ในเมื่อสองมือสองเท้าเรามีเท่าคนอื่น แล้วเหตุใดจึงต้องกลัวว่าครอบครัวจะอดตาย
ครอบครัว,จีน,ครอบครัว,นิยายจีนโบราณ,หนิงหนิงจิ๋วจี๊ด,พล็อตสร้างกระแส,เกิดใหม่ ,นิยายรักจีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ม่านหนิงฮวาเกิดใหม่เพื่อมาช่วยมารดาเลี้ยงน้องในเมื่อสองมือสองเท้าเรามีเท่าคนอื่น แล้วเหตุใดจึงต้องกลัวว่าครอบครัวจะอดตาย
เชื่อเรื่องเกิดใหม่หรือเปล่า? ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เธอคงไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ตายแล้วไปไหนหรือตายแล้วเกิดใหม่อะไรพวกนั้นแต่หลังจากที่เบญญาหมดอายุขัยของตัวเองลงไปตามเงื่อนไขธรรมชาติของมนุษย์สิ่งแรกที่เธอพบคือโลกหลังความตายที่วุ่นวายอีนุงตุงนัง
เรือนสกุลม่านที่อยู่ท้ายหมู่บ้านนั้นตั้งอยู่บนที่ดินขนาดสิบหมู่เป็นเรือนชั้นเดียวที่สร้างจากอิฐขนาดสามห้องนอน มีห้องโถงและห้องครัวอย่างละหนึ่งห้องและมีห้องน้ำสร้างอยู่นอกตัวบ้านแต่เมื่อถึงหน้าหนาวก็จะยกอ่างไม้เข้ามาอาบน้ำในครัวกันเพื่อความอบอุ่นและป้องกันการเจ็บไข้ถ้าหากจะต้องเดินออกจากบ้านเพื่อไปอาบน้ำท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ
ในหมู่บ้านชนบทนั้นการมีที่ดินถึงสิบหมู่ก็นับว่ามีฐานะอยู่พอสมควรซึ่งการที่ครอบครัวม่านสามารถถือครองที่ดินได้ก็เพราะหัวหน้าครอบครัวม่านจางหย่งนั้นรับราชการทหารมีตำแหน่งนายกองเล็กๆ ในกองทัพแต่ความที่รู้จักเก็บหอมรอมริบเบี้ยหวัดทุกอีแปะจะถูกใช้จ่ายเฉพาะเรื่องที่จำเป็นเมื่อถึงคราวแต่งภรรยาจึงสามารถซื้อที่ดินปลูกบ้านก่ออิฐอย่างดีเป็นสินสอดให้นางได้
แต่งงานปีแรกก็มีบุตรสาวหน้าตาน่ารักน่าชังมาเป็นโซ่ทองคล้องใจอีกทั้งม่านหนิงฮวายังมีแววฉลาดเฉลียวเพราะนางสามารถพูดคำแรกได้ตั้งแต่มีอายุได้เพียงเจ็ดเดือนเท่านั้นพออายุครบขวบปีก็วิ่งซนจนแทบจะตามจับไม่ทันแต่ถึงกระนั้นทั้งบิดามารดาก็ภาคภูมิใจในตัวบุตรสาวคนนี้มากเหลือเกิน
จนสองปีต่อมาบุตรสาวคนที่สองก็ถือกำเนิดซึ่งนางก็มีร่างกายแข็งแรงดีแม้จะไม่มีแววซุกซนเช่นพี่สาวแต่มีสิ่งที่เหมือนกันคือม่านหนิงเหอคนน้องก็ค่อนข้างที่จะพูดไวถึงแม้จะไม่เท่าพี่สาวซึ่งพอโตรู้ความก็ติดจะขี้อายจึงไม่ค่อยพูดแต่ถ้าหากเจอกับคนที่ถูกใจหรือได้คุยในเรื่องที่ชอบเป็นพิเศษนางก็ช่างพูดช่างจาไม่ต่างจากพี่สาวเลยแม้แต่น้อย
บุตรชายคนที่สามตามมาในปีที่ห้าของการแต่งงานโดยท้องนี้ม่านหนิงอ้ายผู้เป็นมารดาอุ้มท้องกว่าสิบเดือนกว่าที่เด็กชายตัวขาวจ้ำม่ำจะคลอดแต่น่าเสียดายที่บิดามีเวลาชื่นชมความน่ารักของบุตรชายคนเล็กเพียงแค่หนึ่งปีก็ถูกเรียกตัวกลับไปเข้ากองทัพเพื่อเตรียมการทำศึกใหญ่ที่เกิดจากการรุกรานของแคว้นข้างเคียงที่ร่วมมือกับกลุ่มชนเผ่าที่ตั้งรกรากอยู่ในทุ่งหญ้านอกเขตกำแพงเมืองคิดรวบรวมแผ่นดินเพื่อตั้งตนเป็นใหญ่จึงทำการก่อสงครามขึ้นบุกโจมตีเขตชายแดนเยี่ยงกองโจรจนท่านแม่ทัพใหญ่ต้องเรียกรวมพลเพื่อออกไปปราบปราม
ในยามที่บิดาพักจากการศึกหรือการเข้าเวรยามตามหน้าที่ได้กลับมาอยู่กับครอบครัวม่านหนิงฮวาที่รู้ความกว่าใครก็มักจะอ้อนขอให้บิดาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เตรียมเอาไว้ให้อยู่เสมอภายในพื้นที่บ้านสกุลม่านจึงมีทั้งบ่อน้ำ บ่อเลี้ยงปลา ไปจนถึงเล้าไก่ที่เลี้ยงไว้เป็นแหล่งอาหารให้กับครอบครัว ด้วยเหตุนี้มารดาที่เลี้ยงบุตรสามคนเพียงลำพังจึงไม่ต้องดินทางเข้าตำบลหรือขึ้นเขาไปหาของป่าให้ต้องเสี่ยงอันตรายบ่อยครั้งเท่าชาวบ้านคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเดียวกันแต่กระนั้นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรกันก็มักจะมาไถ่ถามอยู่เสมอยามที่ตนเองจะขึ้นเขาหรือเข้าไปในตำบลเหตุเพราะครอบครัวสกุลม่านเป็นอีกเรือนหนึ่งที่มีน้ำใจน่าคบหา
ม่านหนิงอ้ายนอกจากจะเป็นแม่บ้านดูแลลูกๆ และเรือนสกุลม่านแต่เพียงผู้เดียวแล้วนางยังรู้จักช่วยแบ่งเบาภาระสามีด้วยการปลูกผักสวนครัวด้วยตัวเองอีกทั้งยังรับจ้างปักผ้าขายรวมถึงรับจ้างเขียนจดหมายและเขียนหนังสือต่างๆ ตามแต่จะมีผู้ว่าจ้างแม้จะไม่ได้เงินมากมายนักแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีรายได้เข้าบ้านสักเหรียญทองแดง นอกจากนี้การช่วยเขียนจดหมายโต้ตอบยังเป็นการแสดงน้ำใจช่วยเหลือคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่บ้านได้มีโอกาสติดต่อสื่อสารกับลูกหลานที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองทำให้หัวใจที่เหี่ยวเฉาได้มีความสดชื่นขึ้นมาบ้างหลังจากที่ได้ทราบข่าวคราวของบุตรหลานของตัวเอง
“ท่านแม่เจ้าคะข้าว่าจะรื้อแปลงปลูกแตงกวาออกแล้วปลูกใหม่เจ้าค่ะต้นมันเริ่มโทรมและให้ผลผลิตน้อยลงแล้วด้วย” ระหว่างที่มารดากำลังปักผ้าและดูแลน้องคนสุดท้องที่กำลังนอนกลางวันและน้องสาวคนรองที่กำลังหัดคัดตัวอักษรอยู่ม่านหนิงฮวาที่ซุกซนอยู่ในสวนผักก็วิ่งมาบอกมารดาพร้อมกับแก้มขาวๆ ที่ต้องแสงแดดจนเปลี่ยนเป็นสีแดงสดไม่ต่างจากผลมะเขือเทศสุก
“ระมัดระวังด้วยเล่าหรือเจ้าจะรอให้แดดคล้อยกว่านี้เสียหน่อยค่อยลงมือทำแม่จะช่วยเจ้าเอง”
“ข้ามีสองพี่น้องบ้านไช่มาช่วยเจ้าค่ะท่านแม่พวกเขาจะมาช่วยรื้อแปลงปลูกแตงกวาและย้ายต้นกล้าลงไปปลูกและพรุ่งนี้ข้าก็จะไปช่วยบ้านไช่ทำแปลงผักด้วยเจ้าค่ะ” บุตรสาวกล่าวถึงเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านที่นางคบหาอยู่ซึ่งบุตรหลานบ้านไช่ทั้งสองคนนี้ก็คือหลานของท่านปู่ผู้นำหมู่บ้านแห่งนี้นั่นเอง
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นอย่าลืมเตรียมน้ำดื่มและผลไม้ไปแบ่งสหายของเจ้าด้วยแม่เอาแตงโมแช่ไว้ในโอ่งน้ำหลังบ้านว่าจะให้พวกเจ้ากินเป็นของว่างยามบ่ายพอดี เสี่ยวเหอเจ้าอยากออกไปช่วยพี่สาวทำงานในสวนหรือไม่” นางหันไปถามบุตรสาวคนรองที่นั่งมองมารดาและพี่สาวคุยกันอยู่เงียบๆ แต่ดวงตานั้นกลับเปล่งประกายเมื่อได้ยินว่าในวันนี้สหายบ้านไช่จะมาที่บ้านแม้จะไม่ได้มาเล่นซุกซนแต่มาทำงานด้วยกันนางก็ดีใจแล้ว
“อยากไปเจ้าค่ะแต่ข้ายังคัดอักษรไม่เสร็จเลย” ม่านหนิงเหอมองกระดานในมือที่มีลายมือของท่านแม่เขียนอักษรตัวใหม่เป็นแบบสวยงามเรียบร้อยอยู่ด้านบนและนางก็มีหน้าที่คัดมันซ้ำอีกตัวละสิบครั้ง
“ระหว่างที่รอไช่ฟางหรงและไช่อี๋นั่วจะมาถึงเจ้าก็คัดหนังสือไปก่อนเมื่อทั้งคู่มาถึงมาเจ้าก็ออกไปช่วยพี่สาวทำงานที่สวนและหลังจากกินอาหารเย็นแล้วค่อยกลับมาคัดต่อดีหรือไม่” มารดาเสนอวิธีการให้บุตรสาวโดยม่านหนิงอ้ายมิได้บังคับลูกๆ ให้ต้องท่องตำราหรือคัดตัวอักษรอย่างเคร่งครัดถ้าหากพวกนางอยากทำอะไรก็เพียงบอกกันแล้วมารดาคนนี้จะดูแลให้ตามความเหมาะสม
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่สามียังอยู่ที่เรือนหรือออกไปทำการศึกผู้เป็นภรรยาก็ดูแลบุตรีทั้งสองที่อยู่ในวัยรู้ความแล้วด้วยวิธีการเช่นนี้ควบคู่ไปกับการสอนพวกนางให้รู้จักทำหน้าที่ประจำวันของตัวเองและงานบ้านงานเรือนไปด้วยในตัว
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ พี่ใหญ่หากพี่น้องบ้านไช่มาแล้วท่านอย่าลืมมาเรียกข้าด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้ๆ พี่ไม่ลืมหรอกเจ้าตั้งใจคัดอักษรไปก่อนพี่จะไปเตรียมต้นกล้าแตงกวารอสองคนนั้น” ม่านหนิงฮวามีแผนการของตัวเองเอาไว้แล้วว่าจะปลุกอะไรหรือรื้อต้นอะไรออกตอนไหนเนื่องจากเด็กหญิงจดบันทึกรายการผักที่นางปลูกลงในสมุดเล่มบางที่มารดาเป็นคนเย็บให้จากกระดาษเนื้อหยาบราคาถูกที่ซื้อมาจากร้านตำราในตลาดนางจึงมีเวลาเตรียมเพาะต้นกล้าเอาไว้ล่วงหน้าอีกทั้งยังเพาะเผื่อสหายที่จะมาช่วยทำงานเพื่อเป็นน้ำใจตอบแทน
ในการย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูกสิ่งสำคัญที่ต้องมีนั่นก็คือต้นกล้าที่แข็งแรงพร้อมขุดย้าย ปุ๋ยที่นางหมักเองสำหรับใช้รองก้นหลุมเพื่อเสริมธาตุอาหาร ฟางคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นและไม้ไผ่สำหรับทำค้างหากว่าเป็นการปลูกไม้เลื้อยต่างๆ เช่นแตงกวา มะระหรือว่าผลฟัก
ถาดสำหรับเพาะกล้าพืชนั้นเด็กน้อยดัดแปลงเอาเองอย่างง่ายๆ ด้วยการใช้ไม้ไผ่สานเป็นตะกร้าสี่เหลี่ยมขึ้นมาแต่มัดบริเวณขอบถาดให้แน่นหนาสักหน่อยซึ่งช่วงแรกๆ มันก็ออกมาเบี้ยวบ้างหรือไม่คงทนแข็งแรงบ้างแต่หลังจากทำไปนานๆ หลายปีมือเล็กๆ คู่นี้ก็หยิบจับทำอะไรได้ถนัดมากขึ้นผลงานที่ออกมาก็ดีขึ้นตามไปด้วย
“หนิงหนิง พวกเรามาแล้ว” ระหว่างที่เตรียมข้าวของอยู่นั้นเสียงเล็กๆ ของสหายก็ดังขึ้นที่หน้าบ้านแล้วก็เป็นน้องสาวคนรองที่อยู่ใกล้กว่าที่วิ่งไปเปิดประตูต้อนรับและชวนสหายเข้ามาในสวนโดยที่เด็กสกุลไช่ทั้งสองก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปทักทายฮูหยินม่านเจ้าของเรือนก่อนตามมารยาทเพราะถึงจะเป็นหมู่บ้านในชนบทแต่เด็กๆ ก็ได้รับการอบรมเรื่องมารยาทมาเป็นอย่างดี
“พี่ฟางหรง พี่อี๋นั่วมาแล้วเหรอพอดีเลยข้าเตรียมของเอาไว้แล้วเดี๋ยวเราจะช่วยกันรื้อแปลงแตงกวาเก่าออกก่อนจากนั้นจึงจะย้ายต้นกล้าไปปลูกที่แปลงใหม่ข้างๆ กันระหว่างที่พี่สองคนปลูกแตงกวาข้าก็จะถอนค้างมันไปปักใหม่แล้วก็ใส่ปุ๋ยบำรุงดินลงไปในแปลงเก่าด้วย เสี่ยวเหอเจ้ามาช่วยพี่ใหญ่ทางนี้นะสับเถาแตงกวาที่รื้อออกให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอามาใส่ไว้ในถังไม้อันนี้เราจะเก็บมันไปใส่เป็นอาหารของพวกตัวไชดินกัน” เมื่อสหายที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีเดินเข้ามาถึงที่แปลงผักม่านหนิงฮวาก็เริ่มพูดแจกแจงงานที่ทุกคนจะทำกันในวันนี้
“ได้ๆ ต้องเอาปุ๋ยใส่ก้นหลุมก่อนใช่หรือไม่หนิงหนิง” ไช่ฟางหรงที่เป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มเด็กๆ ในหมู่บ้านกลับมาจากสถานศึกษาในช่วงวันหยุดถามทบทวนขั้นตอนการปลูกผักที่เข้าไม่ได้ทำมาสักพักหนึ่งแล้วและที่มาช่วยลูกสาวสกุลม่านในวันนี้เพื่อแลกกับการที่นางจะเอาแรงงานช่วยทำสวนผักที่บ้านของเขาเหมือนกัน
“ใช่แล้วพี่ฟางหรงขุดหลุมแล้วใส่ปุ๋ยลงไปสักกำมือก็พอแล้วถ้าปลูกแตงกวาเสร็จพวกพี่สองคนก็ไปดูต้นกล้าผักในโรงเรือนได้นะข้าเพาะเอาไว้มากพอสมควรแบ่งไปได้เลย” ม่านหนิงฮวาพูดอย่างใจกว้างเพราะนางไม่เคยหวงของกับคนที่เป็นมิตรสหายกับครอบครัวนางอยู่แล้ว
“พวกข้าจะรบกวนแค่ต้นกล้าแตงกวานี่แหละผักอย่างอื่นข้าเพาะไว้บ้างแล้วเพราะก่อนท่านพี่กลับมาหมู่บ้านข้าเข้าไปในตำบลกับท่านปู่ไปหาซื้อเมล็ดผักแต่มันกลับหายากเหลือเกินจึงได้มาไม่มากถามพ่อค้าเขาก็ว่าเมล็ดผักขาดตลาดเพราะสงคราม... หนิงหนิง หนิงเหอ เอ่อ ข้าขอโทษข้าไม่ได้ตั้งใจพูดถึง” ไช่อี๋นั่วรีบขออภัยสหายเมื่อตนเองพลั้งปากพูดถึงเรื่องสงครามออกมาเพราะลืมคิดไปว่าบิดาของบ้านม่านนั้นก็หายไปพร้อมกับการเกิดสงครามมากว่าหนึ่งปีแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกพวกข้าเข้าใจดีว่าสงครามนั้นเลวร้ายแต่ช่วยไม่ได้หากว่าเรายังคงมีชีวิตอยู่ก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนกันไป มาเจ้าค่ะแปลงแตงกวาอยู่ทางนี้นะเจ้าคะครั้งนี้ข้าตั้งใจปลูกเอาไว้เยอะหน่อยเพราะจะเก็บเอาไว้ดองจะได้มีผักเอาไว้กินนานๆ" แต่เดิมนั้นม่านหนิงฮวามีแปลงลูกแตงกวาแค่เพียงหนึ่งแปลงแต่ครั้งนี้เด็กหญิงเพิ่มแปลงปลูกให้มากกว่าเดิมมากถึงสามแปลงเนื่องจากมีความตั้งใจจะแปรรูปเก็บไว้รับประทานในเรือนรวมทั้งแบ่งไปขายที่ในตลาดเหตุเพราะข่าวสงครามเรื่องอาหารที่ขาดแคลนที่ได้ยินมาเข้าหูเป็นระยะๆ นางจึงต้องการเตรียมความพร้อมเอาไว้
“ดีเลยถ้าเช่นนั้นข้าก็จะปลูกผักที่บ้านเยอะหน่อยเหมือนกันหวังว่าตอนกลับไปสำนักศึกษาแล้วที่บ้านจะมีอาหารกินไม่ขาดลำพังตัวข้าไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกเพราะที่สำนักศึกษาอาหารการกินสมบูรณ์ดีไม่มีทางอด ห่วงก็แต่ทางนี้ถึงหมู่บ้านเราจะอยู่ไกลจากเขตสงครามแม้อันตรายมาไม่ถึงแต่ความลำบากเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องความอดอยากหรือขาดแคลนอาหารน่าจะหนีไม่พ้นเพราะมีเส้นทางการค้าบางส่วนที่ถูกทำลายลงไป” แม้จะมีอายุเพียงสิบสองปีและมีโอกาสเข้าไปเล่าเรียนในสำนักศึกษาได้สองปีเท่านั้นแต่หลานชายคนโตของบ้านไช่ก็มีความคิดความอ่านที่เป็นผู้ใหญ่เกินเด็กวัยเดียวกันมากพอสมควร
“หากพี่ฟางหรงมีเวลาและอยากจะทำส่วนผักหรือว่าเลี้ยงไก่ไข่ข้าก็จะช่วยเจ้าค่ะแต่ในตอนนี้หากจะเลี้ยงลูกเจี๊ยบน่าจะไม่ทันเวลาถ้ามีโอกาสข้าก็อยากให้เข้าตำบลไปหาซื้อไก่สาวที่พร้อมออกไข่มาเลี้ยงเอาไว้หรือจะไปจับปลาจากในแม่น้ำมาเลี้ยงเหมือนที่บ้านข้าก็ได้เจ้าค่ะเดี๋ยวมันก็ออกลูกออกหลานเองทำให้เรามีเนื้อสัตว์กินกันตลอดปี”