ความยุติธรรมเป็นคำที่สังคมศรัทธานับถือมาก แต่สังคมบางกลุ่มความยุติธรรมแค่คำที่ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย

สืบพิสดาร - บทที่6 ข่าวลือที่ขึ้นชื่อกับติดต่อนัดทานข้าว โดย Kim Sooyoung @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,อาชญากรรม,Mpreg,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สืบพิสดาร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,อาชญากรรม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

Mpreg,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

สืบพิสดาร โดย Kim Sooyoung @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความยุติธรรมเป็นคำที่สังคมศรัทธานับถือมาก แต่สังคมบางกลุ่มความยุติธรรมแค่คำที่ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย

ผู้แต่ง

Kim Sooyoung

เรื่องย่อ


เรื่องย่อ…..

“พี” เป็นทนายหนุ่มไฟแรงที่เก่งมีความสามารถในการทำคดีจนชนะไปหลายครั้ง อยู่มาวันหนึ่งได้มีลูกความให้ทำคดีเกี่ยวกับการฆาตกรรมในงานปาร์ตี้ซึ่งลูกความได้บอกกล่าวกับพีว่า “ตนเป็นแพะรับบาป” เพราะตนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเหตุการณ์ที่ในงานปาร์ตี้และมาทราบตอนที่เหยื่อกลายเป็นศพไปแล้ว………ทำให้ดีคดีฆาตกรรมนั้นได้กลายเป็นข่าวโด่งดังเพราะมีคนที่มีชื่อเสียงที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยในคดีว่ามีการใช้เส้นสายในคดีหรือเปล่า!? พีเองอยากให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำแบบนั้นแถมโดนกดดันจากเพื่อนร่วมงานว่าให้วางคดีนี้ซะ!!! แล้วมีกลุ่มนักเลงพยายามจะติดสินบนกับพีเพื่อที่จะให้พีไม่ต้องตั้งใจทำคดีมาก แต่พีไม่รับ พวกกลุ่มนักเลงก็เข้ามาวุ่นวายในชีวิตทำให้พีเกิดความลำบากและเหนื่อยหน่ายใจจนท้อแล้วมาระบายกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่ใต้ตึกคณะ จนมาเจอ “วิน” เพื่อนสมัยเรียนของพีที่อยู่คณะเดียวกันตอนนี้วินเป็นตำรวจแถมเป็นวิทยากรพิเศษที่คณะที่ตนเคยเรียนอีกด้วย ช่วงแรกพีเองก็ไม่อยากคุยกับวินซะเท่าไรเพราะไม่ค่อยถูกกันนัก แต่……ด้วยงานคดีที่พีทำจนทำให้พีจำต้องคุยกับวินอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ วินได้ยินอย่างนั้นยื่นมือมาช่วยทำคดีให้พีทันที ยิ่งสืบคดีไปเมื่อไรยิ่งได้เห็นความดำดิ่งของกลุ่มไฮโซมากขึ้น พีและวินจะสามารถให้ความยุติธรรมกับเหยื่อและต้องตามฆาตกรตัวจริงมารับผิดให้ได้……….

สารบัญ

สืบพิสดาร-ตอนที่1 บทนำ,สืบพิสดาร-บทที่1 ชีวิตประจำวัน&รั้วมหาวิทยาลัย,สืบพิสดาร-บทที่2 การทำงานในที่อากาศร้อน,สืบพิสดาร-บทที่3 งานคอสเพลย์ (คำเตือน อย่าอ่านในช่วงทานอาหารเด็ดขาด!!!!!),สืบพิสดาร-บทที่4 ดีใจที่ได้เจอกัน,สืบพิสดาร-ชี้แจง นักอ่านทุกท่าน,สืบพิสดาร-บทที่5 ความคาดหวัง&เพื่อนที่จริงใจ(เหรอ?),สืบพิสดาร-บทที่6 ข่าวลือที่ขึ้นชื่อกับติดต่อนัดทานข้าว

เนื้อหา

บทที่6 ข่าวลือที่ขึ้นชื่อกับติดต่อนัดทานข้าว

ร่างบางที่กำลังนั่งอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนเนื้อหาในคาบถัดไปสายตาจดจ้องไปที่หนังสือ มือเรียวหยิบปากกาเน้นข้อความมาขีดทับตัวหนังสือที่เป็นเนื้อหาสำคัญของวิชาเรียนต้องจำให้ได้เสียงประตูดังอยู่หน้าห้องบ่งบอกถึงอีกฝ่ายที่กลับมาถึงห้องพักร่างสูงเดินอย่างเอื่อย ๆ เฉื่อย ๆ แทบจะเดินเป็นซ้อมบี้ที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรออกมาที่เหมือนมนุษย์เลยแถมสภาพชุดนักศึกษาก็มีสภาพไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว

            “โปรเจคที่นายทำเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีใช่ไหม” ร่างมองหางตาใส่

            “ก็…เรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไรมากหรอก อย่างมากแค่ต้องสอนไอบาสใช้งานโปรแกรมนิด ๆ หน่อย ๆ เอง” ร่างสูงลงไปนอนกับโซฟา

            “ดีแล้วแหละ ตั้งใจเรียนบ้างไม่ใช่วัน ๆ เอาแต่เที่ยวอย่างเดียว” ร่างบางยิ้มอย่างเอ่ยชม

            “คนเรามันต้องสนุกบ้างสิ นี่บอยนายเองก็หาเวลาว่างไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ในคณะบ้างนะ ไม่ใช่วัน ๆ เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในห้องแบบนี้” ร่างสูงพูดสวนไป

            “นายย้อนฉันเหรอ!? ฉันก็นัดไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ เหมือนกันแหละ แต่ไม่ใช่นายที่จะไปเที่ยวทุกวันกับแก๊งKing of The Best นิ” ร่างบางเบ้ปากใส่

             “อย่าคิดมากสิ!!! ที่ทำไปเพราะอยากให้พวกเรามีคอนเนคชั่นคนใหญ่คนโตบ้างตั้งแต่อยู่ต่างจังหวัดมาไอพวกนั้นเคยทำแล้ว แต่ฉันยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นตัวของตัวเองเลย นายก็รู้ดี” ร่างสูงลูกหัวอีกคนอย่างเอ็นดู

            “เก่ง! ฉันซีเรียสเรื่องนี้จริง ๆ นะ ถ้านายคบเพื่อนดี ๆ ฉันจะไม่ว่าเลยแต่นายดันคบกับไอพวกนั้นฉันเองก็เป็นห่วงอนาคตของนายเหมือนกันนะ อีกอย่างแม่นายโทรมาหาฉันบ่อย ๆ ว่านายมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจหรือเปล่า!? แม่นายเป็นห่วงมากเลยนะรู้ไหม!?” ร่างบางแสดงสีหน้าอย่างเศร้าปนกับความเป็นห่วง

            “ฉันเข้าใจแกนะบอยที่นายเป็นห่วงฉัน แต่นายก็ต้องเข้าใจฉันด้วยนะที่ผ่านตอนที่อยู่บ้านฉันไม่ได้ทำอะไรที่เป็นตัวของตัวเองเลย แอลกอฮอล์ก็ไม่เคยได้ดื่ม ผับก็ไม่เคยไป ฉันอยากลองทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง” เก่งนั่งลงมากับพื้นกุมมืออีกคน

            “อยากทำหรือแค่ต้องการเป็นที่ยอมรับกันแน่! ตอนที่นายอยู่บ้านเพื่อน ๆ ชวนไปเที่ยวที่ไหนนายก็ปฏิเสธทุกครั้งแถมเหล้าเบียร์นายก็ไม่ค่อยจะดื่ม เอาตรง ๆ นะฉันว่าตอนที่นายอยู่บ้านยังเป็นตัวของตัวเองมากกว่านะ” บอยตบบ่า

            “เออ…..ฉัน” เก่งพยายามหาคำพูดที่พอสามารถจะเถียงอีกฝ่ายให้ได้ แต่สิ่งที่บอยพูดนั้นมันเป็นความจริงที่เขาต้องยอมรับเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันทำให้เก่งต้องฝืนใจบางอย่างที่ให้ทุกคนยอมรับ

            “บอย จินฝากมาบอกว่า.....ถ้านายทำอาหารให้ฉันอีกฝากทำเผื่อด้วยนะ” เก่งเริ่มเปลี่ยนบทสนาเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้

            “ไม่!!! ฉันไม่ทำให้กินเด็ดขาด!!! แล้วอีกอย่างคนแบบนั้นมันมั่วไปทั่วไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงนะฉันไม่เอาด้วยหรอก” บอยส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด

            “ดูแล้ว.....จินคงอาจจะแอบชอบนายก็ได้นะ พอเห็นนายทีไรจะกัดกันทุกทีเลย” เก่งพูดเชิงแซว ๆ

            “ไม่ต้องมาเชียร์เลยนะ!!! คนอย่างฉันไม่เอาคนแบบนั้นมาเป็นพ่อของลูกหรอก” บอยขึ้นเสียงอย่างดุ ๆ 

            “โอเค ๆ ฉันไม่พูดแล้ว” เก่งแอบขำ

            “นี่เก่ง จำแคทตี้ได้ไหมเพื่อนชั้นสมัยเรียนของพวกเราอะ” บอยนึกถึงเพื่อนสมัยเรียนมัธยม

            “เออ.....จำได้สิแคทตี้เพื่อนสมัยเรียนแถมยังอยู่หมู่บ้านใกล้เคียงกันอีก เอาจริง ๆ ก็สงสารแคทนะไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง” เก่งทำสีหน้าอย่างจริงจังลึก ๆ ในใจก็มีความหวังที่ตนจะได้เจอคนที่รู้จักในสมัยเรียนอีกครั้ง

            “ว่าแต่....มีเรื่องอะไรเหรอ!? ถึงได้พูดถึงเพื่อนขนาดนี้” เก่งขมวดคิ้วอย่างสงสัย

            “อืม....ฉันได้ยินข่าวลือจากเพื่อนสมัยเรียนในไลน์กลุ่มเห็นว่าแคทตี้กลับมาเรียนปีหนึ่งอีกครั้ง แถมยังเรียนที่เดียวกันกับพวกเราอีกด้วยนะ แต่.....นายคงไม่อยากจะได้ยินเรื่องแบบนี้เท่าไรนะ นายพอจะรับได้ไหม” บอยทำหน้าอย่างกังวล

            “ว่ามาสิ! ฉันไม่ถือสาอยู่แล้ว” เก่งพูดถอนหายใจ

            “คืองี้นะ.....ได้ยินข่าวจากเพื่อนต่างคณะที่เคยเรียนรุ่นเดียวกันกับพวกเรา เขาว่ากันว่านะแคทตี้รับงานพิเศษที่หลาย ๆ คนเข้าใจกันหน่ะ” บอยพยายามพูดให้ดูสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้

            “อืม เข้าใจแหละ” เก่งพูดยิ้มเจื่อน ๆ

            “เอาเป็นว่ายังไงแคทตี้ก็ยังเพื่อนที่ดีอยู่เสมอ ส่วนเรื่องอะไรที่เราเห็นหรือได้ยินนั้น.......ก็มองข้ามไปนะ บางทีแคทตี้ที่ทำแบบนั้นอาจจะมีความจำเป็นจริง ๆ” บอยลูบบ่าไหล่อีกคนเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจขึ้น

            เก่งอมยิ้มให้บอยรู้ว่าเพื่อนของตนเป็นห่วงความรู้สึกว่าเพื่อนร่วมชั้นในสมัยมัธยมทำงานเป็นเด็กเอนเตอร์เทรนให้กับบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายที่ต้องส่งมอบความสุขให้กับคนที่จ้างมาไม่ว่าจะไปทานข้าวหรือทำกิจกรรมที่ออกแนวมีสัมพันธ์กันไว้ แต่เก่งก็เชื่อใจว่าเพื่อนทำแบบนั้นก็เพราะความจำเป็นที่ต้องเลี้ยงดูคนในครอบครัวซึ่งเก่งกับบอย พอรู้สถานะทางบ้านของเพื่อนสนิทที่พูดถึงนั้นค่อนข้างที่จะมีความยากจนเมื่อก่อนแม่ของแคทตี้ได้แต่งงานกับชาวอเมริกันวัยอายุสี่สิบแล้วมีแคทตี้และน้องสาวอีกหนึ่งคน ช่วงนั้นครอบครัวนี้มีเงินพอที่จะเลี้ยงดูแลตัวเองได้เพราะคุณพ่อของแคทตี้เป็นทหารต้องมาทำงานประจำอยู่ที่ไทยวางแผนจะพาภรรยารวมถึงลูก ๆ กลับไปอยู่ที่ภูมิลำเนาของตนด้วย 

แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกลากันเพราะแม่ของแคทตี้นั้นติดการพนันหนักมากจนถึงเป็นหนี้สินท่วมหัวใช้เท่าไรก็ไม่หมดตอนแรกคุณพ่อก็จะพาลูกไปอยู่ด้วยแต่คุณแม่ของแคทตี้ไม่ยอมหนักมากจนต้องยกทรัพย์สินเงินทองที่สร้างไว้ที่ไทยยกให้กับลูกทั้งสองจากนั้นคุณพ่อกลับไปประเทศของตน จนถึงปัจจุบันทรัพย์สินทุกอย่างที่เคยมีนั้นก็ต้องตกขายทอดตลาดเงินที่ได้หลายล้านก็ใช้ภายในแค่ไม่ถึงปีก็หมดไป เก่งกลับมาย้อนความทรงจำที่คุณแม่ของตนเคยเล่าประวัติเกี่ยวกับแคทตี้รวมถึงจากปากของอีกฝ่ายโดยตรงทำให้เก่งนึกขึ้นอะไรบางอย่างออกมาที่ทำให้ตนได้เจอกับเธออีกครั้ง

            “นี่บอย นายพอมีช่องทางการติดต่อของแคทตี้บ้างไหม” เก่งเขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างแรง

            “โอ้ย!!! ไม่มีหรอก แต่ฉันรู้ว่าแคทตี้เรียนคณะอะไรส่วนที่เหลือ......นายก็ตามสืบเองแล้วกัน” บอยส่ายหน้าและถอนหายใจแบบปลง ๆ

 

ณ มหาวิทยาลัย

         บรรยากาศโรงอาหารคณะที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายของนักศึกษาที่ต้องต่อแถวรอซื้อข้าวก่อนระหว่างเข้าเรียนบางคนก็มานั่งทำงานกลุ่มกันรวมถึงนั่งพูดเล่นตามภาษาเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่มีเวลาใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงภายในสี่ปีนี้ให้คุ้มที่สุดก่อนที่จะไปสู่สังคมที่กว้างมากขึ้นและช่วงเวลาที่อยู่ในรั้วมหาลัยนั้นก็ไม่ควรทิ้งการเรียนเช่นกันหรือบางคนอาจจะดรอปกลางคันเพราะทนเรียนคณะที่ตนเรียนนั้นไม่ไหวด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเลยนักศึกษาบางกลุ่มก็เรียนร่วมชั้นกับรุ่นน้องด้วย ทันใดนั้นเองหญิงสาวก้าวเดินเข้ามาในโรงอาหารทำให้ทุกคนส่งสายตามาที่หญิงสาวคนนี้เพราะเธอนั้นมีความสวยในระดับที่เป็นดารานางแบบได้เลยทีเดียว โครงหน้าแหลมคม ดวงตาสีน้ำตาลที่เรียวคม จมูกเป็นสันโด่ง ผมลอนสีน้ำตาลเข้ม ผิวพรรณขาวเหมือนเป็นคนต่างชาติไปทางยุโรป-อเมริกัน ทำให้นักศึกษาชายต่าง ๆ จ้องมองมาที่เธอและมีการกระซิบแซวกันว่าเธอนั้นดูสวยแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเองยังต้องมามองเธอคนนี้อย่างไม่ละสายตาเลยทีเดียว ถึงแม้รูปร่างหน้าตาของเธอจะเป็นคนต่างชาติแต่ก็ยังมีลักษณะรูปร่างหน้าของเธอยังมีความเป็นคนเอเชียผสมเช่นกัน

หญิงสาวเดินไปที่ร้านข้าวราดแกงเพื่อจะไปสั่งอาหารร่างบางไปยืนต่อคิวจากคนข้างหน้ามือเรียวพยายามล้วงกระเป๋าใบหรูที่กำลังจะเอากระเป๋าตังค์ออกมาจังหวะนั้นก็ได้สะดุดไหล่อีกคนที่เดินสวนมาจากทางด้านหน้าของเธอทำให้เศษเงินของฝ่ายร่วงลงมาตรงพื้น

“อุ้ย! ขอโทษค่ะ!!!” เสียงหวานเอ่ยขึ้นแล้วก้มเก็บเงินให้อีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรครับ!!!” ชายหนุ่มตอบกลับละก้มเก็บเงินโดยไม่ได้สังเกตหน้าของอีกฝ่ายว่าเป็นใคร พอเก็บเงินให้กันเสร็จเรียบร้อยทั้งสองค่อย ๆ เงยหน้าให้กันทำให้ทั้งคู่ต้องหยุดชะงักไปครู่หนึ่งหญิงสาวขมวดคิ้วและจ้องหน้าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงสัยว่าตนเคยเจอที่ไหนมาก่อน ส่วนอีกฝ่ายจ้องมองหน้าตาผู้หญิงคนนี้เช่นกัน ทั้งคู่นึกหน้ากันไปสักพักทำให้ความคิดของทั้งสองได้จุดประกายถึงความทรงจำได้ทันทีว่าตนนั้นเคยรู้จักกันมาก่อนทำให้ทั้งสองร้องอุทานชื่อขึ้นมาทันที

“บอย!!!! แคทตี้!!!” ทั้งสองอึ้งมากไม่คิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นเพื่อนในสมัยมัธยมที่เคยเรียนด้วยกันมาอยู่ในมหาลัยเดียวกันแบบนี้ หญิงสาวยิ้มอย่างดีใจที่ได้เจอคนรู้จักอีกครั้งแถมยังอยู่หมู่บ้านที่ใกล้เคียงกันมาเจอกันอีกครั้งหลักจากที่ตนได้ดรอปเรียนมาหนึ่งปีเต็ม ส่วนชายหนุ่มก็ยิ้มแก้มปริเหมือนกันที่ได้เจอคนรู้จักเช่นกัน ทั้งคู่ลุกขึ้นจากพื้นหญิงเอ่ยเริ่มบทสนทนากับอีกฝ่าย

“บอย! นายสบายดีไหม” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น

“สบายดี แล้วเธอละสบายดีใช่ไหม” หนุ่มตอบกลับ

“อืม!!! สบายดีเช่นกันพวกเราไปหาที่นั่งคุยกันไหม” หญิงสาวทำท่าตังเกร็งหน่อย ๆ 

“ได้สิ!!! แต่ต้องคุยกันข้างนอกนะเรามีสวนที่นั่งคุยกันแนะนำเลย” ชายหนุ่มพยักหน้า

“โอเค!!! งั้นฉันไปสั่งข้าวก่อนนะเราว่ามีเรื่องที่ต้องคุยกันยาวเลย” หญิงสาวยิ้มแล้วก็เดินไปสั่งอาหาร

“งั้นฉันหาที่นั่งทานข้าวก่อนนะ” ชายหนุ่มเดินไปจองโต๊ะ

            หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้พูดคุยเรื่องราวสารทุกข์สุขดิบซึ่งกันและกันรวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ตนได้พบเจอเล่าสู่การฟังและยังได้พูดถึงช่วงเวลาที่ทั้งคู่เคยเรียนที่โรงเรียนว่าตนเคยเล่นอะไรด้วยกันบ้างเคยทำวีรกรรมอะไรไว้ที่โรงเรียนของตนได้เติบโตมาก่อนทั้งคู่เรียนจบแยกย้ายไปตามเส้นทางของตนเอง พอทานข้าวเสร็จแล้วทั้งคู่เตรียมเก็บข้าวของเพื่อที่จะไปสวนของมหาลัยที่บอยแนะนำให้แคทตี้ทั้งสองก็ไปเก็บจานแล้วเดินออกมาจากโรงอาหารทันที ถึงแม้ทั้งคู่อยากจะพูดคุยต่อแต่เสียงที่โรงอาหารค่อนข้างดังแถมยังมีพวกผู้ชายชอบมาเดินแซวขอจีบบ้างถ้าเป็นแบบนี้คงไม่ได้พูดคุยกันพอดี

            ทั้งคู่ก็ได้มาที่สวนหลังตึกคณะที่ดูเงียบสงบเหมาะแก่การอ่านหนังสือรวมถึงมาพักผ่อนหย่อยใจในเวลาที่เครียดจากการเรียนหรือเหนื่อยล้าการทำงานPart-Timeซึ่งมีคนมานั่งอ่านหนังสือเป็นจำนวนมากเลยทำให้ทั้งคู่ต้องไปนั่งโต๊ะที่ไกล ๆ จากตรงนี้เพื่อให้ได้พูดคุยสะดวกโดยไม่ต้องกระทบกับคนที่มานั่งอ่านหนังสือ

            “ตรงนี้แหละ ห่างจากผู้คนดี” หญิงสาวเดินมาที่โต๊ะม้านั่งที่กำลังว่างอยู่และเอากระเป๋าวางไว้บนโต๊ะมือบางปัดฝุ่นเก้าอี้แล้วนั่งลง

            “โอเค” ชายหนุ่มนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอีกคน

             “แล้วนี่.....นายพักอยู่แถวไหนกันเหรอ?” แคทตี้เอ่ยถาม

            “อ๋อ!!! พักอยู่คอนโดแถว ๆ นี้แหละ พักอยู่กับเก่งเธอจำเก่งได้ใช่ไหม?” ยิ้มตอบแล้วถามกลับไปหาหญิงสาว

            “จะ.....จำได้สิ!!! ทำไมจะจำไม่ได้ คนที่เคยช่วยเหลือฉันในเมื่อตอนมัธยม......ฉันไม่เคยลืมเลย” แคทตี้ยิ้มอย่างดีใจจนน้ำตาคลอออกมา

            “แต่เสียดายที่เก่งคบเพื่อนผิดกลุ่ม แทนที่จะหาเพื่อนดีกับคนอื่นเขากลับไปเลือกกลุ่มอันธพาลที่ไม่สนใจความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเลย” บอยพูดอย่างถอนหายใจแล้วส่ายหน้าแบบรับไม่ได้

            “ฉันพอจะได้ยินข่าวจากเพื่อนสมัยเรียนบ้างแหละ ว่าเก่งไปคบกับกลุ่มพวกนั้น” แคทตี้มีสีหน้าที่ดูกังวลเป็นอย่างมาก

            “การจะหาคอนเนคชั่นมันก็ดีแหละ ฉันเข้าใจเก่งมันดีตอนที่อยู่บ้านแทบจะไม่ได้ไปไหนเลยวัน ๆ เอาแต่เรียนพิเศษแล้วทำงานช่วยแม่บ้าง” บอยอธิบายในสิ่งที่เก่งเคยพูดไว้

            “แล้ว......เรื่องที่เพื่อนสมัยเรียนพูดถึงเรื่องฉัน นายได้ยินบ้างไหม?” แคทตี้แถมบอยอย่างเสียงสั่นและทำสีหน้ายิ่งกังวลกว่าเดิม

            “เอ่อ.....ก็ได้ยินมาบ้างแหละ ว่าแต่เธอถามแบบนั้นทำไมกัน” บอยหยุดชะงักไปเพราะตนได้ยินจากเพื่อนเรื่องที่แคทตี้ทำงานแบบนั้น

            “ถ้าฉันจะบอกว่าสิ่งที่นายได้ยินมามันเรื่องจริงจากปากของฉันละ นายจะรับฉันได้ไหม?” แคทตี้สูดลมหายใจที่จะพูด

           “นี่อย่าบอกนะว่าเธอ......ทำงานแบบนั้นจริง ๆ ” บอยอึ้งกับสิ่งแคทตี้พูดออกไปว่าเรื่องทั้งที่ตนได้ยินจากเพื่อนนั้นจะมารู้คำตอบกับเจ้าตัวจริง ๆ 

            “ใช่! ฉันทำงานเป็นเด็กเอ็นเตอร์เทนที่ให้บริการกับผู้ชายตามที่เขาต้องการและสิ่งที่ฉันทำดูเสียศักศรีในสายตาของคนทั่วไปหน่อยนะ” แคทตี้เริ่มมีปฏิกิริยาที่ทำให้ตนได้ระบายออกมา น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมาหยาดน้ำตาไหลรินตามแก้ม ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสงสารขึ้นมาทันที

            “อย่าบอกนะ!!! ว่าเธอรับงานมากกว่านั้น” บอยจับมืออีกฝ่ายเพื่อที่จะได้ระบายความรู้สึกออกมาจากใจ

            “ใช่!!! ฉันยอมมีอะไรกับผู้ชายที่ฉันบริการด้วยเพราะเงินที่สามารถทำให้ฉันได้ใช้หนี้ที่แม่ก่อจนหมดและฉันอยากให้น้องสาวฉันได้เรียนต่อ” แคทตี้ร้องไห้ออกมา

            “ขอโทษนะ ที่ฉันพูดจี้แทงใจเธอ” บอยพูดปลอบใจอีกฝ่ายเพื่อให้กลับมาใจเย็น

            “ไม่เป็นไร ฉันรับได้เพราะมันเป็นความจริง” แคทตี้ส่ายหน้าแล้วปัดคราบน้ำตาออก

            “นี่!!! ทิชชู” บอยหยิบทิชชูจากกระเป๋าออกมาให้
            “ขอบใจนะ” มือเรียวหยิบทิชชูมาเช็ดหน้าและคราบน้ำตาที่ยังปนเปื้อนกับเครื่องสำอางค์

            “แล้วคิดได้ไงมาทำงานแบบนี้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม? ฉันไม่ถือสาเรื่องอะไรแบบนี้หรอก เธอไม่เต็มใจที่จะเล่าก็ไม่เป็นไรนะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอ” บอยถอนหายใจแล้วส่ายหน้า      

“ไม่หรอก ฉันพร้อมที่จะเล่าให้นายฟังเพราะไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะไปพึ่งใครได้บ้าง” แคทตี้ส่ายหัวเบา ๆ และยิ้มอย่างดีใจที่เจอคนรู้จักที่ไว้ใจขนาดนี้

“โอเค ฉันพร้อมรับฟังเรื่องราวของของเธอโดยไม่ตัดสินในตัวเธอว่าเธอจะเป็นยังไง อย่าลืมนะว่าเราเป็นเพื่อนกัน” บอยนั่งตัวตรงและพร้อมที่จะรับฟังเรื่องราวของแคทตี้

 

ณ สำนักงานทนาย The Empress

ภายในสำนักงานที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับเอกสารของคดีต่างคนต่างทำงานของตัวเองให้เสร็จเพื่อจะได้ไปเคลียร์งานอื่น ๆ ต่อร่างบางที่กำลังทำเอกสารคำฟ้องอยู่นั้นได้มีเสียงโทรศัพท์แจ้งเตือนขึ้นมาเป้นข้อความแชทที่มีชื่อผู้ส่งมือบางหยิบให้มาดูว่าเป็นลูกความของตนหรือเปล่า แต่สายตาเพ่งไปที่รายชื่อผู้ส่งทำให้ร่าบางต้องมองบนทันทีเพราะชื่อที่ปรากฏอยู่นั้นเป็นวินเพื่อนสมัยเรียนที่เคยมีปากเสียงกันมาก่อนแถมยังต้องมาเจอในงานคอสเพลย์ที่ผ่านมาอีก ทำให้เขาได้พบเจอกันอีกครั้งไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไรกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ร่างบางเปิดอ่านแชททันที

“พีวันนี้ไปกินชาบูกันไหม เราออกเวรเร็ว”

“ทำไมต้องชวนด้วย? อยากกินก็ไปคนเดียวสิ” พีส่งข้อความตอบกลับ

“ก็.....อยากจะคุยกับนายหลายเรื่องเลยแหละ ถ้านายไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ” 

วินส่งข้อความตอบกลับมาพีทำให้พีรู้สึกดีเพราะตนไม่อยากจะเจออีกฝ่ายเช่นกันมือเรียวกำลังจะพิมพ์ข้อความปฏิเสธอีกฝ่ายทันใดนั้นมีข้อความเด้งจากวินอีกครั้งทำให้อีกฝ่ายต้องหยุดอ่าน

“ฉันชวนข้าวหอมไปด้วยนะแล้วข้าวหอมก็ไปกันฉันด้วย นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”

พีอึ้งไปสักพักใหญ่ที่เพื่อนสนิทของตนไปด้วย แต่ตนเองไม่ได้คิดที่จะหวงเพื่อนสนิทขนาดนั้นเพราะข้าวหอมก็เป็นเพื่อนกับวินในสมัยมหาลัยที่สนิทกันเพราะบางวิชาวินได้เรียนกับข้าวหอมเป็นวิชาเสรี พีกำลังนึกประโยคปฏิเสธที่เจ็บแสบจะทำให้อีกฝ่ายไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายในชีวิตของตนเอง เรื่องงานก็ยุ่งมากพอแล้วยังต้องมาเจอกับอริที่ทำให้ตนเองเคยล้มเหลวมาก่อนในชีวิต มือบางพยายามจะพิมพ์ข้อความแต่ทำให้ร่างอึ้งที่ได้เห็นข้อความนี้

 

“มื้อนี้ฉันเลี้ยงเองนายไม่ต้องออกเงินสักบาทเลย ถ้านายอยากกินอะไรมื้อนี้ฉันเลี้ยงเต็มที่เลยนะงบไม่จำกัด”

ทำให้ร่างบางเบิกตากว้างทันทีที่ได้เห็นข้อความนี้ มือเรียวรีบพิมพ์ตอบกลับไปยังอีกฝ่ายทันที

“ตกลง ส่งโลเคชั่นมาเลย” 

ร่างบางส่งข้อความไปหาอีกฝ่ายแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ มือเรียวมานั่งพิมพ์งานต่อทันใดนั้นก็เสียงตะโกนของสาววัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าเดินเข้ามาในห้องทำให้ทุกคนหันมาตามเสียงต้นสายชายร่างใหญ่เดินบิดก้นแล้วตะโกนใส่อีกฝ่าย

“เจ๊!!! มีเรื่องอะไรตะโกนไปทั่วออฟฟิศเลย” ชายร่างใหญ่โกนใส่

“ก็.....วันนี้จะมีข่าวดีมาบอก” หญิงสาววัยกลางคนเดินกอดอก

“ยังไงเจ๊!!! ชนะคดีเหรอ!?” ชายร่างใหญ่เพ่งมองหญิงสาวอย่างอยากรู้

“ไม่ใช่!!!” หญิงสาวส่ายหน้าอย่างแรง

“อ้าว! แล้วเรื่องอะไรละคะ!?” หญิงสาววัยรุ่นเอ่ยขึ้นมาอย่างงง ๆ

“พวกเธอเนี่ยนะ คืองี้นะพรุ่งนี้ฉันมาเชิญหมอดูมาทำนายที่ออฟฟิศกันเพราะมันเป็นสวัสดิการของสำนักงานของพวกเราไง” หญิงสาววัยกลางคนเอ่ยขึ้นยิ้ม

“เดี๋ยวนะ เจ๊จะเปลี่ยนฮวงจุ้ยออฟฟิศเหรอ!?” ชายหนุ่มใส่แว่นเอียงหน้ามาหาอยู่บนโต๊ะ

“ไม่หรอก ฉันอยากดูดวงช่วงนี้เพราะว่า.....มีผู้ชายมาคุยกับฉันจ้า!!!!” หญิงสาววัยกลางยิ้มอย่างดีใจ

“โอ้ย!!! อีเจ๊!!! ทำไมไม่ไปดูดวงส่วนตัวละ” ชายหนุ่มร่างใหญ่บ่นยับ

“ฉันอยากแนะนำให้ทุกคนไม่มีเวลาหาที่พึ่งทางใจไงแล้วอีกอย่างฉันคัดสรรค์หมอดูมาอย่างดีเลยไม่มีมิจฉาชีพแน่นอน” หญิงสาววัยกลางคนพูดเสียงสูง

“แล้วหมอดูคนนี้เขาดังไหมอะ? พี่หนิง” หญิงสาววัยรุ่นเอ่ยถามขึ้น

“ไม่ได้ดังถึงขั้นระดับประเทศหรอก แต่เขาเป็นเพื่อนฉันในสมัยเรียนมหาลัยที่เคยเรียนด้วยกันอีกอย่างนางดูตั้งแต่สมัยเรียนแล้วแถมดูแม่นด้วยนะ” หญิงสาววัยกลางคนพูดถึงเรื่องความหลัง

“แล้วเขาจะมาเมื่อไรเหรอ?” ชายร่างบางลุกขึ้นมาจากโต๊ะ

“เอ่อ......เขาน่าจะมาพรุ่งนี้ตอนเที่ยงนะ พีเป็นสายมูเหรอ!?” หญิงสาววัยกลางคนถามอย่างสงสัย

“ไม่เชิงหรอกครับ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ความเชื่อครับพี่หนิง” พีส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่คิดนะว่าน้องพีจะสนใจเรื่องนี้กับเขาด้วย เห็นปกติฟาดกับทนายด้วยกันเอง” ชายร่างใหญ่ทำหน้ายิ้มล้อใส่

“แหม!!! พี่พอลลี่ถ้าคนมันพูดไม่รู้เรื่องมันก็น่าโมโหไหม?” พีพูดถอนหายใจ

“พี่พูดเล่น หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้” ชายร่างใหญ่ทำท่างอมือใส่

“เอาละ ๆ เสียเวลามามากแล้วพรุ่งนี้เดี๋ยวหมอดูจะมาที่ออฟฟิศไม่เกินเที่ยงนี้ ฉะนั้นทุกคนต้องเคลียร์งานให้เสร็จเลยนะ ถือซะว่าพรุ่งนี้เลิกงานไวแล้วกันดีไหม?” หญิงสาวตบมือเพื่อเป็นเสียงให้ทุกคนเห็นด้วยกับตน

“ดีค่ะ/ครับ” ทุกคนตะโกนเสียงเดียวกัน

“โอเค งั้นไปทำงานของตัวเองให้เสร็จเลยนะ พรุ่งนี้เตรียมตัวให้ดีนะ” 

หญิงสาววัยกลางคนตะโกนกับทุกคนแล้วแยกย้ายกันไปทำงานกันต่อ ส่วนพีก็กลับไปทำงานของตนเองเช่นกันมือเรียวนั่งพิมพ์เอกสารต่อแล้วมานึกถึงวินที่ชวนไปทานข้าวตอนเลิกงานทำไมเขาถึงไม่ปฏิเสธตั้งแต่แรกเห็นว่าของฟรีก็ใช่เพราะพีเองก็ไม่อยากเสียเงินที่จะทานข้าวอาหารราคาแพงขนาดนั้นถึงเขาจะไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะให้คนอื่นเลี้ยงอาหารทุกมื้อแต่ตนก็เต็มใจที่หารค่าอาหารให้ แต่กรณีวินมันไม่ใช่สำหรับเขาเลยอีกใจก็ไม่อยากไปเพราะไม่ชอบขี้หน้าเขาความรู้สึกที่ตนเห็นวินครั้งนั้นก็ทำให้เขารู้สึกเริ่มหวั่นขึ้นมาทันที ร่างบางส่ายหน้าเพราะตนคิดถึงอีกฝ่ายมากเกินไปเลยรีบทำงานของตนให้เสร็จก่อนเลิกงานแล้วไปทานข้าวที่ตนนัดเอาไว้

 

เวลา 17.00น. ห้างดังใจกลางเมือง

         ช่วงเวลาที่ผู้คนนั้นเลิกงานมาก็ต้องมาเที่ยวห้างหรือทานอาหารหลังจากเหนื่อยล้าจากการทำงานถึงเวลาได้ปลดปล่อยตัวตนออกมาเพื่อไม่ให้คิดถึงเรื่องงานอาจจะทำให้เกิดความเครียดสะสมยังไม่พอยังเป็นที่รวมศูนย์กลุ่มวัยรุ่นที่มาเที่ยวหลังจากเลิกเรียนและมีบางคนต้องมาเรียนพิเศษตอนเย็นเพิ่ม ทำให้ห้างนี้เป็นที่โด่งดังสำหรับการท่องเที่ยวแบบใหม่มีร้านอาหารชื่อดังค่อนข้างเยอะตั้งแต่ราคาที่จับต้องได้รวมถึงร้านอาหารหรูแถมมีร้านแบรนด์เนมชื่อดังตั้งอยู่ในห้างย่านนี้อีกด้วย ร่างหนาแต่งตัวโทนดำผสมขาวเป็นเสื้อแจ็คเก็ตสวมใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำเข้ากับชุด รองเท้าผ้าใบสีขาวเข้ากับชุด สายตามองไปที่นาฬิกาดิจิตอลเพื่อดูเวลาว่ากี่โมงแล้ว ทันใดนั้นเห็นมีร่างบางถือกระเป๋าเอกสารมาหาตนสวมเสื้อสูทสีกรมท่าเดิมมาอย่างรีบ ๆ ร่างสูงยิ้มดีใจที่ได้เห็นคนตรงหน้าร่างบางหยุดหอบแล้วถอดชุดสูทออกมาเหลือแต่เสื้อเชิ้ตสีขาวจนร่างสูงเอ่ยขึ้นมาว่าให้ช่วยถือของ

            “มาเดี๋ยวฉันช่วย” ร่างสูงเอ่ยขึ้นแล้วหยิบสูทให้อีกฝ่าย

            “ขอบใจนะ แล้วข้าวหอมละ” ร่างบางเอ่ยถามหา

            “อ๋อ! อยู่กับไนท์อะสองคนนั้นเข้าร้านไปก่อนแล้ว” ร่างสูงเอ่ยตอบ

            “เหรอ? แล้ว....รอนานไหม” ร่างบางเอ่ยถามอีกครั้ง

            “ไม่นานหรอก เรารีบไปกันเถอะ” ร่างสูงส่ายหัวแล้วเดินนำไปที่ร้านทันที

            ทั้งคู่เดินไปที่ร้านที่ตนนัดไว้จนมาถึงหน้าร้านเป็นร้านหมูกระทะเปิดใหม่ที่ทุกคนรู้จักและมีชื่อเสียงมากเลยทำให้คนในร้านค่อนข้างเยอะแทบจะไม่มีที่นั่งด้วยซ้ำ ร่างสูงบอกพนักงานต้อนรับว่าตนรับคิวไปก่อนหน้านั้นมือหนาชูโทรศัพท์ต่อหน้าพนักงานต้อนรับแล้วเดินเข้าไปในร้าน ทั้งสองเดินไปที่โต๊ะแล้วเห็นทั้งคู่กำลังปิ้งหมูให้อยู่ ทั้งสองโบกมือทักทายตามภาษาเพื่อนทั้งคู่เดินเข้ามาแล้วนั่งลงคู่กัน ร่างสูงอีกฝ่ายเอ่ยแซวขึ้นทันที

            “อุ้ย!!! มันบังเอิญมากเลยนะที่นั่งเป็นคู่ขนาดนี้” ไนท์ยิ้มแซวแล้วเอียงตัวไปหาร่างบางอีกคน

            “ออกไปเลยนะ!!! เกะกะ!!!” ร่างบางผลักตัวอีกฝ่าย

            “ไม่ขนาดนั้นหรอก นายก็พูดเว่อร์เกินไป” วินถอนหายใจกับเพื่อนที่ชอบแซว

            “แล้ว......ข้าวหอมนายมาได้ไงเหรอ?” พีเอ่ยถาม

            “อ๋อ!!! วินชวนมาอะเลยอยากมาบ้างนาน ๆ จะได้เจอเพื่อนทีแล้ววินก็มารับฉันที่หน้าคอนโดด้วยแล้วนายได้เอารถมาไหม” ข้าวหอมยิ้มแป้นแล้วถามอีกฝ่าย

            “ไม่ได้เอามาคิดว่านายคงต้องไปส่ง” พีพูดเสียงเรียบแล้วส่งสายตานิ่งให้วิน

            “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก ฉันไม่ใช่คนที่รำคาญคนซะหน่อย” วินยิ้ม

            “นี่หาว่าฉันเรื่องมากเหรอ!? จริง ๆ ฉันก็ขับรถมาเองได้ไม่เห็นต้องง้อเลย” พีมองบนใส่แล้วพูดเสียงแข็ง ๆ เหยียด ๆ

            “พี!!! พูดดี ๆ หน่อยเกรงใจคนเลี้ยงบ้าง” ข้าวหอมมองดุใส่

            “ไม่เป็นไรหรอกข้าวหอม ฉันไม่ถือสา” วินส่ายหน้า

            “ฉันไปตักอาหารก่อนนะ” พีลุกขึ้นจากโต๊ะ

            “ฉันไปด้วยนะ” วินลุกตาม

            “นายต้องช่วยถือด้วยเข้าใจไหม” พีพูดสวนทันที

            “อืม เข้าใจแล้ว” วินยิ้มอย่างใจเย็น

            ทั้งคู่เดินไปตักอาหารตามที่ตนอยากทานมือเรียวถือจานส้มตำแล้วไปวางไว้บนโต๊ะที่นั่งกินข้าวหอมดูดีใจที่ได้เห็นส้มตำมือเรียวใช้ตะเกียบคีบเส้นมะระกอทันทีพอได้ลิ้มลองรสชาติของส้มตำเข้าไปทำให้ร่างบางรู้สึกเผ็ดขึ้นแต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรมากเพราะข้าวหอมเป็นที่ทานเผ็ดได้อยู่แล้ว จากนั้นวินก็ถือถาดผักและเนื้อมาทีละสามถาดวางไว้บนโต๊ะ ส่วนพีก็ถามไปวินไปว่าต้องการน้ำอะไรตนจะได้ไปกดให้

            “นายอยากทานน้ำอะไร ฉันจะไปกดให้” พีหยิบแก้วขึ้นมา

            “เอาน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล” วินเอ่ยตอบ

            “โอเค” พีพยักหน้าตอบแล้วไปกดน้ำมาให้

            “นี่วิน” ข้าวหอมเอ่ยขึ้น

            “อะไรเหรอ!?” วินเงยหน้า

            “นายชอบพีเหรอ?” ข้าวหอมอมยิ้ม

            “ปะ เปล่านิ ฉันแค่ปฏิบัติตามนิสัยของฉันอะ” วินส่ายหน้าแล้วทำหน้างงหน่อย ๆ ว่าทำไมถึงถามแบบนั้น

            “ดูจากท่าทางแล้วเนี้ย......เหมือนนายจะเอาใจอีกฝ่ายเลยนะ” ไนท์ยิ้มอย่างมีเลิศนัย

            “ฉันก็แค่เอาใจหน่อยไหม! เพื่อนกันก็ต้องเทคแคร์กันสิ” วินตอบอย่างเลี่ยง ๆ 

            “วิน นายทำตัวตามสบายเถอะส่วนหมอนั่นอยากทำตัวงี่เง่าเอง อย่าถือสาเลยนะ” ข้าวหอมพูดน้ำเสียงนิ่มนวลอย่างเป็นห่วง

            “ฉันไม่ถือสาหรอก ฉันเป็นคนทำให้พีเสียใจเองแหละ” วินยิ้มอย่างเจื่อน ๆ 

            “วิน!!!” ข้าวหอมพูดถอนหายใจ

            “มาแล้ว!!! พูดคุยอะไรกัน!!!” พีเดินถือแก้วน้ำมาให้อีกฝ่ายแล้วนั่งลง

            “เปล่า!!! แค่คุยกันว่าจะไปเดินเล่นไหนดี” ข้าวหอมทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “แน่ใจนะ!!!” พีส่งสายตาจับผิด

            “แน่สิ!!!” ข้าวหอมตอบกลับเลี่ยง ๆ 

            “นี่น้ำนาย” มือเรียวยื่นแก้วน้ำให้

            “ขอบใจนะ” วินยิ้มแล้วมือหนาหยิบแก้วของตน

            “ไม่เป็นไร ถือซะว่าฉันขอบคุณนายนะที่เลี้ยงข้าวมื้อนี้” พีตอบส่ง ๆ เสียงแข็งใส่

            “เออนี่! วินเห็นว่านายชอบCry Babyเหมือนกับพีด้วยทำไมไม่ร้านPop Martด้วยกันละ” ข้าวหอมพูดลอย ๆ เพื่อให้ทั้งสองไปเดินเล่นด้วยกัน

            “นายชอบCry Babyเหรอ!?” พีถามส่ง ๆ 

            “ใช่!!! นายสะสมคอลเลคชั่นไหนเหรอ” วินยิ้มถาม

            “Power Puff Girl” พีคีบหมูลงกระทะ

            “ฉันก็ชอบสะสมเหมือนกันเลย” วินยิ้มอย่างดีใจ

            “แล้ว!?” พียักคิ้วไม่ได้สนใจอีกฝ่าย

            “ก็....ดีใจที่ได้เจอคนสะสมเหมือนกันอะ” วินยิ้มปนขำ

            “ไหน ๆ ก็ได้เจอกันแล้ว ทำไมไม่ไปเดินแยกกันเลยละ ฉันกับไนท์ก็จะได้ไปเดินเล่นด้วยกันด้วย

            “อุ้บ!!! ว่าไงนะ!!!” ไนท์สำลัก

            “เดี๋ยวนะนี่นาย.......” พีชี้ไปที่ไนท์

            “ใช่!!! ฉันชอบไนท์” ข้าวหอมคว้าแขนอีกคนจนทำให้อีกฝ่ายอึ้งและหน้าแดงไปเลย

            “ว่าไงนะ!? โอ้ย!!!” ไนท์อึ้งกับคำพูดแต่โดนข้าวหอมให้มือหยิกเอวอีกฝ่ายแล้วส่งสายตาอาฆาตให้ทำตามแผน

            “เอ่อ.....ใช่!!! ฉันกับข้าวหอมคุยกันมาสักพักแล้วเลยคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้รู้จักมากยิ่งขึ้นด้วยอีกอย่างถือว่าเป็นการเดทไปในตัวแล้วกันนะ” ไนท์พูดอย่างอาย ๆ 

            “ยินดีกับทั้งสองคนด้วยนะ” วินยิ้มแป้นใส่

            “ฉันว่าละ!!! ยังไงทั้งสองคนก็เหมาะกันดีนะ” พียิ้มอย่างดีใจ

            “จริง ๆ ก็คุยกันไว้ด้วยแหละว่าถ้าเข้ากันได้อาจจะคบกันด้วย” ข้าวหอมยิ้มไปเขินไป

            “ใช่!!! ทำไมพวกนายไม่ลองไปเดินเล่นด้วยกันดูละเผื่อจะสนใจขึ้นมากับพวกฉันบ้าง” ไนท์โอบเอวอีกฝ่าย

            “เออ......” วินอ้ำอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าตนจะเข้ากับอีกฝ่ายได้ไหมถึงแม้จะไม่ได้เป็นการคบกันแบบแฟนแต่อีกใจก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเกลียดตัวเองไปตลอดชีวิต

            “ก็ได้” พีตอบเสียงเรียบ

            ทุกคนอึ้งกับสถานการณ์ตอนนี้ไปสองถึงสามวินาทีที่พีตอบตกลงแบบนั้นเพราะปกติตนมักจะปฏิเสธเรื่องการเดทอยู่ตลอดต่อให้เป็นเพื่อนร่วมงานตนก็ปฏิเสธทุกครั้งที่ตนไปงานเลี้ยง แต่พอรอบนี้กลับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พีตอบตกลงในเรื่องของการเดทครั้งนี้เพราะข้าวหอมเพื่อนสนิทของตนได้เปิดใจยอมรับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งพีเองก็เชียร์ไนท์กับข้าวหอมให้คบกัน สุดท้ายดันเป็นเรื่องจริงที่ตนต้องยอมแต่พียังไม่รู้ว่านี่คือการจัดฉากของข้าวหอมเพราะอยากให้พีกับวินได้อยู่ด้วยกันเคลียร์ใจกันมากขึ้น ข้าวหอมสังเกตวินมาสักพักหนึ่งแล้วว่าเพื่อนสมัยเรียนของตนได้แอบชอบเพื่อนสนิทของตนจึงได้ทำการจับคู่แยกให้ไปอยู่ด้วยซะเลย

            “ก็ได้ ฉันจะไปกับนายเองถือว่าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนแล้วกันนะ” พีพูดถอนหายใจ

            “อืม” วินตอบตกลง

            “ดีใจจังเลยที่เพื่อนเรายอมตกลงซะที” ข้าวตบมือเบา ๆ อย่างดีใจ

            “แล้วฉันละ” ไนท์หันกลับมาถาม

            “ก็ไปกันฉันไงหรือไม่ไป” ข้าวหอมมองตาขวางใส่

            “ไปก็ได้ครับ” ไนท์ยิ้มอย่างแห้ง ๆ 

            ทั้งสี่คนได้รับประทานอาหารเสร็จแล้วไปเช็คบิลที่เคาร์เตอร์วินเป็นคนเลี้ยงอาหารมื้อนี้ทั้งหมดตามที่ได้คุยกันได้ หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็ได้แยกย้ายเดินเล่นเป็นคู่ไป พีไปกับวินส่วนข้าวหอมก็ไปกับไนท์ทั้งสี่คนได้คุยกันว่าจะนัดกันกลับเวลาไหนพอตกลงกันได้แล้วก็เดินแยกย้ายกันไปตามที่ตกลงกันไว้ พีรู้สึกอึดอัดยังไงก็ไม่รู้เพราะตนก็ไม่ได้อยากมาเดินเล่นกับวินเท่าไร แต่ด้วยข้าวหอมอยากเดทเลยจำใจต้องยอมเดินด้วยกันกับวิน นานมากแล้วที่ตนไม่ค่อยได้คุยกับวินตั้งแต่เรียนจบออกมาทุกคนต่างแยกย้ายไปทำงานในสายงานของตนเอง วินรู้สึกว่าบรรยากาศมันดูเงียบเลยเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา

            “นายอยากไปเดินดูร้านอะไรไหม” วินเอ่ยถามขึ้น

            “ไม่รู้สิ ฉันนึกไม่ออก” พีส่ายหน้า

            “นายคงรู้สึกไม่โอเคที่อยู่กับฉันใช่ไหม” วินเริ่มทำหน้านิ่งใส่

            “รู้ตัวดีนิ!!!” พียูปาก

            “ฉันเข้าใจนะว่านายรู้สึกไม่ดีกับฉัน แต่นายอย่ายึดติดได้ไหม!?” วินจับมืออีกฝ่ายอย่างแน่น

            “นี่!!! ทำไรปล่อยนะฉันเจ็บ” พีพยายามสะบัดมือ

            “ฉันอยากจะเคลียร์กับนายให้รู้เรื่องว่าที่ฉันทำพลาดไปก็จริง แต่ฉันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เสียใจไหม!!!” 

วินยิ่งจับมืออีกฝ่ายแน่นกว่าเดิมแล้วมองสายตาอย่าง

            “นาย.....” พีหยุดชะงักเพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายจริงจังขนาดนี้มาก่อน

            “ฉันอยากจะขอโทษนายเรื่องวันนั้น แต่นายกลับไม่ฟังฉันที่กำลังจะพูดเลยคนเรามันผิดพลาดกันได้แต่อย่าเอาความผิดพลาดมาใส่ใจตัวเอง” วินพูดน้ำเสียงอย่างจริงจัง

            “นายจะมาสั่งสอนฉันทำไม ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉันไหม” พีขึ้นเสียงฮึดฮัดใส่

            “นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ!? ฉันพอเดาทางของนายได้นะว่านายต้องเจอสภาพแวดล้อมที่กดดันมามากขนาดไหน ยังไงซะเถอะขอให้ปล่อยวางกับสิ่งที่ผ่านมาซะ” วินส่งสายตาอย่างดุที่พีไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้อีกฝ่ายหยุดคิดขึ้นมาแล้วเริ่มอาการค่อย ๆ สงบลง

            “ทำไมพูดจี้ใจดำจัง” พีเริ่มเสียงสั่น

            “พี!!! ฉันขอโทษ” วินจับแก้มอีกคนเพื่อปัดคราบน้ำตาที่กำลังจะไหลอาบลงแก้ม

            “ฉันไม่เคยเห็นนายพูดจาแรงมาก่อนเลย” ร่างบางทำเสียงสะอึ้น

            “ไม่ต้องร้อง ๆ สิ่งที่ฉันพานายมาทานข้าวก็เพราะเพื่อนายโดยเฉพาะเลยนะ” วินโอบกอดอีกคนที่กำลังร้องไห้

            “เอ๊ะ!?” พีอึ้งกับสิ่งที่วินพูด

            “ฉันพูดจริง ๆ นะ” วินยิ้มให้พี

            “ตาบ้า!!! พอเลยนะ” พีรีบผลักตัวออกไปทันที

            “ฉันอยากเลี้ยงพวกนายนิ นาน ๆ จะได้เจอกันทีนะ” วินขำ

            “ถ้าฉันอยากให้นายซื้อของให้อย่ามาบ่นว่าเงินหมดเพราะฉันละ” พียืนกอดอกแล้วพองแก้ม

            “ได้สิ ไม่มีปัญหา” วินเดินเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูเบา ๆ 

            “พอได้แล้ว!!!! รีบไปกันได้แล้ว!!!” พีหลบหลีกตัวแล้วยื่นแบมือใส่อีกคน

            “เดี๋ยวนี่นายจะทำไร” วินยืนงงกับการกระทำของอีกฝ่าย

            “จับมือฉัน” พีเริ่มมีอาการหน้าแดง

            “จับมือ?” วินยักคิ้วอย่างงง ๆ 

            “จับมือฉันไงคนอื่นจะได้คิดว่าเราเป็นแฟนกัน” พีรู้สึกเขินที่พูดประโยคนั้นออกไหม

            “ได้สิ ฉันไม่มีปัญหาหรอก” วินยกยิ้มอย่างดีใจที่อีกฝ่ายเริ่มเปิดให้ตัวเองแล้วจับมืออีกฝ่ายเดินนำออกไปเพื่อจะไปเดินเล่นกันต่อ

 

Part ไนท์กับข้าวหอม

         ทั้งสองเดินดูอะไรไปเรื่อยหลังจากที่แยกกันกับพีและวินไปนั้น ร่างบางเดินก้าวฝีเท้าอย่างไวโดยที่ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลยว่าจะเดินตามทันไหมทำให้ร่างสูงต้องตะโกนอย่างหอบที่ตนเดินตามไม่ทัน ร่างบางหันไปตามเสียงแล้วหยุดเดินยืนเท้าเอวใส่มองอย่างเมิน ๆ 

            “นี่ไม่คิดจะรอกันบ้างหรือไง!?” ร่างสูงเดินตามจนต้องหยุดเพื่อหายใจ

            “เป็นตำรวจภาษาไรทำไมถึงช้าขนาดนี้” ร่างบางบ่นทำท่าเบ้ปากใส่

            “ถึงฉันจะเป็นตำรวจก็เหนื่อยเป็นนะ แต่นายเดินไวขนาดจะแยกจากกันอยู่แล้ว” ร่างสูงยืนเท้าเอวใส่แล้วมองอีกคนอย่างรู้สึกหมั่นไส้

            “ฉันไม่ได้ต้องการเดินกับนายนิ!!! ที่ทำแบบนี้ก็เพราะอยากให้สองคนนั้นเขาเคลียร์ใจต่างหาก” ข้าวหอมมองบนพูดถอนหายใจ

            “แล้ว......วิธีนี้มันจะได้ผลเหรอ!?” ไนท์ขมวดคิ้วยืนเท้าเอวมอง

            “ได้ผลหรือเปล่าไม่รู้ แต่ฉันอยากให้สองคนนั้นได้คุยกันโดยที่ไม่ต้องมีอคติ” ข้าวหอมส่ายหน้า

            “ส่วนเรื่องที่ร้าน.....นายนี่ไม่เบาเหมือนกันเลยนะ” ไนท์ยกยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้ ๆ 

            “จะทำไรอะ” ข้าวหอมค่อย ๆ เดินถอยหลังสายตาเริ่มระแวงอีกฝ่าย

            “ก็.....จะพาคุณแฟนไปเดินเล่นไง” ไนท์คว้าตัวกอดอีกฝ่ายทันที

            “ตาบ้า!!!! คนอื่นเขามองกันหมดแล้ว” ข้าวหอมพยายามดิ้นให้หลุด

            “ตอนอยู่ร้านอาหารนายกอดแขนฉันแน่นเลยนะ” ไนทพูดแซวให้อีกฝ่ายจนเขิน

            “ก็.....มันเป็นการแสดงนิ!!!” ข้าวหอมขึ้นเสียง

            “การแสดงแล้วแบบนี้ละ” ไนท์ยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มอีกคนจนอึ้งแล้วปล่อยตัวอีกคนเป็นอิสระ

            “นี่นาย!!!! คนฉวยโอกาส!!!” ข้าวหอมเอามือปิดแก้มตรงที่หอม

            “ถ้านายดื้อมากกว่านี้อาจจะโดนมากกว่านี้เลยก็ได้นะ” ไนท์ยิ้มอย่างร้ายกาจ

            “พอได้แล้ว!!! เลิกแกล้งกันได้แล้ว!!!” ข้าวหอมชักสีหน้าอย่างอารมณ์เสีย

            “ก็ได้ ไปกับฉันนะ” ไนท์พูดยิ้ม

            “อืม” ข้าวหอมพยักหน้าอย่างจำยอมแล้วทั้งคู่เดินเล่นต่อ