นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน

The Promised พรากสัญญา - ตอนที่1 พรากสัญญา โดย paiinara @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Promised พรากสัญญา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี

รายละเอียด

นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน

ผู้แต่ง

paiinara

เรื่องย่อ

The Promised พรากสัญญา


            เป็นเพราะคำสัญญาก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปเลยทำให้ชาฮีจูต้องติดอยู่ในวังวนความรู้สึกผิดมาตลอด เขาเป็นผู้ลั่นวาจาสัญญากับใครคนหนึ่งเอาไว้แต่กลับจำสัญญานั้นไม่ได้ ชายหนุ่มจึงต้องหาคำตอบเลยทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับคังเยนาและคังยูรีอย่างไม่ได้ตั้งใจ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความหายนะครั้งใหญ่ที่พวกเขาต้องเผชิญ และพวกเขาต้องร่วมมือกัน ช่วยเหลือกันและไว้ใจกัน เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคนั้นไปให้ได้

สารบัญ

The Promised พรากสัญญา -ตอนที่1 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่2 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่3 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่4 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่5 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่6 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่7 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่8 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่9 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่10 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่11 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่12 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่13 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่14 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่15 พรากสัญญา

เนื้อหา

ตอนที่1 พรากสัญญา

พี่สัญญานะว่าจะกลับมารับฉัน ฉันรอพี่นะ”

“พี่จะกลับมาแน่นอน รอพี่อยู่ตรงนี้นะแชริน!”

ชายในชุดขาวที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา เขาไม่รู้ถึงสาเหตุที่ฝันเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงเด็กน้อยที่เขาได้ยินและชื่อของเธอที่เขาเรียกขานนั้นคือใครกันแน่ ไม่ว่าชายหนุ่มพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แต่เมื่อไหร่ที่ได้ยินเสียงของเด็กน้อยคนนี้ ภายในใจของเขากลับรู้สึกผิด หม่นหมองและเศร้าใจ ซึ่งเขาเองก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน

“ชาฮีจู!”

เสียงเรียกของชายสูงวัยทำให้ชายหนุ่มละออกจากความรู้สึกนั้นทันที เขารู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาที่เขาต้องไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองแล้ว หน้าที่ในฐานะผู้ส่งสาร

________________

ในคืนเงียบสงัดมีบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดคย็องกี ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากชุมชนใหญ่ไม่มากนัก เด็กสาวคนหนึ่งกำลังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เธอพลิกตัวไปมาก่อนจะสะดุ้งตื่นมากลางดึก

“แม่ แม่อย่าทิ้งหนูไป แม่!!!!”

เสียงกรีดร้องดังกึกก้องทั่วห้องนอนในช่วงดึกสงัด เด็กสาวในวัยมัธยมปลายสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเหมือนเช่นครั้งที่ผ่านมา สีหน้าของเธอซีดเซียวอาบชุ่มไปด้วยเหงื่อ หลังจากเหตุการณ์สูญเสียผู้เป็นแม่เพียงคนเดียวที่เธอมีอยู่ก็ไม่มีคืนไหนที่เธอจะนอนหลับได้สนิทใจอีกเลย เธอเป็นต้องฝันร้ายและสะดุ้งตื่นขึ้นมากรีดร้องกลางดึกแบบนี้แทบทุกคืน

คังยูรี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นม.4ของโรงเรียนกอซองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดคย็องกี ก่อนหน้านี้เธอกับผู้เป็นแม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบเรียบง่ายในบ้านหลังเล็กๆ

ย้อนกลับไปเมื่อ1อาทิตย์ก่อน แม่ของคังยูรีประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ในขณะที่เธอกำลังออกไปซื้อเค้กเพื่อฉลองให้กับคังยูรีที่จะมีอายุครบ16ปีบริบูรณ์ ซึ่งคังยูรีเองก็ไม่คาดคิดว่าวันคล้ายวันเกิดของเธอจะกลายเป็นวันที่สูญเสียผู้เป็นแม่ไปตลอดการ

หลังจากคังยูรีเลิกเรียน ฝนก็เริ่มตกหนัก เธอรีบเดินออกจากโรงเรียนโดยใช้ร่มคันสีแดงที่พกติดตัวกางกันฝน แล้วมุ่งหน้าเพื่อจะกลับบ้านในทันที เธอรู้ดีว่าวันนี้ผู้เป็นแม่ต้องเตรียมอาหารมากมายเพื่อรอฉลองวันเกิดให้กับเธอ เด็กสาวในชุดนักเรียนยิ้มกว้างออกมาด้วยความสดใส ช่างขัดกับบรรยากาศที่พายุฝนเข้าในเวลานี้ยิ่งนัก

รอยยิ้มที่สดใสแสนซนนั้นก็ค่อยๆ จางลง เมื่อเธอเห็นผู้คนมากมายรายล้อมกำลังมุงดูบางอย่างด้วยความตื่นตระหนก สีหน้าและแววตา รวมทั้งคำพูดของผู้คนเหล่านั้นต่างก็พรั่งพรูออกมาด้วยความเห็นใจ ความโศกเศร้า เหตุการณ์ในตอนนี้มันทำให้เธอดูจิตตกตามผู้คนเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ทำให้เธอรู้ได้ว่า มีหนึ่งชีวิตที่ถูกพรากจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน

“ยูรี! ยูรี!”

ขณะนั้นเองก็มีสาวมัธยมในวัยเดียวกันกับเธอวิ่งฝ่าฝูงชนที่มุงดูร่างของผู้เสียชีวิตพร้อมร้องตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยความตื่นตระหนก คังยูรียืนจ้องใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้าด้วยความกังวลใจ เหตุใดเพื่อนสาวของเธอถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายนัยน์ตาแดงก่ำถึงเพียงนี้ และไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยถามออกไป เพื่อนสาวที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าก็เข้ามาสวมกอดเธอเอาไว้แนบแน่น คำพูดที่เพื่อนสาวของเธอเอ่ยออกมานั้นกลับทำให้เธอสับสนเหลือเกิน

“ยูรี น้ายองจูไม่อยู่กับเราแล้ว ฮือๆ”

คังยูรีรีบผละอ้อมกอดนั้นออกทันที เธอกดไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนสาวเอาไว้ ดวงตากลมโตจ้องไปที่นัยน์ตาแดงก่ำคู่นั้นตรงหน้าอย่างไม่ลดละ คังยูรีสับสนเหลือเกินกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อสักครู่ ไหนจะท่าทางของเพื่อนสาวเธอในตอนนี้อีก

“อึนซู เธอพูดอะไร แม่ฉันทำไม แม่ฉันเป็นอะไร!”

แต่เหมือนสิ่งที่เธอถามออกไปนั้นจะได้คำตอบกลับมาเป็นเสียงสะอื้นร่ำไห้แทน คังยูรีค่อยๆ ปล่อยมือออกจากไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนสาว ก่อนจะค่อยๆหันหน้าไปยังกลุ่มผู้คนที่ยืนมุงดูร่างไร้วิญญาณของใครบางคน คังยูรีส่ายหน้าไปมา น้ำตาเอ่อล้นออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว อย่างน้อยเธอก็ต้องเข้าไปดูให้แน่ใจ

“ไม่ใช่! มันไม่จริง”

        คังยูรีรีบปรี่ตัวเข้าไปยังจุดที่เจ้าหน้าที่กำลังใช้ผ้าขาวห่มร่างไร้วิญญาณนั้น ถึงแม้ว่าฝนจะตกหนักทำให้เธอมองเห็นร่างที่นอนแน่นิ่งนั้นไม่ชัด แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆเธอเองก็แทบล้มทั้งยืน เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดของคังยูรีก็ดังขึ้น เธอฟุบลงไปข้างๆ ร่างที่นอนแน่นิ่งนั้นในทันที พร้อมกับเสียงร่ำไห้เรียกผู้เป็นแม่อย่างสะเทือนใจ โดยมีเพื่อนสาวของเธอกอดปลอบประโลมเธออยู่ข้างกาย เหตุการณ์ความเจ็บปวดทุกอย่างในวันนั้นยังคงฝังไว้ในความทรงจำของเธอ

คังยูรีในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนยืนอยู่ตรงริมฟุตบาท เธอจ้องไปยังท้องถนนที่มีรถสัญจรไปมา ที่ตรงนี้เป็นที่ที่พรากแม่ของเธอไปตลอดกาล คังยูรีได้แต่นึกโทษตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของเธอต้องออกไปซื้อเค้กให้เธอก็คงไม่ต้องสูญเสียผู้เป็นแม่ไปแบบนี้

 คังยูรียังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น น้ำตาแห่งความโศกเศร้าไหลพรากออกมาไม่ขาดสาย ก่อนที่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่ามีมือของใครบางคนเข้ามาแตะที่ไหล่เธอ คังยูรีรีบปาดน้ำตาที่ไหลรินนั้นออก และหันไปหาเจ้าของมือที่แตะไหล่เธอเมื่อสักครู่

“แน่ใจนะว่าจะไปโรงเรียน”

น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้คังยูรีเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เธอแหงนมองใบหน้าชายที่อยู่ในชุดนักเรียนนั้นด้วยความยิ้มแย้ม ใบหน้าของชายที่ตัวโตกว่าเธอมากนัก และเธอก็คุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี

“พี่จีโฮนี่เอง ทำไงได้คะ ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป แม่ก็คงอยากเห็นฉันมีชีวิตที่ดี ฉันจะไม่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”

รอยยิ้มนักสู้ของคังยูรีทำให้หนุ่มในชุดนักเรียนวัย18ย่าง19อดนับถือเธอไม่ได้ ขนาดเธอพึ่งเจอเรื่องหนักที่สุดในชีวิตมา แต่เธอก็ยังคงยิ้ม ถึงแม้จะเป็นการฝืนยิ้มอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม

“สู้ๆ นะยูรี พี่อยู่ข้างเธอเสมอนะ”

หนุ่มนักเรียนยิ้มรับอย่างภาคภูมิใจในตัวของคังยูรี ทั้งคู่สบตากันและยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินเคียงกันเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนกอซอง

นัมจีโฮ เด็กหนุ่มมัธยมปลายปีสุดท้ายของโรงเรียน เขารู้จักและสนิทสนมกับคังยูรีเพราะแม่ของเธอทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านของเขา บ่อยครั้งที่คังยูรีอาสาช่วยงานบ้านผู้เป็นแม่ของเธอ เธอจึงเป็นที่เอ็นดูของคนในบ้านทุกคน พ่อแม่ของนัมจีโฮเป็นหมอด้วยกันทั้งคู่ และอนาคตของนัมจีโฮเองก็คงต้องเป็นหมอตามรอยผู้เป็นพ่อกับแม่ด้วยเช่นกัน

คังยูรีกับนัมจีโฮเดินทางมาถึงโรงเรียนก็แยกย้ายไปยังชั้นเรียนของตัวเอง แววตาหลายคู่จับจ้องมาที่คังยูรีอย่างไม่ลดละ สายตาทุกคู่ต่างจ้องมองเธอด้วยความเห็นใจและสงสาร ซึ่งคังยูรีเองก็เข้าใจดีกับสถานการณ์ในตอนนี้

“พอแล้ว พวกเธอจะมองยูรีให้มันได้อะไร เพื่อนฉันไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้นสักหน่อย”

เสียงของนักเรียนสาวคนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างดัง ก่อนที่เธอจะอ้อมแขนเข้าไปโอบไหล่ของคังยูรีเอาไว้ เด็กสาวในวัย16ปีหันมายิ้มสดใสให้กับเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ยินดีต้อนรับกลับห้องเรียนที่แสนน่าเบื่ออีกครั้งนะยูรี” เด็กสาวเอ่ยกล่าวทักทายคังยูรีด้วยความสดใสพร้อมกับตบไปที่ไหล่เบาๆ ของเธออย่างเป็นมิตร

ซออึนซู เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของคังยูรี และเธอก็เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์การสูญเสียผู้เป็นแม่ของคังยูรีในวันนั้นด้วย คนที่คอยปลอบ คอยอยู่ข้างๆ และร้องไห้เศร้าโศกไปพร้อมกับคังยูรีก็คือเธอ

คังยูรีเข้ามานั่งที่โต๊ะเรียนประจำของเธอ สักครู่สายตาของเด็กสาวก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มในชุดขาวทั้งตัวยืนกางร่มคันสีแดงอยู่ตรงหน้าประตูห้องเรียน และชายหนุ่มดังกล่าวก็จ้องมาที่เธอก่อนจะหายวับไปในไม่กี่เสี้ยววินาทีเมื่อมีนักเรียนชายคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามาในห้องเรียน คังยูรีกะพริบตาถี่ๆมองไปที่ประตูห้องเรียนอีกครั้ง ก่อนจะลุกจากเก้าอี้และเดินตรงไปยังประตูนั้น เด็กสาวชะเง้อมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่เห็นชายดังกล่าวแล้ว

“จะเป็นไปได้ยังไง” เด็กสาวครุ่นคิด

“เป็นอะไร เธอพูดกับใครอ่ะยูรี” ซออึนซูเอ่ยถามเพื่อนสาวด้วยความสงสัยเมื่อเห็นท่าทีแปลกไปของเธอ

“อึนซู เมื่อกี๊เธอเห็นผู้ชายชุดขาวถือร่มสีแดงยืนอยู่ตรงประตูนี้มั้ย”

“ไม่เห็นอ่ะ คนบ้าที่ไหนจะมายืนกางร่มในห้องเรียนแบบนี้ ฉันว่าเธอคงเบลอแล้วล่ะ เธอต้องพักผ่อนบ้างนะยูรี”

“แต่ฉันเห็นจริงๆ นะ” เด็กสาวย้ำในสิ่งที่ตัวเองเห็น

“เอาอย่างนี้ ถ้าเธอเห็นเธอก็ต้องรู้จักสิ บางทีคนที่เธอเห็นอาจจะเป็นครูสักคนพึ่งย้ายมาใหม่ก็ได้ ไม่มีอะไรหรอกน่า ไปนั่งเถอะเดี๋ยวครูก็เข้าสอนแล้ว” ซออึนซูเอ่ยกับเพื่อนสาว ก่อนจะคว้าข้อมือของคังยูรีและเดินจูงไปยังโต๊ะนั่งเรียนที่เป็นนั่งประจำของเด็กสาว

คังยูรีนั่งลงที่เก้าอี้ เธอมองไปยังหน้าประตูห้องเรียนอีกครั้ง ถึงซออึนซูจะพูดแบบนั้น แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่จ้องมองมาที่เธอเมื่อครู่ก็ทำให้เธอขนลุกอย่างบอกไม่ถูก สายตาที่ดูเย็นชาแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย

ในขณะที่คังยูรีจ้องไปที่ประตูหน้าห้องเรียนอยู่นั้น เธอกลับไม่รู้เลยว่าสายตาที่เย็นชาที่เธอดูหวาดกลัวนั้นกำลังจ้องมองเธอจากหลังห้องเรียนอยู่ เขาแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะหายตัวไปอีกครั้ง

ช่วงพักเที่ยงของวัน

คังยูรีใช้เวลาอยู่ที่ห้องสมุดหลังจากทานมื้อเที่ยงเรียบร้อย ในขณะที่เธอเดินเลือกดูหนังสืออยู่นั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นนัมจีโฮ ในมือของชายหนุ่มถือหนังสือบางอย่างที่ดูเหมือนเขาเองจะให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย คังยูรียืนนิ่งมองชายหนุ่มอยู่แบบนั้นและยิ้มออกมา แล้วความทรงจำก็พาเธอย้อนกลับไปคิดถึงวันแรกที่เธอกับนัมจีโฮได้รู้จักกัน

1 ปีก่อนหน้านี้

คังยูรีได้เข้ามาช่วยงานผู้เป็นแม่ที่บ้านของนัมจีโฮ วันนี้เธอได้รับมอบหมายจากผู้เป็นแม่ให้เข้าไปทำความสะอาดห้องนอนที่ไม่ได้ถูกใช้งานเป็นเวลานานที่อยู่ชั้น2ของบ้าน เนื่องจากวันนี้นัมจีโฮจะย้ายเข้ามาอยู่กับผู้เป็นพ่อแม่ที่บ้านหลังนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาอาศัยอยู่กับปู่และย่าที่โซล การย้ายที่อยู่ใหม่ของนัมจีโฮนั้นทำให้เขาต้องย้ายโรงเรียนมาเรียนที่คย็องกีด้วยเช่นกัน

คังยูรีใช้เก้าอี้ที่อยู่ในห้องนอนปีนขึ้นไปทำความสะอาดเพดานห้อง แต่ด้วยความสูงของเธอที่ไม่มากนักเลยต้องพยายามเขย่งเท้าขึ้นเพื่อจะได้ทำความสะอาดจุดที่เธอต้องการได้ ความทุลักทุเลในการพยายามของเธอนั้นดูจะฝืนเอาไว้ไม่ไหวเสียแล้ว คังยูรีเสียหลักทำเก้าอี้ที่เธอปีนอยู่นั้นล้มลงมา ร่างบอบบางของเธอก็ร่วงลงมาจากเก้าอี้ด้วยเช่นกัน

ไม่ทันที่ร่างของเด็กสาวจะร่วงสู่พื้นห้อง ในเวลานั้นก็มีมือทั้งสองข้างของนัมจีโฮยื่นเข้ามาเพื่อรอรับร่างของเธอพอดี แต่ด้วยความที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยทำให้เขาและคังยูรีล้มไปกองอยู่ที่พื้นด้วยกันทั้งคู่ ปากอุ่นๆของคังยูรีก็สัมผัสไปที่แก้มของนัมจีโฮอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ทั้งคู่นอนนิ่งอยู่แบบนั้น มือของนัมจีโฮยังคงโอบเอวของเด็กสาวเอาไว้ คังยูรีค่อยๆ คลายริมฝีปากออกจากแก้มชายหนุ่ม เธอจ้องไปที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของนัมจีโฮอย่างไม่ละสายตาก่อนจะได้สติกลับมา แล้วรีบดีดตัวออกจากร่างสูงที่เธอนอนทับอยู่ในทันที

“จะไม่ช่วยกันหน่อยเหรอ ตัวหนักใช่เล่นนะเรา”

นัมจีโฮประคองร่างตัวเองให้ลุกขึ้น ชายหนุ่มเอ่ยหยอกเด็กสาวเล็กน้อยก่อนใช้มือปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ออก สายตาก็จับจ้องและยิ้มไปที่คังยูรีที่มีอาการเคอะเขินอยู่

“เธอคงจะเป็น…ยูรีใช่มั้ย”

รอยยิ้มของนัมจีโฮในวันนั้นทำให้คังยูรีลืมไม่ลง เธอเองก็รู้สึกเขินเป็นอย่างมากที่ต้องมารู้จักและเจอเขาครั้งแรกในสถานการณ์แบบนั้น แถมเขายังรู้เรื่องราวของเธอเป็นอย่างดีจากผู้เป็นแม่ของเขาที่เล่าให้ฟัง นับจากนั้นมา ทั้งคู่ก็สนิทสนมกัน นัมจีโฮเองก็เอ็นดูเธอมากเช่นกัน 

  เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงช่วงเวลานั้นก็ทำให้คังยูรีมีความสุขมาก แววตาเธอยังคงจ้องไปที่นัมจีโฮ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อยๆ จางลงเมื่อเห็นเพื่อนสาวร่วมห้องของนัมจีโฮเดินเข้าไปพูดคุยกับชายหนุ่มด้วยท่าทีสนิทสนม

“เธอกำลังคิดอะไรอยู่คังยูรี” เด็กสาวพึมพำกับตัวเองก่อนจะละสายตาคู่นั้นออกจากนัมจีโฮ แล้วหันกลับเดินออกจากห้องสมุดไปในที่สุด

__________________

ณ ห้วงนิมิต

ชายร่างสูงในชุดขาวทั้งตัวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา จะมีก็แค่ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งโดดอยู่ต้นเดียวเท่านั้นที่แปลกแยกออกมา แววตาคมกริบนั้นกำลังจ้องไปยังใครบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ รอยยิ้มของชายหนุ่มนั้นทำให้คนที่กำลังเดินมาสัมผัสถึงความเย็นยะเยือกจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี

“ฉันหาคนที่จะช่วยเธอได้แล้ว”

เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มเอ่ยออกมาเพื่อแจ้งต่อใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แววตาของชายหนุ่มในชุดขาวเต็มไปด้วยพลังและความมั่นใจ เขาเองก็สัมผัสได้ถึงเป้าหมายที่ต้องการเช่นกัน