ตกงาน เมียทิ้ง และยังถูกจ้องจากคุณตาที่แก่หงําเหงือกเจ้าของร้านโชห่วยจนพจนวีร์หวาดระแวงในการใช้ชีวิต มันต้องมีอะไรแน่ๆ ปริศนาของสายตาลับๆล่อๆ เช่นนั้น...แล้วคุณล่ะคิดว่าเขาหลอนไปเองหรือเปล่า

TOUCH การรอคอยของพี่ชาย - Chapter3 บันทึกของชายวัยกลางคน โดย Di-N(ดิเอ็น) @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว,ครอบครัว,ฆาตรกรรม,ฆาตกรรม,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

TOUCH การรอคอยของพี่ชาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,อาชญากรรม,ดราม่า,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ครอบครัว,ฆาตรกรรม,ฆาตกรรม,ดราม่า

รายละเอียด

ตกงาน เมียทิ้ง และยังถูกจ้องจากคุณตาที่แก่หงําเหงือกเจ้าของร้านโชห่วยจนพจนวีร์หวาดระแวงในการใช้ชีวิต มันต้องมีอะไรแน่ๆ ปริศนาของสายตาลับๆล่อๆ เช่นนั้น...แล้วคุณล่ะคิดว่าเขาหลอนไปเองหรือเปล่า

ผู้แต่ง

Di-N(ดิเอ็น)

เรื่องย่อ



รอบนี้เป็นเรื่องสั้น 4 ตอนจบค่ะ


เป็นเรื่องราวของชายวัย 27 ปี ที่กำลังจะเจอมรสุมชีวิต และในขณะที่ไม่รู้จะทำยังไงต่อ


เขาใช้ช่วงเวลาหมดอาลัยตายอยากหยิบหนังสือนิยายสืบสวนของน้องสาวมาอ่าน


ประจวบเหมาะกับตอนนี้เกิดคดีฆาตกรรมศพหัวขาดพอดี เขาลองเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง


เพื่อนก็หัวเราะแล้วบอกว่าพระเอกว่า ไปไม่รอดกับอาชีพนักเขียนหรอก


แต่ใครจะไปรู้ว่าคดีนี้จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเอกรอคอยมาเนิ่นนาน


เรื่องนี้เราลองให้พี่ที่รู้จักลองอ่านดู และนี้คือคำรีวิวที่ Bata read ให้มาค้าาา


___________________________________


"อ่านเเล้วรู้สึกได้ถึงความเศร้าของพี่ชายที่รออะไรบางอย่างเป็นเวลาหลายปี เเต่ก็ต้องผิดหวังสิ่งนั้นเขารักษาเอาไว้ไม่ได้


นอกจากความเศร้า การบรรยายความผูกพันระหว่างพี่น้อง เเม่กับลูกชายก็ทำได้ดี บทสนทนาสั้นๆ เเต่อ่านเเล้วสะเทือนใจ เนื่อเรื่องหักมุมได้ดี เเล้วก็การจัดฉากเเละเหตุการณ์ย้อนอดีตไปช่วงเวลา 29 ปีที่เเล้วค้นคว่าออกมาได้สมจริง"

___________________________________

สารบัญ

TOUCH การรอคอยของพี่ชาย-Chapter1 มรสุมของชายคนหนึ่ง,TOUCH การรอคอยของพี่ชาย-Chapter2 ศพหัวขาดคือนักศึกษา,TOUCH การรอคอยของพี่ชาย-Chapter3 บันทึกของชายวัยกลางคน,TOUCH การรอคอยของพี่ชาย-Chapter4 ด้วยรักจากพี่วี(End)

เนื้อหา

Chapter3 บันทึกของชายวัยกลางคน

-ปี 2024 -

ผม ‘พจนวีร์ วดีพาณิชย์’ ในวัย 56 นึกไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรวิกฤตอะไรสู้ช่วงอายุ 27 ปีของผมได้หรือไม่

ทุกคนเรียกว่าผมสั้น ๆ ว่า วี,พี่วี หรือ ป๊ะป๋าวี ของลูก ๆ

และมีเรื่องหนึ่ง ที่ยังติดในความทรงจำของผมเป็นอย่างดี ชนิดที่ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีวันลืม



“พี่วี แพรจะไปนอนบ้านเพื่อนนะ”

น้องสาวคนเดียวของผม ย่องมาเกาะขอบประตูห้องในขณะที่ผมกำลังนอนเล่นกับลูกสาววัย 1 ขวบ

“เพื่อนไหนเมื่อไหร่ ผู้หญิงผู้ชาย”

ผมย้อนถามเธอด้วยคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย คิดถึงตอนนั้นผมก็ขำนะ เหมือนพ่อแก่ ๆ ที่เริ่มรู้ว่าลูกสาวไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ถึงได้แปลงร่างเป็นชายที่พร้อมติดหนวดถือปืนเฝ้ามองว่าแพรจะพาแฟนคนไหนมาแนะนำให้รู้จัก อาจเป็นเพราะผมกับน้องอายุห่างกันมากก็ได้ ความสัมพันธ์จึงเหมือนพ่อลูกมากกว่าพี่น้อง แต่ถึงจะทำหน้าดุเช่นนั้นผมก็อนุญาตเธอนะ



“คุณคะ!”

น้ำเสียงตื่นกลัวจากหญิงสาววัยไล่เลี่ยกัน มาหยุดอยู่หน้าห้องทำงาน เธอเหนื่อยหอบจากการวิ่งขึ้นมา จนผมต้องหยุดตรวจต้นฉบับในคอมพิวเตอร์และหันไปหาว่ามีอะไร ทำไมถึงดูรีบร้อนเช่นนี้

“มีอะไรรึเปล่าบุษ” ผมเอ่ยถามบุษบาภรรยาคนที่สอง

“มีตำรวจมาหาค่ะ”

“ตำรวจ!?”

ผมตกใจเมื่อทราบว่าคนพวกนั้นเป็นใคร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมลงไปพบแต่โดยดี แม้ว่าการก้าวขาแต่ละครั้งมันจะหนักอึ้งจนเชื่องช้าราวกับรถของเล่นที่ถ่านกำลังใกล้จะหมด



“คุณพจนวีร์ใช่มั้ยครับ”

“ค...ครับ”

“เราพบร่างน้องสาวคุณแล้วครับ”



เพียงเท่านั้นผมร้องไห้โฮและทรุดตัวลงกับพื้นทันที เหมือนคนที่กำลังรอคอยอะไรสักอย่างมาทั้งชีวิตและได้หามันเจอ จนคุณตำรวจสองท่านตกใจทำตัวไม่ถูก อีกทั้งก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกยืนตามแรงประคองของทั้งสองท่านเลย กลับกันผมโผเข้าซบกับต้นขาของเจ้าหน้าที่โดยไม่อายอายุเลยสักนิด ทำให้ยูนิฟอร์มของพวกเขาเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา

เสียงของผมดังจนลูกทั้งสองคนวิ่งลงมาดู ก็พบภาพที่บุษบาเข้าสวบกอดผมและลูบหลังเบา ๆ ราวกับปลอบขวัญเด็กน้อย

“คุณตำรวจพูดจริงรึเปล่าครับ ไม่โกหกผมใช่มั้ยครับ...แพร...แพรกลับมาแล้วบุษ”

ผมพร่ำบอกภรรยาด้วยน้ำเสียงที่อู้อี้ เมื่อเธอกำลังแกะตัวผมออกจากคุณตำรวจแล้วจับผมเข้ามาซบอกตัวเอง บุษบารับรู้ว่าตลอดว่าสามีคนนี้มีปมชีวิตเกี่ยวกับน้องสาว

ตั้งแต่เจ้าแพรขออนุญาตไปนอนบ้านเพื่อน เธอก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย แต่บุษบาไม่คิดว่ามันจะเป็นความเสียใจจนผมปล่อยโฮไม่สนสายตาใครเช่นนี้

ปกติผมเป็นคนรักษาภาพลักษณ์จะตายไป ไม่อยากให้ใครเห็นว่าตัวเองนั้นอ่อนแอ โดยเฉพาะลูก ๆ เพราะฉะนั้นแล้วน้ำตาในวันนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ถึงความอัดอั้นที่มีมากกว่าสองทศวรรษ

วินาทีนั้น บุษบาบอกว่าตัวผมเหมือนเด็กที่ลงไปนอนดิ้นแล้วร้องไห้ ไม่เหลือมาดคุณพ่อที่สีหน้าจริงจังของลูก ๆ เลย เสียงสะอื้นก็ติดขัด จนเธอกลัวว่าผมจะหายใจไม่ทันและตายลงตรงนั้น

แต่มีอีกเรื่องที่ผมไม่เคยพูดกับใคร แม้แต่บุพการีของตัวเอง...

ผมสัมผัสถึงแพรได้ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่รู้ตัวว่าน้องหายไป มันคาบเกี่ยวกับตอนที่ภรรยาคนแรกมาขอหย่า ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองอาจจะอ่อนแอมากจนเกินสภาวะหลอนไปเอง

แต่วันที่ผมวางสายจากแม่เมื่อถามสารทุกข์สุกดิบเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ ประตูห้องมันก็เปิดเอง

...บอกตามตรงว่าหัวใจผมจะวายตาย...

ยิ่งเสียง ‘แอ๊ด’ ภายใต้บ้านที่เป็นตึกแถวเก่าโทรม ยิ่งไม่ต้องจินตนาการถึงความหลอนเลย โดยเฉพาะถ้าคุณอยู่คนเดียว

แต่ยังไม่พอ เมื่อปลายเตียงด้านหลังของผมมีการยุบตัวลงเหมือนมีใครบางคนมานั่งตรงนั้น ผมก็แทบก้าวขาไม่ออก

กระทั่งตัวที่แข็งทื่อเริ่มรู้สึกถึงสายลมเบาที่เยือกเย็น แต่มันกลับรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ความกลัวเมื่อสักครู่มันหายไปเป็นปลิดทิ้ง

และอะไรบางอย่างมันกำลังบอกผมในหัวว่าสิ่งนี้คือน้องสาวของผม....

ผมจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้กับความว่างเปล่านั่น เพราะถ้าหากมันเป็นเจ้าแพร ผมอยากให้เธอรับรู้ว่าพี่ชายคนนี้ไม่กลัว ไม่ว่าเธอจะอยู่ในสภาพไหน

“พี่ตกงาน ส่วนพ่อ...นอกจากจะตบแม่เหมือนเดิมยังแอบมีเมียน้อยอีก พี่หย่าแล้วนะ วิเขาทนอยู่ด้วยไม่ไหว ลูกก็ไม่ได้อยู่กับพี่ บอกตรง ๆ ว่าไม่มีปัญญาแย่งลูกกลับมา แม้แต่ชีวิตของแพรพี่ก็รับผิดชอบไม่ได้”

ผมนั่งพูดอยู่คนเดียว แต่ทันใดนั้นเองก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกพัดผ่านที่ต้นแขน

หากเชื่อตามคนทั่วไปในเรื่องเล่าสยองขวัญ สายลมเย็นนี้ก็คงเป็นผี แล้วผีทำปฏิกิริยาอะไรอยู่ล่ะ เดินผ่านผม? พูดคุยกับผม? อย่างนั้นหรือ...

“แต่พี่สัญญานะ ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น”

ผมยังคงระบายชีวิตเส็งเคร็งของตัวเองกับความว่างเปล่าไปเรื่อย ๆ



ตุ๊บ...

หนังสือของเจ้าแพร ที่มักจะมาวางทิ้งไว้ในห้องผมก็หล่นหงายหลัง เมื่อผมจับมันขึ้น ก็พบว่าเป็นหนังสือนิตยาสารวัยรุ่นเล่มหนึ่ง ที่มีโน้ตเตือนของรอบหนังในยุคนั้น

จู่ ๆ ผมก็คิดอะไรไม่รู้ว่าอยากไปดูหนัง ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่งานอดิเรกของผมเลย แต่มันเป็นของเจ้าแพร...

ผมเริ่มเชื่อทีละนิด ว่าสายลมเย็นในความว่างเปล่านั้นคือน้องสาว แต่มันก็มีทั้งความรู้สึกดีใจและเสียใจ เพราะถ้าผมเชื่อเช่นนั้น มันก็เท่ากับว่าเจ้าแพรไม่มีชีวิตอยู่แล้ว...

แม้ไม่อยากให้มันเป็นจริงสักเท่าไหร่ ผมก็ยังเอ่ยปากออกว่า

“งั้น...ไปดูหนังด้วยกันเนอะ”

วันนั้นทั้งวันผมเดินเที่ยวเตร่ไปเรื่อยเหมือนคนไร้จุดหมาย ซึ่งไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองอยู่คนเดียว ผมแวะเข้าร้านเทปและเจอวงโปรดของเจ้าแพร เธอเคยขอให้ผมซื้ออัลบัมนี้ให้ เพราะอันเก่าเจ้าตัวฟังจนเทปยานไปหมดแล้ว

เพิ่งซื้อให้แท้ ๆ ทุกคนลองคิดดูสิว่าเจ้าแพรมันต้องฟังทั้งวันทั้งคืนขนาดนั้นไหน ผมจึงตัดสินใจซื้อสิ่งนั้นแล้วลองเอามาฟังดูบ้าง และนั้นมันทำให้ผมกลายเป็นแฟน oasis ไปด้วย

แต่น่าเสียดายที่เธอมีชีวิตอยู่ไม่ถึงอัลบัมต่อ ๆ หรือมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้นะ...เพราะถ้าเธออยู่ก็คงต้องเจอกับเหตุการณ์โอเอซิสวงแตกในปี 2009

พวกคุณเชื่อไหม ในช่วงเวลานั้นผมทำทุกอย่างที่น้องผมชอบ ทั้งอ่านหนังสือฟังเพลง เพียงเพราะกลัวว่ากลัวสายลมที่พัดผ่านจะเหงา จนมันเป็นงานอดิเรกใหม่ของผมไปโดยปริยาย มันเพลิดเพลินจนลืมนึกไปว่ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพ่อแม่

เพราะผมรู้สึกผิดที่ดูแลน้องได้ไม่ดี ผมไม่แคร์ว่าพ่อจะรู้สึกอย่างไร นับตั้งแต่เขามีเมียน้อย พวกเราก็คงไม่ได้มีความสำคัญอะไรในสายตาอีกแล้ว แต่ผมกลัวแม่เสียใจ

...และผิดหวังในตัวของผม...

ช่วงนั้นชีวิตผมเหมือนถูกเมฆหมอกสีดำปกคลุม จนมองไม่เห็นว่าข้างหน้าจะทำอย่างไรต่อ

ไม่กล้าแม้แต่แจ้งเรื่องนี้กับตำรวจ เพราะมันประจวบเหมาะกับคดีดังช่วงนั้นพอดี “พบศพผู้หญิงไม่มีหัว” วินาทีที่ได้ยินรายงานข่าวในทีวี ผมหัวใจเต้นแรงจวนจะหลุดออกจากกาย กลัว...กลัวเหลือเกินว่านั่นจะเป็นน้องสาวของผม

แต่เมื่อข่าวรายงานเกี่ยวกับผลการพิสูจน์ ว่าเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ญาติกำลังตามหา ผมถึงได้โล่งใจ อย่างน้อยน้องผมก็ไม่ตายอนาถเช่นนั้น แต่มันก็กลายเป็นคดีแช่แข็งจวบจนกระทั่งวันนี้ นั่นก็เพราะว่าตำรวจหาตัวฆาตกรไม่ได้ ผมไม่อยากโทษการทำงานของเจ้าหน้าที่ในยุคนั้นหรอกนะ แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ

สิ่งที่บำบัดผมได้ในช่วงนั้นนอกจากหนังและดนตรี ก็มีเพียงสันติที่ผมคอยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง

และก็เป็นมันนั่นเองที่คอยเตือนสติว่าให้ผมบอกเรื่องนี้กับแม่ซะ

แม่ของผมหลังจากรู้ว่าแพรหายไปก็ไม่เป็นอันกินอันนอน พวกเราสองคนไปแจ้งความกับตำรวจ ในช่วงแรกก็เหมือนว่าพวกเขาจะกระตือรือร้นในการหาตัวแพร

แต่มันก็สิ้นสุดที่ว่า แพรโกหกผมว่าเธอจะไปนอนบ้านเพื่อน แต่เพื่อนคนนั้นกลับไม่รู้อะไรเลย มันก็เท่ากลับว่าไม่มีใครรู้ใครเห็นเลยว่าแพรหายไปไหน

ไหนจะเรื่องพ่อมีชู้อีกล่ะ จึงทำให้แม่ผมเอาแต่นอนซมอย่างเดียว พ่อเห็นดังนั้นจึงโทรให้ผมมารับตัวแม่ไปดูแล ส่วนตัวเขาไปเสวยสุขกับเมียน้อยเต็มตัว

และแล้วแม่ก็เสียชีวิตหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ด้วยอาการตรอมใจ

แต่ใครจะรู้ล่ะว่าคดีศพหัวขาดมันจะเกี่ยวข้องกับน้องผม



“ไงไอ้วีร์...”

ผมเงยหน้าขึ้นมาจากหยุดเขียนเรื่องราวลงโทรศัพท์ และเมื่อร่างของสันติเดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มันจัดการแซวผมต่อด้วยความขบขัน

“สังคมก้มหน้าเหมือนเด็กสมัยนี้เลยนะพ่อนักเขียน”

“มึงก็เวอร์ไป”

......

“กูขอโทษ”

นอกจากตำรวจจะบอกว่าเจอร่างของน้องผมแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมช็อกไปยิ่งกว่านั้น คือสถานที่

เพราะมันคือสวนหลังบ้านของไอ้ติ เพื่อนรักของผม

ตอนนั้นผมสับสนหนักกว่าเดิม ไอ้ติฆ่าน้องผมเหรอ?

ก่อนจะทราบภายหลังว่าเป็น ‘ดนัย’ น้องชายของมัน

ดนัยในความทรงจำของผมเป็นคนที่ใส่แว่นหนาเตอะเพราะเรียนหนัก แต่ไม่ได้มีลักษณะของคนเก็บกดอะไร เขาเข้ากับคนอื่นได้ดี บทจะเฮฮาก็ดูหัวเราะเสียงดังจนสร้างสีสันให้วงสนทนา ไม่ใช่ไอ้แว่นไร้อารมณ์เหมือนนิยายฆาตกรรมเวลามีตัวละครลักษณะนี้เป็นคนร้าย

ผมพอดูออกว่าเจ้าแพรปลื้มดนัย จะว่าไปหน้าตามันก็ดูดีทีเดียว ซึ่งน้องผมเองก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร แล้วยิ่งผมกับไอ้ติสนิทกัน ไปมาหาสู่ไม่ขาด มันต้องมีสักวันแหละที่สองคนนี้ตกหลุมรักกัน

แต่ใครจะไปรู้ว่าความรักที่เกิดขึ้น จะมาในรูปแบบแอบคบกัน...แอบคบที่ว่าคือการที่เจ้าแพรไม่ต้องการให้ผมรู้ ไม่ใช่การเป็นมือที่สามระหว่างดนัยกับแฟน เพราะเจ้าแพรไม่รู้ว่าดนัยมีเจ้าของอยู่แล้ว ซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์เหมือนกัน และเธอคือศพหัวขาดที่ลอยไปติดโป๊ะเทียบเรือในปี 1995 ช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่แพรหายตัวไป



ในปัจจุบันคดีนี้กลับมาเป็นที่น่าสนใจอีกครั้ง และเป็นตัวไอ้ติเองนั่นแหละที่เป็นคนไปแจ้งความ

สันติบอกกับผมว่าครั้งแรกที่มันสงสัย ก็ตอนเจอศพหัวขาดแรกช่วงแรก ๆ ดนัยดูหัวเสียและเดินหนีทุกครั้ง มันสร้างความสงสัยให้ได้ติอย่างมาก

เพราะน้องชายคนนี้สะสมหนังสือนิยายแนวสืบสวนไว้เต็มตู้ นึกว่ามันจะชอบคดีจริงจนอยากวิเคราะห์เสียอีก และเมื่อเห็นหน้าแม่ที่เป็นลมในข่าวหลังรู้ว่าศพนั่นคือลูกสาว ช้อนในปากสันติแทบหล่นลงพื้น

มันคือแม่ของแฟนดนัย ซึ่งน้องชายเคยเอารูปให้ดู

เมื่อจะเอ่ยปากถาม ก็กลัวจะละลาบละล้วงเพราะเขาเองก็ไม่เห็นนักศึกษาสาวคนนั้นไปมาหาสู่ดนัยสักพักใหญ่แล้ว เลยคิดว่าอาจจะเลิกกันแล้วก็ได้

และถ้าหากเข้าไปถามมันจะกลายเป็นการสงสัยมั่วซั่วรึเปล่า และอาการหงุดหงิดหรือการเดินหนีทุกครั้งที่เห็นข่าว ก็อาจจะเสียใจไม่อยากรับรู้ก็ได้ เพราะยังไงก็คนเคยคบกัน ไม่ใช่ความลุกลี้ลุกลนกลัวตัวเองจะโดนจับได้หรอก สันติจึงเลิกคิด

ครั้งที่สอง ตอนมันมาเยี่ยมผมที่บ้านและพบว่าผมกำลังนั่งอ่านนิยาย สิ่งนี้ที่มันตกใจเพราะนี่ไม่ใช่ตัวผมเลย วันนั้นผมเล่าเรื่องราวความเพ้อฝันที่แต่งขึ้นมาเองให้มันฟัง

“ถ้ากูเป็นนักเขียน มันจะสนุกจนได้ตีพิมพ์มั้ยวะ”

และตบท้ายด้วยคำถามที่ทำเอาสันติหัวเราะลั่นห้อง แสดงถึงคำตอบที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด หลังจากนั้นมันก็ลากลับบ้าน และก็เล่าเรื่องนี้บนโต๊ะกินข้าวของครอบครัวของมัน

ตามประสาคนช่างพูดช่างจา ว่าผมได้เปลี่ยนจากช่างเขียนแบบไปเป็นนักเขียนไส้แห้ง

แถมยังเล่าการวิเคราะห์ของผมในคดีของสาวไม่มีหัวนั่นอีกต่างหาก ถ้าผมเป็นแม่มันจะตบปากให้เลือกอาบเลย มีอย่างที่ไหนพูดเรื่องศพระหว่างกินข้าว

และเมื่อดนัยได้ยินเข้าก็ลุกพรวดขึ้นทันที จนทั้งโต๊ะชะงักและงุนงงว่าเขาเป็นอะไร

“ผมอิ่มแล้วครับ”

จากนั้นน้องชายของสันติก็เดินขึ้นไปในห้อง และเมื่อไอ้ติกินข้าวเสร็จเรียบร้อยมันเดินขึ้นห้องไปตาม ๆ กัน แต่ก็ต้องตกใจที่ดนัยโผล่มาขว้างหน้าห้อง

“ปัดโถ่ไอ้นัย! โผล่มาอย่างกับผีกูตกใจหมด มีอะไร!”

“พี่วีเขาชอบอ่านนิยายสืบสวนด้วยเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ก็ไม่เชิงว่าชอบหรอก มันเริ่มอ่านตอนว่างงานเฉย ๆ ไอ้แพรโน้นที่ชอบ ทำไมเหรอ?”

“เปล่า”

จากนั้นดนัยก็เดินกลับห้องตัวเองโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาสันติเกาหัวถี่กับพฤติกรรมแปลก ๆ ซึ่งมันบอกกับผมว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยจริง ๆ

จนกระทั่งเช้ามืดคืนหนึ่งสันติเกิดปวดฉี่ และในขณะที่ยืนอยู่ในห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กขึ้นมาเป็นระยะ จึงรีบทำธุระและออกไปดู

และเห็นว่าเป็นดนัยกำลังเดินลงบันไดไปชั้นล่าง จึงสงสัยว่าจะไปไหนแต่เช้า ถึงกรุงเทพจะรถติด แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่ช่วงที่ดนัยจะตื่นอยู่ดี

เขาจึงวิ่งไปแง้มหน้าต่างมองลงมาจากห้องนอนเมื่อร่างน้องชายเดินพ้นรั้วบ้าน จึงเห็นว่าดนัยใส่เสื้อฮูดคลุมหน้าคลุมตาเดินออกไปจากบ้าน สันติสาบานอีกครั้งว่าไม่ได้คิดถึงเรื่องฆาตกรรมอะไรเลย

มันคิดว่าน้องมันแอบไปสูบบุหรี่ เพราะเขาเคยเห็นซองในกระเป๋าดนัย อีกอย่างที่บ้านเข้มงวดเรื่องนี้มาก เนื่องจากแม่สันติเป็นคนไม่ชอบบุหรี่ เจ้าตัวบอกกับผมว่าถ้ามันเฉลียวใจสักนิดอาจจะปะติดปะต่ออะไรได้เร็วกว่านี้

ตอนนั้นเองที่ผมพูดแทรกมันขึ้นมา เพราะดันไปนึกถึงตอนที่ลุงเจ้าของร้านขายของชำเดินมาบอกผมว่า มีคนมาด้อม ๆ มอง ๆ หน้าบ้านผมหลายวันแล้ว

หรือว่าคนคนนั้นจะเป็นดนัย แม้จะไม่ได้ข้อเท็จจริงอะไร แต่พวกเราก็ลงความเห็นแล้วว่าใช่

เล่นเอาความรู้สึกขนลุกขนพองเมื่อปี 1995 ของผมกลับมาอีกครั้ง ฆาตกรที่ฆ่าน้องสาวของเรามายืนเฝ้ามองอยู่หน้าบ้าน ทุกคนว่ามันน่ากลัวไหมครับ

...กระทั่งเวลาล่วงเลยมา 20 กว่าปี...

ในหลายวันก่อน มันกลับบ้านและเจอแม่กำลังทำความสะอาดบ้าน จึงอาสาช่วยเพราะท่านก็อายุมากแล้ว และนั่นรวมถึงห้องของดนัยด้วย ที่ตอนนี้เติบโตเป็นนายแพทย์และมีครอบครัวที่อบอุ่น

สันติจึงเล่นพิเรนทร์ว่าจะไปค้นจุดที่ดนัยชอบซ่อนของเอาไว้ ซึ่งเป็นความลับระหว่างมันกับน้องตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ขโมยแม่มา หรือหนังสือโป๊

เผื่อว่าเจอของดีจะถ่ายรูปไปเย้ยเสียหน่อย ว่าความลับสมัยวัยรุ่นของน้องชายมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง

แต่ก็น่าเสียดาย เพราะไม่เจออะไรเลยนอกจากเทปคาสเซ็ทเก่า ๆ ชิ้นหนึ่ง อีกทั้งตลับยังแตกจนเกือบจะหลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ อีกต่างหาก

ตามรอยแยกก็มีกิ่งก้านและกลีบดอกกุหลาบแซมอยู่ ราวกับมันถูกเหยียบจมดินถึงติดกลับมาด้วย แต่ระยะเวลาเนิ่นนานที่มันอาศัยอยู่ในกล่องเหล็กเก่า ๆ เมื่อสันติหยิบขึ้นมาสัมผัส มันก็สลายกลายเป็นผุยผง

...แต่นั่นแหละคือจุดเริ่มต้น...

เพราะเทปชิ้นนั้นคือ Definitely Maybe ของ Oasis มันก็คือเทปหย่อนยานที่เจ้าแพรพยายามเอาดินสอหมุนให้มันกลับมาตึงนั่นเอง

มันจึงจำได้ทันที เรื่องที่ผมเคยบ่นให้ฟังว่าอัลบัมชิ้นนี้ต้องมีสองชุด แต่ผมหาอีกอันไม่เจอ จึงไม่อาจรักษาสมบัติของเจ้าแพรได้ครบทุกชิ้น

และเมื่อเห็นดอกไม้ ทำให้สันติทอดสายตาออกไปจากหน้าต่างเพื่อมองอดีตพื้นดิน ที่เคยปลูกมันเอาไว้ ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นที่นั่งเล่นและกินปิ้งย่างยามวันหยุด

“น้องกูมันต้องโรคจิตขนาดไหนวะ นอนอยู่ในห้องที่ติดแปลงดอกไม้แบบนั้น แล้วใต้พื้นดินมีศพอยู่ แล้วอีกอย่าง...” มันนิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยต่อ “ครอบครัวกูไม่เคยถามสุขภาพจิตกันและกันเลย เลยไม่รู้ว่าแต่ละคนมันอยู่ในระดับไหน แค่เรื่องคบซ้อนมันแดงขึ้นมา คงไม่ต้องถึงกับฆ่ากันหรอกมั้ง กูรู้ว่ามันเก็บกดเพราะกูไม่ได้เป็นหมออย่างที่พ่อแม่ขีดอนาคตไว้ให้ ความกดดันทั้งหมดก็เลยตกไปอยู่ที่มันแทน”

จากนั้นสันติก็เล่าให้ผมฟังต่อว่า ตัวมันทำใจอยู่หลายวันกว่าจะลงมือขุด เพราะกลัวความจริงที่ตัวเองสันนิษฐานเอาไว้

และก็ใช้เวลาหลายวันเช่นกันกว่าจะขุดเจอ เพราะสันติไม่รู้ว่ามันคือบริเวณไหน จนแม่ต้องออกมาโวยวายว่าทำไปเพื่ออะไร

“สาบานเลยไอ้วี แม่กูเป็นลมคาลานนั่งเลยมึง กูเนี่ย ช็อกจนขยับตัวไม่ได้ ลองคิดสภาพตัวเองขุดดินแล้วไปเจอหัวกะโหลกสิ”

มันบอกกับผมแบบนั้น และโครงกระดูกที่พบไม่ได้มีแค่ร่างของแพร ยังมีกะโหลกอีกหนึ่งหัว ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว ว่ามันคงเป็นของศพนักศึกษาสาวปีหนึ่งคนนั้น

ส่วนสาเหตุก็เพราะเรื่องคบซ้อนนั่นแหละ เจ้าแพรไม่รู้เลยว่าดนัยมีแฟนอยู่แล้ว ส่วนข้อเท็จจริงว่าไปจับได้ตอนไหนยังไง ไม่มีใครรู้ เพราะดนัยเองก็ไม่เปิดปากเรื่องนี้ วันที่เจ้าแพรไปนอนบ้านเพื่อน วันนั้นเธอนัดไปเที่ยวกลางคืนกับดนัย ถ้าจะพูดให้ถูก เธอต้องการจะหนีเที่ยวนั่นแหละ

ซึ่งในวันนั้นทั้งบ้านของสันติไปต่างจังหวัดเพื่อไปเยี่ยมตายายของมัน ส่วนดนัยให้เหตุผลว่าใกล้สอบจึงอยากอยู่อ่านหนังสือมากกว่า คงเป็นวันนั้นแหละที่เขาลงมือฆ่าน้องของผม และฝังร่างแพรไว้กับแปลงดอกไม้

ส่วนแฟนที่หัวขาด สันติบอกว่าเธอมาหาดนัยที่บ้านพอดี จึงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ทำให้ดนัยต้องออกปากขู่ ว่าอย่าไปบอกใคร ไม่อย่างนั้นเธอจะกลายเป็นเหมือนน้องสาวของผม

ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ฆ่าแฟนสาวทันที แต่เมื่อคิดอีกที ถึงเขาจะเป็นนักศึกษาแพทย์เห็นศพมาบ้างแล้ว แต่มันก็คนละเรื่องกับการฆ่าคนจริง ๆ บางทีเจ้าแพรอาจจะเป็นศพแรกจึงทำให้ดนัยตื่นกลัว และไม่อาจลงมือฆ่าคนสองคนติด ๆ กัน

สันติบอกกับผมแค่นั้นเพราะดนัยยังไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมจึงคิดเอาเองว่า ที่เขาตัดสินใจฆ่าแฟนสาว คงเป็นเพราะเธออึดอัดกับความลับที่ได้ล่วงรู้ละมั้ง จึงอยากเอาเรื่องนี้ไปบอกตำรวจ หรือผู้ใหญ่ที่เธอรู้จัก แต่บังเอิญดนัยจับได้เสียก่อน เธอจึงต้องหมดลมหายใจไปด้วยอีกคน

หลังจากนั้นสันติบอกว่าถ้าดนัยสารภาพเพิ่มเติมจะเอาข่าวมาบอก แต่ผมปฏิเสธ เพราะถึงยังไงก็คงได้ฟังคำสารภาพจากตำรวจอีกที

อีกอย่างการที่ผมต้องรู้ว่าน้องตายอย่างไร ทรมานมากแค่ไหน มันเจ็บปวดเกินไป



...เจ้าแพรเองก็คงไม่อยากให้ผมตกอยู่กับความโศกเศร้า...