ความยุติธรรมเป็นคำที่สังคมศรัทธานับถือมาก แต่สังคมบางกลุ่มความยุติธรรมแค่คำที่ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย
ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,อาชญากรรม,Mpreg,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สืบพิสดารความยุติธรรมเป็นคำที่สังคมศรัทธานับถือมาก แต่สังคมบางกลุ่มความยุติธรรมแค่คำที่ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย
บทที่7 คำทำนายกับลางสังหรณ์
บรรยากาศรอบด้านมืดสนิทร่างบางยืนสับสนกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงนี้ว่าทำไมบรรยากาศรอบตัวนั้นไม่มีสิ่งรอบข้างอะไรให้เห็นเลยร่างบางตะโกนเรียกหาทุกที่อยู่ในความมืดว่ามีคนอยู่รอบตัวไหมเสียงตะโกนแบบสุดเสียงมากที่จะได้ยินแต่ไม่มีการตอบกลับมาสักเสียงเดียวแม้แต่ผู้คนก็ไม่โผล่มาให้เห็น ร่างบางหายใจหอบแถมบรรยากาศเริ่มน่ากลัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าเดินตามหลังมาทำให้ร่างบางหันไปตามเสียงแล้วเห็นชายร่างรูปร่างใหญ่หยุดเดินอยู่ตรงหน้าสวมเสื้อฮู้ดสีดำคลุมตัวสนิทไม่เห็นหน้าเต็ม ๆ มากนักเห็นแค่ส่วนปากกับสันจมูกเท่านั้น ร่างบางเห็นคนก็แอบดีใจปนกลับความรู้สึกหวาดระแวงบ้าง ร่างบางเอ่ยถามทันทีว่าตนนั้นอยู่ที่ไหน
“คุณ!!! คุณครับ!!!” ร่างบางเอ่ยขึ้น
“........” ชายร่างใหญ่เงียบไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด
“คุณครับ!!!” ร่างเอ่ยย้ำอีกครั้ง
ชายร่างใหญ่ยืนเงียบไม่ตอบกลับทำให้ร่างบางเริ่มมีความรู้สึกผิดปกติจากชายคนนี้มือหนาค่อย ๆ หยิบปืนจากด้านหลังมาจ่อตรงหน้าที่ร่างบางทำให้เกิดอาการกลัวอย่างสุดขีดฝีเท้าวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตแต่การวิ่งในครั้งนี้มันทำให้เขายิ่งเหนื่อยกว่าเดิมเพราะชายดังกล่าวค่อย ๆ วิ่งตามมาหาตนที่ยิ่งวิ่งทำให้ชายคนนั้นยิ่งวิ่งไวกว่าเดิมแทบจะประชิดตัวกับตนเองอยู่แล้ว ร่างบางทั้งวิ่งและร้องขออย่างสุดเสียงแต่ชายร่างใหญ่ไม่มีความสะทกสะท้านใด ๆ กับร่างบางเลยทั้งคู่วิ่งตามล่าเหมือนตามฆ่าตนไปทำอะไรสักอย่าง ร่างบางเหงื่อออกท่วมตัวจนเหนื่อยล้าจู่ ๆ มีแสงสว่างปรากฏอยู่ตรงหน้าของตนคล้าย ๆ ประตูมิติที่จะกลับโลกแห่งความเป็นจริง ร่างบางเห็นนั้นรีบวิ่งไปยังแสงสว่างทันทีแล้วหันไปที่ชายร่างใหญ่มือหนาลั่นไกลปืนใส่ไปโดนแขนของตนเองทำให้ร่างบางสะดุ้งกับเสียงปืนนั้นแล้วมองมาที่แขนของตนเองมีเลือดไหลอาบบนแขน มือบางกุมแผลที่เลือดไหลอยู่ทำให้การวิ่งนั้นไม่ถนัดเลยทำให้ร่างบางต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ชายร่างใหญ่วิ่งตามไม่หยุดจนร่างบางเริ่มเข้าใกล้แสงสว่างแล้ว ชายร่างใหญ่หยุดเดินลั่นไกลปืนอีกครั้งครั้งนี้โดนที่หน้าอกทำให้ร่างบางสะดุ้งสายตาเบิกกว้างแล้วแสงสว่างที่อยู่ตรงหน้าค่อย ๆ เข้ามาหาตนแล้วภาพที่ตนเห็นตรงหน้าหายไป
“เฮื้อก!!!!”
ร่างบางลุกขึ้นทันทีเสียงหายใจดังไปทั่วห้องสายตาค่อย ๆ มองไปรอบ ๆ ตัวพบว่าเป็นห้องนอนของตนเองเหงื่อไหลตามตัวอาบเหมือนคนออกกำลังกายมาทั้ง ๆ ที่แอร์ในห้องยังเปิดเย็นเหมือนขั้วโลกเหนือสิ่งที่ตนประสบพบเจอเหตุการณ์ที่ตนโดนไล่ล่านั้นคือความฝัน ร่างบางหันไปมองที่นาฬิกาพบว่าเป็นเวลาตีห้าครึ่งแล้ว ความฝันครั้งนี้ทำให้ตนรู้สึกไม่ค่อยดีบวกกับไม่เคยฝันร้ายแบบนี้มาก่อนความรู้สึกนั้นมันเหมือนจริงมาก ๆ จากนั้นร่างบางลุกขึ้นจากเตียงมือบางเปิดประตูห้องออกมาจากถึงห้องครัวสายตามองไปที่เพื่อนรูมเมทที่กำลังชงกาแฟอยู่ ร่างบางอีกคนเอ่ยขึ้นถามตนว่าตนเป็นอะไร
“พี เป็นอะไรเหรอ!? ทำไมสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” ร่างบางเอ่ยขึ้นถามทันที
“พอดีฉัน.....ฝันไม่ค่อยดีเลยทำให้นายเห็นสภาพฉันเป็นแบบนี้แหละ” ร่างบางพูดเสียงเอื่อย ๆ
“ฝันร้ายสินะ ทานกาแฟก่อนสิ” ร่างบางอีกคนชี้ไปที่กาแฟที่ตนเองชงให้
“ขอบใจนะ” ร่างบางหยิบแก้วกาแฟของตนเองมือเรียวหยิบกาต้มกาแฟใส่แก้ว
ร่างบางกลับมานั่งทบทวนความคิดว่าความฝันที่ตนฝันอยู่นั้นทำไมมันดูเหมือนเป็นเรื่องจริงหรืออาจจะเป็นลางสังหรณ์บางอย่างที่ตนเองต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ ร่างบางเดินไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วดูปฏิทินแขวนผนังดูวันที่ไปเรื่อย ๆ พบว่าวันเกิดของตนได้ผ่านมาได้ประมาณสองเดือนแล้วตอนนี้วัยของตนเองก็เลยวัยเบญจเพสมาหลายปีแล้ว ถึงจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องความลี้ลับเท่าไรแต่ตนเองก็ไม่เคยลบหลู่กับสิ่งที่ไม่สามารถหาคำตอบด้วยเหตุผลได้ส่วนอีกใจหนึ่งก็คิดว่าตนเองนั้นทำงานหนักมากเกินไปจนเอาคดีที่ตนทำนั้นเป็นไปฝันซึ่งก็พอเป็นคำตอบที่ดูมีเหตุผลมากที่สุด
“พี เช้านี้อยากทานอะไรไหม” ข้าวหอมเดินมาถาม
“พอดีว่า......ฉันไม่ค่อยหิวเลยเดี๋ยวฉันไปหาอะไรทานตอนช่วงเที่ยงก็ได้” พีตอบเสียงเหนื่อย ๆ
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า ดูนายไม่ค่อยสดใสเลย” ข้าวหอมสังเกตอาการผิดปกติของอีกฝ่ายว่าทำไมพีดูซึม ๆ
“พอดีฉันฝันร้ายเลยตื่นออกมาเป็นสภาพแบบที่นายเห็นแหละ” พีตอบกล้า ๆ กลัว ๆ
“โอ้ย!!! เรื่องแค่นี้เองนายอย่าคิดมากเลยนะมันเป็นแค่ความฝันเอง” ข้าวหอมหลุดหัวเราะออกมาพร้อมพูดปลอบพีไปไม่ให้คิดมาก
“ขอให้เป็นอย่างนั้นนะ” พียิ้มตอบกลับอย่างเจื่อน ๆ
“รีบไปอาบน้ำด้วยละ เดี๋ยวรถติดเอานะ” ข้าวหอมตบบ่าอีกคน
เวลา 7.30น.
คนในออฟฟิศจับกลุ่มคุยกันว่าวันนี้จะมีหมอดูมาดูดวงให้ทุกคนเพราะเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการบริษัทที่ทุกคนต้องได้รับ เสียงพูดคุยดังรอบห้องว่าจะถามเรื่องอะไรกับหมอดูดีโดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่เป็นสายมูทั้งหลายบางคนก็อยากรู้เรื่องความรักและอีกส่วนหนึ่งก็อยากรู้ชีวิตหน้าที่การงานว่าอนาคตจะเป็นยังไงบ้าง ร่างบางเดินเข้ามาในออฟฟิศแล้วสวัสดีทักทายพี่ ๆ ทุกคนตามปกติที่ตนเคยทำแล้วมานั่งโต๊ะประจำของตัวเองทันใดนั้นก็มีหญิงสาวที่ตนสนิทกันด้วยเดินมาหาด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสตามสไตล์สาวเนิร์ดอย่าง “เอวา” ที่มานั่งตรงข้ามกับตนด้วย
“ดีดแต่เช้าเลยนะไปโดนตัวไหนมาเนี้ย?” ร่างบางเอ่ยแซวขึ้นก่อน
“โอ๊ย!!! พี่พี!!! หน้าอย่างหนูนี่นะ จะดูใบเขียวแบบนี้” หญิงสาวพูดขึ้นเสียงอย่างน้อยใจ
“ดีที่พี่แซวนะ ถ้าเป็นพี่พอลลี่โดนหนักกว่านี้อีก” ร่างบางมองจ้องตาอย่างเอ็นดู
“ก็จริง เออนี่!!! พี่พีวันนี้อยากรู้เรื่องอะไรเหรอเผื่อหนูจะได้เอาเรื่องของพี่ที่อยากรู้ไปถามหมอดูด้วย” เอวาพูดกระซิบใส่มือบางสะกิดแขนอีกฝ่าย
“นี่!!! ถ้าอยากรู้เรื่องของตัวเองทำไมไม่คิดเองละ” พีพูดสียงดุขึ้นมาเล็กน้อย
“ก็.....หนูอยากรู้นี่คะ” เอวายูปากใส่
“พี่ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่อยากรู้หรอก แค่เป็นคำแนะนำจากหมอดูเฉย ๆ แหละ” พีถอนหายใจกับความเป็นเด็กของเอวา
“งั้น....ก็ยิ่งหนักไปกันใหญ่เลยเพราะพี่พอลลี่เขาไม่อยากรู้เรื่องส่วนตัวเยอะ” พีขำแห้ง ๆ
“ทำไมใจร้ายจังเลย” เอวาเบ้ปากใส่
“อยากรู้เรื่องอะไรก็ควรคิดเองไหม? เออเห็นว่ามีปัญหากับแฟนไม่ใช่เหรอทำไมไม่ลองดูดวงด้วยละ” พีที่นึกเรื่องขึ้นว่าเอวามีปัญหาที่เคยเล่าให้ฟัง
“จะดีเหรอพี่!?” เอวาเริ่มมีสีหน้าที่เครียดขึ้น
“เอ้า!!! เธอก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าแฟนมีคนใหม่หรือเปล่าจะได้เคลียร์ปัญหาเลยทีเดียว” พีทำหน้างงว่าอีกฝ่ายทำไมดูกังวลกว่าปกติ
“เอาจริง ๆ นะพี่หนูยังรักเขาอยู่นะแต่ถ้าเขามีคนใหม่ขึ้นมาจริง ๆ จะทำยังไงดี” เอวาจับมืออีกฝ่ายแน่นว่าตนกำลังเครียดจริง ๆ
“ใจเย็น ๆ มันก็แค่อนาคตไหม? ตอนนี้เรายังไม่รู้คำตอบเลยว่าเขามีคนอื่นหรือไหมบางทีเขาอาจจะยุ่งเรื่องงานหรือไม่ความสัมพันธ์อาจจะห่างเหยแล้วไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้มันเป็นไปได้หมดเอวา” พีพยายามพูดปลอบใจอีกฝ่ายเพื่อให้คิดมากจนเกินไป
“แล้วถ้าวันหนึ่งมันเป็นจริงขึ้นมาละพี่” เอวาพูดน้ำเสียงอ่อน ๆ เหมือนคนเริ่มหมดกำลังใจที่จะทำอะไรแล้วตอนนี้
“เอางี้นะ พี่จะให้เธอกลับไปคิดไว้อย่างหนึ่งคนเรามันมีทั้งความสุขและความเศร้าเข้ามาอยู่ตลอดแต่จะทำยังไงให้เราอยู่กับมันให้ได้ พี่ไม่ใช่คนที่ดีอะไรหรอกแต่อยากให้เธอรู้ไว้ว่าผู้ชายไม่ได้มีแค่คนเดียวในโลก ยังไงสักวันเธอจะเจอคนที่ใช่เองแหละ” พีพูดยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตถึงแม้เอวาจะเป็นรุ่นน้องที่ยังอ่อนประสบการณ์ แต่เอวาก็ยอมรับคำแนะนำในสิ่งที่พีพูดไว้
“ขอบใจนะพี่ แต่หนูพยายามที่จะยอมรับมันให้ได้ค่ะ” เอวากำมือทั้งสองข้างฮึดขึ้นสู้กับสิ่งที่พีพูด
“ดีแล้ว พี่เป็นกำลังใจให้นะไปทำงานกันเถอะเดี๋ยวอดดูดวงนะ” พีพูดแซวยิ้มให้อีกครั้ง
“ค่ะพี่!!!” เอวายิ้มแล้วลุกขึ้นไปทำงาน
พีกลับมาคิดเรื่องฝันเมื่อคืนอีกครั้งที่ทำให้รู้สึกคาใจอยู่ตลอดถึงแม้ตนจะไม่ได้คิดถึงเรื่องดูดวงที่จะเกิดขึ้นภายในเที่ยงวันนี้อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเชื่อว่าลางสังหรณ์ที่ฝันนั้นมีจริง ๆ ว่าตนกำลังจะมีเคราะห์หนักเกิดขึ้นในชีวิตแต่อีกใจหนึ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ฝันเพราะตนเองเครียดกับคดีที่ทำจนเก็บไปฝัน ร่างบางนั่งคิดเหม่อลอยอย่างไม่สนใจอะไรจนเริ่มได้สติว่าตนต้องทำงานเพราะเลิกงานไวร่างบางส่ายหัวเบา ๆ ให้เลิกคิดแล้วกลับไปทำงานต่อ
ภายในห้องทำงานร่างบางกำลังนั่งวาดรูปอยู่บนโต๊ะทำงานสายตากวาดเก็บรายละเอียดอยู่บนหน้าจอคอมสายตาเพ่งผ่านแว่นสายตาสีดำปนชมพูมือเรียววาดเก็บรายละเอียดที่ตนร่างรูปเอาไว้จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นร่างบางหันไปรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นปรากฏว่าเป็นข้อความแชทจากอีกฝ่ายที่ตนเองเคยมีปัญหาเรื่องการดูอนิเมะซึ่งเป็นใครไปไม่ได้คือ “ไนท์” ที่เป็นเพื่อนสนิทกับวินซึ่งเป็นตำรวจด้วยกันร่างบางเบ้ปากมองบนใส่เพราะอีกฝ่ายได้ส่งรูปสวัสดีประจำวันต่างๆ ที่ผู้สูงอายุส่งกันในกลุ่มไลน์ของครอบครัวคนอย่างไนท์ยังไม่ถึงวัยแทนที่จะส่งข้อความหรือสติ๊กเกอร์สวัสดีแบบตัวการ์ตูนน่ารักที่พวกวัยรุ่นส่งกัน ร่างบางเลยพิมพ์ตอบกลับไปอย่างอารมณ์ฉุนเฉียว
“รสนิยมนายมันห่วยมากเลย ใครเขาส่งรูปสวัสดีวันจันทร์กัน” ร่างบางพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
“ฉันชอบแบบนี้ ทำไม?” อีกฝ่ายส่งข้อความตอบกลับมา
ร่างบางหมดอารมณ์กับไนท์ที่เอาแต่ทักมากวนประสาทหลังจากที่กลับจากนัดทานข้าวกันในวันนั้นทำให้ร่างบางจิตใจว้าวุ่นไปหมดแทบจะไม่มีสมาธิในการเขียนการ์ตูนเรื่องใหม่ซะทีถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีคนหนึ่งหน้าที่การงานก็ดีเป็นที่ยอมรับแถมเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงอีกด้วยเขาจะมาสนใจผู้ชายตัวเล็ก ๆ ผิวขาวที่เขียนนิยายการ์ตูนแบบตนไปทำไมกัน ร่างบางคงคิดว่าไนท์คงอยากเล่นสนุกอะไรกับตนหรือไม่เพราะเดานิสัยใจคอไม่ได้เลย จากนั้นสายตาก็มองไปที่ข้อความที่เด้งขึ้นมาอีกครั้งจนทำให้ร่างอึ้งไปเลยทีเดียว
“นายช่วยทำกับข้าวมาส่งที่สน.ได้ไหม ฉันอยากทานกับข้าวฝีมือของนาย”
สีหน้าที่เห็นข้อความนั้นทำให้ร่างบางนั้นแทบจะแทรกแผ่นดินหนีบวกอาการเริ่มหน้าแดงขึ้นเป็นลูกมะเขือเทศสุกหัวใจเริ่มเต้นเป็นจังหวะแบบบอกไม่ถูก ร่างบางเลยรีบตอบกลับข้อความอย่างไวโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมาลูกเล่นไม้ไหนก็ตาม
“ฉันเป็นนักเขียนนะ ไม่ใช่แม่ค้าร้านอาหารตามสั่ง!!!!” ร่างบางยกยิ้มอย่างสะใจเพื่อให้อีกฝ่ายได้รู้สึกถึงความหยิ่งยโสของตนว่าตนไม่ได้สนใจอีกฝ่าย
“ใจร้ายจังเลยนะ เมื่อวันก่อนยังบอกว่าลองคุยกันอยู่เลย” ข้อความเด้งขึ้นมา
“คนบ้า!!! อันนั้นแค่การแสดงไหม?” ร่างบางเริ่มกลับมาอารมณ์เสียมากกว่าเดิม
“ฉันอยากกินข้าวฝีมือนายแค่นั้นเอง อีกอย่างงานที่สน.ก็ยุ่งมากซะด้วยแถมสั่งอาหารตามแอปก็แพงอีก เดี๋ยวฉันออกค่าเสียเวลานายเอง” ไนท์ส่งข้อความพร้อมรูปสติ๊กเกอร์แบบขอร้อง
ร่างบางเริ่มรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาบ้างที่อีกฝ่ายยอมออกค่าใช้จ่ายที่ตนต้องเสียเวลาจากการทำงานที่สำคัญได้มองย้อนไปในช่วงที่เจอกันครั้งแรกไนท์ก็เป็นช่วยเหลือในการจับโรคจิตที่มาคุกคามตนเองในงานคอสเพลย์และยังเป็นคนเสนอออกเงินซื้อปากกาแท็บเล็ตให้ตัวเองอีกด้วยจำเป็นต้องยอมตอบตกลงไปโดยปริยาย แถมยังเป็นเพื่อนสนิทกับวินที่ดูนิสัยเรียบร้อย สุขุม แสดงให้เห็นว่าไนท์เองก็คนที่ไว้ใจได้คนหนึ่งเหมือนกันด้วยความที่มีนิสัยอัธยาศัยดี เข้าสังคมเก่ง เป็นคนรับฟังคนความคิดเห็นคนอื่นกลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีเลย
“โอเค ฉันทำอาหารให้ก็ได้แต่อย่าบ่นว่าอาหารฉันไม่อร่อย เออลองถามวินหน่อยว่าเอาข้าวด้วยไหม” ร่างบางพิมพ์ตอบกลับไป
“ได้สิ! เดี๋ยวฉันถามให้” ไนท์ได้ส่งข้อความพร้อมอิโมจิรูปยิ้ม
ร่างบางได้เผยรอยยิ้มที่ได้เห็นข้อความอีกฝ่ายที่ได้ส่งอิโมจิรูปยิ้มมาให้ความรู้สึกที่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายก็มีมุมความน่ารักเหมือนกันถึงแม้ตอนทักทายจะส่งรูปสวัสดีวันจันทร์มาก็ตาม ความคิดที่คิดถึงความน่ารักไปสักพักทำให้กลับมาคิดว่าอีกฝ่ายนั้นแค่หยอกล้อเล่นกับตนเท่านั้น ร่างบางเริ่มปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาปกติและเก็บความรู้สึกที่ตนคิดไว้นั้นทิ้งออกจากหัวทั้งหมดแล้วตั้งตารอข้อความที่ส่งมา
“วินเอาด้วยนะ เอาข้าวผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวเหมือนกันเลยนะแล้วฝากซื้ออเมริกาโน่ไม่หวานสองแก้วนะ เดี๋ยวฉันโอนเงินไปให้ส่งเลขบัญชีมาให้หน่อย”
ร่างบางเห็นข้อความดังกล่าวมือเรียวพิมพ์ส่งข้อมูลเลขที่บัญชีของตนเพื่อจะไปส่งให้อีกฝ่ายโอนเงินเข้ามาสายตาเรียวกวาดมองข้อความที่พิมพ์นั้นว่าข้อมูลถูกต้องไหมมือเรียวได้เลื่อนกล่องข้อความในแชทที่พิมพ์ว่าไม่มีข้อมูลไหนผิดพลาดแน่นอนเลยส่งไปให้อีกฝ่ายทันที เสียงข้อความดังขึ้นมาว่าอีกฝ่ายได้รับข้อมูลเลขที่บัญชีแล้ว ร่างบางจดจ่อหน้าจอโทรศัพท์เพื่อเช็คว่ารายการโอนเงินที่อีกฝ่ายโอนมาให้ทันใดนั้นเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นเป็นการบ่งบอกว่าทางนั้นได้ทำการโอนเงินมาเรียบร้อยแล้ว ร่างบางเบิกตากว้างเพราะเงินที่โอนมามันมากกว่าที่ตนเองคิดไว้ซะอีกเลยต้องกลับไปคุยที่สถานีตำรวจที่อีกฝ่ายอยู่ด้วยและก้มหน้าทำงานของตนเองก่อนที่จะไปทำอาหาร
เวลา 11.30 น. สถานีตำรวจ
ในยามเที่ยงที่อากาศร้อนเหมือนนรกที่กำลังไหม้ผิวเหมือนถูกย่างจากเตาถ่าน ทำให้ผู้คนไม่ค่อยออกไปไหนในเวลานี้เลยแก้ปัญหาด้วยการสั่งอาหารจากแอปพลิเคชันแล้วให้ไรเดอร์มาส่งอาหารตามที่ทำงาน บางคนชอบออกไปข้างนอกเพราะการเลือกนั้นมันมีมากกว่าในแอปพลิเคชันแถมยังได้เห็นหน้าตาของอาหารที่ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น ร่างบางเดินมาถึงหน้าสถานีตำรวจแล้วมองโทรศัพท์ที่ขึ้นรูปแผนที่ตามโลเคชันที่ได้มานั้นถูกหรือไม่ มือบางเทียบกับโทรศัพท์กับสถานที่ซึ่งดูแล้วตรงตามโลเคชันที่อีกฝ่ายส่งมาให้ร่างบางเลยโทรศัพท์ไปหาอีกฝ่ายเพื่อให้ออกมารับอาหารที่ตนทำไว้
“ตู้ดๆ” เสียงปลายสายไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด ร่างบางเลยโทรหาเพื่อนสนิทสมัยเรียนเผื่ออีกฝ่ายอาจจะยุ่งอยู่กับงาน
“ว่าไง” เสียงปลายสายรับทันที
“วิน ข้าวหอมเองนะ นายมารับข้าวกับกาแฟได้เลยนะฉันอยู่หน้าสถานีแล้ว” ร่างบางเอ่ยอย่างเร่งรีบเพราะข้างนอกนั้นอากาศค่อนข้างร้อน
“โอเค ฉันรีบไปหานะ” เสียงปลายสายวางสายลง
ร่างบางยืนรออยู่สักพักก็มีชายหนุ่มร่างใหญ่กำลังเดินออกมาจากสถานีตำรวจและเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวินอยู่ในชุดเครื่องแบบครั้งแรกทำให้ร่างบางนั้นรู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันทีแถมยังทำตัวไม่ถูกว่าจะต้องปฏิบัติตัวยังไง ร่างสูงเห็นร่างบางยืนอยู่ก็ยิ้มอย่างดีใจที่ได้เจอเพื่อนสนิทของตนแล้วเดินไปหาทันทีกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สบายจากการตากแดด
“ข้าวหอม!!!!” วินตะโกนเรียกอีกฝ่ายทำให้ร่างบางหลุดจากภวังค์ที่ตนคิดอยู่
“วิน” ร่างบางบิดตัวอย่างเกร็ง
“ขอโทษแทนไนท์ด้วยนะ พอดีมันปวดท้องเข้าห้องน้ำ” ร่างสูงพูดเสียงเรียบๆ ปนยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก นี่ข้าวของพวกนายคงงานยุ่งละสิ” ร่างบางส่ายหน้า
“ขอบใจมากนะ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้นายเสียเวลา” ร่างสูงยิ้มร่าอย่างดีใจ
“โอ้ย!!! เรื่องแค่นี้ไม่ต้องเกร็งใจกันหรอกงานฉันมันฟรีสไตล์อยู่แล้ว” ร่างบางกวักมือบ่งบอกถึงให้อีกฝ่ายสบายใจว่าตนเองไม่ได้ถือสาอะไรเลย
“เออ แล้วพีเป็นไงบ้าง” ร่างสูงเอ่ยถาม
“อ๋อ!!! ก็สบายดีแหละ แต่เมื่อเช้าพีดูไม่ค่อยสดใสเท่าไรเลยเหมือนจะฝันร้ายด้วยฉันเลยให้กำลังใจไปว่าอย่าคิดมากแต่ดูแล้วพีก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดีแถมเรื่องนี้พีไม่เคยจริงจังเรื่องอะไรแบบนี้อีกด้วย” ร่างบางพูดอย่างเป็นห่วงว่าเพื่อนของตนจะเป็นอะไรหรือเปล่า
“เข้าใจแล้ว ยังไงก็ฝากดูแลด้วยแล้วกันนะ” ร่างสูงเริ่มมีสีหน้าขรึมหน่อย ๆ
“โอเค ฉันพยายามคอยดูให้นะ” ร่างบางพยักหน้า
“งั้น ฉันไปทำงานก่อนนะ” ร่างสูงพูดทักทายลาแล้วเดินเข้าไปในสถานีตำรวจ
“อืม เจอกันนะ” ร่างบางโบกมือลาแล้วเดินไปขึ้นรถโดยสารกลับบ้าน
ร่างบางนั่งเหม่อลอยโดยไม่สนใจคนรอบข้างเลยแม้แต่นิดเดียวทั้ง ๆ ที่ปกติตัวเองจะเป็นคนเข้าหาเพื่อนร่วมงานพูดคุยเรื่องไร้สาระหรือสิ่งที่ชอบนอกเหนือจากเรื่องงานแต่มารอบนี้รู้สึกไม่อยากที่จะพบปะผู้คนเท่าไรแถมยังมีสวัสดิการพิเศษของสำนักงานทนายที่พี่หนิงซึ่งเป็นเจ้านายจะพาเพื่อนที่เป็นหมอดูมาดูดวงด้วย ทำให้ร่างบางยิ่งกังวลเข้าไปกันใหญ่แต่อีกใจหนึ่งก็เผื่อไว้ว่าอาจจะมีเรื่องดี ๆ เข้าหาตัวเขาเองก็ได้ ทันใดนั้นมีมือปริศนามากระทบไหล่จนทำให้ร่างบางหลุดจากภวังค์ทันทีร่างบางค่อย ๆ หันหน้าไปถึงต้นตอมือที่กระทบไหล่เป็นหญิงสาวใส่แว่นดำหนาซึ่งนั่นก็คือ เอวา รุ่นน้องของพีที่เป็นลูกมือของตนนั่นเองทำให้ร่าบางเอ่ยขึ้นมาถามและทำตัวปกติแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอวา” พีเอ่ยขึ้น
“พี่พี นี่กาแฟที่ฝากซื้อมาให้” หญิงสาวยื่นแก้วกาแฟมาให้
“ขอบใจนะ” ร่างบางรับแก้วกาแฟแล้วยิ้มให้
“นี่พี่พี ทำไมช่วงนี้พี่ดูแปลก ๆ นะ ปกติพี่จะร่าเริงอยู่ตลอดแต่พี่ไม่ได้ดูสดใสตั้งแต่เช้าแล้วนะ” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นเพราะความเป็นห่วง
“อ๋อ!!! ช่วงนี้พี่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยเลย.....คิดอะไรไปเรื่อย” ร่างบางตอบเลี่ยง ๆ
“นี่พี่พีหนูรู้นะว่าพี่กังวลเรื่องดูดวงใช่ไหม” หญิงสาวเริ่มจับทางอีกฝ่ายได้
“อะไร ไม่มี!!!” ร่างบางส่ายหน้า
“พี่พี!!!” หญิงสาวจ้องเขม็งใส่
“อ่า ๆ ก็ได้ พี่เองก็มีความรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันแหละ แต่ก็เผื่อใจไว้เฉย ๆ ” ร่างบางตอบกลับไปตรง ๆ
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกพี่ยังไงการดูดวงมันแค่เป็นการทำนายอนาคต” หญิงสาวพูดถอนหายใจ
“ว้ายยยย!!!!” เสียงกรีดร้องดังมาแต่ไกลจนคนในออฟฟิศตื่นตระหนกว่ามีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ไม่ดีหรือเปล่า ชายร่างสูงหัวล้านวิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบแล้วทำตัวเลิ่กลั่กอย่างไม่หยุดมือหนาทาบอกแล้วหายใจถี่จนทั้งสองสงสัยทำให้หญิงสาวตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นพี่พอลลี่” หญิงสาวตะโกนถาม
“แป๊ปนึง!!!” ชายร่างสูงหัวล้านตะโกนตอบเบา ๆ แล้วเดินมาที่โต๊ะของพี
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น มีอะไร” ร่างบางถามย้ำเข้าไปอีก
“ให้ฉันหายใจก่อน” ชายร่างสูงหายใจหอบแล้วค่อย ๆ ดีขึ้น
“โอเคได้แล้ว ฉันจะบอกให้” ชาวร่างสูงสะบัดตัวอย่างแรง
“บอกเถอะค่ะ” หญิงสาวพูดเร่งขึ้น
“ก็......จะบอกว่า......ฉันได้เจอเจ๊หนิงอยู่กับหมอดูแล้วววววว!!!” ชายร่างสูงพูดเสียงสูงอย่างตะโกนลั่นแถมบิดตัวตามเสียงอีกด้วย
“จริงเหรอ!?” หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น
“ใช่!!! แล้วอีกอย่างที่พี่ไปสืบมาหมอดูที่เป็นเพื่อนเจ๊นะมีชื่อเสียงในโลกโซเซียลในระดับหนึ่งเลยแหละ แต่ในสื่อทีวีก็ไม่ได้ออกมาชัดเจนเท่าไรนะ” ชายร่างสูงพยักหน้าแล้วได้เล่าเรื่องที่ตนไปสืบเจออย่างน่าภาคภูมิใจ
“แล้วได้รู้ไหมว่าหมอดูคนนั้นเขาดูดวงศาสตร์ไหน” หญิงสาวหันมาหาอีกฝ่าย
“เห็นว่าดูดวงได้ทุกศาสตร์นะ แต่ที่ฉันเจอในโซเซียลเขาจะเน้นดูไพ่ทาโรต์กับลายมือนะ” ชายร่างใหญ่พยายามเล่าและนึกตาม
“มาแล้วจ้า!!!” เสียงหญิงสาววัยกลางคนเดินตะโกนเข้ามาอย่างยิ้มแย้มสดใสและมีผู้ชายรูปร่างใหญ่หัวล้านมีหนวดเครายาวบนหน้าใส่ชุดส่าหรีอินเดียสีแดงแถมยังมีเครื่องประดับตามตัวไปด้วยเหมือนสาวแขกอินเดีย ทำให้คนในออฟฟิศต่างอึ้งกับหมอดูคนนี้เพราะสไตล์การแต่งกายนั้นเด่นกว่าทุกคนเลยก็ว่าได้
“นี่คือแม่หมอไดอาน่าที่จะมาดูดวงให้พวกเธอทั้งตลอดวันนี้” หญิงสาววัยกลางคนแนะนำตัวอีกฝ่ายให้คนในออฟฟิศฟัง
“สวัสดีจ้า” ชายร่างใหญ่ยกมือไหว้ก้มหัวนิดหน่อยอย่างช้า ๆ
“สวัสดีค่ะ/ครับ” ทุกคนยกมือไหว้ตอบ
“เรียกฉันว่าแม่หอมได้นะ ตามสบาย” ชายร่างใหญ่ยิ้มร่าและแสดงถึงความเป็นกันเองสุด ๆ
“งั้น เชิญมาทางนี้เลยจ้าเพื่อนสาว” หญิงสาววัยกลางคนเดินนำให้มาเตรียมโต๊ะไว้สำหรับดูดวงแล้วชายร่างใหญ่ซึ่งเป็นแม่หมอเดินตามพร้อมกับลูกน้องในออฟฟิศที่ตื่นเต้นพร้อม ๆ กัน ชายร่างใหญ่นั่งเก้าอี้แล้วมองรอบไปที่ออฟฟิศที่มีลูกน้องล้อมรอบอยู่ ชายร่างใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่าบรรยากาศในออฟฟิศนั้นดีมากเลยทีเดียว
“ฮวงจุ้ยยังดีอยู่เหมือนเดิมเลยนะ” ชายร่างใหญ่เอ่ยขึ้นแล้วยิ้มอย่างดีใจ
“ก็เพื่อนจ้างหล่อนไงจ๊ะและทำตามขั้นตอนที่แนะนำไว้อย่างดีด้วย” หญิงสาววัยกลางคนพูดแทรกขึ้น
“ขอบใจนะ แต่ทีหลังไม่ต้อง” ชายร่างใหญ่แซะกลับหญิงสาววัยกลางคนอย่างเจ็บแสบ
“โอ้โห!!!! เพื่อนเจ๊นี่ฟาดมากเลยนะน่าจะเข้ากันได้ดี” ชายร่างใหญ่ตบเข่าเบา ๆ
“นี่ไดอาน่า ถ้ายังแซะอีกนะฉันจะเรียกหล่อนว่าสมคิด!!!” หญิงสาววัยกลางคนพูดเสียงสูงบวกกับความหมั่นไส้การจิกกัดกันกับเพื่อนสนิท
“ว้ายยยยยย!!!! โป๊ะนะคะเนี้ย” ชายร่างใหญ่เอามือทาบอกแล้วมองสองคนที่กำลังพูดแซวกับเพื่อนสนิทของหัวหน้า
“พอ ๆ ไร้สาระกันมากพอแล้วใครจะมาเป็นลูกดวงคนแรก” ชายร่างใหญ่พยายามตัดบทและเข้าเรื่องในการดูดวง
“ฉันค่ะ!/หนูค่ะ!” ช่ายร่างใหญ่และหญิงยกมือพูดพร้อมกัน
“พี่พอลลี่!!!” หญิงสาวอึ้ง
“เอางี้ เป่ายิ้งฉุบใครชนะได้ดูก่อนคนแรก” แม่หมอยื่นข้อเสนอให้ทั้งสองคน
“พร้อม” ชายร่างใหญ่มองค้อน
“มาเลย” หญิงสาวเตรียมพร้อมแล้วยกแขนเสื้อเล็กน้อย
ทั้งสองคนเตรียมท่าที่จะเป่ายิ้งฉุบกันพีเป็นฝ่ายเสนอในการเริ่มเกมในครั้งนี้ทุกคนค่อย ๆ ขยับออกไปเพื่อให้ทั้งสองคนได้สะดวกกับการใช้พื้นที่ พีเอ่ยกติกาอย่างชัดเจนว่าใครเป่ายิ้งฉุบชนะสามครั้งถือว่าเป็นฝ่ายชนะและได้ดูดวงเป็นคนแรก
“เตรียมพร้อมแล้วนะ” พีหันมองทั้งสองคน
“ค่ะ!!!” ทั้งสองตอบพร้อมกัน
“โอเค เริ่ม!!!” พีให้สัญญาณในการแข่งขันทันที
“เป่า!!!! ยิ้ง!!! ฉุบ!!!” ทั้งคู่ออกค้อน
“ยิ้ง!!! ฉุบ!!!” เอวาออกค้อน ส่วนพอลลี่ออกกรรไกร
“เอวาได้หนึ่งแต้ม” พีเป็นฝ่ายนับ ส่วนเอวากรีดร้องอย่างดีใจ
“นี่แค่เริ่มต้นเอง” พอลลี่พูดอย่างฉุนเฉียวแล้วเริ่มเกมต่อไป
“เป่า!!!! ยิ้ง!!! ฉุบ!!!” คราวนี้พอลลี่ออกกรรไกร ส่วนเอวาออกกระดาษทำให้พอลลี่เป็นฝ่ายได้แต้ม
“โธ่!!!” เอวาทำหน้าเศร้า
“นี่แค่หนึ่งต่อหนึ่งเอง” หนิงเอ่ยขึ้น
“เป่า!!!! ยิ้ง!!! ฉุบ!!!” เอวาเป็นฝ่ายออกกระดาษ พอลลี่เป็นฝ่ายออกค้อนทำให้เอวาได้แต้มอีกแล้วพอลลี่ยิ่งเริ่มกดดันขึ้นไปอีก
“รอบนี้ถ้าเอวาได้แต้มอีกถือว่าชนะเลยนะ” พีเอ่ยขึ้น
“เป่า!!!! ยิ้ง!!! ฉุบ!!!” เอวาออกกรรไกร พอลลี่ออกกระดาษทำให้เอวาเป็นฝ่ายชนะในที่สุด หญิงสาวกรีดร้องอย่างดีใจแล้วกระโดดโลดเต้นอย่างไม่สนสายตาใครทั้งนั้น พอลลี่ทำหน้าเบ้ปากมองบนแล้วชี้หน้าว่าบ่น ๆ ว่าตัวเองออมมือให้รุ่นน้อง
“ฉันจะรอดูคำทำนายของเธอ!!! คราวนี้ฉันแค่ให้โอกาส” พอลลี่ทำหน้าเย้ยหยัน
“แพ้เด็กก็อย่าพาลสิ!” หนิงพูดแทรกขึ้นทำให้พอลลี่เจ็บใจกว่าเดิม
“เจ๊!!!!” พอลลี่ขึ้นเสียงทำหน้าอย่างหงุดหงิด
“หนูเริ่มดูเลยนะคะ” เอวานั่งลงบนเก้าอี้
“บอกชื่อเล่นมาแล้วยื่นมือเธอทั้งสองข้างมาให้ฉันด้วย” แม่หมออธิบายการดูดวงให้อีกฝ่าย
“หนูชื่อเอวาค่ะ” หญิงสาวเอ่ยชื่อแล้วยื่นมือทั้งสองข้างมาให้แม่หมอ มือหนาจับมืออีกฝ่ายแล้วหยิบแว่นขยายส่องดูลายมือตามจุดที่ตนนั้นได้เห็นแล้วค่อย ๆ หลับตาทำสมาธิให้นิ่งที่สุด ผู้คนรอบ ๆ ต่างลุ้นว่าคำทำนายจะออกไปในทิศไหนหญิงสาวเริ่มตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เหงื่อค่อย ๆ เริ่มซึมออกมาตามผิวหนังถึงแม้ภายในห้องนั้นจะเปิดแอร์ประมาณยี่สิบองศาเซลเซียส จากนั้นชายที่เป็นแม่หมอลืมตาขึ้นมาแล้วจ้องเขม็งมาที่หญิงสาวสีหน้าของแม่หมอนั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจบวกกับอยากจะสั่งสอนกับหญิงสาวคนนี้
“หล่อนหน้าตาก็ดีนะ หน้าที่การงานมีโอกาสเติบโตไปได้สูง แต่เสียอย่างเดียวคือเรื่องความรักของหล่อน” แม่หมอพูดน้ำเสียงที่เข้มขึ้นพร้อมกับอารมณ์ที่ไม่พอใจกับหญิงสาวคนนี้ คนรอบข้างเริ่มมีการพูดคุยซุบซิบนินทากันจนหนิงต้องมาหยุดสถานการณ์ดังกล่าวไว้
“ช่วยให้เกียรติกันหน่อยนะ” หนิงพูดเสียงดุใส่พนักงานที่ล้อมอยู่รอบโต๊ะ
“แฟนของหล่อนไม่ได้ช่วยให้เธอมีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว อะไร ๆ ไม่สนใจเลยสักนิด” แม่หมอส่งสายตาอย่างน่าสงสารที่จะสื่อถึงใจอีกฝ่าย
“หนูเป็นพยานเลยค่ะ เวลาเอวาอกหักจะโทรหาหนูอยู่ตลอด” พอลลี่ตบมือเพราะความแม่นของแม่หมอ
“คือ.....หนูกับแฟนคบตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยแล้วนะคะ” เอวาพูดเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้
“เรื่องนี้ก็แล้วแต่เธอจะเชื่อนะ แต่สิ่งที่ฉันดูลายมือกับสัมผัสของฉันมันทำให้เห็นว่าเธอทนเพราะเธอยังรักเขาส่วนแฟนของเธอนั้นถึงเขาจะยังทำผิดกับเธอมากแค่ไหนเธอยังให้อภัยเขา แต่ตัวเขานั้นไม่ได้มีเธออยู่ในใจแล้ว” แม่หมอพยายามพูดเตือนสติให้เอวาคิด
“หนูไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ที่ผ่านมา......เขาก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับหนูเลยตั้งแต่หนูเรียนจบ จนมีวันหนึ่งหนูจับได้ว่ามันมีกิ๊กทีนี้หนูจะเลิกกับเขาจนมันมาง้อและสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป หนูก็ให้อภัยนะแต่สุดท้ายมันก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมแถมยังว่าหนูไม่ดูแลตัวเองอีก” หญิงสาวร้องไห้จนน้ำตาอาบลงบนใบหน้าของเธอมือเรียวถอดแว่นเพื่อจะซับน้ำตา
“อืม ฉันให้เธอไปพิจารณาเองนะเรื่องนี้มันเป็นแค่ทำนาย ฉันขออวยพรให้เธอเจอคนที่ใช่นะ” แม่หมอส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้อีกฝ่าย จนหญิงสาวลุกออกจากเก้าอี้ไปคนในออฟฟิศเริ่มไม่กล้าที่จะดูดวงเพราะกลัวว่าคำทำนายจะออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร ทำให้ทุก ๆ คนถอยห่างจากโต๊ะทันที
“โอ๊ย!!! นี่จะกลัวกันทำไม!!! มันแค่คำทำนายไหม” พอลลี่อารมณ์เสียทุกคนที่ถอยห่าง
“แล้วทำไมเจ๊พอลลี่ไม่ดูละ” เสียงชายหนุ่มตะโกนออกมา
“ฉันก็กำลังดูนี่ไง!!!!” ชายหนุ่มหัวล้านตะโกนกลับ
“หนูพร้อมแล้วค่ะแม่หมอ” ชายหนุ่มหัวล้านยื่นมือทั้งสองข้างมาให้
แม่หมอค่อย ๆ จับมืออีกฝ่ายแล้วหลับตาเพื่อรวบรวมสมาธิในการทำนายดวงของชายร่างใหญ่ที่กำลังตื่นเต้นว่าตนนั้นมีเกณฑ์ดวงที่จะไปได้สวยแน่นอน ร่างใหญ่ดูกระตุกกระติกเป็นอย่างมากจนแม่หมอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสีหน้ายกยิ้มอย่างมั่นใจบวกกับความหมั่นไส้เล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับในสิ่งที่คิดว่าตนจะได้รับ
“ดวงเธอเรื่องการงานกับการเงินไปได้สวยนะ แถมศักยภาพก็ดีซะด้วยถือว่าไปได้ไกลเลยแหละ” แม่หมอพูดเสียงเรียบ
“เห็นไหม!!!” พอลลี่หันไปแล้วทำหน้าอย่างมั่นใจสุด ๆ
“แต่หล่อนไม่มีดวงเรื่องความรักเลยแม้แต่นิดเดียว!” แม่หมอเบ้ปากมองบน
“ท.....ทะ.....ทำไมถึงเป็นแบบนั้นคะแม่หมอ!?” พอลลี่ชะงักไปชั่วขณะ
“ก็ดวงเธอมันไม่เหมาะกับเรื่องของความรักแถมคนที่ผ่านมาคบ ๆ กับหล่อนส่วนใหญ่ก็หวังแต่เงินทองของหล่อนค่ะ” แม่หมอขึ้นเสียงใส่เพื่อเตือนสติ
“ฮื้อ......จริงด้วยค่ะ!!!!” พอลลี่ลุกขึ้นทำท่าเสียใจเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าว
“เว่อร์มาก!!!! ถ้าหล่อนอยากมีความรักจริง ๆ ละก็หล่อนควรรักตัวเองให้ได้ก่อนแล้วก็ไม่ต้องไปโหยหาความรักใครทั้งนั้น” แม่หมอพูดชี้หน้าพยายามเตือนสติ
“แล้ว......หนูสามารถซื้อกินได้ใช่ไหมคะ” พอลลี่พูดเสียงออดอ้อนแล้วทำตาปริบ ๆ ใส่
“ได้!!! ฉันเห็นด้วยแต่ต้องป้องกันแล้วระวังตัวด้วยนะจ๊ะ” แม่หมอยกยิ้มแล้วทำตาขึงใส่
ทุกคนชะงักกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่คิดว่าจะได้คำตอบเป็นแบบนี้ พอลลี่ลุกขึ้นอย่างเสียใจปนดีใจขึ้นมาบ้างนิดหน่อย จนหนิงเพื่อนสาวคนสนิทของแม่หมอแซวออกมาอย่างติดตลกไม่คิดว่าเพื่อนจะยังคงเป็นแบบนี้อยู่ถึงแม้อายุก็มากพอที่จะเลิกเที่ยวเกี่ยวกับสิ่งอบายมุขได้แล้ว แม่หมอตอบแนวกึ่งแซะเพื่อนสาวอย่างเจ็บ ๆ แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดที่จะรังแกหรือล้อเลียนเอาเป็นปมด้อยซะเท่าไร
“เอ้า! ไม่มีใครจะมาดูดวงแล้วเหรอ?” หนิงถามลูกน้องที่อยู่รอบ ๆ
“ผมเองครับ” พียกมือขึ้นทำให้คนในออฟฟิศอึ้งไปตาม ๆ กันเพราะพีไม่เคยสนใจเรื่องอะไรเกี่ยวกับสายมูอยู่แล้ว ขนาดเพื่อนร่วมงานอย่างเอวาและพอลลี่ที่พีสนิทกันมากที่สุดเคยขอร้องให้ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรอะไรยังปฏิเสธเลย
“พี่พีจะดีเหรอ!?” เอวาขมวดคิ้วอย่างปฏิเสธ
“นั่นสิ!!! พี่ไม่เห็นน้องพีจะยุ่งกับเรื่องพวกนี้เลยนะ” พอลลี่ยืนงง
“พอดีผมมีเรื่องที่ไม่สบายใจหน่อยครับ” พีพูดยิ้ม ๆ ใส่
“เชิญเลยจ้าพ่อหนุ่มน้อย” แม่หมอผ่ายมือยิ้ม
พียื่นมือมาให้สองข้างตามปกติแล้วแม่หมอก็ทำสมาธิแบบตามเดิมที่เคยทำ หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะมีอาการกลัว ๆ บ้างเล็กน้อยแต่พยายามปลอบใจตัวเองเพื่อให้ตื่นตระหนกมากเกินไป ขณะนั้นแม่หมอทำสมาธิอยู่นั้นก็เริ่มมีอาการที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยใบหน้าของแม่หมอนั้นมีการขมวดคิ้วเหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ดีในตัวพี จนคุมสมาธิไม่อยู่เลยทำให้แม่หมอต้องร้องกรีดร้องออกมาเสียงดังจนทุกคนแตกตื่นกันหมดแม่หมอลืมตาขึ้นอย่างตื่นตระหนกเหงื่อเริ่มไหลตามตัวหายใจไม่เป็นจังหวะ หนิงเรียกลูกน้องให้ไปหาน้ำดื่มให้แม่หมอมาดื่มเพื่อความสดชื่น จากนั้นแม่หมอมองหน้าพีอย่างเกร็ง ๆ แล้วพยายามกลับมาทำตัวปกติที่สุดเพื่อจะอธิบายคำทำนายต่อ
“น้ำครับผม” ชายหนุ่มเดินถือแก้วน้ำดื่มมาให้
“ขอบใจจ้า” แม่หมอรับน้ำดื่มมาวางไว้บนโต๊ะ
“เอ่อ.....คือ....ยังไงเหรอครับ” พีถามอย่างตะกุกตะกัก
“ดวงเธอช่วงนี้เจอศึกหนักหน่อยนะ เพราะเหมือนจะมีเหตุบางอย่างที่เธอต้องไปเสี่ยงอันตรายถึงขั้นเสี่ยงถึงชีวิตสุด ๆ ” แม่หมอมีสีหน้าที่พูดอย่างจริงจังมาก ๆ
“ละ....แล้วยังไงต่อครับ” พีเริ่มมีอาการวิตกกังวลจนเอวากับพอลลี่มาจับไหล่เพื่อลดความกังวล
“ช่วงนี้เธอต้องเรื่องที่ไม่ดีกับชีวิต โดยเฉพาะเรื่องที่เธอจะต้องเจอเรื่องใหญ่ ๆ เข้ามาในชีวิตแต่ความโชคร้ายก็มีความโชคดีเข้ามาอยู่บ้างเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่เธอทำมาแล้วกัน” แม่หมอพยายามพูดให้เซฟใจอีกฝ่ายมากที่สุด
“คือผมจะเจอเรื่องดีและเรื่องไม่ดี แล้วเรื่องดีจะเจอเรื่องอะไรเหรอครับ” พีถามต่อ
“อ๋อ! ส่วนเรื่องดีที่เธอเจอนั่นก็คือเรื่องของความรักจ้า” แม่หมอยกยิ้ม
“อ้าว!!! แล้วทำไมพีถึงทักแบบนี้อะแม่หมอ” พอลลี่จ้องตาเขม็งใส่แม่หมอ
“ดวงเธอกับดวงของน้องมันต่างกันค่ะ” แม่หมอตอบกลับอย่างเจ็บใจ
“ดวงของน้องพีจะได้เจอคู่ที่ใช่สำหรับเธอนะ แล้วอีกอย่างเขาจะเป็นคนคอยช่วยเหลือเธอในยามที่เธอมืดแปดด้านนี่แหละ” แม่หมอพูดอมยิ้ม
“อิจฉาอะ!!!” เอวาพูดแทรกแล้วทำหน้ายูใส่
“อยากเจอเรื่องร้าย ๆ ด้วยใช่ไหม” พอลลี่พูดสวนกลับ
พีมีสีหน้าที่เริ่มกังวลขึ้นไปอีกถึงแม้มันจะเป็นแค่คำทำนายอนาคตแต่ใจก็ลงไปในถึงตาตุ่มอย่างบอกไม่ถูกร่างบางลุกออกจากเก้าอี้แล้วออกไปนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยให้ลืมสิ่งที่เกิดขึ้น จนเอวากับพอลลี่ต้องเดินไปดูตามติดทันว่าพีนั้นเป็นอะไรมากไหม พีออกมาหน้าออฟฟิศที่เป็นที่นั่งเล่นของชั้นตึกเอวากับพอลลี่มานั่งประกบข้างเพื่อให้กำลังใจ
“ไม่ต้องคิดมากนะพี่พี มันแค่คำทำนายอนาคตเอง” เอวาพูดเสียงปลอบ
“นั่นสิ!!! ปกติน้องพีก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องดวงอยู่แล้ว” พอลลี่จับไหล่อีกคน
“แต่ครั้งนี้ผมมีเรื่องกังวลจริง ๆ นะครับ ส่วนเรื่องความรักผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร” พีสายหัวเบา ๆ
“ทุกคนมันต้องเจอทั้งดีและไม่ดีแหละ” เอวาพยายามยิ้มให้อีกฝ่าย
“พวกเธอก็ร้องเหมือนกันไม่ใช่เหรอ!?” พีขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“โอ๊ย!!!!” เอวากับพอลลี่ตะโกนใส่
“ก็เรื่องของพวกหนูมันตรงกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนะ” เอวายูปาก
“ใช่!!!” พอลลี่พยักหน้า
“แต่เรื่องความรักนี่สิ ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลยนะว่าจะเจอยังไง” พีนึกคิดในหัว
“ปกติน้องพีก็ไม่สนใจเรื่องความรักอยู่แล้วนะ แถมตอนชวนไปบาร์มีคนมาจีบน้องพียังไม่สนใจเลย” พอลลี่มองพีอย่างเหนื่อย ๆ
“หนูว่านะมันถึงเวลาของพี่พีแล้วที่ต้องมีความรัก” เอวาจ้องเขม็ง
“เอาเป็นว่าช่วงนี้นายก็ใช้ชีวิตอย่างสติแล้วกัน อีกอย่างนะไปทำบุญด้วยให้ชีวิตเรามีความสบายใจถือว่าเป็นเกาะป้องกันอย่างกันอย่างหนึ่งแล้ว หนักจะได้เป็นเบา” พอลลี่พูดยิ้มเพื่อให้กำลังใจพี
“อย่างที่พี่พอลลี่พูดก็ถูกนะ หนูซัปพอร์ตพี่อยู่เสมอ” เอวายิ้มแป้น
“อืม!!! ขอบใจทั้งสองคนเลยนะ” พีเริ่มกลับมายิ้มร่าเริงอีกครั้ง
“เพื่อเป็นการฉลองในวันที่เลิกงานเร็ววันนี้พี่จะขอเลี้ยงชานมไข่มุกเอง สนใจไหม” พอลลี่ลุกขึ้นตบมือเพื่อทำลายบรรยากาศความเครียดออกไป
“หนูเอา ๆ ” เอวายิ้มแล้วยกมือขึ้น
“ไวเลยนะ” พีพูดแซว
“ของฟรีหนูเอาหมด” เอวาเบียดตัวเข้าหาพี
“น้องพีจะเอาด้วยไหม” พอลลี่ถาม
“เอาด้วย” พียิ้มตอบ
“ไปกันเลย!!! ชานมไข่มุก!!! ชานมไข่มุก!!! ชานมไข่มุก!!!” พอลลี่เดินนำแล้วเอวากับพีเดินตามพร้อมเสียงเรียกชื่อของหวาน