ความยุติธรรมเป็นคำที่สังคมศรัทธานับถือมาก แต่สังคมบางกลุ่มความยุติธรรมแค่คำที่ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย

สืบพิสดาร - บทที่8 การกลับมาอีกครั้ง โดย Kim Sooyoung @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,อาชญากรรม,Mpreg,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สืบพิสดาร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,อาชญากรรม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

Mpreg,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

สืบพิสดาร โดย Kim Sooyoung @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความยุติธรรมเป็นคำที่สังคมศรัทธานับถือมาก แต่สังคมบางกลุ่มความยุติธรรมแค่คำที่ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย

ผู้แต่ง

Kim Sooyoung

เรื่องย่อ


เรื่องย่อ…..

“พี” เป็นทนายหนุ่มไฟแรงที่เก่งมีความสามารถในการทำคดีจนชนะไปหลายครั้ง อยู่มาวันหนึ่งได้มีลูกความให้ทำคดีเกี่ยวกับการฆาตกรรมในงานปาร์ตี้ซึ่งลูกความได้บอกกล่าวกับพีว่า “ตนเป็นแพะรับบาป” เพราะตนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเหตุการณ์ที่ในงานปาร์ตี้และมาทราบตอนที่เหยื่อกลายเป็นศพไปแล้ว………ทำให้ดีคดีฆาตกรรมนั้นได้กลายเป็นข่าวโด่งดังเพราะมีคนที่มีชื่อเสียงที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยในคดีว่ามีการใช้เส้นสายในคดีหรือเปล่า!? พีเองอยากให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำแบบนั้นแถมโดนกดดันจากเพื่อนร่วมงานว่าให้วางคดีนี้ซะ!!! แล้วมีกลุ่มนักเลงพยายามจะติดสินบนกับพีเพื่อที่จะให้พีไม่ต้องตั้งใจทำคดีมาก แต่พีไม่รับ พวกกลุ่มนักเลงก็เข้ามาวุ่นวายในชีวิตทำให้พีเกิดความลำบากและเหนื่อยหน่ายใจจนท้อแล้วมาระบายกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่ใต้ตึกคณะ จนมาเจอ “วิน” เพื่อนสมัยเรียนของพีที่อยู่คณะเดียวกันตอนนี้วินเป็นตำรวจแถมเป็นวิทยากรพิเศษที่คณะที่ตนเคยเรียนอีกด้วย ช่วงแรกพีเองก็ไม่อยากคุยกับวินซะเท่าไรเพราะไม่ค่อยถูกกันนัก แต่……ด้วยงานคดีที่พีทำจนทำให้พีจำต้องคุยกับวินอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ วินได้ยินอย่างนั้นยื่นมือมาช่วยทำคดีให้พีทันที ยิ่งสืบคดีไปเมื่อไรยิ่งได้เห็นความดำดิ่งของกลุ่มไฮโซมากขึ้น พีและวินจะสามารถให้ความยุติธรรมกับเหยื่อและต้องตามฆาตกรตัวจริงมารับผิดให้ได้……….

สารบัญ

สืบพิสดาร-ตอนที่1 บทนำ,สืบพิสดาร-บทที่1 ชีวิตประจำวัน&รั้วมหาวิทยาลัย,สืบพิสดาร-บทที่2 การทำงานในที่อากาศร้อน,สืบพิสดาร-บทที่3 งานคอสเพลย์ (คำเตือน อย่าอ่านในช่วงทานอาหารเด็ดขาด!!!!!),สืบพิสดาร-บทที่4 ดีใจที่ได้เจอกัน,สืบพิสดาร-ชี้แจง นักอ่านทุกท่าน,สืบพิสดาร-บทที่5 ความคาดหวัง&เพื่อนที่จริงใจ(เหรอ?),สืบพิสดาร-บทที่6 ข่าวลือที่ขึ้นชื่อกับติดต่อนัดทานข้าว,สืบพิสดาร-บทที่7 คำทำนายและลางสังหรณ์,สืบพิสดาร-บทที่8 การกลับมาอีกครั้ง,สืบพิสดาร-บทที่ 9 สถานบันเทิงใกล้ฉัน

เนื้อหา

บทที่8 การกลับมาอีกครั้ง

หญิงสาวกำลังเดินไปเรียนตามปกติสายทุกคนที่มองเธอนั้นล้วนอยากเข้าหาเพื่อเป็นการมาขอจีบแต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจกับคนเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียวบางคนที่คิดว่าเธอหยิ่งบ้างหวังสูงบ้างตามที่ทุกคนคาดเดากัน ทันใดนั้นเองเธอได้เดินชนกับผู้ชายคนหนึ่งทำให้หนังสือที่ถือมาหล่นกระจายไปตามพื้นจนทำให้ผู้ชายเอ่ยขอโทษตนหญิงสาวส่ายหน้าเป็นการบ่งบอกว่าไม่เป็นไรเพราะไม่ได้มีการล้มถึงขั้นเจ็บตัวเท่าไรทั้งคู่ได้ช่วยกันเก็บของกันอย่างเร่งรีบชายหนุ่มยื่นของบางส่วนให้กับหญิงสาวสายตาเริ่มมองไปที่หล่อนแต่เห็นหน้าไม่ชัดเท่าไรเพราะผมปิดใบหน้าบางส่วน ทำให้ชายหนุ่มคิดว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าหญิงสาวเก็บของเสร็จเหลือบไปเห็นมือหนาที่ถือของให้มือเรียวปัดผมที่บังหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณที่จะรับของจากมือของชายคนดังกล่าวจนทำให้อีกฝ่ายอึ้งกับใบหน้าของเธอทำให้เขาได้เอ่ยถึงชื่อของเธออกมาโดยไม่ได้ทันตั้งตัว

“แคทตี้!!!” เสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้นจนหญิงสาวเอะใจเลยเงยหน้าขึ้นมามองชายคนนี้ทำให้เธออึ้งอย่างบอกไม่ถูก

“กะ....เก่ง!!!” เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้นมา ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนแล้วฝ่ายชายเอ่ยถามหญิงสาวขึ้น

“แคทตี้ เป็นไงบ้างสบายดีไหม?” ชายหนุ่มถามอย่างดีใจ

“ส....สบายดี แล้วเก่งละ?” หญิงสาวพยักหน้าตอบแล้วยิ้มถามกลับ

“สบายดี ไม่ได้เจอกันนานเลยนะฉันตามหาเธอแทบแย่เลยรู้ไหม” ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวอย่างแน่นมือพร้อมกับคำถามในหัวที่ไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อน

“คือว่าฉันไปทำงานหาเงินมาหน่ะ เลยดรอปเรียนไปไปปีหนึ่งพอมีเริ่มมีเงินก้อนฉันก็เลยได้มาสมัครเรียนที่นี่” หญิงสาวตอบอย่างใจเย็นเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายกังวล

“งานอะไร ทำไมไม่บอกฉันจะได้ให้แม่ฉันหางานให้” ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“เป็นงานทั่วไปนี่แหละ นายไม่ต้องกังวลหรอก” หญิงสาวทำตัวเกร็ง ๆ แล้วบอกอย่างปัด ๆ 

“แน่ใจนะ!?” ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวอย่างสงสัย

“นะ.....แน่ใจสิ!!!” หญิงสาวฝืนยิ้มจนทำให้อีกฝ่ายเริ่มสังเกตอาการออกว่ามีพิรุธ

“เก่ง!” หญิงสาวใจสั่นเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

“ฉันไม่ได้โง่นะ เห็นข่าวว่ามีหญิงสาวที่ทำงานอย่างว่าแถมเป็นลูกครึ่งอีกด้วยตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นเธอหรอกนะ แต่ถ้าสังเกตดูแล้ว......ส่วนใหญ่มหาลัยที่นี่อยู่คณะอินเตอร์ซึ่งค่าเทอมก็หลายบาทอยู่เหมือนกัน” เก่งอธิบายให้อีกฝ่ายพูดความจริงออกมา

“คือเก่ง.......ฉัน.......” หญิงสาวเริ่มตัวสั่น

“..........” ชายหนุ่มนิ่งเงียบ

“นายอย่ารังเกียจฉันเลยนะ ฉันขอร้อง!!! นะ ๆ ” หญิงสาวเริ่มพูดเสียงสั่นมือเรียวจับมือส่งสายตาอย่างอ้อนวอน

“แคทตี้ใจเย็น ๆ นะ ฉันว่าลองไปคุยที่อื่นกันไหม” ชายหนุ่มพยายามทำให้อีกฝ่ายใจเย็นเพื่อไม่ให้คนอื่นมาสนใจมากนัก

“นายแน่ใจนะ ว่าจะให้ฉันเล่าเรื่องที่ผ่านมา” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“อะไรจะเกิดก็เกิดแล้วอีกอย่างมันย้อนกลับแก้ไขอะไรไม่แล้ว ฉันจะช่วยเธอเอง” มือหนาจับมืออีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจ

“อืม!!!” ชายหนุ่มพยักหน้า

“โอเคงั้นเดี๋ยวเราไปหาที่คุยกันดีกว่า” หญิงสาวพยักหน้าอย่างเต็มใจแล้วทั้งคู่เดินไปหาที่ส่วนตัวคุยกันเพื่อเปิดใจหลักจากที่ได้เจอกันนาน

 

ร้านกาแฟในมหาวิทยาลัย

         ทั้งคู่นั่งดื่มเครื่องดื่มตามที่ตนเองสั่งบรรยากาศในร้านดูราบรื่นเรียบง่ายดูสงบมีความเป็นส่วนตัวเหมาะสำหรับการมานั่งอ่านหนังสือเป็นอย่างมากทั้งสองนั่งนิ่งอย่างสงบเสงี่ยมไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนากันยังไงดีบรรยากาศค่อนข้างอึดอัดพอสมควรจนหญิงสาวเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อนแล้วค่อย ๆ เปิดประเด็นที่ตนทำอาชีพแบบนี้นั้นไปทีละน้อยถึงแม้ตนเองไม่อยากให้คนตรงหน้าได้ยินเรื่องราวที่ตนเจอเท่าไรแต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเธอต้องการคนที่เป็นที่พึ่งทางใจจริง ๆ และเป็นเซฟโซนในวันที่เธอลำบาก

“เรื่องเรียนนายเป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวเอ่ยถาม

“ก็เรียนหนักอยู่นะ พอขึ้นปีสองแล้วอะไร ๆ เริ่มไม่ได้ชิวเหมือนปีหนึ่งแล้วเธอละ ได้เรียนกับรุ่นน้องรู้สึกแก่เลยใช่ไหมละ” ชายหนุ่มพูดติดตลก

“รู้สึกแก่สิ! แต่ฉันก็ไม่ได้ถือสาอะไรกับเรื่องอายุด้วย อีกอย่างฉันชอบให้เรียกชื่อเฉย ๆ มากกว่าพี่อีก” หญิงสาวหัวเราะเล็กน้อย

“แล้ว.......ลินดาเป็นยังไงบ้าง สบายดีอยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามกลับ

“สบายดีแหละ ตั้งแต่ให้ไปอยู่กับน้าพรมาน้องสาวฉันก็ดีขึ้น” หญิงสาวยิ้มตอบอย่างมั่นใจ

“คิดดีแล้วเหรอว่าแม่เธอจะไม่เอาน้องสาวกลับมา อีกอย่างฉันรู้นิสัยของแม่เธอดีว่าเป็นยังไงไหนตาพลพ่อเลี้ยงเธออีก” ชายหนุ่มเบ้ปากแล้วนึกภาพตาม

“ฉันย้ำกับน้าพรไปแล้วว่าอย่าให้เจอน้องสาว ฉันไม่อยากให้น้องสาวต้องไปเจอชะตากรรมที่เลวร้ายกว่านี้” หญิงสาวพูดน้ำเสียงปนเศร้า

“ฉันเข้าใจ แต่สิ่งที่เธอทำนั้นมันเสี่ยงมากรู้ไหม” ชายหนุ่มจับมืออีกฝ่ายให้ใจเย็น

“เก่ง นายสัญญาได้ไหมว่าจะไม่รังเกียจฉันที่ทำอะไรแบบนี้” หญิงสาวพูดเสียงอ้อนวอนมือเรียวเขย่ามือให้อีกฝ่ายเห็นใจ

“โอเค ๆ ฉันไม่รังเกียจหรอกอีกอย่างมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือเธอต้องตั้งใจเรียนแล้วหางานทำที่ดีกว่านี้นะ ฉันขออย่างเดียวถ้าเธอมีปัญหาเรื่องเงินให้มาบอกฉันเข้าใจไหม” ชายหนุ่มพยักหน้าและยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ไปทำสิ่งไม่ดีอีก

“ได้!!! ขอบใจนะที่นายรับฟังฉัน” หญิงสาวยิ้มอย่างดีใจ

“ขออย่างเดียวเถอะ ถ้าเธอเรียนจบแล้วเธอต้องเลิกทำอาชีพนี้โดยเด็ดขาด” ชายหนุ่มจ้องหน้าอย่างจริงจัง

“อืม ฉันคงไม่อาชีพนี้ไปตลอดหรอก” หญิงสาวยิ้มอย่างเจื่อน ๆ 

         “ฉันเชื่อ เพราะเธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจทำอาชีพแบบนี้ตั้งแต่แรก” ชายหนุ่มพูอย่างเสียงเรียบบวกกับความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

            “เก่ง!” หญิงสาวทำหน้านิ่งปนกับความรู้สึกผิดที่ตนเองเลือกเส้นทางเดินเองถึงแม้จะแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขที่ได้นึกถึงชายคนนี้

น้ำตาค่อยๆเริ่มไหลอาบแก้มบนใบหน้าของเธอทำให้น้ำเสียงร้องสะอึกสะอื้นบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานทางจิตใจสะสมมานานจนไม่สามารถเก็บความทุกข์ที่อยู่ภายในนั้นไว้ได้ ชายหนุ่มไม่รู้จะปลอบใจอย่างไรมือหนาเอื้อมไปจับมือบางของอีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจและปลดปล่อยความรู้สึกที่มีออกมาให้หมด ถึงแม้เขาเองจะไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรมากนัก อย่างน้อยตัวเขาเองก็สามารถเป็นที่พึ่งทางใจให้กับเธอได้

“ฮึก ฮึก” หญิงสาวสะอื้นอย่างเงียบ ๆ 

“แคท เธอร้องออกมาได้เลยนะ อย่างน้อยเธอก็ได้ระบาย”

“ฮึก ขอบใจนะที่เข้าใจฉันอย่างน้อยยังพอมีเงินส่งน้องเรียนและค่าเทอมของฉันได้ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วละ” หญิงสาวพูดน้ำเสียงสั่น ๆ 

“วันนี้เธอว่างหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมา

“เอ่อ.......ว่าง!! ทำไมเหรอ!?” หญิงสาวพูดแล้วขมวดคิ้ว

“วันนี้ไปทานข้าวที่คอนโดฉันไหม มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง ไม่ใช่ไรหรอกไอบอยมันเป็นคนทำอาหารให้หน่ะ” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงบนอ้อนชวนไปทานข้าวที่คอนโดของตน

“บอยอยู่ด้วยกับนายด้วยเหรอ?” หญิงสาวรู้สึกตกใจเล็กน้อย

“อืม! ฉันเป็นคนให้เขามาอยู่เองแหละ อีกอย่างฉันไม่อยากให้ไอบอยไปเสียค่าเช่าหอด้วย” ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ

“พอดีฉันเคยเจอบอยเมื่อวันก่อนแล้ว คุยเพลินเลยเห็นว่านายมีเพื่อนที่เป็นแก๊งไฮโซด้วยใช่ไหม?” หญิงสาวมีสีหน้าที่เริ่มนิ่งบนสายตาที่มองด้วยความเป็นห่วง

“ใช่!!! ถึงพวกนั้นจะเป็นไม่เอาไหนเรื่องการเรียนก็จริง แต่ฉันก็เป็นคนเตือนสติให้พวกนั้นสามารถสอบผ่านไปได้โดยไม่ต้องโดยรีไทร์ด้วยถือว่าช่วย ๆ กัน” ชายหนุ่มพูดอย่างภาคภูมิใจ

“จะเตือนสติเพื่อนก็มันดีนะ แต่ฉันได้ยินข่าวมาว่าถ้าใครมีปัญหากับพวกนั้นนะไม่มีใครกล้าเอาผิดพวกนั้นแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เถอะนะ” หญิงสาวมีสีหน้ากังวลอย่างมาก

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะพยายามไม่ให้พวกนั้นไปมีเรื่องเด็ดขาดเลย” ชายหนุ่มสายหน้าและยิ้มร่า

“ฉันซีเรียสจริงๆ นะเก่ง ฉันรู้ว่านายไม่คนไปเที่ยวอะไรแบบนั้น แต่นายเองก็ต้องรู้จักเอาตัวเองออกมาจากสิ่งนั้นบ้างนะที่พูดเพราะเป็นห่วง ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะสร้างความเดือดร้อนมาถึงนายเมื่อไหร่ จำได้นี่คือในชีวิตมหาลัยนะร้อยพ่อพันแม่นะ” หญิงสาวพยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายคิด

สีหน้าของชายหนุ่มเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อหญิงสาวพูดเตือนสติกับแววตาที่มีมองมานั้นเป็นสายตาที่มีความห่วงใยต่อเขา ถึงแม้ภายในใจเขาเองอยากจะบอกความรู้สึกกับหญิงสาวว่าก็อยากจะออกมาจากจุดนี้เหมือนกัน แต่ความเป็นลูกผู้ชายต้องเก็บปฏิกิริยาท่าทางทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของชายหนุ่มที่ตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศความตรึงเครียดนั้นให้กลายเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายแทน หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้ตกลงตั้งใจฟังสิ่งที่หล่อนพูดไหม

“ตั้งใจฟังไหมเนี้ย!!!” หญิงสาวขึ้นเสียงดุเล็กน้อย

“แหมม!!! ตั้งใจสิ!!! เห็นเธอเป็นห่วงฉันก็ต้องเชื่อฟังอยู่แล้ว” ชายหนุ่มยิ้มร่า

“เอาละ เดี๋ยวฉันก็ต้องรีบไปเรียนแล้ว นี่! นายพิมพ์เบอร์ฉันให้หน่อยเดี๋ยวฉันเมมเบอร์โทรหานาย” มือเรียวหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าผ้าแล้วยื่นให้อีกฝ่ายพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของตนเอง

“โอเค” มือหนารับโทรศัพท์แล้วพิมพ์เบอร์ของตนไปแล้วคืนโทรศัพท์ให้
 

            บรรยากาศยามบ่ายที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาทำให้บริเวณที่อยู่ตรงหน้าต่างนั้นเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงโซฟามุมที่นั่งเล่นไม่ออกไปไหนถึงแดดเริ่มส่องเข้ามาแล้วก็ตาม สายตาที่มองลอดแก้วกาแฟที่ยังมีกาแฟที่กินไม่หมดแล้วนั่งคิดถึงเมื่อวันที่ตนได้ดูดวงกับแม่หมอก็รู้สึกกลับมาเครียดอีกครั้งถึงเขาจะเป็นคนไม่เชื่อเรื่องดวงแต่โดนทักมาแบบนั้นก็ต้องมีคิดมากบ้างไม่ใช่เรื่องแปลก จนสองเพื่อนสนิทเดินตามหาจนต้องมาสะกิดตัวจนทำให้อีกฝ่ายหลุดจากความคิดนั้นทันที

            “นี่น้องพี ยังไม่กลับไปทำงานอีกเหรอ” เสียงชายร่างใหญ่เอ่ยถาม

            “ยังเลยพี่ ผมยังเครียดเรื่องนั้นไม่หายเลย” ชายหนุ่มพูดเสียงเอื่อย ๆ 

            “เรื่องดูดวงเหรอ!?” หญิงสาวพูดแทรกก่อน

            “ประมาณนั้นแหละ” สายตาชายหนุ่มไม่สบตาใครเลยและพูดน้ำเสียงเอื่อยหนักกว่าเก่า

            “แค่เรื่องดวงเองนายจะเครียดอะไรขนาดนั้น ปกติน้องพีไม่ใช่คนแบบนี้เลยนะ” ชายร่างใหญ่เห็นสภาพทนไม่ไหวเลยนั่งประกบข้างซ้ายของอีกฝ่ายเสียเลย

            “แต่.....สิ่งที่เขาทักมามันลางสังหรณ์ยังไงไม่รู้” ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด

            “อย่าไม่เครียดเลยพี่พี คดีเครียด ๆ พี่ก็ผ่านมาเยอะอย่าเอาเรื่องนี้มาใส่ใจดีกว่านะ” หญิงสาวใส่แว่นพูดอย่างเป็นห่วง

            “แต่ตัวเธอควรห่วงเรื่องผู้ชายนะ” ชายร่างใหญ่พูดแทรก 

            “พี่พอลลี่!!!” หญิงสาวแว่นตะโกนแล้วยูปากใส่

            “จริงไหมละ!? ฉันเห็นเธอร้องไห้ไปกับมันเท่าไรแล้วก็ไม่รู้” พอลลี่พูดขึ้นเสียงสูงแล้วกรอกตาใส่

            “ก็มันเลวจริง ๆ นิ ให้โอกาสมันตั้งหลายรอบแล้ว” หญิงสาวตะโกนอย่างหงุดหงิด

            “แล้วตอนนี้ละเลิกกันยัง” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

            “พี่พีเอากับเขาด้วยเหรอ” หญิงสาวหมุ่ยหน้าใส่พี

            “ก็เห็นพูดกันจังเลย แล้วตอนนี้เธอเป็นไงบ้างเรื่องแฟนของเธอหน่ะ” พีพูดน้ำเสียงเรียบบวกกวนใจให้อีกฝ่ายฉุนอารมณ์แล้วค่อยเข้ากับถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย

            “โอ้ย!!!! หนูเลิกติดต่อตั้งแต่ตอนที่แม่หมอทักแล้ว ตอนแรกนะหนูจะให้อภัยเขาอยู่หรอกแต่พอโทรไปมันไม่รับสายหนูเลยบล็อกการติดต่อทุกช่องทางเลย” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงถึงความโมโหแบบสุดขีดที่จะทนกับความสัมพันธ์แบบนี้จนทำให้เลือดขึ้นหน้าเลยทีเดียว

            “นี่เอวา แกยังจะให้อภัยมันอีกเหรอ!?” พอลลี่ทำหน้างุนงงใส่แถมยังเบ้ปากหญิงสาวด้วยความหมั่นไส้

            “ก็.....คนมันรักอยู่......แต่หนูเลิกแบบตัดขาดจริง ๆ นะ” หญิงสาวพูดเสียงอ่อน ๆ แล้วยิ้มแห้ง

            “ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องมานั่งทนฟังตอนเธอร้องไห้” พอลลี่พูดน้ำเสียงหนักด้วยความอิจฉา แต่ก็เป็นการหยอกล้อเล่นกันตามภาษาเพื่อนร่วมงาน

            “พี่พีไม่ต้องคิดมากนะ เรื่องของพี่มันเป็นแค่อนาคตส่วนของหนูเป็นเรื่องปัจจุบันเท่านั้น” หญิงสาวพูดอย่างใจเย็นแล้วยิ้มร่าให้กำลังใจอีกฝ่าย

            “ขอบใจนะ” พีอมยิ้ม

            “แต่เรื่องอนาคตก็ไม่แน่นอนสิ่งที่แม่หมอทักมาอาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้นะ” พอลลี่พูดแทรก

            “พี่พอลลี่ระวังปากหน่อย ไม่เห็นใครคนเครียดหรือไง” เอวามองค้อนอีกฝ่ายที่พูดอะไรกระทบจิตใจทำให้เกรงว่าพีจะเกิดความเครียดยิ่งกว่าเดิม

            “ฉันไม่ได้พูดกระทบจิตใจไหม คนเรามีขึ้นก็ต้องมีลงชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ถ้ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ มันก็ต้องรับให้ได้เชื่อว่าทุกอย่างมีทางออกเสมอ” พอลลี่ใช้น้ำเสียงโทนต่ำกึ่งสูงเหมือนดั่งไลฟ์โค้ช

            “อนุโมทนาสาธุครับ/ค่ะ หลวงพี่” ทั้งสองยกมือไหว้สวยตอบแบบเสียงล้อเลียน

            “เจริญพรจ๊ะโยม นี่!!! ฉันไม่ใช่พระนะ!!!” ชายร่างใหญ่ตอบเสียงหวานสิ่งที่ทำให้ยินถึงต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วขึ้นเสียงใส่ทั้งสองคนอย่างกังวาน

            “ฮา ๆ พี่พอลลี่หัวล้านไม่ใช่เหรอคะ” เอวาพูดน้ำเสียงเย้าแหย่

            “น้องพีหลบหน่อย เดี๋ยวพี่จะตบยัยแว่นให้ขาแว่นหักไปข้างเลย” พอลลี่ผลักตัวพีอย่างเบามือ แล้วเอื้อมมือไปแตะศีรษะเอวาให้ดูเหมือนว่าตบจริงๆ 

            “โอ้ย!!! เจ็บจังเลย!!!!” เอวาทำท่าทางเสแสร้งว่าตนได้รับบาดเจ็บ

            “พอเลยทั้งสองคน ถ้ามากว่านี้คงได้ทำสงครามกันแล้วมั้ง” พีห้ามทั้งสองเพื่อไม่ให้ตีกันมากกว่าเดิมก่อนที่หัวหน้าและคนในออฟฟิศจะมาเห็นเข้าแล้วดูไม่ดี

           “เอวาเริ่มก่อน” พอลลี่แลบลิ้นแล้วทำตาเหล่ใส่

            “พี่พอลลี่” เอวายูปากใส่

            “เอาละ ๆ พอ ๆ เอาเป็นว่าผมหายเครียดแล้วกัน” พียิ้มแฝงไปด้วยความเอือมระอา

            “จริงนะ” เอวามองด้วยหางตาแบบไม่น่าไว้ใจ

            “จริง พี่หายเครียดแล้วก็เพราะพี่พอลลี่กับเอวานี่แหละ แกล้งกันซะแรงเลย” พีพยักหน้าตอบ

            “ดีแล้วน้องพี เอาเครียด ๆ ไปใส่กับงานดีกว่า” พอลลี่ยิ้มร่าอย่างมีความสุข

            “ใช่ แล้วเย็นนี้ไปกินหมูกระทะกันไหม ไม่ได้กินมาอาทิตย์นึงแล้วอะ” เอวาลูบท้อง

            “ไหนบอกว่าลดความอ้วนไง” พอลลี่ยืนเท้าเอว

            “โอ้ย!!! แค่อาทิตย์เดียวเอง” เอวาพูดเสียงยาน ๆ 

            “ไม่เป็นไรหรอก ไว้คราวหน้าก็ได้” พีพูดปลอบใจอีกฝ่าย

            “โอเคค่ะ แต่ต้องสัญญานะว่าพวกเราจะไปกินกัน” เอวาพยักหน้าตอบ

            “แน่นอนจ๊ะ” พอลลี่ตอบกลับ แล้วทั้งสามคนได้ตกลงที่จะหาวันไปกินหมูกระทะกันและเข้าไปในออฟฟิศเพื่อทำงานที่ค้างต่อให้เสร็จ

 

ณ คอนโดหรูใจกลางเมือง

         ร่างบางวุ่นอยู่กับการจัดโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ต่าง ๆ และผักหลากหลายชนิดจัดวางเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางมีหม้อไฟฟ้าที่กำลังต้มน้ำอยู่ มือบางวางแก้วน้ำน้ำไว้อย่างละมุมสายตามองโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยความดีใจที่จะได้เจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนและเป็นรอบหลายปีที่ไม่ได้รวมตัวกันนานมาก ร่างบางยิ้มกรุ้มกริ่มบรรยายความรู้สึกนั้นไม่ถูกเลย ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้นแล้วได้ยินเสียงคนคุยกันอย่างสนุกสนาน ร่างบางเดินตามเสียงไปจนถึงประตูแล้วเห็นคู่ชายหญิงกำลังคุยกันเหมือนไม่เคยเจอกันมาก่อนแล้วหญิงสาวได้หันมามองที่ร่างบางแล้วกรีดร้องอย่างดีใจที่ได้เจอร่างบางอีกครั้ง

            “บอย!!!!” หญิงสาวเดินพุ่งมากอดร่างบาง

            “แคทตี้!!!” ร่างบางกอดตอบกลับ

            “โอ้ย!!! พึ่งเจอกันเมื่อวันก่อนนี่เองทำกับไม่ได้เจอกันเป็นปี” ร่างบางยิ้มร่าปนหัวเราะไปด้วย

            “ก็แหมม!!! ไม่ได้เจอกันนานแล้วคิดถึงบ้างไม่ได้เหรอ” หญิงสาวทำเสียงอย่างน้อยใจ

            “คิดถึงสิ! ทำไมจะไม่คิดถึง” ร่างบางตอบกลับทันควัน

            “นี่ ๆ ลืมฉันไม่แล้วเหรอ!?” ร่างสูงพูดแทรกขึ้นมา

            “ไม่ลืมหรอก” หญิงสาวหันมาคุยกับร่างสูงแล้วทำหน้าทะเล้นใส่

            “โอเค งั้นไปที่โต๊ะได้เลยนะ น้ำซุปคงน่าจะเดือดแล้วแหละ” ร่างบางเดินนำไปที่โต๊ะตรงห้องนั่งเล่นที่มีหม้อชาบูไว้อยู่บนโต๊ะ

หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจเพราะตนทนเห็นหน้าตาอาหารที่จัดไว้อย่างสวยงามไม่ไหวแล้วรีบวิ่งไปนั่งที่โต๊ะทันที ร่างสูงส่ายหน้าอย่างเอ็นดูเพราะทนความน่ารักของหญิงสาวไม่ไหวที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้หลังจากหายไปหนึ่งปีนั้นมันทำให้เขารู้สึกโหยหาถึงผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะตามหานานแค่ไหนเขาเองก็ยอมทน ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปคงยอมถอดใจไปแล้วแต่เขาไม่รู้สึกถึงความห่างจากเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ภายในใจเขาอยากบอกความรู้สึกนี้ให้กับหล่อนได้รับรู้ว่าเขานั้นคิดมากกว่าเพื่อนแต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเขา ร่างสูงยืนเหม่อลอยจนร่างบางมาสะกิดทำให้หลุดจากภวังค์ทันที

“เก่ง นายเป็นไรไหม” ร่างบางสะกิดไหล่

“อ๋อ! เปล่า พอดีว่าฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ร่างสูงพูดอย่างตะกุกตะกัก

“โอเค นายรีบไปกินชาบูได้แล้ว เดี๋ยวแคทตี้ก็แย่งนายหมดหรอก” ร่างบางพูดแซว ๆ 

“อืม” ร่างสูงพยักหน้าแล้วไปนั่งที่โต๊ะ

“บอย นายไม่มากินเหรอ!?” หญิงสาวพูดเสียงอู้อี้

“กินสิ เดี๋ยวเตรียมเครื่องดื่มก่อน” ร่างบางตะโกนตอบกลับที่กำลังไปเปิดตู้เย็นอยู่แล้วนำขวดน้ำอัดลมออกจากตู้เย็นไปวางบนโต๊ะ