ไม่อยากจะเชื่อ... แค่การใช้ ลิปแดง ของสวยงามประจำตัวสำหรับผู้หญิงหลายคน จะทำให้ชีวิตเรามาเจอกับเรื่องราวที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นได้ขนาดนี้ (มีกลิ่นอายของ Yuri ใครสายจิ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ห้ามพลาด!!!)
ลึกลับ,ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,นิยายยูริ,yuri,หลอน,เพื่อนเก่า,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,เพื่อนสนิท,เพื่อนรัก,เพื่อน,ฆาตรกรรม,ฆาตกรรมหักมุม,ฆาตกรรม,ยูริ,ผีในห้อง,ผี,ผีไทย,สยองขวัญ,รักวัยรุ่น,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เอี๊ยด เเครก ๆ !!
รถเมล์คันเก่าดูซ่อมซ่อ จอดส่งผู้โดยสารทุกคนลงตรงป้ายรถเมล์ ร่างอรชรเดินลงรถมาต่อจากคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย ในทุก ๆ ครั้ง เธอมักจะมาถึงก่อนเวลาเข้าเรียนเพื่อรอเพื่อนเสมอ
ไม่นาน สายตาใสซื่อก็เหลือบไปเห็นกลุ่มผู้หญิงที่กำลังนั่งคุยกันหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ลดาเห็นเเบบนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมสิ่งที่ตนมีในตอนนี้ กลับไม่เหมือนสิ่งที่เพื่อนมี ทั้งความสนุกเฮฮา อารมณ์ดี ของใช้ที่หวือหวา เเละมิตรเเท้ พร้อมหวังว่าสักวันมันจะเกิดขึ้นกับเธอบ้างเหมือนอย่างที่มันเกิดขึ้นกับพวกเธอทั้งสาม พร้อมเสียงในหัวพึงตัดพ้อกับตัวเองอย่างบั่นทอน คนเเบบฉันต้องเกิดมากี่ชาติถึงจะร่ำรวยเเละเพรียกพร้อมเหมือนกับเพื่อนในกลุ่มนี้กันนะ…
“หวัดดี…” มือเรียวสวยยกขึ้นเหนือหัวโบกสะบัดทักทาย ดวงตาดอกท้อฉายแววสดใสจนใบหน้าขึ้นรอยขีดเล็กน้อยตามหางตา
“มึง ๆ ทำการบ้านวิชาเอกเสร็จยังอะ กูขอลอกหน่อยดิ” ออมกุลีกุจอพูดประโยคคำถามที่คาดหวังคำตอบกับลดาทันทีที่เห็น ด้วยสีหน้าที่ชินชาแบบจอมปลอม
“เสร็จแล้ว แป๊บนะ” สมุดจดเล็คเชอร์ถูกนำออกมาจากกระเป๋าผ้าใบเก่าคู่ใจพร้อมยื่นให้ออมโดยทันที
“แต๊ง มึง” ออมรับสมุดมาเปิดดูพร้อมบ่นพึมพำ
“โห อย่างเยอะ” ออมกวาดสายตามองดูลายมือบรรจงสวยงามอย่างมีระเบียบ ตามนิสัยเด็กเรียนดีจดใส่สมุดด้วยเนื้อหาที่ชัดเจนเเละถูกต้องตามตำราที่อาจารย์สอน
“มา ๆ เดี๋ยวกูถ่ายรูปให้จะได้เอาไปลอกกัน” พิมพ์เสนอตัวจัดการถ่ายรูปผ่านไอแพดเครื่องหรูหราให้เพื่อน เพื่อลดความลำบากจากการถือสมุดที่ดูล้าสมัย ของลดา
“เออลดา ทำไมวันนี้มาสายล่ะ ทุกทีเราเห็นแกมาก่อนพวกเราตลอดเลย” เบลละสายตาออกจากกระจกที่ส่องหน้าคมสวย หันหน้ามาตั้งคำถามกับลดาเเบบชวนกระอักกระอ่วนใจ
“นั่นดิ วันนี้มึงมาสายมากเลยอะ มีไรป่าว?” สีหน้าพิมพ์ดูคาดคั้นหวังคำตอบให้ได้ จนในที่สุดลดาก็ต้องตอบออกมาอย่างไม่ชิน…
“เรา..ติดธุระนิดหน่อยน่ะ พอดีไปช่วยพ่อขายของมา” เธอรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กับคำตอบที่เธอได้พูดไป การบอกฐานะของที่บ้านทำให้เธอกล้ำกลืนใจที่จะพูดกับเพื่อนใหม่ที่เธอเพิ่งมาตีสนิทด้วยไม่กี่วัน
“อ๋อ” พิมพ์เผลอแสดงสีหน้าเยาะเย้ยหลุดออกมาที่มุมปาก อย่างรู้สึกสมเพชในตัวเธอ อย่าใฝ่สูงให้เกินศักดิ์ ประโยคนี้คงเก็บไว้สอนคนอย่างลดาได้ทั้งชีวิต…
“เออมึง วันนี้กูได้ยินมาว่าจะมีอาจารย์นาฏศิลป์คนใหม่มา แต่มันเกิดเรื่องไรขึ้นวะ เปิดเทอมมาไม่ถึงเจ็ดวัน อาจารย์คนเก่าก็โดนไล่ออกไปละ” ออมถือวิสาสะเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา เรียกร้องความสนใจจากเพื่อนทุกคนด้วยท่าทีชวนให้สงสัยไปตามกัน
“ไม่รู้ดิมึง แต่นี่ขนาดเพิ่งเปิดเทอมมาไม่นานนะ การบ้านโคตรจะเยอะเลย” พิมพ์พูดด้วยน้ำเสียงโวยวาย สีหน้าเหยาะแหยะ พร้อมมือกุมศีรษะราวกับปวดหัวก่อนจะเปลี่ยนไปสางผม
“จริงมึง” เบลพูดออกมาราวกับเบื่อหน่ายไปตามเพื่อน พร้อมทำหน้านิ่ว คิ้วขมวด เเต่ยังสวย
“เห้ออ กูล่ะเซ็ง” ออมถอนหายใจหลังจากฟังเบลเเละพิมพ์พูดจบประโยคเธอมีสีหน้าบึ้งตึงเพราะพอคิดตามก็เกิดความเกียจคร้านเกาะกุมภายในใจ
“เออมึงกี่โมงแล้ววะ ถึงเวลาเข้าเรียนยัง” คุณหนูคนสวยกวักมือสะกิดเพื่อนให้รีบดูเวลาเข้าเรียน ด้วยกลัวว่าจะมัวแต่คุยกันจนเกินเวลา เพราะนอกจากหน้าตาที่ดูมีราคา การศึกษาก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ
ออมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะพยักหน้ารับคำตอบแล้วพูดออกมาว่า… “ถึงเวลาละ”
“ไปเลยปะ” เบลเช็กหน้าผมแล้วถามขึ้นมา
“ไป ๆ” พิมพ์กล่าวขึ้นและรีบเก็บของลุกออกจากม้านั่งตรงที่แห่งนั้น พวกเธอเดินออกไปโดยที่ทิ้งลดาให้เดินตามหลังคนเดียว
ไม่ว่าทุกคนจะมีเรื่องราวมาคุยกันแค่ไหน แต่สุดท้าย ตัวลดาเองก็เป็นฝ่ายที่ถูกเมินเสมอ ทุกคนดู…มีความสุขโดยที่ไม่ต้องมีฉันก็ได้นี่..ฉันก็แค่ อยากที่จะมีตัวตนในสังคมแบบนี้บ้าง
บรรยากาศในห้องเรียนคงไม่ต่างอะไรกับทุก ๆ ที่ เหล่านิสิตนักศึกษาทยอยเข้ามานั่งในห้อง ระหว่างรออาจารย์ประจำวิชาต่างก็คุยเรื่องต่าง ๆ สับเพเหระ บ้างก็แต่งหน้าทำสวย บ้างก็อ่านสไลด์งาน บ้างก็เดินสำรวจไปทั่วห้อง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเดินทำไม บ้างก็หลับ…และหนึ่งในนั้นก็คือเพื่อนฉัน ออม พิมพ์ เบล
“พวกมึงรู้ปะวิชานี้อะการบ้านเยอะมาก ให้ประดิษฐ์ท่ารำเอง อะไรก็ไม่รู้อะ เห็นรุ่นพี่ปีที่แล้วบอกมานะ” พิมพ์หันมากระซิบด้วยสีหน้าถอดใจคล้ายคนขี้เกียจ บ่นถึงอาจารย์คนใหม่ให้เพื่อนได้ยิน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะถูกใส่สีตีไข่มากน้อยแค่ไหน แต่ก็จุดประเด็นความสนใจจากเบลได้ไม่น้อย
“ประดิษฐ์ท่ารำเหรอ...มาดิ เดี๋ยวกูจะดัดแปลงให้อาจารย์ตกใจไปเลย ฮ่า ๆ ๆ” เบลพูดออกมาด้วยความคึกคะนอง สนุกปาก พร้อมทำท่ารำล้อเรียนวิชาศักดิ์สิทธิ์แบบไม่แยแสอะไรแม้แต่น้อย พร้อมส่งสายตามองไปยังเพื่อนทั้งสามคน
เมื่อประโยคต่อท้ายที่พูดออกมาสร้างเสียงหัวเราะให้กับ ออม พิมพ์ ลดา ด้วยท่าทีราวกับมีคณะตลกสามช่ามาเล่นให้ดูหน้าห้อง ทำให้มีเสียงหัวเราะดังลั่นห้องขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ส่วนตัวฉันก็พรางสนุกไปตามเพื่อนได้เมื่อครู่ แต่ก็เหมือนเดิม ฉันเลือกที่จะเตรียมตัวเรียนแบบเงียบ ๆ คนเดียวอย่างมีสมาธิ มันอาจจะไม่ได้แย่ แต่อย่างน้อยก็ขอแค่ได้อยู่กลุ่มกับพวกนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็คงพอ
ไม่นาน เสียงรองเท้าส้นสูงดูภูมิฐานก็ย่างกรายเข้ามาในห้อง เป็นสัญญาณให้นักศึกษาทุกคนต้องหยุดเล่น และรีบกุลีกุจอกลับที่นั่งตัวเองอย่างทันควัน
“สวัสดีค่ะนิสิตนักศึกษาทุกคน อาจารย์ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ อาจารย์ชื่อ อาจารย์พิชาญา นัทยากุล นะคะ ต่อจากนี้จะมาสอนแทนอาจารย์มณฑณาค่ะ ตั้งแต่วันนี้ไปเราจะอยู่ด้วยกันทั้งเทอมเลยนะคะ…จะว่าไปแล้ว ห้องเรียนเราดูคนน้อยจัง หวังว่านิสิตนักศึกษาทุกคนจะอยู่จนจบไปด้วยกันน้า”
หลังจากอาจารย์พิชาญาพูดจบนิสิตนักศึกษาทุกคนต่างก็มีอาการแตกต่างกัน บางคนก็ไม่ได้สนใจอะไร หรือ บางคนก็แค่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ แต่คนที่จะดูกระอักกระอ่วนกับคำถามที่สุด คงจะเป็นพิมพ์ ที่หันซ้ายหันขวา มองเพื่อนรอบข้าง เหมือนจะมีคำถามแต่ก็ไม่คิดที่จะถาม
“อะไรวะ มาเริ่มเรียนกันคาบแรกก็ทักทายกันแบบนี้เนี่ยอะนะ...ชีวิต เฮ้อ”
ออมหันมองพวกเราทั้งสามคน พร้อมยิ้มขำเจื่อน ๆ คอยส่งสายตาเชิงหยอกล้อกันไปมา ส่วนอาจารย์ก็คอยแจกเอกสารชุดที่เตรียมมาอย่างครบครัน เป็นข้อมูลแผนการเรียนหน่วยกิตและข้อมูลการติดต่อของเทอมนี้จนครบทุกคน
“ทุกคนได้ชีตกันครบหมดทุกคนแล้วใช่ไหม”
อาจารย์พิชาญากล่าวถามให้แน่ใจเพื่อไม่ให้นิสิตนักศึกษาทุกคนพลาดข้อมูลแผนการเรียนที่สำคัญของตนไป ด้วยท่าทีที่สงสัยพร้อมมองไปที่นักศึกษาทุกคน
บรรยากาศสงัดลงทันตา ทุกคนมองหน้ากันไปมา โดยไม่มีเสียงตอบกลับแม้แต่น้อยนอกจากเสียงแอร์ที่ดัง ทำให้ทั้งห้องเงียบอย่างกับป่าช้า
“อะ วิชานี้เป็นวิชานาฏศิลป์ประยุกต์กับโลกาภิวัตน์นะคะ หลัก ๆ เราจะมาลงลึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของนาฏศิลป์และองค์ประกอบของศิลปะการแสดงต่าง ๆ กัน” อาจารย์พูดยังไม่ทันจบประโยค จู่ ๆ ก็มีเสียงแว่วอุทานออกมาอย่างกลัวไม่มีคนได้ยิน
“มึง คะแนนไฟนอลโปรเจกต์ห้าสิบคะแนน”
“โห”
“บ้าปะเนี่ย”
พิมพ์กระซิบเรื่องคะแนนโปรเจกต์จนเบลกับออมต้องถลึงตาร้องอุทานออกมา แต่ก็จริงอย่างที่ว่า คะแนนขนาดนี้ เรียกได้ว่าปล่อยเกรดก็ยังได้ แต่ถ้าพลาดไปทีเกรดที่คาดว่าจะปล่อยก็อาจดึงคนประมาทตกต่ำได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจฟังแล้ว...
“ในส่วนของการเก็บคะแนนทุกคนคงเห็นแล้วนะคะ เมื่อสักครู่อาจารย์แอบได้ยินเสียงเพื่อนพวกเราอุทานออกมาเยอะพอควร อาจารย์ยิ้มอ่อน หัวเราะแบบชอบใจให้กับพวกเรา จนเพื่อนในห้องถึงกับต้องยิ้มตาม ๆ กัน
“เราจะเก็บคะแนนสอบกัน 40 คะแนน แบ่งเป็นสอบกลางภาค 20 และปลายภาคอีก 20 คะแนน ส่วนของ 50 คะแนน จะเป็นชิ้นงานของไฟนอลโปรเจกต์ ที่จะให้นิสิตนักศึกษาทุกคนได้ประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง โดยโจทย์คือประยุกต์ความเป็นสากลเข้าไป ให้ดูทันสมัยมากขึ้น โดยระยะเวลาอัปเดตงานอาจารย์จะแจ้งพวกเราอีกที ส่วนสิบคะแนนที่เหลือ จะเป็นควิซประจำสัปดาห์ ซึ่งจะมีหรือไม่มีแล้วแต่บทเรียนที่พวกเราเรียนค่ะ”
“มาถึงตรงนี้แล้ว ใครมีคำถามมั้ยคะ” บรรยากาศป่าช้าที่เงียบสงัดกลับมาอีกครั้ง ไม่มีใครยกมือหรือตั้งข้อสงสัยกับอาจารย์เลยสักคน ขนาดฉันเองยังรู้สึกหวิว ๆ กับคะแนนห้าสิบไม่หาย ความคิดภายในใจบอกฉันไว้ว่าจะทำงานเล่น ๆ เหมือนที่เบลพูดก็ไม่ได้ อีกใจหนึ่งก็บอกให้สู้ เอาไงเอากัน รอวันถึงเวลาเริ่มโปรเจกต์ก่อนละกัน ค่อยเครียด…
“งั้น..เดี๋ยวอาจารย์ปล่อยพักเบรกแป๊บหนึ่งและกลับมาเข้าเนื้อหากันค่ะ”
บรรยากาศในห้องกับมาครึกครื้นอีกครั้ง ด้วยเสียงเหล่านิสิตนักศึกษาบ่นกันไปมา บ้างก็ว่า “ตาย ๆ ตั้งห้าสิบคะแนนกูว่างานหนักชัวร์” บ้างก็เริ่มชวนกันจับกลุ่มตามที่ระบุไว้ในชีทกระดาษ เพื่อเตรียมพร้อมให้เต็มที่กับงานหนักที่ตนกำลังจะเจอ ส่วนกลุ่มพวกเราก็หมดกังวล เพราะสมาชิกกลุ่มครบกันแล้วสี่คน ตามแผนของอาจารย์เป๊ะ แต่เพื่อนบางกลุ่มก็ห้าแล้วแต่ความสะดวก
ฉันทำท่าจะลุกขึ้นพร้อมที่จะไปห้องน้ำแต่ก็ไม่ลืมจะหันไปชวน ออม พิมพ์ เบล
“พวกแก ๆ เราจะไปห้องน้ำอะ ไปด้วยกันปะ” ฉันถามด้วยความคาดหวัง ว่าจะมีใครสักคนไปเป็นเพื่อนฉันไหม เหมือนตอนที่ฉันไปกับเพื่อนเก่าตลอด เพื่อนที่ซิ่วออกไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ออมกับพิมพ์หันมาพูดพร้อมกันเหมือนนัดกันมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “ไม่ไปอะ” จังหวะเสียงประสานนั้นทำให้ฉันหน้าเปลี่ยนสีในทันที ฉันจึงหันไปถามเบลที่กำลังทำท่าหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าอย่างวุ่นวายใจ
“เบลไปปะ”
“ไปก่อนเลย เดี๋ยวเราตามไป ขอโทรหาพี่เจมส์แป๊บ”
เบลตอบกลับมาด้วยท่าทีที่ดูใส่ใจ แต่ด้วยธุระของตนกับผู้ชายจึงตอบปฏิเสธฉันอย่างทันควัน แต่ก็..ช่างมันเถอะไปทำธุระของตัวเองบ้างดีกว่าอย่าไปสนใจ เป็นห่วงเป็นใยความสุขของคนอื่นมากกว่าความสุขของตัวเองมากนักเลย
ความคิดเรื่อยเปื่อยเข้ามาในสมองของลดาไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งระหว่างทางเดินไปห้องน้ำ ลดารู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เย็นยะเยือกไม่เหมือนกับทุก ๆ วัน หรือเป็นเพราะแอร์ที่เปิดอุณหภูมิต่ำไป แต่จะว่าไปคณะนี้ก็ขึ้นชื่อว่าแอร์เย็นที่สุดในมอแล้วนี่นา เลิกคิดมากได้แล้วเสียงในหัวของลดาปลอบประโลมใจลดาให้สงบลง
จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินสวนลดาไป ทำให้ลดารู้สึกได้ถึงความประหลาดใจชอบกล มันชวนให้ขนหัวลุกแบบแปลก ๆ เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านต้นคอของเธอทั้ง ๆ ที่วันนี้เธอปล่อยผมมาเรียน แต่ทำไมมันถึงรู้สึกแปลก ๆ ความผวาที่ทำให้ชวนฉงนใจนี่มันคืออะไรกัน…
คิดไปก็วุ่นวายสมองเปล่า ๆ นี่มันห้องน้ำสาธารณะนะ ใครจะเข้าก็ได้ คิดได้ดังนั้น เธอจึงเลือกที่จะถอนหายใจทิ้งกับความรู้สึกแปลก ๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวตามปกติ
“ลดา”
“ลดา”
เสียงผู้หญิงปริศนาเรียกชื่อของลดาขึ้นมาสองครั้ง ลดาที่กำลังจะจัดการตัวเองหลังทำธุระเสร็จก็นิ่งลงทันที พร้อมท่าทีสงสัย เธอมองไปรอบห้องตามเสียงที่ดัง กึกก้อง กังวานขึ้นเรื่อย ๆ จู่ ๆ สัญชาตญาณความเชื่อแบบไทย ๆ ก็โผล่ขึ้นมาอยู่ในหัว เราควรจะทักกลับไป หรือ ไม่ควร…โบราณเขาว่าเอาไว้ได้ยินอะไรแปลก ๆ อย่าตอบรับ…
“ลดา..”
“ลดา..”
แต่ถ้าเกิดว่า เสียงนั้นเป็นเสียงเพื่อนในห้องที่มาตามเราล่ะ...?
“คา คา ใครคะ…” ฉันลองใจดีสู้เสือ ตอบกลับไปเผื่อจะเป็นเพื่อนของเรา แต่แล้ว เสียงนั้นก็เงียบไปสักพัก โล่งใจ คงจะไม่มีอะไร...
ปัง!! ปัง!!! ปัง!!! ปัง!!! ปัง!!!! ปัง!!!!!
เสียงทุบประตูดังกึกก้องไปทั่วห้องน้ำ ลดาสะดุ้งโหยงรุนแรง จนเริ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พร้อมมองไปยังประตูที่เกิดเหตุอย่างลนลาน เหมือนจะมีอะไรคืบคลานมาทำร้ายเธอ
“ใครอะ” ลดาโพล่งถามออกไปอีกครั้งด้วยความตกใจ นี่มันเรื่องอะไร สีหน้าซีดเผือด ขวัญในใจเริ่มกระเจิง และรีบลุกขึ้นดึงกางเกงชั้นใน พร้อมปัดกระโปรงลงและกดชักโครกอย่างรวดเร็วก่อนรีบวิ่งปรี่มาเปิดประตูสู้กับสิ่งที่กำลังจะคุกคามเธออย่างไวที่สุด
กึก ๆ เอี๊ยด!!!
เสียงดังจากประตูถูกเปิดออกอย่างแรง ใบหน้าซีดเผือดจ้องมองไปรอบห้องที่น่าจะมีคนแต่ผิดคาด เพราะภายนอกห้องน้ำที่มีเสียงคนเรียกลดาอยู่หลายต่อหลายครั้ง กับเสียงเคาะประตูที่ดังกึกก้องอย่างรุนแรง จนบานประตูแทบพังลง กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เฮือก!!
เสียงสูดลมหายใจเข้าและปล่อยออกของลดาดังขึ้น เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วมองไปรอบ ๆ ทุกอย่างกลับว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากบรรยากาศที่มีเพียงแค่เสียงของลมที่พัดผ่านช่องเล็ก ๆ เพื่อเปลี่ยนผ่านอากาศในช่องแอร์เท่านั้น
ใช่...! ลดา แกคงคิดไปเอง แต่ก็ทำให้ใบหน้ารูปไข่เหงื่อไหลซึม เธอส่ายหัวเล็กน้อย สลัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออกไป เมื่อกี้ก็กลัวแทบแย่แต่ของแบบนี้คงไม่มีอยู่จริง!!
คิดได้ดังนั้นหล่อนก็เดินมาหน้ากระจกพร้อมจัดการกับผมตรงยาวสลวยให้มีระเบียบอีกครั้ง ก่อนจะกลับไปเปิดก๊อกน้ำล้างมือที่อ่างเพื่อจะเตรียมตัวกลับเข้าเรียน แต่แล้ว สายตาเจ้ากรรมกลับเหลือบไปเห็นแท่งลิปสติกสีดำมืด ตัดขอบด้วยสีทอง ทรงดูหรูหรา หากมองด้วยตาเปล่าก็รู้ ว่าเป็นของมียี่ห้อราคาแพงพอ ๆ กับร้านในห้าง
พลันความโลภก็เข้าครอบครองใจลดา เธอมองมันด้วยความอยากได้ อยากมี รู้ตัวอีกที ลิปแท่งนั้นก็อยู่ในมือของตัวเอง ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองเปิดทาสักหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอก
ลดาเปิดฝาลิป ดูเนื้อสีข้างใน เป็นสีแดงสดฉ่ำวาว หากทาแล้วคงขับผิวให้ดูขาวผ่องน่าดู คิดได้ดังนั้น เจ้าตัวก็เหลือบมองซ้ายขวา เพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีคนผ่านไปมา ลิปสีแดงสดถูกเลื่อนออกจากปลอกสีทอง ค่อย ๆ ขยับขึ้นตามแรงมือ จวนจะเข้ามาเติมแต่งที่ปาก แต่แล้ว…
“ลดา” เสียงเรียกจากบุคคลภายนอกก็ดังมาจากทางเดินเข้าห้องน้ำ จนเธอต้องกระวีกระวาดรีบเก็บลิปแท่งนั้นลงในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
“ลดา”
“โธ่..อยู่นี่เอง หาตั้งนาน ไปนานแล้วนะเนี่ย ไป ไปเรียน ไปทำงานต่อได้แล้ว” เสียงเบลที่ไพเราะตะโกนเรียกลดา เพราะเธอได้เดินตามหาลดามาสักพัก ก่อนจะใช้มือเอื้อมไปคล้องแขนของลดาอย่างเป็นมิตรเมื่อเห็นเป้าหมาย
แต่หารู้ไม่ เมื่อทั้งคู่เดินออกมา ภาพในห้องน้ำหน้ากระจกด้านตรงข้ามที่ลดาใช้ในเมื่อครู่ กลับสะท้อนร่างนักศึกษาสาวนั่งเลือดอาบท่วมตัว อยู่บนอ่างล้างมือ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น มองทั้งคู่เดินออกไปจนลับสายตา