และเมื่อผลักประตูออกไป ก็คิดว่าชายแก่จะมีสีหน้าหวาดกลัวคนหนุ่มที่กำลังอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างเขาบ้าง แต่เปล่าเลย!
เมื่อชายชราเดินเข้ามาปะทะเขาอย่างรวดเร็วเช่นกัน!
“มึงระวังตัวเอาไว้ไอ้หนุ่ม!”
กลับเป็นเขาเองที่หยุดชะงัก และสีหน้าอื้ออึงไปกับคำพูดที่ดุดัน ผิดกับร่างกายแก่ชราที่แบกหลังค่อมโก่งเดินเข้ามาชี้หน้า
“ระวัง...?”
“มีคนมาด้อม ๆ มอง ๆ บ้านมึงหลายวันแล้ว มึงไปทำอะให้ใครไม่พอใจรึเปล่า”
สิ้นน้ำเสียงแหบพร่าพจนวีร์ขนลุก มันไล่เรียงกันตามแนวแขนอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านั้นยังเสียวสันหลังวาบไปกับคำตอบที่คาดไม่ถึงของชายชรา
เมื่อตั้งสติกับความหวาดผวาตรงหน้าได้ เขาจึงถามออกไปเกี่ยวกับรายละเอียด เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น และได้ความว่า...
คุณลุงมักตื่นเช้าตามประสาผู้ค้าขาย ทุก ๆ วันหยุด ตอนตีสี่ตีห้าจะมีชายสวมเสื้อฮูดมายืนวนเวียนที่หน้าบ้านผม ในตอนแรกคุณลุงไม่ได้คิดอะไรมาก นึกว่าเป็นวัยรุ่นทั่วไปที่แอบพ่อแม่ออกมาจากบ้านเพื่อมาสูบบุหรี่ เพราะเขาสังเกตเห็นควันไฟลอยฟุ้งมาเรื่อย ๆ ระวังที่คนปริศนานั้นยืนนิ่ง
ดังนั้นพจนวีร์จึงหมดอารมณ์เดินเล่นไปเสียดื้อ ๆ กลับกลายเป็นความรู้สึกหวาดกลัวเข้ามาแทนที่ เขาเดินเข้าไปในบ้านด้วยสายตาเลื่อนลอยเหมือนเคย แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากอีกแล้ว มันคือความสับสน มึนงง ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่สิ่งที่เขาคิดได้อย่างเดียวในตอนนี้คือการเดินไปยังโทรศัพท์และกดหมายเลขประจำที่เขามักโทรไปหา
......
เสียงสัญญาณยังคงดังต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เมื่อไร้คนรับสายที่ปลายทาง แต่มันก็ไม่นานจนพจนวีร์ท้อแท้
[สวัสดีค่ะ นกค่ะ]
“แม่ครับ ผมมีเรื่องจะบอก”
นี่คือความกล้าหาญที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตเขา พจนวีร์เชื่อว่าปัญหาและความอึดอัดที่หลอกหลอนมาเป็นอาทิตย์จะคลี่คลายลงเสียที
เขาพร้อมยอมรับทุกการกระทำของตัวเอง แม้จะถูกต่อว่าจากพ่อแม่มากแค่ไหนก็ตาม
สิ่งนี้ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อน้องสาว และรักษาครอบครัวที่มันกำลังจะพังทลาย...
พจนวีร์ยืนฟังเสียงกรีดร้องที่บ่งบอกถึงความเสียใจอย่างสุดซึ้งของคุณแม่ มันยิ่งกว่าเสียงสะอื้นที่แม่จับได้ว่าพ่อนอกใจเสียอีก และเสียตัดพ้อต่อว่าอีกมากมาย ที่ทำเอาหยดน้ำจากเบ้าตาที่ร้อนแผ่วไหลรินลงมาตามผู้เป็นแม่
“ทำไมวีเพิ่งมาบอกแม่!ทำไม!”