จากอัลฟ่ากลิ่นมหาสมุทรกลายพันธ์เป็นโอเมก้าไร้กลิ่นเมลวิน คาร์ไมน์กลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาของใครๆจึงถูกขับไล่ไสส่ง สู่อุ้งมือของนายพลมิลฟอร์ดผู้มากล้นด้วยอำนาจ
ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,รัก,ดราม่า,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ไม่ว่าอย่างไรโลกใบนี้ก็ไม่เคยมีความเท่าเทียม การแบ่งชนชั้นระหว่างอัลฟ่า เบต้าและโอเมก้ายังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่ท่าว่าจะสิ้นสุด
อัลฟ่าถือเป็นเพศรองชนชั้นปกครอง สูงศักดิ์และมากล้นด้วยอำนาจ
เบต้าคือผู้คนส่วนใหญ่ของโลกใบนี้ เป็นเพศรองที่ไม่มีกลิ่นเฉพาะต่างจากอัลฟ่าและเบต้า มีทั้งผู้ที่ฉลาดหลักแหลมและโง่เขลา
โอเมก้าคือเพศรองที่มีความต่ำต้อยอ่อนแอ แม้มีบางคนที่ฉลาดเฉลียวได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่หากมิใช่ผู้สูงศักดิ์มีเชื้อสายของราชวงศ์ หรือสืบเชื้อสายจากตระกูลผู้ดีเก่าก็ยากที่จะได้รับการยอมรับ
เมลวิน คาร์ไมน์เกิดในตระกูลขุนนางซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ที่เคยทำคุณงามความดีให้กับแผ่นดินเอสเทลล์มานับครั้งไม่ถ้วน เขาเป็นลูกชายคนเล็กที่เดิมทีไม่ได้เป็นที่โปรดปรานมากนัก อาจเพราะเป็นเพียงลูกเมียบ่าวและไม่ได้เก่งกาจหรือเฉลียวฉลาดเท่าพี่ชายพี่สาวต่างแม่อย่างมาร์คัสและมิราเบล
หลังจากที่แม่ของเมลวินจากไปด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง เด็กชายในวัยสิบห้าปีก็เสมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ทว่ายังโชคดีที่ตระกูลคาร์ไมน์ส่งเสียเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดี...ให้เรียนในโรงเรียนชื่อดัง ให้ที่กินที่อยู่ มีเงินใช้ไม่ขาดมือ เป็นอัลฟ่าที่เกิดบนกองเงินกองทอง เท้าทั้งสองไม่เคยติดดิน ไม่เคยเผชิญต่อความยากลำบาก มีแต่ความสุขสบายตลอดมา
ฟาเบียสเลี้ยงดูเขาแบบไม่ให้ลำบากแต่ก็ไม่ได้เชิดชูยกย่องเท่าพี่ชายพี่สาว สิ่งใดที่ดีที่สุดจะต้องให้สองคนนั้นก่อนแล้วจึงเหลือมาถึงเขา เมลวินเข้าใจและไม่เคยเอาสิ่งนี้มาใส่ใจ เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นแค่ลูกเมียบ่าว ไม่อาจมีสิทธิ์มีเสียงหรือเรียกร้องอะไรในบ้านหลังนี้ แค่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างสุขสบายก็มากเกินพอแล้ว จนกระทั่งในวันที่เขาอายุครบสิบแปดปี เกิดเรื่องที่น่าเหลือเชื่อกับตัวเขา...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับและเลวร้ายที่สุดในชีวิต จากคนที่เคยอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารถูกผลักให้ตกลงมาอยู่ในจุดต่ำสุด และทั้ง ๆ ที่การกลายพันธุ์จากอัลฟ่ามาเป็นโอเมก้ามีโอกาสเป็นไปได้เพียง 1% เท่านั้น แต่เขาก็อุตส่าห์อยู่ใน 1% ที่ว่านั้น
ในวันที่กลิ่นฟีโรโมนจืดจาง ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เคยดีเยี่ยมก็เหมือนจะถดถอยลงไปด้วย ร่างกายร้อนรุ่มสลับหนาวเหน็บอย่างน่าประหลาด รวมถึงมีอาการเหงื่อไหลชุ่มโชกในตอนกลางคืน และมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยอีกสองสามอย่าง ตอนแรกเขาคิดเพียงว่าคงป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่างไม่ร้ายแรง ใครจะคิดเล่าว่าจะหนักหนาสาหัสถึงขั้นกลายพันธุ์เป็นโอเมก้าเช่นนี้
หลังจากตรวจเช็กร่างกายอย่างละเอียดและได้รับการยืนยันจากแพทย์ประจำตระกูล คฤหาสน์ตระกูลคาร์ไมน์ก็เสมือนโดนระเบิดลง ฟาเบียสโมโหจนบ้านแทบแตก เขาถูกไล่ออกจากตึกใหญ่ ระเห็จไปอยู่เรือนหลังเล็กแทบจะในทันที
ในฐานะที่เกิดในตระกูลผู้ดีเก่า ความเป็นโอเมก้าของเขาก็ไม่นับว่าต่ำต้อยเสียทีเดียว หากกลิ่นฟีโรโมนของเขาหอมหวานเย้ายวนชวนหลงใหลฟุ้งกำจาย ฟาเบียส...ผู้เป็นพ่อคงพอทำใจแบกรับความอับอายไว้ได้บ้าง ทว่าโชคชะตาไม่เข้าข้างเขาเอาเสียเลย เพราะตัวของเขาไม่มีกลิ่นฟีโรโมนเลยแม้แต่นิดเดียว
โอเมก้าที่ไร้ซึ่งกลิ่นฟีโรโมนก็ไม่ต่างอะไรจากคนพิการ ถูกจัดอันดับไว้ในจุดที่ต่ำยิ่งกว่าโอเมก้าทั่วไปเสียอีก เป็นโอเมก้าที่ทั้งน่าอดสู น่าสมเพช และน่ารังเกียจ ตระกูลคาร์ไมน์เป็นตระกูลชั้นสูง มีหน้ามีตาในสังคม พ่อไม่อาจทนแบกรับความอัปยศไว้ได้ จึงเฉดหัวเขามาอยู่เรือนหลังเล็กซึ่งมีลักษณะเป็นเรือนชั้นเดียวหลังกะทัดรัด อยู่ติดริมรั้วด้านหลัง ห่างจากเรือนหลังใหญ่กว่ายี่สิบเมตร
วันนั้นคือวันที่เมลวินได้ลิ้มรสขมปร่าของการเป็นโอเมก้าซึ่งอยู่ต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารเป็นครั้งแรกในชีวิต
ข้าวของของเมลวินมีไม่มากนัก จึงไม่ต้องแบกของพะรุงพะรังอะไรมากมาย จัดของให้เข้าที่เข้าทาง ใช้เวลาเพียงหนึ่งคืนก็เรียบร้อย
เรือนหลังเล็กสงบเงียบวังเวง อยู่ลำพังโดด ๆ ไกลจากตัวตึกใหญ่และที่พักของเด็กรับใช้ จากที่เคยมีคนคอยปรนนิบัติ ตอนนี้กลับต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง เงินที่พ่อเคยให้ใช้ก็ลดลงไปกว่าครึ่ง และหากอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย เขาก็ต้องหาเงินเอง ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้เมลวินน้อยเนื้อต่ำใจจนน้ำตารื้น ทว่าเขาไม่ใช่คนที่จมไม่ลง ไม่ใช่คนยึดติดกับลาภยศ ไม่เย่อหยิ่งเจ้ายศเจ้าอย่าง ดังนั้นเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขาก็สามารถปรับตัวกับการใช้ชีวิตในตอนนี้ได้แล้ว
หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย เมลวินตั้งใจจะทำงานพาร์ทไทม์เพื่อเก็บเงินเป็นเวลาหนึ่งปีแล้วจึงค่อยสมัครเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ชีวิตของเขายังปกติสุข เว้นเสียก็แต่ยังไม่คุ้นชินกับการเป็นโอเมก้าก็เท่านั้น การฮีตทุกเดือนคือปัญหาใหญ่ แม้จะกินยาระงับฮีตทุกครั้งแต่กูดูเหมือนว่ามันช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เวลาอาการกำเริบ ตัวเขาจะสั่นเทาและมักจะร้อนราวกับไฟ บางคราวก็หนาวเหน็บราวกับถูกแช่แข็งในกองหิมะ เขาต้องนอนคลุมโปง ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม บังคับตัวไม่ให้สั่น ควบคุมจิตใจไม่ให้เตลิดเปิดเปิงไปกับกลิ่นอัลฟ่าที่ลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งวันเต็มๆ กว่าอาการเหล่านี้จะหายไป
กว่าเขาจะคุ้นชินกับอาการฮีตและการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของโอเมก้า เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว
ในเวลาเกือบปีที่ผ่านมา ผู้เป็นพ่อแทบไม่เหยียบย่างมาหา พี่สาวพี่ชายแทบไม่เห็นหน้า เด็กรับใช้ไม่เคยโผล่หน้ามา เขาเสมือนอยู่ตัวคนเดียวอย่างแท้จริง หากจะมีสักคนหนึ่งที่ห่วงใยเขาคงมีเพียงป้าเพนนี แม่บ้านประจำตระกูลที่คอยมาถามไถ่ความเป็นอยู่เป็นบางครั้งคราวและเตรียมอาหารให้เป็นบางมื้อ แต่ส่วนใหญ่เมลวินต้องเป็นคนทำอาหารด้วยตัวเอง มื้อแรก ๆ แทบกินไม่ได้ จึงต้องกินเมนูไข่ทุกวันจนเอียน หนึ่งปีให้หลัง เขาพัฒนาฝีมือการทำอาหารจนช่ำชอง รสชาติอาหารถูกปากถึงขนาดเปิดร้านอาหารก็ไม่น่าจะเจ๊ง
อดีตอัลฟ่าชื่นชมตัวเองไม่น้อยที่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้แม้จะรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นสิ่งไร้ตัวตนสำหรับคนในตระกูลคาร์ไมน์แล้วก็ตาม เขาถือคติที่ว่า หากไม่มีใครมายุ่งกับเขา เขาก็จะไม่ยุ่งกับคนคนนั้น เว้นก็แต่คุณลอเรน...แม่ของมาร์คัสและมิราเบลที่มักจะแวะเวียนมาสอดส่องเขาอยู่เสมอ เธอไม่ใช่คนมีจิตใจเมตตาถึงขนาดคิดห่วงใยเขา คงแค่มาดูให้เห็นกับตาว่าลูกเมียบ่าวคนนี้กำลังอยู่ในสภาพตกต่ำน่าสมเพชเพียงไร
ลอเรนไม่ใช่แม่เลี้ยงในละคร ไม่ใช่คนที่จะกลั่นแกล้งคนอื่นเพียงเพราะความหมั่นไส้หรือความเกลียดชัง ด้วยความที่เกิดมาในตระกูลผู้ดีทำให้รู้จักวางตัวและยับยั้งชั่งใจ ทว่าสายตาของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้ เมลวินเห็นและรับรู้ได้อย่างชัดเจนมาตลอดว่าอีกฝ่ายชิงชังเขาและแม่เพียงใด
“สวัสดีครับคุณลอเรน”
เมลวินเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน เขาก้มศีรษะให้อย่างสุภาพทั้ง ๆ ที่ยังถือไม้กวาดข้าวฟ่างไว้ในมือ
“มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
คุณลอเรนเอ่ยตอบ วันนี้เจ้าหล่อนอยู่ในชุดกระโปรงสุ่มบานสีฟ้า จับจีบระบายสามชั้น มือข้างหนึ่งคลี่พัดขนนกกระจอกเทศแล้วโบกไปมาช้า ๆ
เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว อากาศร้อนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะวันนี้ที่เหมือนจะร้อนกว่าปกติ เขาเพิ่งจะกวาดเศษหญ้าและเศษใบไม้ได้ไม่ถึงครึ่งก็เหงื่อชุ่มหลังแล้ว
“ไหนลองหมุนตัวซิ”
คำขอของคนตรงหน้าทำให้เขายืนงงอยู่อึดใจหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามแต่โดยดีแม้ว่าจะไม่รู้เหตุผลก็ตาม
“ปีนี้อายุเท่าไรแล้วล่ะเราน่ะ”
“19 ครับ”
ผู้สูงวัยกว่าพยักหน้า พึมพำคำว่าสิบเก้าพร้อมกับกวาดตามองสำรวจเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สายตาคู่นั้นเหมือนกำลังประเมินสินค้าสักชิ้นหนึ่ง ทำให้เขาอึดอัดจนอยากจะเดินหนี ครั้นเห็นฝ่ายตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ไม่ได้สนใจจะพูดอะไรกับเขาอีก เมลวินจึงคิดจะหลบฉากไปโดยเร็ว
“ถ้าไม่มีอะไร ผม...”
คำพูดของเขาชะงักค้างเมื่อจมูกรับกลิ่นของโอเมก้าได้กลิ่นอัลฟ่าที่เข้มข้นรุนแรงชนิดหนึ่งลอยมาตามลม
กลิ่นนั้นกระตุ้นบางอย่างในตัวเขา ทั้งกดดันและเย้ายวน ทั้งเชิญชวนและบังคับ เมลวินบอกตัวเองไม่ให้สนใจ รีบออกไปจากตรงนี้หรือกลับเข้าบ้านปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ทว่าสัญชาตญาณของโอเมก้าไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น เขาถูกชักจูงด้วยกลิ่นอัลฟ่าอันทรงพลัง สายตาที่กำลังจะเบือนจากไปถูกมือที่มองไม่เห็นลากให้กลับมา เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปถูกตรึงไว้กับที่
“ผมนึกว่าไม่มีใครอยู่บ้านเสียอีก”
เสียงแหบทุ้มของเจ้าของกลิ่นฟีโรโมนแสนเย้ายวนดังมาก่อนตัว ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวพ้นพุ่มไม้ขนาดใหญ่เบื้องหน้า ย่ำเท้าอย่างหนักแน่นตรงมายังที่ที่เขากับลอเรนยืนอยู่
“อ๊ะ...ท่านจอมพล” ลอเรนหันไปทักทาย เสียงแหลมเล็กอ่อนหวานขึ้นเล็กน้อย “กำลังนึกถึงอยู่พอดีเลยค่ะ”
ฉับพลันที่ลอเรนขยับตัว อัลฟ่าผู้นั้นก็ปรากฏกาย ยืนสูงตระหง่านในชุดทหารสีน้ำเงินเข้มอย่างสง่างามอยู่ตรงหน้าเขา
ดวงตาสีฟ้าอมเทามองผ่านใบหน้าของลอเรน มาหยุดอยู่ที่เขา
ลมหายใจของเมลวินสะดุด ความประหม่าเอ่อท้นเมื่อสายตาของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเปลื้องผ้าออกทีละชิ้น
“นี่คงเป็น...”
“เมลวินค่ะ” ลอเรนกล่าว “เมลวิน คาร์ไมน์ ลูกชายคนเล็กของสามีดิฉันเองค่ะ”
“เมล-วิน”
อัลฟ่าแปลกหน้าสะกดชื่อของเขาทีละคำด้วยเสียงแหบพร่าระคายหู ดวงตาคู่คมกวาดมองสำรวจเขาไปทั่วทั้งตัว สำหรับคนที่เพิ่งได้รู้จักกันครั้งแรก การมองในลักษณะนี้และด้วยสายตาเช่นนี้ เมลวินถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง แก้มของเขาเห่อร้อน ไม่รู้ว่าเพราะโทสะหรือความอับอายมากกว่ากัน
คิ้วของโอเมก้าหนุ่มกระตุกเบา ๆ แม้จะพยายามควบคุมตัวเองแล้ว แต่อัลฟ่าตรงหน้าก็ยังสังเกตเห็น อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปาก ผงกศีรษะให้เขาทีหนึ่งเป็นเชิงทักทายอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็หมดความสนใจในตัวเขาไปโดยปริยาย หันไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับคุณลอเรน
พริบตาเดียวสองคนนั้นก็เดินจากไป ไม่มีการเอ่ยแนะนำตัวเอง ไม่มีการเอ่ยลา ไม่มีการพูดคุยใด ๆ นอกจากพูดชื่อของเขาสองคำนั้น
เมลวินยืนถือไม้กวาดขมวดคิ้วมองเหม่อ รู้สึกไม่ถูกชะตาอัลฟ่าผู้นั้นขึ้นมาตงิด ๆ
...อัลฟ่าที่ไม่รู้จักชื่อ
...อัลฟ่าที่เดินจากไปแล้วแต่กลิ่นไม้โอ๊กเข้มขรึมยังคงฟุ้งอยู่รอบตัวเขา
...อัลฟ่าที่เขาไม่อยากรู้จัก และหวังว่าคงจะไม่ได้พบหน้ากันอีกเป็นครั้งที่สอง