ความยุติธรรมเป็นคำที่สังคมศรัทธานับถือมาก แต่สังคมบางกลุ่มความยุติธรรมแค่คำที่ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย
ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,อาชญากรรม,Mpreg,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สืบพิสดารความยุติธรรมเป็นคำที่สังคมศรัทธานับถือมาก แต่สังคมบางกลุ่มความยุติธรรมแค่คำที่ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย
หญิงสาวกำลังเดินไปเรียนตามปกติสายทุกคนที่มองเธอนั้นล้วนอยากเข้าหาเพื่อเป็นการมาขอจีบแต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจกับคนเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียวบางคนที่คิดว่าเธอหยิ่งบ้างหวังสูงบ้างตามที่ทุกคนคาดเดากัน ทันใดนั้นเองเธอได้เดินชนกับผู้ชายคนหนึ่งทำให้หนังสือที่ถือมาหล่นกระจายไปตามพื้นจนทำให้ผู้ชายเอ่ยขอโทษตนหญิงสาวส่ายหน้าเป็นการบ่งบอกว่าไม่เป็นไรเพราะไม่ได้มีการล้มถึงขั้นเจ็บตัวเท่าไรทั้งคู่ได้ช่วยกันเก็บของกันอย่างเร่งรีบชายหนุ่มยื่นของบางส่วนให้กับหญิงสาวสายตาเริ่มมองไปที่หล่อนแต่เห็นหน้าไม่ชัดเท่าไรเพราะผมปิดใบหน้าบางส่วน ทำให้ชายหนุ่มคิดว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าหญิงสาวเก็บของเสร็จเหลือบไปเห็นมือหนาที่ถือของให้มือเรียวปัดผมที่บังหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณที่จะรับของจากมือของชายคนดังกล่าวจนทำให้อีกฝ่ายอึ้งกับใบหน้าของเธอทำให้เขาได้เอ่ยถึงชื่อของเธออกมาโดยไม่ได้ทันตั้งตัว
“แคทตี้!!!” เสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้นจนหญิงสาวเอะใจเลยเงยหน้าขึ้นมามองชายคนนี้ทำให้เธออึ้งอย่างบอกไม่ถูก
“กะ....เก่ง!!!” เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้นมา ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนแล้วฝ่ายชายเอ่ยถามหญิงสาวขึ้น
“แคทตี้ เป็นไงบ้างสบายดีไหม?” ชายหนุ่มถามอย่างดีใจ
“ส....สบายดี แล้วเก่งละ?” หญิงสาวพยักหน้าตอบแล้วยิ้มถามกลับ
“สบายดี ไม่ได้เจอกันนานเลยนะฉันตามหาเธอแทบแย่เลยรู้ไหม” ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวอย่างแน่นมือพร้อมกับคำถามในหัวที่ไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อน
“คือว่าฉันไปทำงานหาเงินมาหน่ะ เลยดรอปเรียนไปไปปีหนึ่งพอมีเริ่มมีเงินก้อนฉันก็เลยได้มาสมัครเรียนที่นี่” หญิงสาวตอบอย่างใจเย็นเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายกังวล
“งานอะไร ทำไมไม่บอกฉันจะได้ให้แม่ฉันหางานให้” ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“เป็นงานทั่วไปนี่แหละ นายไม่ต้องกังวลหรอก” หญิงสาวทำตัวเกร็ง ๆ แล้วบอกอย่างปัด ๆ
“แน่ใจนะ!?” ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวอย่างสงสัย
“นะ.....แน่ใจสิ!!!” หญิงสาวฝืนยิ้มจนทำให้อีกฝ่ายเริ่มสังเกตอาการออกว่ามีพิรุธ
“เก่ง!” หญิงสาวใจสั่นเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
“ฉันไม่ได้โง่นะ เห็นข่าวว่ามีหญิงสาวที่ทำงานอย่างว่าแถมเป็นลูกครึ่งอีกด้วยตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นเธอหรอกนะ แต่ถ้าสังเกตดูแล้ว......ส่วนใหญ่มหาลัยที่นี่อยู่คณะอินเตอร์ซึ่งค่าเทอมก็หลายบาทอยู่เหมือนกัน” เก่งอธิบายให้อีกฝ่ายพูดความจริงออกมา
“คือเก่ง.......ฉัน.......” หญิงสาวเริ่มตัวสั่น
“..........” ชายหนุ่มนิ่งเงียบ
“นายอย่ารังเกียจฉันเลยนะ ฉันขอร้อง!!! นะ ๆ ” หญิงสาวเริ่มพูดเสียงสั่นมือเรียวจับมือส่งสายตาอย่างอ้อนวอน
“แคทตี้ใจเย็น ๆ นะ ฉันว่าลองไปคุยที่อื่นกันไหม” ชายหนุ่มพยายามทำให้อีกฝ่ายใจเย็นเพื่อไม่ให้คนอื่นมาสนใจมากนัก
“นายแน่ใจนะ ว่าจะให้ฉันเล่าเรื่องที่ผ่านมา” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“อะไรจะเกิดก็เกิดแล้วอีกอย่างมันย้อนกลับแก้ไขอะไรไม่แล้ว ฉันจะช่วยเธอเอง” มือหนาจับมืออีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจ
“อืม!!!” ชายหนุ่มพยักหน้า
“โอเคงั้นเดี๋ยวเราไปหาที่คุยกันดีกว่า” หญิงสาวพยักหน้าอย่างเต็มใจแล้วทั้งคู่เดินไปหาที่ส่วนตัวคุยกันเพื่อเปิดใจหลักจากที่ได้เจอกันนาน
ร้านกาแฟในมหาวิทยาลัย
ทั้งคู่นั่งดื่มเครื่องดื่มตามที่ตนเองสั่งบรรยากาศในร้านดูราบรื่นเรียบง่ายดูสงบมีความเป็นส่วนตัวเหมาะสำหรับการมานั่งอ่านหนังสือเป็นอย่างมากทั้งสองนั่งนิ่งอย่างสงบเสงี่ยมไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนากันยังไงดีบรรยากาศค่อนข้างอึดอัดพอสมควรจนหญิงสาวเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อนแล้วค่อย ๆ เปิดประเด็นที่ตนทำอาชีพแบบนี้นั้นไปทีละน้อยถึงแม้ตนเองไม่อยากให้คนตรงหน้าได้ยินเรื่องราวที่ตนเจอเท่าไรแต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเธอต้องการคนที่เป็นที่พึ่งทางใจจริง ๆ และเป็นเซฟโซนในวันที่เธอลำบาก
“เรื่องเรียนนายเป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวเอ่ยถาม
“ก็เรียนหนักอยู่นะ พอขึ้นปีสองแล้วอะไร ๆ เริ่มไม่ได้ชิวเหมือนปีหนึ่งแล้วเธอละ ได้เรียนกับรุ่นน้องรู้สึกแก่เลยใช่ไหมละ” ชายหนุ่มพูดติดตลก
“รู้สึกแก่สิ! แต่ฉันก็ไม่ได้ถือสาอะไรกับเรื่องอายุด้วย อีกอย่างฉันชอบให้เรียกชื่อเฉย ๆ มากกว่าพี่อีก” หญิงสาวหัวเราะเล็กน้อย
“แล้ว.......ลินดาเป็นยังไงบ้าง สบายดีอยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามกลับ
“สบายดีแหละ ตั้งแต่ให้ไปอยู่กับน้าพรมาน้องสาวฉันก็ดีขึ้น” หญิงสาวยิ้มตอบอย่างมั่นใจ
“คิดดีแล้วเหรอว่าแม่เธอจะไม่เอาน้องสาวกลับมา อีกอย่างฉันรู้นิสัยของแม่เธอดีว่าเป็นยังไงไหนตาพลพ่อเลี้ยงเธออีก” ชายหนุ่มเบ้ปากแล้วนึกภาพตาม
“ฉันย้ำกับน้าพรไปแล้วว่าอย่าให้เจอน้องสาว ฉันไม่อยากให้น้องสาวต้องไปเจอชะตากรรมที่เลวร้ายกว่านี้” หญิงสาวพูดน้ำเสียงปนเศร้า
“ฉันเข้าใจ แต่สิ่งที่เธอทำนั้นมันเสี่ยงมากรู้ไหม” ชายหนุ่มจับมืออีกฝ่ายให้ใจเย็น
“เก่ง นายสัญญาได้ไหมว่าจะไม่รังเกียจฉันที่ทำอะไรแบบนี้” หญิงสาวพูดเสียงอ้อนวอนมือเรียวเขย่ามือให้อีกฝ่ายเห็นใจ
“โอเค ๆ ฉันไม่รังเกียจหรอกอีกอย่างมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือเธอต้องตั้งใจเรียนแล้วหางานทำที่ดีกว่านี้นะ ฉันขออย่างเดียวถ้าเธอมีปัญหาเรื่องเงินให้มาบอกฉันเข้าใจไหม” ชายหนุ่มพยักหน้าและยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ไปทำสิ่งไม่ดีอีก
“ได้!!! ขอบใจนะที่นายรับฟังฉัน” หญิงสาวยิ้มอย่างดีใจ
“ขออย่างเดียวเถอะ ถ้าเธอเรียนจบแล้วเธอต้องเลิกทำอาชีพนี้โดยเด็ดขาด” ชายหนุ่มจ้องหน้าอย่างจริงจัง
“อืม ฉันคงไม่อาชีพนี้ไปตลอดหรอก” หญิงสาวยิ้มอย่างเจื่อน ๆ
“ฉันเชื่อ เพราะเธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจทำอาชีพแบบนี้ตั้งแต่แรก” ชายหนุ่มพูอย่างเสียงเรียบบวกกับความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
“เก่ง!” หญิงสาวทำหน้านิ่งปนกับความรู้สึกผิดที่ตนเองเลือกเส้นทางเดินเองถึงแม้จะแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขที่ได้นึกถึงชายคนนี้
น้ำตาค่อยๆเริ่มไหลอาบแก้มบนใบหน้าของเธอทำให้น้ำเสียงร้องสะอึกสะอื้นบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานทางจิตใจสะสมมานานจนไม่สามารถเก็บความทุกข์ที่อยู่ภายในนั้นไว้ได้ ชายหนุ่มไม่รู้จะปลอบใจอย่างไรมือหนาเอื้อมไปจับมือบางของอีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจและปลดปล่อยความรู้สึกที่มีออกมาให้หมด ถึงแม้เขาเองจะไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรมากนัก อย่างน้อยตัวเขาเองก็สามารถเป็นที่พึ่งทางใจให้กับเธอได้
“ฮึก ฮึก” หญิงสาวสะอื้นอย่างเงียบ ๆ
“แคท เธอร้องออกมาได้เลยนะ อย่างน้อยเธอก็ได้ระบาย”
“ฮึก ขอบใจนะที่เข้าใจฉันอย่างน้อยยังพอมีเงินส่งน้องเรียนและค่าเทอมของฉันได้ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วละ” หญิงสาวพูดน้ำเสียงสั่น ๆ
“วันนี้เธอว่างหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมา
“เอ่อ.......ว่าง!! ทำไมเหรอ!?” หญิงสาวพูดแล้วขมวดคิ้ว
“วันนี้ไปทานข้าวที่คอนโดฉันไหม มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง ไม่ใช่ไรหรอกไอบอยมันเป็นคนทำอาหารให้หน่ะ” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงบนอ้อนชวนไปทานข้าวที่คอนโดของตน
“บอยอยู่ด้วยกับนายด้วยเหรอ?” หญิงสาวรู้สึกตกใจเล็กน้อย
“อืม! ฉันเป็นคนให้เขามาอยู่เองแหละ อีกอย่างฉันไม่อยากให้ไอบอยไปเสียค่าเช่าหอด้วย” ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ
“พอดีฉันเคยเจอบอยเมื่อวันก่อนแล้ว คุยเพลินเลยเห็นว่านายมีเพื่อนที่เป็นแก๊งไฮโซด้วยใช่ไหม?” หญิงสาวมีสีหน้าที่เริ่มนิ่งบนสายตาที่มองด้วยความเป็นห่วง
“ใช่!!! ถึงพวกนั้นจะเป็นไม่เอาไหนเรื่องการเรียนก็จริง แต่ฉันก็เป็นคนเตือนสติให้พวกนั้นสามารถสอบผ่านไปได้โดยไม่ต้องโดยรีไทร์ด้วยถือว่าช่วย ๆ กัน” ชายหนุ่มพูดอย่างภาคภูมิใจ
“จะเตือนสติเพื่อนก็มันดีนะ แต่ฉันได้ยินข่าวมาว่าถ้าใครมีปัญหากับพวกนั้นนะไม่มีใครกล้าเอาผิดพวกนั้นแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เถอะนะ” หญิงสาวมีสีหน้ากังวลอย่างมาก
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะพยายามไม่ให้พวกนั้นไปมีเรื่องเด็ดขาดเลย” ชายหนุ่มสายหน้าและยิ้มร่า
“ฉันซีเรียสจริงๆ นะเก่ง ฉันรู้ว่านายไม่คนไปเที่ยวอะไรแบบนั้น แต่นายเองก็ต้องรู้จักเอาตัวเองออกมาจากสิ่งนั้นบ้างนะที่พูดเพราะเป็นห่วง ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะสร้างความเดือดร้อนมาถึงนายเมื่อไหร่ จำได้นี่คือในชีวิตมหาลัยนะร้อยพ่อพันแม่นะ” หญิงสาวพยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายคิด
สีหน้าของชายหนุ่มเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อหญิงสาวพูดเตือนสติกับแววตาที่มีมองมานั้นเป็นสายตาที่มีความห่วงใยต่อเขา ถึงแม้ภายในใจเขาเองอยากจะบอกความรู้สึกกับหญิงสาวว่าก็อยากจะออกมาจากจุดนี้เหมือนกัน แต่ความเป็นลูกผู้ชายต้องเก็บปฏิกิริยาท่าทางทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของชายหนุ่มที่ตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศความตรึงเครียดนั้นให้กลายเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายแทน หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้ตกลงตั้งใจฟังสิ่งที่หล่อนพูดไหม
“ตั้งใจฟังไหมเนี้ย!!!” หญิงสาวขึ้นเสียงดุเล็กน้อย
“แหมม!!! ตั้งใจสิ!!! เห็นเธอเป็นห่วงฉันก็ต้องเชื่อฟังอยู่แล้ว” ชายหนุ่มยิ้มร่า
“เอาละ เดี๋ยวฉันก็ต้องรีบไปเรียนแล้ว นี่! นายพิมพ์เบอร์ฉันให้หน่อยเดี๋ยวฉันเมมเบอร์โทรหานาย” มือเรียวหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าผ้าแล้วยื่นให้อีกฝ่ายพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของตนเอง
“โอเค” มือหนารับโทรศัพท์แล้วพิมพ์เบอร์ของตนไปแล้วคืนโทรศัพท์ให้
บรรยากาศยามบ่ายที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาทำให้บริเวณที่อยู่ตรงหน้าต่างนั้นเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงโซฟามุมที่นั่งเล่นไม่ออกไปไหนถึงแดดเริ่มส่องเข้ามาแล้วก็ตาม สายตาที่มองลอดแก้วกาแฟที่ยังมีกาแฟที่กินไม่หมดแล้วนั่งคิดถึงเมื่อวันที่ตนได้ดูดวงกับแม่หมอก็รู้สึกกลับมาเครียดอีกครั้งถึงเขาจะเป็นคนไม่เชื่อเรื่องดวงแต่โดนทักมาแบบนั้นก็ต้องมีคิดมากบ้างไม่ใช่เรื่องแปลก จนสองเพื่อนสนิทเดินตามหาจนต้องมาสะกิดตัวจนทำให้อีกฝ่ายหลุดจากความคิดนั้นทันที
“นี่น้องพี ยังไม่กลับไปทำงานอีกเหรอ” เสียงชายร่างใหญ่เอ่ยถาม
“ยังเลยพี่ ผมยังเครียดเรื่องนั้นไม่หายเลย” ชายหนุ่มพูดเสียงเอื่อย ๆ
“เรื่องดูดวงเหรอ!?” หญิงสาวพูดแทรกก่อน
“ประมาณนั้นแหละ” สายตาชายหนุ่มไม่สบตาใครเลยและพูดน้ำเสียงเอื่อยหนักกว่าเก่า
“แค่เรื่องดวงเองนายจะเครียดอะไรขนาดนั้น ปกติน้องพีไม่ใช่คนแบบนี้เลยนะ” ชายร่างใหญ่เห็นสภาพทนไม่ไหวเลยนั่งประกบข้างซ้ายของอีกฝ่ายเสียเลย
“แต่.....สิ่งที่เขาทักมามันลางสังหรณ์ยังไงไม่รู้” ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด
“อย่าไม่เครียดเลยพี่พี คดีเครียด ๆ พี่ก็ผ่านมาเยอะอย่าเอาเรื่องนี้มาใส่ใจดีกว่านะ” หญิงสาวใส่แว่นพูดอย่างเป็นห่วง
“แต่ตัวเธอควรห่วงเรื่องผู้ชายนะ” ชายร่างใหญ่พูดแทรก
“พี่พอลลี่!!!” หญิงสาวแว่นตะโกนแล้วยูปากใส่
“จริงไหมละ!? ฉันเห็นเธอร้องไห้ไปกับมันเท่าไรแล้วก็ไม่รู้” พอลลี่พูดขึ้นเสียงสูงแล้วกรอกตาใส่
“ก็มันเลวจริง ๆ นิ ให้โอกาสมันตั้งหลายรอบแล้ว” หญิงสาวตะโกนอย่างหงุดหงิด
“แล้วตอนนี้ละเลิกกันยัง” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“พี่พีเอากับเขาด้วยเหรอ” หญิงสาวหมุ่ยหน้าใส่พี
“ก็เห็นพูดกันจังเลย แล้วตอนนี้เธอเป็นไงบ้างเรื่องแฟนของเธอหน่ะ” พีพูดน้ำเสียงเรียบบวกกวนใจให้อีกฝ่ายฉุนอารมณ์แล้วค่อยเข้ากับถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย
“โอ้ย!!!! หนูเลิกติดต่อตั้งแต่ตอนที่แม่หมอทักแล้ว ตอนแรกนะหนูจะให้อภัยเขาอยู่หรอกแต่พอโทรไปมันไม่รับสายหนูเลยบล็อกการติดต่อทุกช่องทางเลย” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงถึงความโมโหแบบสุดขีดที่จะทนกับความสัมพันธ์แบบนี้จนทำให้เลือดขึ้นหน้าเลยทีเดียว
“นี่เอวา แกยังจะให้อภัยมันอีกเหรอ!?” พอลลี่ทำหน้างุนงงใส่แถมยังเบ้ปากหญิงสาวด้วยความหมั่นไส้
“ก็.....คนมันรักอยู่......แต่หนูเลิกแบบตัดขาดจริง ๆ นะ” หญิงสาวพูดเสียงอ่อน ๆ แล้วยิ้มแห้ง
“ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องมานั่งทนฟังตอนเธอร้องไห้” พอลลี่พูดน้ำเสียงหนักด้วยความอิจฉา แต่ก็เป็นการหยอกล้อเล่นกันตามภาษาเพื่อนร่วมงาน
“พี่พีไม่ต้องคิดมากนะ เรื่องของพี่มันเป็นแค่อนาคตส่วนของหนูเป็นเรื่องปัจจุบันเท่านั้น” หญิงสาวพูดอย่างใจเย็นแล้วยิ้มร่าให้กำลังใจอีกฝ่าย
“ขอบใจนะ” พีอมยิ้ม
“แต่เรื่องอนาคตก็ไม่แน่นอนสิ่งที่แม่หมอทักมาอาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้นะ” พอลลี่พูดแทรก
“พี่พอลลี่ระวังปากหน่อย ไม่เห็นใครคนเครียดหรือไง” เอวามองค้อนอีกฝ่ายที่พูดอะไรกระทบจิตใจทำให้เกรงว่าพีจะเกิดความเครียดยิ่งกว่าเดิม
“ฉันไม่ได้พูดกระทบจิตใจไหม คนเรามีขึ้นก็ต้องมีลงชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ถ้ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ มันก็ต้องรับให้ได้เชื่อว่าทุกอย่างมีทางออกเสมอ” พอลลี่ใช้น้ำเสียงโทนต่ำกึ่งสูงเหมือนดั่งไลฟ์โค้ช
“อนุโมทนาสาธุครับ/ค่ะ หลวงพี่” ทั้งสองยกมือไหว้สวยตอบแบบเสียงล้อเลียน
“เจริญพรจ๊ะโยม นี่!!! ฉันไม่ใช่พระนะ!!!” ชายร่างใหญ่ตอบเสียงหวานสิ่งที่ทำให้ยินถึงต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วขึ้นเสียงใส่ทั้งสองคนอย่างกังวาน
“ฮา ๆ พี่พอลลี่หัวล้านไม่ใช่เหรอคะ” เอวาพูดน้ำเสียงเย้าแหย่
“น้องพีหลบหน่อย เดี๋ยวพี่จะตบยัยแว่นให้ขาแว่นหักไปข้างเลย” พอลลี่ผลักตัวพีอย่างเบามือ แล้วเอื้อมมือไปแตะศีรษะเอวาให้ดูเหมือนว่าตบจริงๆ
“โอ้ย!!! เจ็บจังเลย!!!!” เอวาทำท่าทางเสแสร้งว่าตนได้รับบาดเจ็บ
“พอเลยทั้งสองคน ถ้ามากว่านี้คงได้ทำสงครามกันแล้วมั้ง” พีห้ามทั้งสองเพื่อไม่ให้ตีกันมากกว่าเดิมก่อนที่หัวหน้าและคนในออฟฟิศจะมาเห็นเข้าแล้วดูไม่ดี
“เอวาเริ่มก่อน” พอลลี่แลบลิ้นแล้วทำตาเหล่ใส่
“พี่พอลลี่” เอวายูปากใส่
“เอาละ ๆ พอ ๆ เอาเป็นว่าผมหายเครียดแล้วกัน” พียิ้มแฝงไปด้วยความเอือมระอา
“จริงนะ” เอวามองด้วยหางตาแบบไม่น่าไว้ใจ
“จริง พี่หายเครียดแล้วก็เพราะพี่พอลลี่กับเอวานี่แหละ แกล้งกันซะแรงเลย” พีพยักหน้าตอบ
“ดีแล้วน้องพี เอาเครียด ๆ ไปใส่กับงานดีกว่า” พอลลี่ยิ้มร่าอย่างมีความสุข
“ใช่ แล้วเย็นนี้ไปกินหมูกระทะกันไหม ไม่ได้กินมาอาทิตย์นึงแล้วอะ” เอวาลูบท้อง
“ไหนบอกว่าลดความอ้วนไง” พอลลี่ยืนเท้าเอว
“โอ้ย!!! แค่อาทิตย์เดียวเอง” เอวาพูดเสียงยาน ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ไว้คราวหน้าก็ได้” พีพูดปลอบใจอีกฝ่าย
“โอเคค่ะ แต่ต้องสัญญานะว่าพวกเราจะไปกินกัน” เอวาพยักหน้าตอบ
“แน่นอนจ๊ะ” พอลลี่ตอบกลับ แล้วทั้งสามคนได้ตกลงที่จะหาวันไปกินหมูกระทะกันและเข้าไปในออฟฟิศเพื่อทำงานที่ค้างต่อให้เสร็จ
ณ คอนโดหรูใจกลางเมือง
ร่างบางวุ่นอยู่กับการจัดโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ต่าง ๆ และผักหลากหลายชนิดจัดวางเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางมีหม้อไฟฟ้าที่กำลังต้มน้ำอยู่ มือบางวางแก้วน้ำน้ำไว้อย่างละมุมสายตามองโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยความดีใจที่จะได้เจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนและเป็นรอบหลายปีที่ไม่ได้รวมตัวกันนานมาก ร่างบางยิ้มกรุ้มกริ่มบรรยายความรู้สึกนั้นไม่ถูกเลย ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้นแล้วได้ยินเสียงคนคุยกันอย่างสนุกสนาน ร่างบางเดินตามเสียงไปจนถึงประตูแล้วเห็นคู่ชายหญิงกำลังคุยกันเหมือนไม่เคยเจอกันมาก่อนแล้วหญิงสาวได้หันมามองที่ร่างบางแล้วกรีดร้องอย่างดีใจที่ได้เจอร่างบางอีกครั้ง
“บอย!!!!” หญิงสาวเดินพุ่งมากอดร่างบาง
“แคทตี้!!!” ร่างบางกอดตอบกลับ
“โอ้ย!!! พึ่งเจอกันเมื่อวันก่อนนี่เองทำกับไม่ได้เจอกันเป็นปี” ร่างบางยิ้มร่าปนหัวเราะไปด้วย
“ก็แหมม!!! ไม่ได้เจอกันนานแล้วคิดถึงบ้างไม่ได้เหรอ” หญิงสาวทำเสียงอย่างน้อยใจ
“คิดถึงสิ! ทำไมจะไม่คิดถึง” ร่างบางตอบกลับทันควัน
“นี่ ๆ ลืมฉันไม่แล้วเหรอ!?” ร่างสูงพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่ลืมหรอก” หญิงสาวหันมาคุยกับร่างสูงแล้วทำหน้าทะเล้นใส่
“โอเค งั้นไปที่โต๊ะได้เลยนะ น้ำซุปคงน่าจะเดือดแล้วแหละ” ร่างบางเดินนำไปที่โต๊ะตรงห้องนั่งเล่นที่มีหม้อชาบูไว้อยู่บนโต๊ะ
หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจเพราะตนทนเห็นหน้าตาอาหารที่จัดไว้อย่างสวยงามไม่ไหวแล้วรีบวิ่งไปนั่งที่โต๊ะทันที ร่างสูงส่ายหน้าอย่างเอ็นดูเพราะทนความน่ารักของหญิงสาวไม่ไหวที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้หลังจากหายไปหนึ่งปีนั้นมันทำให้เขารู้สึกโหยหาถึงผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะตามหานานแค่ไหนเขาเองก็ยอมทน ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปคงยอมถอดใจไปแล้วแต่เขาไม่รู้สึกถึงความห่างจากเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ภายในใจเขาอยากบอกความรู้สึกนี้ให้กับหล่อนได้รับรู้ว่าเขานั้นคิดมากกว่าเพื่อนแต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเขา ร่างสูงยืนเหม่อลอยจนร่างบางมาสะกิดทำให้หลุดจากภวังค์ทันที
“เก่ง นายเป็นไรไหม” ร่างบางสะกิดไหล่
“อ๋อ! เปล่า พอดีว่าฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ร่างสูงพูดอย่างตะกุกตะกัก
“โอเค นายรีบไปกินชาบูได้แล้ว เดี๋ยวแคทตี้ก็แย่งนายหมดหรอก” ร่างบางพูดแซว ๆ
“อืม” ร่างสูงพยักหน้าแล้วไปนั่งที่โต๊ะ
“บอย นายไม่มากินเหรอ!?” หญิงสาวพูดเสียงอู้อี้
“กินสิ เดี๋ยวเตรียมเครื่องดื่มก่อน” ร่างบางตะโกนตอบกลับที่กำลังไปเปิดตู้เย็นอยู่แล้วนำขวดน้ำอัดลมออกจากตู้เย็นไปวางบนโต๊ะ