นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน

The Promised พรากสัญญา - ตอนที่6 พรากสัญญา โดย paiinara @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Promised พรากสัญญา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี

รายละเอียด

The Promised พรากสัญญา  โดย paiinara @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน

ผู้แต่ง

paiinara

เรื่องย่อ

The Promised พรากสัญญา


            เป็นเพราะคำสัญญาก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปเลยทำให้ชาฮีจูต้องติดอยู่ในวังวนความรู้สึกผิดมาตลอด เขาเป็นผู้ลั่นวาจาสัญญากับใครคนหนึ่งเอาไว้แต่กลับจำสัญญานั้นไม่ได้ ชายหนุ่มจึงต้องหาคำตอบเลยทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับคังเยนาและคังยูรีอย่างไม่ได้ตั้งใจ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความหายนะครั้งใหญ่ที่พวกเขาต้องเผชิญ และพวกเขาต้องร่วมมือกัน ช่วยเหลือกันและไว้ใจกัน เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคนั้นไปให้ได้

สารบัญ

The Promised พรากสัญญา -ตอนที่1 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่2 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่3 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่4 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่5 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่6 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่7 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่8 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่9 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่10 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่11 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่12 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่13 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่14 พรากสัญญา,The Promised พรากสัญญา -ตอนที่15 พรากสัญญา

เนื้อหา

ตอนที่6 พรากสัญญา

        คังยูรีจ้องไปที่ใบหน้าหญิงสาวที่ยืนแสยะยิ้มให้เธออย่างขุ่นข้องใจ เหตุใดหญิงสาวดังกล่าวถึงต้องเจตนาทำให้เธอบาดเจ็บด้วย คังยูรีเองก็ไม่ได้รู้จักหญิงสาวเป็นการส่วนตัวแต่เพราะอะไรถึงต้องคิดร้ายกับเธอ

“พี่แฮวอน พี่ทำแบบนี้ทำไม” คังยูรีเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนกอดอกและกำลังยิ้มเยาะมาที่เธออย่างพอใจ

“เธอคือคังยูรีใช่มั้ย หน้าตาก็จืดชืด ดูแล้วก็งั้นๆ ทำไมคนแบบเธอจีโฮถึงได้ให้ความสนใจนักนะ ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ”

คำพูดของชาแฮวอนทำให้คังยูรีเข้าใจได้ในทันที ที่แท้ที่หญิงสาวทำแบบนี้เพราะคงไม่พอใจที่เธอดูสนิทสนมกับนัมจีโฮ เรื่องนี้คังยูรีเองก็เข้าใจได้เพราะคงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากให้แฟนของตัวเองไปสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่นหรอก

“รุ่นพี่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ที่ฉันกับพี่จีโฮสนิทกันเพราะแม่ฉันเคยทำงานที่บ้านพี่จีโฮ มันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น”

“ไม่ใช่เพราะเธอให้ท่าจีโฮหรอกเหรอ เห็นว่าเธอควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเลยนี่”

“พี่พูดอะไร ช่างเถอะ…ฉันไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนี้แล้ว”

คังยูรีส่ายหน้าด้วยความขุ่นเคือง ยิ่งเธอโต้แย้งชาแฮวอนเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้เธอเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ เด็กสาวจ้องไปที่ใบหน้าบึ้งตึงของชาแฮวอน ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินออกไป

“ฉันว่าครั้งหน้าเธอต้องอยู่ห้องศิลป์ให้นานกว่านี้นะ บางทีการใช้เวลาอยู่ที่เงียบๆ คนเดียวอาจทำให้ความบ้าผู้ชายของเธอลดได้บ้าง” ชาแฮวอนตะโกนตามหลังคังยูรีด้วยความสะใจ เธอเองก็ดูพอใจกับคำพูดถากถางของตัวเองมาก

คังยูรีชะงักกับคำพูดของหญิงสาวเมื่อสักครู่นัก เธอเองไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจคำพูดของชาแฮวอน เธอควรรีบไปหานัมจีโฮที่โรงพยาบาลมากกว่า

คังยูรีรีบตรงไปหานัมจีโฮเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มพักรักษาตัวอยู่ห้องไหน เด็กสาวค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปในห้อง ไม่ใช่มีเพียงแต่นัมจีโฮที่อยู่ในห้องเท่านั้น แต่ยังมีแม่ของนัมจีโฮอยู่ด้วยเช่นกัน

คังยูรียิ้มและกล่าวทักทายแม่ของนัมจีโฮด้วยความนอบน้อมอย่างเช่นเคย เมื่อผู้เป็นแม่เห็นว่ามีคนมาอยู่เป็นเพื่อนลูกชายแล้วจึงขอตัวไปทำงานต่อ เพราะเธอเองก็ยังมีเคสคนไข้ที่ต้องดูแลในฐานะที่เป็นหมอด้วย

“รู้ได้ยังไงว่าพี่อยู่ที่นี่”

“ทำไมพี่ไม่บอกฉันล่ะคะว่าพี่บาดเจ็บ” เด็กสาวหน้ามุ่ย

“มานั่งตรงนี้สิ”

ชายหนุ่มแจ้งให้คังยูรีเดินมานั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ เตียงคนไข้ เขามองเธอด้วยแววตาที่อบอุ่น และยิ้มให้เธอด้วยความดีใจที่เห็นเธอมาหาเขาถึงที่โรงพยาบาล อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าเด็กสาวยังคงเป็นห่วงเขาอยู่

“แทนที่พี่จะรีบมาโรงพยาบาลแต่พี่กลับเลือกที่จะไปช่วยฉัน ไม่ห่วงตัวเองบ้างเหรอคะ” เด็กสาวดุให้คนป่วยเล็กน้อย

“ห่วงเธอมากกว่า ตอนที่เธอโทรมาน้ำเสียงดูไม่ดีเท่าไหร่ ตอนนั้นพี่คิดแค่ว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอแน่ๆ”

“ฉันขอดูแผลหน่อยได้มั้ยคะ”

คังยูรีลุกจากเก้าอี้ยื่นมือไปเปิดดูแผลที่ต้นแขนของชายหนุ่ม สีหน้า แววตาของเธอมีแต่ความกังวลและเป็นความห่วง แผลนั้นถูกพันด้วยผ้าพันแผลเอาไว้มีคราบเลือดซึมออกมาเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วก็โล่งใจไปได้บ้าง

คังยูรีโน้มหน้าเพื่อดูรอบๆ แผลของนัมจีโฮเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอยื่นเข้าเข้าใกล้ใบหน้านัมจีโฮเกือบแนบชิด ชายหนุ่มจ้องเด็กสาวอย่างไม่ละสายตา เขายิ้มหวานออกมา ก่อนจะใช้มือสางผมที่บดบังใบหน้าของเด็กสาวออกด้วยความอ่อนโยน เพื่อจะเห็นใบหน้าเธอนั้นได้อย่างชัดเจน

คังยูรีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตานัมจีโฮ เธอจ้องไปที่นัยน์ตาอบอุ่นนั้นด้วยความหวั่นไหว ทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับนัมจีโฮทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะอยู่ใกล้ชิดชายหนุ่มแบบนี้ให้นานที่สุดเหมือนกัน

คังยูรีรีบละสายตาออกจากนัมจีโฮทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มมีคนในใจแล้ว เธอเองก็ควรหักห้ามความรู้สึกไม่ให้ถลำลึกไปมากกว่านี้ เด็กสาวรีบดีดตัวถอยห่างออกจากชายหนุ่มในทันที เธอเผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมา บีมมือตัวเองไว้แน่นเพื่อข่มใจ

“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ๆ ก็…”

“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ เห็นพี่ไม่เป็นอะไรฉันก็เบาใจได้หน่อย ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ” เด็กสาวเปลี่ยนเรื่อง เธอเองก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มจับผิดสังเกตเธอได้

“อืม ต่อให้อยากปกป้องเธอก็คงทำไม่ได้แล้วล่ะ”

“พี่พูดว่ายังไงคะ” คังยูรีเลิกคิ้วถาม เธอได้ยินไม่ชัดในสิ่งที่ชายหนุ่มพึมพำออกมา

“เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่ทำไมถึงโดนจับขังอยู่ที่ห้องศิลป์ได้ล่ะ รู้ตัวคนทำมั้ย”

“มีใครทำซะที่ไหน พี่ลืมไปแล้วเหรอคะว่าห้องศิลป์ประตูมันพัง มันเปิดได้จากด้านนอกเท่านั้น ฉันเองที่รีบไปหน่อยเลยไม่ทันได้คิด”

“ใช่ที่ไหนล่ะ ตอนพี่ไปถึงก็เห็นมีไม้ยันลูกบิดประตูไว้ และอีกอย่างประตูบานนั้นครูลีก็ซ่อมตั้งนานแล้วด้วย”

“พี่พูดจริงเหรอ งั้นแปลว่ามีคนตั้งใจขังฉันไว้ในห้องนั้นเหรอคะ” เด็กสาวประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก เธอเองก็เข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยไม่เคยคิดไปถึงว่าจะมีคนตั้งใจขังเธอไว้

ไม่ทันที่ชายหนุ่มได้เอ่ยตอบ สายตาก็เหลือบไปเห็นรอยถลอกที่ข้อศอกของเด็กสาว นัมจีโฮลุกออกจากเตียงเข้าไปจับแขนและยกข้อศอกของคังยูรีขึ้นมาดู

“ไปทำอะไรมา ทำไมมีแผลด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันก็แค่วิ่งไม่ทันระวังเลยสะดุดล้มไป”

คังยูรีฉุกคิดได้ด้วยคำพูดตัวเอง เธอเองก็ได้แผลนี้เพราะชาแฮวอน หรือว่าคนที่ขังเธอไว้จะเป็นชาแฮวอนด้วยเหมือนกัน ส่วนเหตุผลที่ทำแบบนั้นก็คงเป็นเพราะหึงหวงไม่อยากให้เธออยู่ใกล้ชิดนัมจีโฮ อีกอย่างคำพูดของชาแฮวอนวันนี้ก็แสดงออกอย่างชัดเจน หญิงสาวได้กล่าวถึงห้องศิลป์ที่เธอถูกขังไว้ด้วย คังยูรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เด็กสาวเองก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นกับเธอ

“พี่จีโฮ พี่ช่วยไปบอกพี่แฮวอนได้มั้ยว่าเราไม่ได้ชอบกัน พวกเราแค่สนิทกัน…”

“เธอไม่ได้ชอบพี่เหรอ” ชายหนุ่มสวนกลับโดยที่เด็กสาวยังพูดไม่จบ แววตามองไปที่คังยูรีด้วยความผิดหวัง

“ฉัน…ฉันหมายถึงว่า ฉันแค่ชอบพี่ในฐานะพี่ชาย ไม่ได้คิดอะไรเกินเลย พี่จีโฮช่วยบอกพี่แฮวอนได้มั้ยว่าไม่ต้องคิดมาก”

คังยูรีน้ำเสียงสั่นไหว เธอเองก็ขัดใจกับคำพูดของตัวเองเช่นกัน ในใจเธอรู้สึกแบบไหนกับนัมจีโฮย่อมรู้ดี แต่ตอนนี้ก็ต้องหักห้ามใจเพราะคนที่เธอชอบนั้นเขามีอีกคนที่ชอบอยู่แล้ว

นัมจีโฮเดินกลับไปนั่งที่เตียงคนไข้ตามเดิม สายตามองเด็กสาวด้วยความสั่นไหวและผิดหวัง เขาเองก็คิดว่าคังยูรีกับเขามีใจตรงกันเสียอีก ที่ไหนได้เธอกลับรู้สึกกับเขาเหมือนพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น

“พี่เข้าใจแล้ว แต่พี่คงจะไม่ไปบอกแฮวอนตามที่เธอขอหรอกนะ เพราะพี่ไม่รู้จะบอกแฮวอนไปเพื่ออะไร”

“อย่างน้อยมันจะทำให้พี่แฮวอนมั่นใจในตัวพี่ขึ้นไงคะ พี่แฮวอนจะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องของฉัน”

“พี่ไม่สนใจหรอกนะว่าแฮวอนจะคิดยังไง พี่สนใจแค่เธอจะคิดยังไงมากกว่า เธอพูดเหมือนกับว่าพี่ชอบแฮวอนอย่างนั้น” ชายหนุ่มเริ่มเสียงดัง สีหน้าผิดหวังอย่างมาก

คำพูดของนัมจีโฮทำให้เด็กสาวเบิกตาโต ที่เธอได้ยินมาก็แบบนั้นไม่ใช่เหรอ ข่าวลือเรื่องนี้เพื่อนสาวคนสนิทของเธอเป็นคนเล่าให้ฟังก็น่าจะเชื่อถือได้นี่ แล้วทำไมนัมจีโฮถึงพูดออกมาเหมือนกับว่าเขาและชาแฮวอนไม่ได้คบกันยังไงอย่างงั้น คังยูรีรีบเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มให้มากขึ้น เธอจ้องไปที่นัมจีโฮอย่างมีความหวัง

“พี่กับพี่แฮวอนไม่ได้คบกันเหรอคะ”

“ก็ไม่นะสิ แล้วทำไมเธอถึงคิดว่าพี่คบกับแฮวอนล่ะ”

คังยูรียิ้มกว้างออกมา เธอปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ และก็รู้สึกว่าตัวเธอเองนั้นงี่เง่าจนเกินไปที่ไม่ยอมถามนัมจีโฮออกไปตั้งแต่แรก ถ้าเธอถามเขาไปตรงๆ ก็คงไม่ต้องรู้สึกแย่กับตัวเองตลอดเวลาที่ผ่านมา

นัมจีโฮขมวดคิ้วมองคังยูรีอย่างข้องใจ ท่าทางเธอในตอนนี้ดูแปลกไปมาก เมื่อสักครู่ยังดูเซื่องซึมอยู่เลย เหตุใดกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มได้เร็วถึงเพียงนี้

ระหว่างนั้นพยาบาลสาวก็เปิดประตูเข้ามาในห้องเพื่อติดตามดูอาการของนัมจีโฮที่เข้ารับการรักษา ทำให้การสนทนาของนัมจีโฮและคังยูรีต้องจบลงทันที

“งั้น ฉันกลับโรงเรียนก่อนนะคะ ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะคะพี่จีโฮ”

“อืม ถึงโรงเรียนแล้วโทรหาพี่ด้วยนะ”

เด็กสาวพยักหน้ารับ คังยูรีเดินทางกลับมายังโรงเรียนอีกครั้ง เด็กสาวเดินเข้ามานั่งเล่นเพื่อฆ่าเวลาที่ห้องสมุด ไหนๆ วันนี้เธอก็ตั้งใจจะโดดเรียนแล้ว ไว้เลิกเรียนค่อยขึ้นไปเอากระเป๋าที่ห้องเรียนค่อยกลับบ้านแล้วกัน

คังยูรีครุ่นคิดแต่เรื่องที่นัมจีโฮกับชาแฮวอนไม่ได้เป็นแฟนกัน นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูพอใจและมีความสุขมาก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเธอเองก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง เด็กสาวมั่นใจในความรู้สึกตัวเองที่มีต่อนัมจีโฮมาตลอด บางทีเร็วๆ นี้เธออาจบอกความรู้สึกที่แท้จริงให้ชายหนุ่มได้รับรู้คงจะดี

“คังยูรี!”

ระหว่างนั่งยิ้มเคลิ้มในความคิดตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงบางคนดังก้องเข้ามาในหู น้ำเสียงนั้นดูสดใสและเป็นเสียงที่เธอไม่คุ้นเอาเสียเลย คังยูรีหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาตามเสียงที่ได้ยินแต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครที่ดูจะมีท่าทีเรียกเธอสักนิด แต่เสียงที่เธอได้ยินมันดังก้องอยู่ในหูของเธอ เหมือนว่าหญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่ข้างๆ เธอด้วยซ้ำ

ไม่ทันได้คำตอบที่มาของเสียงก็มีเรื่องที่ทำให้ตกใจเพิ่มขึ้นอีกเมื่อเธอหันกลับมาแล้วเห็นชายร่างสูงโปร่งในชุดขาวยืนถือร่มคันสีแดงที่คุ้นเคยจ้องมองมาที่เธอ การปรากฏตัวของชาฮีจูไม่เคยทำให้คังยูรีเคยชินเลยสักครั้ง

“ตกใจหมดเลย ทำไมต้องมาเงียบๆ ด้วย” เด็กสาวตวาดชายหนุ่มไปเล็กน้อย

ทุกสายตาที่อยู่ในห้องสมุดต่างจับจ้องมาที่คังยูรีและชาฮีจู สายตาที่มองมามีแต่ความเคลือบแคลง คนเหล่านั้นไม่ได้สนใจคังยูรีเลยแม้แต่น้อย หากแต่สนใจชายหนุ่มชุดขาวที่ยืนกางร่มคันสีแดงในห้องสมุดเสียมากกว่า

“ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ” ชาฮีจูหันมาแจ้งต่อเด็กสาว

“ทำไมล่ะ แล้วทำไมทุกคนในนี้ต้องมองฉันด้วย”

“มองฉันต่างหาก” ชายหนุ่มเสียงเข้ม

“มีคนมองเห็นคุณนอกจากฉันด้วยเหรอ หรือคุณจะไม่ใช่ผีจริงๆ”

“ฉันไม่ใช่ผี หรือเธออยากให้พวกเขามองเห็นฉันล่ะ ฉันจะได้…”

คังยูรีรีบเข้าไปกุมมือชายหนุ่มข้างที่ถือร่มไว้ทันทีเมื่อเห็นว่าทำท่าจะหุบร่มนั้นลง ขืนเขาทำแบบนั้นก็คงจะทำให้คนที่อยู่ในห้องสมุดแตกตื่นกันพอดีที่อยู่ๆ คนทั้งคนก็หายวับไปกับตา

ชาฮีจูรีบชักมือออกจากมือของคังยูรีที่กุมเอาไว้ แววตาดูเลิ่กลั่กอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนการแตะเนื้อต้องตัวจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอเสียแล้ว ชาฮีจูมองไปที่เด็กสาวก่อนจะกระแอมออกมาเล็กน้อย

“ฉันออกไปรอหลังห้องสมุดนะ มีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ” เอ่ยจบชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องสมุดไป โดยยังมีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขาอยู่เช่นเคย

คังยูรีไม่รีรอรีบเดินตามชาฮีจูออกไปในทันที เด็กสาวยิ้มออกมาด้วยความพอใจ เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนมีญาณพิเศษที่สามารถสัมผัสสิ่งลี้ลับได้ หรือนี่จะเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิดกันแน่

“คุณมีอะไรจะคุยกับฉันเหรอ”

“แม่ของเธอได้ข้ามไปอีกภพแล้ว ท่านดูมีความสุขมาก แม่ของเธอคงหายห่วงเรื่องของเธอแล้วจริงๆ”

“มาแจ้งข่าวในฐานะผู้ส่งสารสินะ แม่ฉันถูกพาไปอยู่บนสวรรค์ใช่มั้ย ท่านเป็นคนดี ท่านต้องได้อยู่ในที่ดีๆ ถึงฉันจะยังคิดถึงแม่ทุกวันแต่มันก็เป็นความคิดถึงที่มีความสุข ฉันได้จดจำแม่ในแบบที่ฉันต้องการแล้ว ขอบคุณมากนะ มันเป็นหน้าที่ของฉัน” คังยูรีรีบพูดดักชายหนุ่มไว้ก่อน เธอรู้ว่าชาฮีจูจะพูดคำนี้ออกมาอย่างแน่นอน

“แล้วเมื่อกี๊ตอนอยู่ในห้องสมุดเธอมองหาอะไร”

“จริงด้วยฉันลืมไปเลย คุณมาก็ดีแล้ว ฉันเหมือนได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อฉัน เหมือนว่าเธอนั่งอยู่ข้างๆ ฉันเลย”

“คงเป็นเสียงของคังเยนาน่ะ ที่ฉันมาหาเธอก็เรื่องนี้ด้วย”

“คังเยนาคือใครเหรอ” เด็กสาวจ้องไปที่ชายหนุ่มด้วยความอยากรู้

“คนที่เธอต้องช่วยน่ะ ตอนนี้คังเยนาลืมตัวตนของตัวเอง เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน”

“ฉันช่วยเธอได้เหรอ ว่าแต่เธอเป็นผีหรือเป็นคนล่ะ”

“คน!” ชายหนุ่มเน้นเสียง ทำให้เด็กสาวยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ อย่างน้อยติดต่อกับคนก็ย่อมดีกว่าติดต่อกับผีอยู่แล้ว

“แล้วตอนนี้คังเยนาอยู่ที่ไหนเหรอ ฉันกับเธออยู่คนละที่แล้วจะฉันจะช่วยเธอยังไง”

“เดี๋ยวเธอสองคนก็ได้เจอกัน อีกไม่นานเธอเองก็ต้องไปจากที่นี่”

“ฉันเหรอ จะยังมีที่ไหนที่ฉันไปได้อีกเหรอ ตั้งแต่เกิดมาฉันกับแม่ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตลอด”

“เด็กมัธยมอย่างเธออยู่คนเดียวโดยไม่มีผู้ปกครองไม่ได้หรอกนะ เธอยังต้องเรียนหนังสือ ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป”

“ฉันเข้าใจว่าสักวันฉันก็ต้องไปจากที่นี่ ฉันแค่อยากเรียนจบม.ปลายได้อย่างราบรื่น ตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที”

“เธอคิดว่าแม่ของเธอจะไม่เตรียมอะไรไว้ให้เธอเลยหรือไง แม่ที่อยู่กับลูกสาวตามลำพังคิดเหรอว่าแม่เธอจะไม่หาทางออกเผื่อไว้ให้เธอ ถ้าวันหนึ่งท่านจากไปแล้วเธอจะอยู่ยังไงล่ะ”

“แม่ฉันบอกอะไรคุณ”

“แม่เธอบอกแค่ว่าเธอจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ให้เธออดทนอีกหน่อย”

“อย่างนี้นี่เอง แม่ทำแบบนี้เหมือนว่าเตรียมตัวตายอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่แม่คิดแต่จะทำเพื่อฉัน แต่เป็นฉันที่กลับไม่รู้อะไรเลย” เด็กสาวตัดพ้อ

“คนเป็นแม่ก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”

“ได้ งั้นฉันจะอดทนอีกหน่อยตามที่แม่บอก ฉันเชื่อแม่” เด็กสาวยิ้มกว้าง

“นี่ก็ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้ว เธอไปเถอะ อ้อ..ฉันอยากบอกอะไรกับเธอสักหน่อย บางครั้งเราก็ต้องทำตัวเย็นชาบ้าง ตอบโต้บ้าง เธอก็ต้องรู้จักปกป้องตัวเองบ้าง”

“คุณไปรู้อะไรมา” เด็กสาวหรี่ตาเอ่ยถามชายหนุ่ม เพราะเธอมั่นใจว่าชาฮีจูต้องรู้อะไรมาแน่นอน

“ฉันไม่รู้อะไรมาหรอก ฉันแค่พูดเรื่องทั่วไป คนเราก็ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

“ช่างเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจว่ามันอาจจะอยู่นอกเหนือหน้าที่ของคุณ ว่าแต่คุณต้องการให้ฉันช่วยใครนะ อ๋อ…คนที่ชื่อคังเยนาใช่มั้ย แต่ฉันยังไม่ได้รับปากว่าจะช่วยนะ” เด็กสาวเอ่ยหยอกต่อชายหนุ่ม สีหน้ายิ้มระรื่นด้วยความพอใจ

“งั้น…ก็ไม่ต้องช่วย!”

“เดี๋ยวสิคุณ ฉันแค่ล้อเล่นเอง คุณไม่คิดจะตื๊อหน่อยเหรอ” เด็กสาวรีบวิ่งดักหน้าเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะเดินจากไป

“จะช่วยหรือไม่ช่วยมันเป็นสิทธิ์ของเธอ ถ้าเธอบอกว่าไม่ ฉันก็แค่ต้องไปหาคนอื่นที่ช่วยคังเยนาได้ก็เท่านั้น”

“คุณนี่ไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เอาซะเลย ใครว่าฉันไม่ช่วยล่ะ โอเค..ฉันตกลงจะช่วยคุณกับคังเยนา แบบนี้พอใจแล้วเนาะ งั้นฉันไปเรียนก่อนนะ” เด็กสาวยิ้มแป้นก่อนจะเดินจากชายหนุ่มไป

ชาฮีจูมองตามหลังคังยูรีอย่างไม่ละสายตา เขาแค่อยากมองดูเธอเดินออกไปเพื่อให้แน่ใจ ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกเป็นกังวลเรื่องคังยูรีถึงเพียงนี้ ไม่ทันที่เด็กสาวจะเดินพ้นสายตาก็ได้หันกลับมามองชาฮีจูอีกครั้ง เธอโบกไม้โบกมือให้ชายหนุ่มด้วยความยิ้มแย้ม ก่อนจะตะโกนออกมา

“ชาฮีจู ขอบคุณนะ”

สิ้นเสียงนั้นเด็กสาวก็หันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปจนละสายตาของชายหนุ่ม ชาฮีจูยืนนิ่งเหมือนถูกแช่แข็ง เขาประหลาดใจและสับสนเป็นอย่างมาก เหตุใดคังยูรีถึงได้รู้จักชื่อเขา เพราะเขาเองก็มั่นใจว่าเมื่อคืนไม่ได้บอกชื่อกับเธอไปเลยด้วยซ้ำ

ชาฮีจูไม่ต้องการที่จะเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องถามคังยูรีให้รู้เรื่องว่าเธอรู้ชื่อของเขาได้ยังไง ชายหนุ่มรีบหุบร่มที่กางอยู่ลง แล้วร่างสูงในชุดขาวก็หายวับไปในทันที