นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
“อึนซู เดี๋ยวฉันกลับก่อนนะ”
คังยูรีเอ่ยแจ้งต่อเพื่อนสาวที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป เธอเก็บสมุดและหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความเร่งรีบ เด็กสาวยังจำคำของชาฮีจูได้อย่างแม่ยำ “พรุ่งนี้ค่ำๆ ฉันจะมาหาเธอพร้อมกับแม่เธอ” นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอต้องรีบกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด แต่ไม่ทันที่คังยูรีจะได้ก้าวเท้าออกจากห้องก็ถูกนักเรียนสาวผู้เป็นหัวหน้าห้องเอ่ยทักไว้เสียก่อน
“ยูรี เธอจะกลับแล้วใช่มั้ย วานเธอช่วยเอาอุปกรณ์พวกนี้ไปไว้ที่ห้องศิลป์เก่าหน่อยสิ พอดีฉันต้องไปหาครูลีที่ห้องพักครูน่ะ”
“อ๋อ…ได้สิ”
คังยูรียิ้มตอบก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องอุปกรณ์จากผู้เป็นหัวหน้าห้อง แค่แวะเอาอุปกรณ์ไปเก็บก็ไม่ทำให้เธอเสียเวลาไปเท่าไหร่นัก
คังยูรีมาถึงห้องศิลปะเก่าก็รีบเข้าไปข้างในเพื่อนำอุปกรณ์ที่ถือมาไปเก็บให้เรียบร้อย เด็กสาววางกล่องอุปกรณ์ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะปัดมือไปมาเพื่อหลีกเลี่ยงฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งอยู่ในห้อง
เมื่อธุระเสร็จสิ้นก็ได้เวลาที่เธอต้องกลับบ้านเสียที คังยูรีเดินตรงไปยังประตูพอจะจับลูกบิดประตูก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าห้องนี้ลูกบิดประตูพังจะเปิดออกได้ก็ต้องเปิดจากด้านนอกเท่านั้น
คังยูรีพยายามร้องตะโกนและทุบประตูเพื่อร้องเรียกให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน แต่ไม่ว่าเธอจะตะโกนดังแค่ไหนก็ไม่มีใครสักคนที่ได้ยินเสียงเธอ เด็กสาวก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นช่วงเวลาเลิกเรียนด้วย แถมห้องศิลปะเก่านี้ก็ไม่ได้ถูกใช้งานและอยู่ห่างไกลจากอาคารเรียนอื่นมากนัก เลยไม่แปลกใจที่จะไม่มีใครสัญจรผ่านมาทางนี้ถ้าไม่มีธุระโดยตรง แถมห้องดังกล่าวก็ยังเป็นห้องทึบ หน้าต่างทุกบานก็ทุกปิดตายไปเนื่องจากชำรุดทรุดโทรมมาก
คังยูรีรีบล้วงมือถือจากกระเป๋าเป้ เธอกดโทรหาซออึนซูแต่คู่สายไม่ว่างสักที เด็กสาวเริ่มลนลานกระวนกระวายใจ มองเวลาที่นาฬิกาข้อมืออยู่ตลอดเวลา นี่ก็เย็นมากแล้วขืนเธอไม่หาวิธีออกจากที่นี่คงไปตามที่ชาฮีจูนัดไว้ไม่ทันแน่ๆ
คังยูรีฉุกคิดได้ขึ้นมา นอกจากซออึนซูแล้วยังมีอีกคนที่เธอสามารถโทรหาได้ เด็กสาวจ้องไปที่มือถือเลื่อนลงมาที่รายชื่อของนัมจีโฮ เธอครุ่นคิดว่าควรโทรหาชายหนุ่มดีหรือไม่
ระหว่างใช้ความคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของชาฮีจูดังอยู่ในหู เสียงนั้นเป็นเสียงที่ชายหนุ่มบอกเธอว่าเขาและแม่ของเธอได้รออยู่ที่บ้านแล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้นเธอก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา ถ้าเวลานี้มัวแต่ตั้งแง่เรื่องขอความช่วยเหลือจากนัมจีโฮอยู่เธอคงได้อดเจอแม่ของเธอเป็นแน่ ยังไงตอนนี้เรื่องแม่ของเธอต่างหากที่สำคัญที่สุด
คังยูรีตัดสินใจโทรหานัมจีโฮเพื่อวานชายหนุ่มให้เข้ามาช่วยเธอที่ติดอยู่ในห้องศิลปะเก่า ไม่นานนักจากที่วางสายนัมจีโฮก็มาเปิดประตูช่วยเหลือเธอ คังยูรีโล่งอกที่ชายหนุ่มยังไม่ได้ออกจากโรงเรียนเลยเข้ามาช่วยเหลือเธอได้เร็วกว่าที่คิดไว้
“ขอบคุณพี่จีโฮมากนะคะ งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
“มีอะไรหรือเปล่าทำไมดูรีบร้อนจัง แล้วทำไมถึงถูกขังอยู่ที่นี่ล่ะ” นัมจีโฮรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล มือขวาของชายหนุ่มจับไปที่ต้นแขนซ้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลาเหมือนพยายามปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้
“เดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้พี่ฟังนะคะ ตอนนี้ฉันรีบจริงๆ”
คังยูรีไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มได้ตอบกลับ เธอรีบวิ่งออกไปด้วยความร้อนใจ นัมจีโฮได้แต่มองตามหลังเด็กสาวที่พึ่งวิ่งออกไปด้วยความสงสัย เหตุใดเธอถึงถูกขังไว้ที่นี่ ชายหนุ่มมองไปยังประตูห้องดังกล่าวอีกครั้งก่อนจะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ต้นแขนซ้ายของตัวเอง ดูเหมือนว่าต้นแขนของชายหนุ่มจะมีเลือดซึมผ่านแขนเสื้อนักเรียนออกมาด้วย นี่คือสาเหตุที่นัมจีโฮจับแขนไว้ตลอดเพราะชายหนุ่มไม่อยากให้คังยูรีเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บมา
____________________________
คังยูรีกลับมาถึงบ้านก็ค่ำมืดพอดี เด็กสาวยืนอยู่หน้าบ้านกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ทุกอย่างรอบตัวเธอดูเงียบสงัดอย่างน่าใจหายจนทำให้เธอกระวนกระวายเป็นอย่างมาก เด็กสาวรู้ในทันทีว่าเธอได้พลาดโอกาสสำคัญนี้ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังตั้งความหวังอยู่ คังยูรีตะโกนร้องเรียกผู้เป็นแม่และชาฮีจูสลับกันไปมา เธอเริ่มกดดันตัวเองจนร้องไห้ออกมาในที่สุด
ชาฮีจูและคังยองจูยืนมองเด็กสาวด้วยความเวทนา ทั้งคู่ยังอยู่ที่นี่เพียงแต่คังยูรีมองไม่เห็นเท่านั้น ผู้เป็นแม่ได้แต่ยืนมองด้วยความรู้สึกผิดที่ทิ้งให้ลูกสาวต้องเผชิญชะตากรรมอยู่คนเดียว เธอเจ็บปวดและเศร้าใจมากนักจนทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกอาทรไปด้วย
“คุณน้าจะไม่ผมบอกเธอเหรอครับว่าคุณน้าก็อยู่ที่นี่”
ชาฮีจูเอ่ยถามดวงวิญญาณหญิงวัยกลางคนด้วยความสงสัย ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอเอาแต่ยืนจ้องผู้เป็นลูกสาวโดยไม่บอกให้รู้เธอเองก็อยู่ที่นี่ด้วย
“น้าแค่อยากให้ยูรีเข้มแข็งด้วยตัวเอง จัดการความรู้สึกตัวเองให้ได้เมื่อน้าไม่อยู่แล้ว ถ้ายูรีรู้ว่าน้ายังวนเวียนอยู่กับเธอแบบนี้เธอก็จะยิ่งเจ็บปวด ยิ่งแต่จะโหยหาน้ามากกว่าเดิม”
“แต่นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่คุณน้าจะได้บอกลาเธอนะครับ” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง เพราะเขาเองก็อยากให้คังยูรีได้บอกลาแม่เป็นครั้งสุดท้าย
“คุณออกไปหายูรีเถอะ แล้วบอกเธอว่าน้าไปแล้ว บอกให้เธอเข้มแข็งและใช้ชีวิตอยู่ต่อให้มีความสุขเพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่น้าจะทำให้ยูรีได้"
ชาฮีจูมองไปที่ดวงวิญญาณคังยองจูด้วยความสับสน แต่ถ้าเป็นความต้องการของเธอเขาในฐานะผู้ส่งสารก็ขัดไม่ได้ ชาฮีจูผายมือขวาออกเล็กน้อยเพื่อเรียกร่มคันสีแดงโบราณคู่ใจ ก่อนจะกางร่มคันดังกล่าวออกเพื่อปรากฏตัวให้คังยูรีเห็น
การปรากฏตัวของนัมจีโฮทำให้คังยูรีมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอเองก็เหมือนจะเริ่มชินกับการหายตัวหรือปรากฏตัวของเขาเสียแล้ว เด็กสาวค่อยๆ เดินเข้าหาชาฮีจู แววตาของเธอเริ่มสดใสขึ้น เธอสบตาเขาเล็กน้อยก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวของเขาอีกที
“แม่ฉันล่ะ แม่ฉันอยู่ข้างๆ คุณมั้ย”
เด็กสาวเอ่ยถามอย่างมีความหวังแต่ก็ไม่ได้คำตอบในสิ่งที่ถามไป คังยูรีจ้องไปที่ดวงตาคมกริบของชาฮีจูอย่างไม่ลดละ เธอสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเบนสายตามองไปทางซ้ายของตัวเอง ระดับสายตาที่ชายหนุ่มมองนั้นดูจะใกล้เคียงกับความสูงของผู้เป็นแม่ของเธอพอดี เหมือนชายหนุ่มพยายามจะสื่อให้เธอรับรู้ถึงบางอย่าง
คังยูรียิ้มทั้งน้ำตา เธอเหมือนจะเข้าใจที่ชาฮีจูพยายามจะสื่อกับเธอแล้ว เด็กสาวเดินเข้าไปใกล้ชาฮีจูให้มากกว่าเดิม เธอหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะขยับไปทางซ้ายของเขาเล็กน้อย คังยูรีค่อยๆ หลับตาลง เธอจินตนาการว่าผู้เป็นแม่อยู่ตรงหน้า ก่อนค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นมาให้อยู่ในตำแหน่งใบหน้าของผู้เป็นแม่ในภาพจินตนาการที่เธอสร้างขึ้น เด็กสาวอยากจะสัมผัสผู้เป็นแม่เหลือเกิน
“แม่จะไปแบบนี้จริงๆ ใช่มั้ย แม่ไม่อยากกอดหนูเหรอ หนูสัญญาว่าหนูจะเข้มแข็ง จะไม่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง ให้หนูได้รับรู้ถึงแม่อีกครั้งได้มั้ย ขอแค่ได้บอกลาแม่เป็นครั้งสุดท้าย”
เด็กสาวพรรณนาความอัดอั้นออกมา เธอหลับตากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยากให้ผู้เป็นแม่เห็น ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้ผู้เป็นแม่เห็นใจและให้ในสิ่งที่เธอต้องการเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากกันไปจริงๆ
คังยองจูน้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย เธอไม่สามารถต้านความรู้สึกได้อีกต่อไป หญิงวัยกลางคนค่อยๆ เอื้อมมือมาสัมผัสมือของผู้เป็นลูกสาว แต่ด้วยพลังวิญญาณของเธอไม่ได้มีมากพอก็เลยทำให้คังยูรีไม่อาจสัมผัสถึงเธอได้
ชาฮีจูไม่รีรอที่จะช่วยเหลือความปรารถนาครั้งสุดท้ายของดวงวิญญาณในฐานะผู้ส่งสาร ชายหนุ่มค่อยๆ ยื่นมือขึ้นมาโอบมือของดวงวิญญาณหญิงวัยกลางคนไว้เพื่อใช้พลังวิญญาณของตัวเองทำให้คังยูรีสัมผัสถึงผู้เป็นแม่ได้อีกครั้ง
คังยูรียิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ในที่สุดเธอก็เห็นผู้เป็นแม่แล้วถึงจะมองเห็นเลือนรางผ่านร่างของชาฮีจูก็ตาม แม้ว่าภาพใบหน้าผู้เป็นแม่นั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่แต่เธอก็พอใจ คังยูรีใช้มืออีกข้างที่ว่างเข้ามากุมมือของคังยองจูผ่านร่างชาฮีจูเอาไว้แน่น
“หนูรักแม่นะคะ แม่ไม่ต้องห่วงนะหนูจะใช้ชีวิตต่อจากนี้อย่างดี แม่รู้ใช่มั้ยว่าหนูเข้มแข็งแค่ไหน งั้นแม่ก็ไปอย่างสบายใจได้เลยตกลงมั้ยคะ”
“แม่ก็รักหนู หนูต้องมีชีวิตอย่างดีนะยูรีลูกรักของแม่ แม่ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว”
น้ำเสียงผู้เป็นแม่อบอุ่นเหมือนเช่นที่เด็กสาวเคยได้ยิน แค่นี้ก็ทำให้เธอมีความสุขมากแล้ว เธอแค่อยากมีโอกาสได้บอกลา ได้บอกรักแม่เป็นครั้งสุดท้าย แค่อยากให้ผู้เป็นแม่รับรู้ว่าเธอจะมีชีวิตต่อไปอย่างดีอย่างที่แม่เธอต้องการ คังยองจูยิ้มหวานให้กับลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ดวงวิญญาณของเธอจะค่อยๆ จางลงและหายไปในที่สุด
ทันทีที่ดวงวิญญาณของคังยองจูจากไป ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวก็ค่อยๆ ฟุบลงที่พื้น คังยูรีรีบเข้าไปกุมมือชาฮีจูที่ถือร่มอยู่ทันที มือทั้งสองข้างของเธอกุมมือของชาฮีจูเอาไว้แน่น เธอมองใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นด้วยความกังวล
“คุณเป็นอะไรมั้ย ทำไมหายใจแรงขนาดนี้”
“ไม่เป็นไร แค่ใช้พลังมากไปพักแป๊บเดียวก็ดีขึ้นแล้ว”
“เพราะฉันใช่มั้ย ที่คุณเป็นแบบนี้เพราะคุณช่วยฉัน” เด็กสาวรู้ทัน
“ช่างเถอะ ว่าแต่เธอปล่อยมือฉันได้หรือยัง เธอไม่รู้หรือไงว่าแม่เธอไปแล้ว”
“รู้ ฉันกับแม่ได้บอกลากันแล้ว” เด็กสาวยิ้มกว้าง
“ก็รู้นี่ แล้วทำไมยังไม่ปล่อยมือฉันอีก” ชายหนุ่มทำเสียงเข้ม
“คุณบอกฉันมาก่อนว่าคุณไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ถ้าฉันปล่อยมือแล้วคุณจะถือร่มนี้ได้ด้วยตัวเอง ฉันสังเกตดูทุกครั้งที่คุณปรากฏตัวต่อหน้าฉัน คุณจะกางร่มนี้ไว้ตลอดแบบนี้ใช่มั้ยฉันถึงได้มองเห็นคุณ ฉันแค่กลัวว่าคุณจะหายไปถ้าร่มนี้หลุดออกจากมือคุณน่ะ ฉันไม่อยากให้คุณหายไป”
คำพูดและแววตาที่ดูจริงใจของคังยูรีทำให้ชาฮีจูรู้สึกแปลกและสับสนอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มจ้องไปที่นัยน์ตาเด็กสาวด้วยความสั่นไหว ก่อนจะละสายตานั้นออกแล้วชักมือตัวเองออกจากมือของเธอที่กุมเอาไว้ ชาฮีจูค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เหมือนว่าตัวเขาจะไม่เป็นอะไรแล้ว ใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร” ชายหนุ่มย้ำคำตอบ
“ขอบคุณนะที่ช่วยฉัน”
“มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว เธออย่าลืมสิว่าฉันเป็นผู้ส่งสาร สิ่งที่ฉันทำก็เป็นแค่หน้าที่เท่านั้น”
“แค่รับคำขอบคุณมันลำบากมากเลยเหรอ” เด็กสาวขมวดคิ้ว เธอไม่ค่อยชอบท่าทีดูหยิ่งผยองของชายหนุ่มเท่าไหร่นัก
“ฉันต้องไปแล้ว อย่าลืมที่รับปากแม่เธอไว้ล่ะ”
“อืม ไม่ลืมอยู่แล้ว ฉันจะมีชีวิตที่ดี จะไม่ทำให้แม่เป็นห่วง”
“จำได้ก็ดี”
ชาฮีจูเผยรอยยิ้มเล็กน้อยให้เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะขอตัวจากไป ไม่ทันได้หายตัวออกไปน้ำเสียงสดใสของคังยูรีก็เอ่ยทักขึ้นอีกครั้งจนทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์
“อะไรอีกล่ะ”
“ฉันไม่อยากเรียกคุณว่าผู้ส่งสาร คุณบอกฉันได้มั้ยว่าคุณชื่ออะไร เจอกันครั้งหน้าฉันจะได้เรียกถูก”
“ไม่ต้องหรอก ผู้ส่งสารก็คือชื่อฉัน ต่อให้ฉันบอกชื่อเธอผ่านไปไม่กี่วิเธอก็ลืมอยู่ดี ผู้ส่งสารมีหน้าที่แค่ส่งสาร ไม่ได้มีหน้าที่ไว้ให้ใครจดจำ”
ชายหนุ่มเอ่ยแจ้งต่อเด็กสาวด้วยน้ำเสียงดุดัน ก่อนที่ร่างของเขาจะหายลับไปพร้อมกับลมพายุที่ก่อตัวขึ้นมา คังยูรีรีบยกมือขึ้นมาปกป้องใบหน้าเอาไว้จนกว่าลมพายุนั้นจะสงบลง เด็กสาวหน้างอเล็กน้อยที่แม้แต่ ชื่อชายหนุ่มก็ไม่ยอมบอกให้เธอรู้
ชาฮีจูกลับเข้ามาอยู่ในห้วงนิมิตเมื่อทำหน้าที่ตัวเองเรียบร้อย ชายหนุ่มนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงคำพูดของคังยูรี เขาขำที่คังยูรีอยากรู้ชื่อของเขา บางทีเธอก็ดูไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ
“ถ้าอยากรู้ว่าฉันชื่ออะไรจะบอกให้ก็ได้ ฉันชื่อชาฮีจู”
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง เขารู้ดีว่าวันนี้ต่อให้เขาบอกชื่อตัวเองกับคังยูรีไปยังไงเธอก็ลืมมันอยู่ดี เพราะนี่เป็นกฎของผู้ส่งสารอย่างที่เขาบอกกับเธอ เขามีหน้าที่ส่งสารไม่ได้มีหน้าที่จดจำใครหรือให้ใครจดจำ
ชาฮีจูค่อยๆ หลับตาลงเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณที่สูญเสียไปตอนช่วยส่งสารให้คังยูรีและแม่ของเธอ ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าครั้งนี้เขาใช้พลังมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องฝืนกำลังตัวเองเพื่อช่วยคังยูรีได้ถึงเพียงนี้ และก็เหมือนว่าเขาเริ่มจะเข้าใจในคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ก่อนหน้านี้แล้วที่บอกว่าอย่าทำเกินเลยหน้าที่ของตัวเอง เพราะถ้าเขาทำเกินหน้าที่มากเท่าไหร่ พลังวิญญาณเขาก็จะอ่อนลงมากเท่านั้น
______________________
ในเช้าที่สดใสของอีกวัน คังยูรีเดินทางมาถึงโรงเรียนกอซองตั้งแต่เช้า เด็กสาวเข้าไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเองและทอดมองไปยังวิวนอกหน้าต่าง การได้บอกลาแม่เป็นครั้งสุดท้ายเหมือนว่าได้ปลดปล่อยความรู้สึกอ้างว้าง ความโดดเดี่ยวออกจนหมดสิ้น คังยูรีนั่งยิ้มกว้างอย่างพอใจ เธอครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืน เธอต้องแข็งแกร่งอยู่ให้ได้ถึงจะทำให้แม่ของเธอหมดห่วง
คังยูรีละสายตาออกจากหน้าต่างบานใหญ่ เด็กสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องก็เหลือบไปเห็นซออึนซูยืนอยู่หน้าประตูห้องเรียนกับหนุ่มนักเรียนสักคน และเธอก็จำได้ว่าหนุ่มนักเรียนดังกล่าวคือรุ่นพี่ที่ส่งจดหมายให้ซออึนซูนั่นเอง
คังยูรียิ้มกว้างออกมา เธอรีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปหาเพื่อนสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องในทันทีก่อนจะหยอกล้อทักทายเพื่อนสาวด้วยความร่าเริง
“มาแล้วเหรอ เดี๋ยวนี้มีคนมาส่งถึงห้องเรียนเลยนะ” คังยูรีเอ่ยแซวเพื่อนสาว
“ยูรีมาแล้วเหรอ เข้าห้องเรียนกันดีกว่า แล้วเจอกันมื้อเที่ยงนะคะพี่คยองซาน”
ซออึนซูเอ่ยตอบกลับเพื่อนสาวด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนก่อนจะดันตัวของคังยูรีให้เข้าไปในห้องเรียนอย่างรีบร้อน การกระทำของซออึนซูดูจะแปลกอยู่ไม่น้อย บวกกับสายตาของคิมคยองซานที่จ้องมาที่เธอด้วยสีหน้าไม่พอใจนั้นก็ยิ่งทำให้คังยูรีรู้สึกสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า” คังยูรีเอ่ยถามเพื่อนสาวอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่มีนี่” ซออึนซูยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะเรียนของเธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถึงคังยูรีจะแปลกใจในท่าทีของเพื่อนสาวและหนุ่มนักเรียนคนนั้นแต่เธอก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจอะไร และจะไม่ย้ำถามเพื่อนสาวอีก เพราะไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอ
เมื่อถึงช่วงเวลาพักกลางวัน คังยูรีฉุกคิดเรื่องของนัมจีโฮขึ้นมา เมื่อวานเธอเองก็รู้สึกผิดที่เดินจากชายหนุ่มไปโดยไม่ได้อธิบายอะไร และเธอก็อยากจะขอบคุณนัมจีโฮด้วยความจริงใจอีกครั้ง
“ใช่แล้วยูรี เธอต้องไปขอบคุณพี่จีโฮสิ เป็นเพราะพี่จีโฮเธอถึงได้บอกลาแม่” เด็กสาวพึมพำให้ตัวเองก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้
คังยูรีมาถึงหน้าประตูห้องเรียนของนัมจีโฮก็ด้อมๆ มองเข้าไปในห้องเรียนแต่ก็ไม่เห็นคนที่ตัวเองต้องการมาหา บางทีอาจจะเป็นช่วงพักกลางวันด้วยเลยทำให้ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในห้องเรียน
ระหว่างนั้นเพื่อนชายร่วมห้องของนัมจีโฮก็เดินผ่านเข้ามาพอดี เด็กสาวรีบเข้าไปทักทายอย่างเป็นมิตร บางทีเพื่อนร่วมห้องอาจจะรู้ก็ได้ว่านัมจีโฮอยู่ที่ไหน
“พี่กีดู พี่รู้มั้ยคะว่าพี่จีโฮอยู่ที่ไหน พอดีฉันมีธุระต้องคุยกับเขาน่ะ”
“อ้าว! ยูรีไม่รู้เหรอว่าจีโฮอยู่โรงพยาบาล”
“อะไรนะคะ พี่จีโฮอยู่โรงพยาบาล ตั้งแต่เมื่อไหร่” เด็กสาวเบิกตาโต เธอตกใจมากเมื่อได้ยินว่านัมจีโฮอยู่ที่โรงพยาบาล
“เมื่อวาน ตอนจะกลับบ้านอยู่ๆ กระจกหน้าต่างชั้นสองก็หล่นลงมา จีโฮเห็นพอดีก็เลยรีบผลักพี่ออกจนตัวเองถูกเศษกระจกบาดที่แขน เห็นว่าแผลลึกอยู่นะ เจ้าหมอนั่นก็เกินไปแทนที่จะรีบไปโรงพยาบาลล้างแผลก่อน แต่พอใครไม่รู้โทรเข้ามาก็วิ่งไปเลย กลับมาอีกทีก็เห็นเลือดเต็มแขนเสื้อแล้ว จนพี่ๆ ต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลนี่แหละ”
คังยูรีรู้สึกผิดอย่างมาก เหมือนว่าเธอจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว ถ้าเมื่อวานเธอสังเกตหน่อยก็คงรู้ว่านัมจีโฮมีอาการบาดเจ็บที่แขนอยู่ เพราะเธอเองก็เห็นว่าชายหนุ่มจับที่ต้นแขนซ้ายอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เธอสนใจแค่เรื่องตัวเองเลยทำให้ละเลยเรื่องของนัมจีโฮไป
เมื่อได้ข้อมูลว่านัมจีโฮอยู่ที่โรงพยาบาลไหน เด็กสาวก็ตั้งใจที่จะไปหาชายหนุ่มในทันที เธอรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนยื่นเท้ามาขัดเอาไว้จนเธอต้องล้มคะมำไปกองที่พื้นอย่างแรง ทำให้ข้อศอกของเธอมีรอยถลอกเล็กน้อยจากการไถพื้นตอนที่ล้มลง
คังยูรีค่อยๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้น เด็กสาวลูบข้อศอกที่มีรอยถลอกเพราะรู้สึกเจ็บ เมื่อรู้ว่าเป็นใครที่ตั้งใจยื่นเท้ามาขัดขาเธอไว้ก็ทำให้ประหลาดใจอยู่มาก