ตกงาน เมียทิ้ง และยังถูกจ้องจากคุณตาที่แก่หงําเหงือกเจ้าของร้านโชห่วยจนพจนวีร์หวาดระแวงในการใช้ชีวิต มันต้องมีอะไรแน่ๆ ปริศนาของสายตาลับๆล่อๆ เช่นนั้น...แล้วคุณล่ะคิดว่าเขาหลอนไปเองหรือเปล่า

TOUCH การรอคอยของพี่ชาย - Chapter2 ศพหัวขาดคือนักศึกษา โดย Di-N(ดิเอ็น) @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,ครอบครัว,ฆาตรกรรม,ฆาตกรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

TOUCH การรอคอยของพี่ชาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ครอบครัว,ฆาตรกรรม,ฆาตกรรม,ดราม่า

รายละเอียด

ตกงาน เมียทิ้ง และยังถูกจ้องจากคุณตาที่แก่หงําเหงือกเจ้าของร้านโชห่วยจนพจนวีร์หวาดระแวงในการใช้ชีวิต มันต้องมีอะไรแน่ๆ ปริศนาของสายตาลับๆล่อๆ เช่นนั้น...แล้วคุณล่ะคิดว่าเขาหลอนไปเองหรือเปล่า

ผู้แต่ง

Di-N(ดิเอ็น)

เรื่องย่อ



รอบนี้เป็นเรื่องสั้น 4 ตอนจบค่ะ


เป็นเรื่องราวของชายวัย 27 ปี ที่กำลังจะเจอมรสุมชีวิต และในขณะที่ไม่รู้จะทำยังไงต่อ


เขาใช้ช่วงเวลาหมดอาลัยตายอยากหยิบหนังสือนิยายสืบสวนของน้องสาวมาอ่าน


ประจวบเหมาะกับตอนนี้เกิดคดีฆาตกรรมศพหัวขาดพอดี เขาลองเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง


เพื่อนก็หัวเราะแล้วบอกว่าพระเอกว่า ไปไม่รอดกับอาชีพนักเขียนหรอก


แต่ใครจะไปรู้ว่าคดีนี้จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเอกรอคอยมาเนิ่นนาน


เรื่องนี้เราลองให้พี่ที่รู้จักลองอ่านดู และนี้คือคำรีวิวที่ Bata read ให้มาค้าาา


___________________________________


"อ่านเเล้วรู้สึกได้ถึงความเศร้าของพี่ชายที่รออะไรบางอย่างเป็นเวลาหลายปี เเต่ก็ต้องผิดหวังสิ่งนั้นเขารักษาเอาไว้ไม่ได้


นอกจากความเศร้า การบรรยายความผูกพันระหว่างพี่น้อง เเม่กับลูกชายก็ทำได้ดี บทสนทนาสั้นๆ เเต่อ่านเเล้วสะเทือนใจ เนื่อเรื่องหักมุมได้ดี เเล้วก็การจัดฉากเเละเหตุการณ์ย้อนอดีตไปช่วงเวลา 29 ปีที่เเล้วค้นคว่าออกมาได้สมจริง"

___________________________________

สารบัญ

TOUCH การรอคอยของพี่ชาย-Chapter1 มรสุมของชายคนหนึ่ง,TOUCH การรอคอยของพี่ชาย-Chapter2 ศพหัวขาดคือนักศึกษา,TOUCH การรอคอยของพี่ชาย-Chapter3 บันทึกของชายวัยกลางคน,TOUCH การรอคอยของพี่ชาย-Chapter4 ด้วยรักจากพี่วี(End)

เนื้อหา

Chapter2 ศพหัวขาดคือนักศึกษา

‘พจนวีร์’ มองภาพข่าวในทีวีด้วยลมหายใจแรง จนกระทบไปยังไหล่หนาทั้งสองข้างทำให้มันยกขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเลือดในกายก็กำลังสูบฉีดอย่างเร็วถี่ ราวกับว่าเขาเพิ่งหลุดพ้นจากการวิ่งหนีสิ่งที่น่ากลัวได้อย่างหวุดหวิด

“ตำรวจได้ความคืบหน้าแล้ว ทราบว่าศพไม่มีหัวเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาลัย xxx โดยญาติได้เข้ามาแจ้งความกับตำรวจ และบอกว่าลูกสาวได้หายตัวไปสองสามวันแล้ว ไม่แน่ใจว่าศพจะใช่หรือเปล่า เพราะบริเวณนั้นใกล้กับหอพักที่ลูกสาวอาศัยอยู่ และเมื่อถูกยืนยันแล้วว่าเป็นนางสาว A คนเป็นแม่เป็นลมในทันที”

เนื้อความในข่าวทำให้เขาพอจะโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง ตั้งแต่ติดตามข่าวนี้ก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับเต็มไปหมด โดยเฉพาะการเฝ้ามองจากลุงเจ้าของร้านโชห่วยตรงกันข้าม แต่เขาก็ไม่กล้าเดินเข้าไปถามโดยตรงนัก หากไม่ใช่ช่วงเวลาที่ตัวเองโกรธจัด ๆ ซึ่งเขาก็ไม่ใช่คนขี้โมโหหรือโกรธใครง่าย ๆ เสียด้วย มีหลายครั้งที่เดินวนไปวนมาหน้าบ้าน เพราะลังเลว่าจะเอาไปถามเอาข้อเท็จจริง แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้แล้วเดินเข้าบ้านเหมือนเคย

“แพรว่าพี่ขี้ขลาดปะ” จู่ ๆ พจนวีร์ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ในขณะที่แอบแง้มหน้าต่างบนห้องนอนเฝ้ามองชายชรากลับบ้าง

“ไม่นะคะ น้อยครั้งที่พี่วีจะตัดสินใจอะไรผิดพลาด ไม่ว่าพี่คิดจะทำอะไร แพรจะเป็นกำลังใจให้ค่ะ”

“....” เขาไม่ตอบอะไร มีแต่เสียงถอนหายใจเท่านั้นที่ดังขึ้นมา



กริ้ง กริ้ง กริ้ง

ทันใดนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์สะกิดให้เขาหยุดการกระทำอันโรคจิตนั้นลง พจนวีร์รีบไปรับสายก่อนที่คนโทรเข้ามาจะยอมแพ้และเลิกถือสายไป หากเป็นข่าวดีเกรงว่าจะไม่ได้รับรู้ทันท่วงที จนเป็นอันต้องปัดไปวันอื่น ๆ

“วีครับ”

[ไงไอ้วี]

น้ำเสียงเช่นนี้พจนวีร์จำได้ทันทีว่าเขาคือ ‘สันติ’ เพื่อนตั้งแต่มัธยมนั้นเอง

“มึงนี่เอง มีอะไรล่ะ”

[จะมีอะไร๊ ก็โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบนั่นแหละ]

“กูสบายดี”

[แล้วช่วงนี้มึงทำอะไรวะ]

“นั่งอ่านหนังสือเหมือนเดิมนั่นแหละ เจ้าแพรชอบอ่านนิยายแนวสืบสวน กูไม่มีอะไรทำเลยแอบไปจิ๊กมาอ่าน เยอะซะจนไปสมัคเป็นพนักงานโรงหนัง”

[อ้าว มึงได้งานแล้วเหรอ ทำไมไม่บอกกันบ้างวะ]

“มันไม่ใช่งานที่กูภูมิใจจะบอกนี่หว่า”

[โถ่ อย่างน้อยก็รายงานชีวิตให้เพื่อนฝูงรู้บ้าง คนเป็นห่วงมึงเยอะ]

“เอ่อ ขอบใจ...” จบคำพูดนี้พจนวีร์ได้ยินเสียงของสันติคุยเรื่องข้าวเย็นกับใครสักคน

เขาคิดว่าคงเป็นคนในครอบครัวที่บังเอิญผ่านมาเจอเพื่อนคนนี้กำลังคุยโทรศัพท์ จึงสบโอกาสถามเสียเลย ซึ่งน้ำเสียงของสันติดูหงุดหงิดอย่างมากที่ถูกแทรก

[โทษทีวะมึง ย่ามาขัดจังหวะพอดี]

“มึงโชคดีนะที่เลือกเรียนบัญชี ตราบใดที่โลกใบนี้หมุนด้วยเงิน อาชีพนี้คงจะกลายเป็นอาชีพที่เก่าแก่ของโลก พอ ๆ กับโสเภณี”

เมื่อได้ยินเสียงของสันติเคลียร์ธุระกับคนที่บ้านเสร็จแล้ว พจนวีร์จังตัดพ้อกับชีวิตตัวเองเล็กน้อย และชื่นชมสันติที่สายตาแหลมคมเลือกเรียนคณะดี ๆ ไม่ทำให้ตัวเองลำบาก

[ไม่หรอกน่า จังหวะชีวิตทุกคนมันไม่เหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรรับประกันได้ว่าพนักงานบัญชีจะไม่ตกงาน มึงอย่าเอาตัวเองไปเทียบคนอื่นสิวะ มึงก็มีดีในแบบของมึง แค่ช่วงนี้อาจจะดวงตกเท่านั้นเอง]

“กูขอบใจมึงมาก"

[เอ้อ!กูมีเพื่อนเขียนแบบสถาปัตย์ ช่วงนี้มันฝึกโปรแกรม...เอ่อ...ห่าอะไรซักอย่างนี่แหละ ต่อไปใครใช้คอมพ์คล่องจะได้เปรียบนะ มึงลองใช้เวลาว่างช่วงนี้ลองศึกษาดูมั้ย]

“มึงดูราคาคอมพ์แต่ละเครื่องก่อน ครึ่งแสนเป็นอย่างต่ำ กูจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อ”

[เดินไปทางไหนก็ไม่ได้เลยเหรอวะ]

“กูขอบใจมึงนะไอ้ติ ที่มึงแนะนำมาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์หรอก ใครจะไปรู้พรุ่งนี้กูอาจจะถูกหวยก็ได้”

[กูขอให้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เถอะ สาธุ]

“ฮ่า ๆ มึงจะบวชด้วยมั้ยไหน ๆ ก็สาธุแล้ว”

[ไม่เอาโว้ย]

“เอ่อ ไอ้ติมึงได้ตามคดีศพไม่มีหัวมั้ย”

[ถึงไม่ตามกูก็รู้โว้ย ออกข่าวถี่ขนาดนั้น]

“มึงคิดว่าใครเป็นฆาตกร”

[ใครจะไปรู้ เมื่อวันก่อนโน้นมึงก็ถามเรื่องนี้]

“ก็บอกแล้วไง ว่าช่วงนี้กูอ่านแนวนี้เยอะ จนกูคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นนักเขียนนิยายซะด้วยซ้ำมั้ง”

[ฮ่าๆ ๆ ๆ ถามจรี๊งไอ้วี!อย่างมึงกับการเป็นนักเขียนมันห่างไกลกันมากนะโว้ย]

“น้ำเสียงแบบนี้มึงดูถูกกูเกินไป ไอ้ติ! วันข้างหน้ากูดังกูจะทำเป็นไม่รู้จักมึง”

[ครับ ๆ คุณพจนวีร์ นักเขียนซีไรท์ชื่อดัง]

“ไอ้ห่ามึงนี่!”

[แล้วความเห็นของคุณนักเขียนชื่อดัง คิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ] เมื่อเห็นของพจนวีร์ดูร่าเริงเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สันติจึงหาเรื่องคุยต่อ อย่างน้อยช่วงเวลาสั้น ๆ ไอ้เพื่อนบ้ามันจะได้มีความสุขบ้าง

“กูไม่รู้ ไม่ได้สนใจเรื่องจริงขนาดนั้น แต่ถ้ากูลองดัดแปลงมาเป็นนิยาย กูจะออกแบบให้มันเป็นการฆ่าสุ่มเหมือนเรื่องฆาตกรรม abc ของอกาธา คริสตี้ เรื่องมันจะได้น่าสนใจหน่อย”

[งี้มันก็ก๊อปอะดิ]

“ทำไมอะ ละครเมื่อปี 28 ยังเคยก๊อป death on the nile ของป้าคริสตี้เลย”

[กูไม่รู้จักหรอก เอาเป็นว่ากูเป็นกำลังใจให้]

“ขอบใจเว้ยเพื่อน”

[วี...] จู่ ๆ น้ำเสียงของสันติที่เปล่งออกมาจากปลายสายก็เปลี่ยนอารมณ์ไปอย่างเห็นได้ชัด

“มีอะไรรึเปล่า”

[กูว่ามึงบอกพ่อแม่มึงไปเถอะ จะได้ไม่ต้องมานั่งอมทุกข์แบบนี้ นี่มันก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะ]

“อืม...กูเข้าใจที่มึงบอก”

ทั้งคู่หยุดบทสนทนาไว้เท่านั้น และสิ่งที่สันติได้เอ่ยเตือนเขามันทำให้ความหม่นหมองกลับมาอีกครั้ง สายตาเลื่อนลอยอย่างเคยยืนมองโทรศัพท์สีขาวอยู่เนิ่นนาน กระทั่งรู้สึกถึงสายลมเย็นวาบเข้ามาปะทะด้านหลัง

“เจ้าแพร...”

“แพรเป็นกำลังใจให้พี่นะคะ แพรรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะก้าวข้ามปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้”

“พี่เหมือนคนขี้ขลาด กลายเป็นคนไม่ได้เรื่องไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่จริงหรอกค่ะ คนเรามีวิธีรับมือต่างกัน ปัญหาตอนนี้มันอาจจะเป็นใหม่จนพี่หาวิธีแก้ยังไม่ได้ แต่แพรเชื่อว่าพี่จะผ่านมันไปได้”

“มันจะดีกว่านี้ ถ้าแพรบอกอะไรพี่บ้าง”

พจนวีร์เหมือนคนหมดเรี่ยวแรงจะเดินต่อ เขาถดตัวถอยหลังไปหน้าต่างเล็กน้อย แต่ลืมไปว่าตัวเองนั้นเปิดมันเอาไว้ จึงเกือบทำให้หงายหลังตกลงไป

“ห่าเอ้ย!กู”

เขาหันตัวไปหมายจะปิด เพราะรู้สึกหงุดหงิดใจจนอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่สายตาจากชายชราฝั่งตรงข้ามก็คอยจดจ้องขึ้นมาอีกครั้ง

“อะไรกันนักกันหนาวะ มองห่าอะไร!”

พจนวีร์หมดความอดทน จึงรูดม่านที่บดบังอยู่ตะโกนด่าออกไป และยังไม่ทันจะมองปฏิกิริยาว่าลุงเจ้าของร้านขายของชำจะมีสีหน้าอย่างไร เขาย่ำฝีเท้าหนักเดินลงไปด้านล่าง หมายจะเดินไปกระชากคอเสื้อเอาข้อเท็จจริง

และเมื่อผลักประตูออกไป ก็คิดว่าชายแก่จะมีสีหน้าหวาดกลัวคนหนุ่มที่กำลังอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างเขาบ้าง แต่เปล่าเลย!

เมื่อชายชราเดินเข้ามาปะทะเขาอย่างรวดเร็วเช่นกัน!

“มึงระวังตัวเอาไว้ไอ้หนุ่ม!”



กลับเป็นเขาเองที่หยุดชะงัก และสีหน้าอื้ออึงไปกับคำพูดที่ดุดัน ผิดกับร่างกายแก่ชราที่แบกหลังค่อมโก่งเดินเข้ามาชี้หน้า

“ระวัง...?”

“มีคนมาด้อม ๆ มอง ๆ บ้านมึงหลายวันแล้ว มึงไปทำอะให้ใครไม่พอใจรึเปล่า”

สิ้นน้ำเสียงแหบพร่าพจนวีร์ขนลุก มันไล่เรียงกันตามแนวแขนอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านั้นยังเสียวสันหลังวาบไปกับคำตอบที่คาดไม่ถึงของชายชรา

เมื่อตั้งสติกับความหวาดผวาตรงหน้าได้ เขาจึงถามออกไปเกี่ยวกับรายละเอียด เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น และได้ความว่า...

คุณลุงมักตื่นเช้าตามประสาผู้ค้าขาย ทุก ๆ วันหยุด ตอนตีสี่ตีห้าจะมีชายสวมเสื้อฮูดมายืนวนเวียนที่หน้าบ้านผม ในตอนแรกคุณลุงไม่ได้คิดอะไรมาก นึกว่าเป็นวัยรุ่นทั่วไปที่แอบพ่อแม่ออกมาจากบ้านเพื่อมาสูบบุหรี่ เพราะเขาสังเกตเห็นควันไฟลอยฟุ้งมาเรื่อย ๆ ระวังที่คนปริศนานั้นยืนนิ่ง

ดังนั้นพจนวีร์จึงหมดอารมณ์เดินเล่นไปเสียดื้อ ๆ กลับกลายเป็นความรู้สึกหวาดกลัวเข้ามาแทนที่ เขาเดินเข้าไปในบ้านด้วยสายตาเลื่อนลอยเหมือนเคย แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากอีกแล้ว มันคือความสับสน มึนงง ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่สิ่งที่เขาคิดได้อย่างเดียวในตอนนี้คือการเดินไปยังโทรศัพท์และกดหมายเลขประจำที่เขามักโทรไปหา

......

เสียงสัญญาณยังคงดังต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เมื่อไร้คนรับสายที่ปลายทาง แต่มันก็ไม่นานจนพจนวีร์ท้อแท้

[สวัสดีค่ะ นกค่ะ]

“แม่ครับ ผมมีเรื่องจะบอก”

นี่คือความกล้าหาญที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตเขา พจนวีร์เชื่อว่าปัญหาและความอึดอัดที่หลอกหลอนมาเป็นอาทิตย์จะคลี่คลายลงเสียที

เขาพร้อมยอมรับทุกการกระทำของตัวเอง แม้จะถูกต่อว่าจากพ่อแม่มากแค่ไหนก็ตาม

สิ่งนี้ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อน้องสาว และรักษาครอบครัวที่มันกำลังจะพังทลาย...

พจนวีร์ยืนฟังเสียงกรีดร้องที่บ่งบอกถึงความเสียใจอย่างสุดซึ้งของคุณแม่ มันยิ่งกว่าเสียงสะอื้นที่แม่จับได้ว่าพ่อนอกใจเสียอีก และเสียตัดพ้อต่อว่าอีกมากมาย ที่ทำเอาหยดน้ำจากเบ้าตาที่ร้อนแผ่วไหลรินลงมาตามผู้เป็นแม่

“ทำไมวีเพิ่งมาบอกแม่!ทำไม!”