จากอัลฟ่ากลิ่นมหาสมุทรกลายพันธ์เป็นโอเมก้าไร้กลิ่นเมลวิน คาร์ไมน์กลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาของใครๆจึงถูกขับไล่ไสส่ง สู่อุ้งมือของนายพลมิลฟอร์ดผู้มากล้นด้วยอำนาจ

นายบำเรอไร้กลิ่น (omegaverse) - ตอนที่ 2 จุดเริ่มต้นของโชคชะตา โดย earlymoon @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,รัก,ดราม่า,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

นายบำเรอไร้กลิ่น (omegaverse)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,รัก,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายวาย

รายละเอียด

จากอัลฟ่ากลิ่นมหาสมุทรกลายพันธ์เป็นโอเมก้าไร้กลิ่นเมลวิน คาร์ไมน์กลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาของใครๆจึงถูกขับไล่ไสส่ง สู่อุ้งมือของนายพลมิลฟอร์ดผู้มากล้นด้วยอำนาจ

ผู้แต่ง

earlymoon

เรื่องย่อ

'ไม่ต้องมอบหัวใจให้ฉันก็ได้ แต่อย่ายกหัวใจนายให้ใคร


ส่วนหัวใจของฉัน ขอวางไว้บนมือนาย

ให้อยู่ในกำมือนาย แล้วแต่นายจะบัญชา'

 

 

✦ เมลวิน คาร์ไมน์ ✦

จากอัลฟ่ากลิ่นมหาสมุทรกลายพันธ์เป็นโอเมก้าไร้กลิ่น

เมลวิน คาร์ไมน์กลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาของใครๆ

จึงถูกขับไล่ไสส่ง สู่อุ้งมือของนายพลมิลฟอร์ดผู้มากล้นด้วยอำนาจ

 

✦ วาดิม มิลฟอร์ด ✦

ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งเอสเทลล์

อัลฟ่ากลิ่นไม้โอ๊กรับเมลวินมาไว้ในความดูแลเพียงเพราะผลประโยชน์

เขาไม่คิดจะยกย่องเทิดทูนอีกฝ่าย เห็นเป็นแค่นายบำเรอเท่านั้น

สารบัญ

นายบำเรอไร้กลิ่น (omegaverse)-ตอนที่ 1 อัลฟ่าที่ไม่รู้จักชื่อ,นายบำเรอไร้กลิ่น (omegaverse)-ตอนที่ 2 จุดเริ่มต้นของโชคชะตา,นายบำเรอไร้กลิ่น (omegaverse)-ตอนที่ 3 โอเมก้าในอุ้งมือ,นายบำเรอไร้กลิ่น (omegaverse)-ตอนที่ 4 รสชาติของโอเมก้าพิการ,นายบำเรอไร้กลิ่น (omegaverse)-ตอนที่ 5 หน้าที่ของโอเมก้า,นายบำเรอไร้กลิ่น (omegaverse)-ตอนที่ 6 นอนลงบนเตียงซะดี ๆ

เนื้อหา

ตอนที่ 2 จุดเริ่มต้นของโชคชะตา

กว่าเมลวินจะเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งในตัวบ้านและนอกบ้านจนเสร็จเรียบร้อยก็ค่ำมากแล้ว พื้นที่โดยรอบภายใต้อาณาเขตตระกูลคาร์ไมน์ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด แม้มีแสงจากโคมไฟตามทางเดินและริมรั้วให้ความสว่างแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก อาจเพราะคืนนี้มีเมฆดำทะมึนก่อตัว กลบแสงจันทร์และแสงดาวไปจนสิ้น

อดีตอัลฟ่าทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแข็ง ๆ ในห้องรับแขกด้วยความเหนื่อยล้า เงยหน้าพาดท้ายทอยกับขอบด้านบนของพนักโซฟา เหม่อมองเพดานเก่าซีดกับโคมไฟระย้าหม่นแสงที่แขวนอยู่กลางเพดานซึ่งกะพริบปริบ ๆ เป็นบางครั้งคราวมาหลายวันแล้ว อีกไม่ถึงเดือนมันคงหมดสภาพ ต้องปลดประจำการแล้วหาโคมไฟตัวใหม่มาแทน หรือถ้าซ่อมไหวก็คงต้องกัดฟันจ่ายเงินซ่อมสักหน่อย หรือบางที...หากไปขอร้องคุณลุงโบรดี้คนสวนประจำคฤหาสน์ เขาอาจจะใจดีช่วยซ่อมให้ก็ได้

เมลวินทอดถอนใจเมื่อคิดว่าหากเป็นเมื่อก่อน โคมไฟตัวนี้คงถูกเปลี่ยนเสียนานแล้วโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากร้องขอผู้ใดแม้แต่นิดเดียว จริงอยู่ที่เขาคุ้นชินกับการใช้ชีวิตเช่นนี้แล้วแต่บางชั่วขณะก็อดนึกถึงชีวิตแสนสุขสบายในวันวานที่ผ่านมาไม่ได้ ความคิดถึงย้อนไปไกลถึงผู้เป็นแม่ทำให้ยิ่งเศร้าใจหนักกว่าเดิม ใบหน้าเปียกชุ่มเหงื่อซีดสลดลงเป็นลำดับ เปลือกตาบางปิดลงอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาหลั่งริน

ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้...เขาบอกตัวเองเช่นนั้นเสมอมาตั้งแต่วันที่แม่จากไป แต่ก็ทำไม่เคยได้สักที ยามนี้น้ำตาหยดหนึ่งกำลังจะหยาดหยดลงมาทางปลายหางตา เขารีบยกหลังมือเช็ดออกโดยเร็ว สูดจมูกแรง ๆ เสียทีหนึ่งก่อนจะตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อขับไล่ความโศกเศร้าและฟุ้งซ่านจากนั้นจึงลุกยืน ตั้งใจจะไปอาบน้ำแล้วค่อยทำอาหารง่าย ๆ สำหรับเย็นวันนี้

ทว่าเท้าข้างหนึ่งที่เพิ่งก้าวออกไปชะงักทันควันเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงสนทนาไม่เบานักดังแว่วเข้ามา หัวคิ้วของเมลวินขมวดเข้าหากันอย่างนึกสงสัย เรือนหลังนี้แทบไม่เคยมีใครมาเยือน ยิ่งเป็นเวลาดึกดื่นเช่นนี้ด้วยแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะมีคนมาหาเขา

เขามั่นใจว่าไม่ใช่ฟาเบียสผู้เป็นพ่อ ไม่ใช่มาร์คผู้เป็นพี่ชายและไม่ใช่มิมผู้เป็นพี่สาว เพราะกลิ่นอัลฟ่าจากทั้งสามคนคงลอยมาก่อนตัว แต่จะเป็นใครนั้น เขาไม่แน่ใจนัก หากจมูกของเขาไม่ได้ทำงานผิดเพี้ยนไป คนที่ยืนอยู่หน้าประตูของเขาคงเป็นใครสักคนที่มีเพศรองเป็นเบต้าเพราะเขาไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนใด ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว

อดีตอัลฟ่าที่เคยมีร่างกายแข็งแกร่งและฝึกศิลปะการต่อสู้ให้พอมีทักษะเหลียวหาอาวุธที่พอจะใช้ได้ หากยังไม่ทันคว้าสิ่งใด สุ้มเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“เมล...เมลวิน อยู่หรือเปล่าจ๊ะ เปิดประตูให้หน่อยสิ”

ลอเรนน่ะเอง...เมลวินถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงแม้เขาจะเคยเรียนการต่อสู้และแม้จะเป็นบุรุษอกสามศอกแต่ไม่เคยต่อยตีกับใครมาก่อน หากต้องสู้กับคนร้ายจริง ๆ คงย่ำแย่เป็นแน่ เปอร์เซ็นต์ที่จะชนะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ โชคดีแล้วที่ไม่ต้องจับอาวุธต่อสู้กับใคร

ทว่าการที่ลอเรนมาหาในเวลาเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ร้อยวันพันปีเจ้าหล่อนเคยสนใจเขาเสียที่ไหน พบหน้าเมื่อใดพูดกันแทบนับคำได้ แม้แต่สายตาก็ยังแทบไม่ปรายตามามอง เหตุไฉนวันนี้จึงสนอกสนใจในตัวเขานัก เมลวินขบริมฝีปากครุ่นคิดหาคำตอบ ขณะที่เท้าทั้งสองขยับอย่างไม่รีบร้อนไปเปิดประตู

ภาพที่เห็นทำให้เขาเกือบจะอ้าปากค้างเพราะไม่ได้มีแค่ลอเรนคนเดียวแต่ยังพ่วงสาวใช้มาอีกสองคน ในมือถือของพะรุงพะรัง ไม่แน่ใจว่ามีอะไรบ้าง แต่เท่าที่มองผ่าน ๆ น่าจะเป็นพวกครีมบำรุงผิวอะไรเทือกนั้น

“คุณลอเรน...” เมลวินเบือนสายตากลับมามองผู้สูงวัยกว่า ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนพึมพำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมถึง...”

คนตรงหน้าแทรกตัวเข้ามาในบ้านอย่างกะทันหันจนเมลวินก้าวถอยหลังแทบไม่ทัน รอจนทั้งสามเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้วจึงปิดประตู

“ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรนะครับ”

บ้านโล่ง ๆ มีเครื่องเรือนน้อยชิ้น เครื่องปรับอากาศก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ ไม่ว่าจะปรับอุณหภูมิไปทางใดก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าใดนัก หน้าหนาวปีที่แล้วเขาถึงกับต้องห่มผ้าสี่ห้าผืนเพราะฮีตเตอร์ไม่ทำงาน

“โล่งตาดีออกจ้ะ”

ไม่รู้เป็นคำถากถางประชดประชัดหรือเจ้าหล่อนคิดดเช่นนั้นจริงๆ ถึงจะคลางแคลงในคำพูดนั้นแต่เขาก็ยิ้มรับ

“ว่าแต่คุณลอเรนมีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ”

“ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ ไม่ต้องตื่นเต้น”

...คนพูดมากกว่าที่ดูตื่นเต้น ตัวเขาไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความระแวงและงุนงง

ลอเรนดูกระวนกระวายและรีบร้อนกว่าทุกครั้ง เป็นเพราะอะไร เขาไม่รู้จริง ๆ

“ฉันได้ครีมบำรุงผิวมา บริษัทเขาแจกน่ะ เลยเอามาแบ่งให้เราใช้ด้วย”

แปลก...วันนี้ลอเรนทำตัวแปลกไปจนเขาตามไม่ทัน

“อาบน้ำหรือยังจ๊ะเมล”

ทั้งถามเรื่องอาบน้ำ ทั้งเรียกเขาอย่างสนิทสนมว่าเมล ทั้งที่ไม่เคยเรียกมาก่อน...ไม่ปกติจริง ๆ! ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนอะไร จงใจทำดีกับเขาขนาดนี้ ต้องการอะไรจากคนที่มีแต่ตัวอย่างเขากันเล่า?!

“ยังครับ”

“งั้นดีเลยจ้ะ”

เมื่อลอเรนพยักหน้าส่งสัญญาณ สาวใช้ทั้งสองก็ยื่นข้าวของที่ถือไว้ในมือให้กับเขา

“เอาไปใช้เลยนะเมล ฉันให้”

“ให้ผมใช้เหรอครับ” คนที่ถูกยัดเยียดของให้อ้าปากค้าง พยายามผลักไสของกลับไป แต่สาวใช้ชิงเดินหนีไปเสียก่อน เขาจึงจำต้องรับของเหล่านั้นไว้อย่างจำใจ “ผมว่าคุณลอเรนเอาไปใช้ดีกว่าครับ ของพวกนี้ไม่น่าจะเหมาะกับผม”

“เอาน่า...ไม่เคยใช้แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเหมาะไม่เหมาะ เอาน่า...นาน ๆ ทีฉันถึงจะให้ของเธอสักที รับ ๆ ไว้เถอะ”

“แต่...”

“เห็นเขาว่าใช้แล้วหอม” ผู้สูงวัยกว่าพูดตัดบท ไม่รอคำปฏิเสธจากเขาอีกแม้แต่คำเดียว “เธอลองไปใช้ให้หน่อยเถอะเมล ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่ามันหอมจริงหรือเปล่า แล้วจะหอมขนาดไหน วันหลังฉันจะได้ซื้อมาใช้บ้าง”

เหตุผลของลอเรนฟังแปร่งหู ค่อนข้างประหลาดแต่ดู ๆ แล้วไม่ซับซ้อน คงไม่ได้ซ่อนแผนการอะไรไว้หรอกกระมัง เมลวินชั่งใจคิดอยู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ายินยอมแต่โดยดี

ปกติเขาใช้เวลาอาบน้ำไม่เคยเกินสิบห้านาที แต่เพราะมีลอเรนคอยกำชับให้ใช้นั่นใช้นี่อยู่ตรงประตู กว่าจะอาบเสร็จก็ปาไปเกือบชั่วโมง

ตอนที่ก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำ ลอเรนแทบจะปรี่เข้ามาหา เดินล้อมหน้าล้อมหลัง มองสำรวจเขาพลางสูดจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นหอมของครีมบำรุงต่าง ๆ ที่อบอวลอยู่บนตัวผม

“หอมเหมือนกันนะ...ว่าไงเมล เธอชอบไหม”

“ชอบครับ”

ถึงเขาจะไม่ชอบใช้ครีมบำรุงพวกนี้สักเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับในความหอมที่ไม่ฉุนจมูกจนเกินไป

“โอเค...หอม ๆ แบบนี้ ท่านน่าจะชอบละมัง”

เพราะอีกฝ่ายพึมพำเสียงเบา เขาจึงได้ยินอย่างกระท่อนกระแท่นจับใจความไม่ได้ ได้ยินแค่คำว่าหอมกับท่าน ปะติดปะต่อถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้จึงคิดจะเอ่ยถาม แต่ลอเรนกลับยื่นชาร้อนถ้วยหนึ่งมาให้

“ชาคาโมมายล์น่ะ เพื่อนฉันให้มาลองชิม ลองชิมดูสิ”

ทำไมต้องให้เขาชิม? เมลวินถามตัวเองพลางหลุบตามองน้ำสีชาในถ้วยชาสีสวย แบบที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่เคยมีอยู่ในบ้านหลังนี้แน่นอน ลอเรนถึงกับหอบหิ้วมาด้วยเลยหรือ...แปลกจริง

“ฉันไม่วางยาพิษเธอหรอกน่ะ เมล เห็นฉันเป็นแม้เลี้ยงใจร้ายหรือไง”

คนถูกค่อนขอดยิ้มจืดเจื่อนพร้อมกับรับถ้วยชามาถือไว้โดยไม่คิดจะต่อต้านอีก

...แค่ชาถ้วยเดียวคงไม่เป็นอะไร คิดพลางยกขึ้นจิบอึกหนึ่ง กลิ่นหอมของคาโมมายล์ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจนลดความหวาดระแวงลงไปพอสมควร

“รสชาติเป็นยังไง”

“ก็ดีครับ”

“งั้นก็ดื่มให้หมดเลยสิเมล รอเธอดื่มเสร็จฉันก็จะกลับละ”

เพราะคำพูดนั้น เมลวินเลยไม่รีรอ ค่อย ๆ ดื่มชานั้นจนหมดด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้

“เก่งมากหนุ่มน้อย”

พอดื่มจนหมด ลอเรนก็เอ่ยชมเขา ใช้นิ้วโป้งลูบแก้มของเขาเบา ๆ ทีหนึ่งโบกมือลา โอเมก้าหนุ่มเดินไปส่งอีกฝ่ายถึงประตู มองจนลับตาจึงปิดประตูลงกลอน ลากเท้าเข้าห้องนอนอย่างสะลึมสะลือ ทันที่ที่ล้มตัวลงนอน เปลือกตาหนักอึ้งจนลืมไม่ขึ้น เขาทอดถอนใจ ยอมปลดปล่อยตัวเองให้ดำดิ่งสู่นิทรารมณ์ ลอยล่องอย่างแสนสบายอยู่ในนั้น จนกระทั่งกลิ่นเข้มขรึมหอมหวานของอะไรบางอย่างแทรกซึมเข้ามาในโสตประสาท ปลุกเร้าจิตวิญญาณอันสุขสงบ ทลายกำแพงแห่งความง่วงงุนและกระชากเขาจากห้วงนิทราสู่โลกความเป็นจริงอันโหดร้าย