นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Promised พรากสัญญานิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
The Promised พรากสัญญา
เวลาผ่านพ้นไปสักพักนัมจีโฮและคังยูรีก็เดินทางมาถึงบ้านของเด็กสาว ชายหนุ่มยิ้มหวานด้วยความอ่อนโยน เขาพร้อมแล้วที่จะได้ยินคำตอบของเด็กสาว
“พูดมาเถอะพี่ฟังอยู่”
“สมกับที่เป็นพี่จีโฮเลย คือฉัน…คงไปกับพี่ไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากอยู่กับพี่นะ แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ฉันเองก็มีครอบครัวของฉันเหมือนกัน”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นป้าของเธอจริงๆ ใช่มั้ย”
“มันดูเชื่อยากใช่มั้ยคะ แต่ทุกอย่างก็ถูกพิสูจน์หมดแล้วว่าเธอคือป้าของฉันจริงๆ”
“งั้นพี่ก็เบาใจได้หน่อย พี่คงต้องไปอังกฤษคนเดียวแล้วสินะ”
“ขอโทษนะพี่จีโฮ” เด็กสาวก้มหน้ากลั้นน้ำตาไว้
“งั้นเรื่องของเราจะจบลงแค่นี้เหรอ อย่างน้อยเธอก็น่าจะบอกว่ารอพี่กลับมาหรือบอกให้พี่รอเธออะไรก็ได้ ไม่ใช่เงียบไปแบบนี้ เรายังกลับมาเจอกันได้ไม่ใช่เหรอยูรี” ชายหนุ่มน้ำตาคลอดูจะผิดหวังในท่าทีของคังยูรีเป็นอย่างมาก
คังยูรีไม่สามารถให้คำตอบนัมจีโฮได้ เธอเองก็รู้สึกผิดต่อชายหนุ่มมากเหมือนกัน เหมือนให้ความหวังแต่สุดท้ายก็พรากความหวังนั้นไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากรอ แต่เธอแค่ไม่มั่นใจในอนาคตวันข้างหน้า ถ้าเธอบอกว่าจะรอเขากลับมาก็เท่ากับเธอเอาคำสัญญาไปผูกติดเขาเอาไว้ อาจทำให้ชายหนุ่มเกิดความลำบากใจได้ถ้าใจเขาเปลี่ยนไปในภายหลัง และเธอเองก็ไม่รู้อนาคตของตัวเองจะไปในทิศทางไหนด้วย นัมจีโฮเองก็มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นหมอตามความฝัน ถ้ามีเรื่องรบกวนใจก็อาจจะทำให้เขาไม่เต็มที่กับเรื่องตรงนี้
“ไม่ตอบพี่ล่ะ เธอรอจนกว่าพี่จะเรียนจบแล้วกลับมาหาเธอได้มั้ย” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง
“ฉัน ฉัน…” เด็กสาวเอาแต่อ้ำอึ้ง เธอไม่รู้ควรจะตอบชายหนุ่มยังไงดี
“พี่เข้าใจแล้ว เธอเองก็พึ่งจะ16เองยังต้องเจอคนอีกมาก เธอกลัวรอพี่ไม่ได้สินะ”
ชายหนุ่มหัวเราะกลบเกลื่อน เขาแค่ไม่อยากให้คังยูรีต้องคิดมาก เพราะดูท่าเด็กสาวจะมุ่งมั่นในคำตอบของตัวเองไม่เปลี่ยนใจ ถ้าขืนเขายังรั้งเธอไว้ก็มีแต่จะทำให้เธอลำบากใจเสียเปล่า
“เปล่าซะหน่อย” เด็กสาวน้ำเสียงสั่นเครือ
“ยูรี ไม่เป็นไร พี่ไม่เป็นไรจริงๆ แค่เธอมีความสุข มีชีวิตที่ดีขึ้นพี่ก็พอใจแล้ว ป้าของเธอเองก็ดูเป็นคนดีมากด้วย พี่เชื่อถ้าไปอยู่กับเขาเธอต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นแน่”
“พี่จีโฮ” คังยูรีหลั่งน้ำตา เด็กสาวเข้าไปซบอกชายหนุ่มในทันที เธอเองก็รู้สึกใจหายและเสียใจเช่นกันที่ตัดสินใจแบบนี้
นัมจีโฮใช้มือลูบผมของคังยูรีเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน ทั้งสองยืนกอดกันแน่นอยู่สักครู่ก่อนค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกจากกัน นัมจีโฮลูบไปที่แก้มใสของเด็กสาวด้วยความทะนุถนอมแล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปจุมพิตเด็กสาวด้วยความอ่อนโยน ราวกับว่าจุมพิตครั้งนี้ของชายหนุ่มเป็นการกล่าวลาคังยูรีอย่างเป็นครั้งสุดท้าย
____________________________
หลายวันผ่านไป
คังยูรีในชุดนักเรียนกำลังจัดดูความเรียบร้อยของตัวเองอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ก่อนที่จะเดินทางไปโรงเรียน ถึงเมื่อวานจะเป็นวันสอบวันสุดท้ายแต่วันนี้เธอก็ยังคงต้องไปโรงเรียนตามปกติอยู่ ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย และอยากพบปะกลุ่มเพื่อนก่อนที่เธอจะย้ายออกไป ส่วนกับซออึนซูนั้นถึงอยู่ห้องเดียวกันแต่ที่ผ่านมาต่างคนต่างอยู่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว
คังยูรีหันมามองข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอที่จัดใส่ไว้ในลังกระดาษวางอยู่ข้างๆ ประตูห้อง อีกไม่นานเธอต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่จึงจัดเตรียมสิ่งของไว้แต่เนิ่นๆ พอถึงวันที่ต้องย้ายจริงๆ จะได้ไม่ฉุกละหุกจนเกินไป
ช่วงเที่ยงของวัน
คังยูรีเดินมาถึงโรงอาหารก็เห็นกลุ่มเพื่อนของนัมจีโฮยืนพูดคุยกันอยู่ ปกติกลุ่มนี้มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดแต่ครั้งนี้กลับไม่มีนัมจีโฮอยู่ด้วย เด็กสาวเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่จึงเดินเข้าไปทักกลุ่มเพื่อนของนัมจีโฮเพื่อถามไถ่
“พี่จีโฮละคะ ทำไมฉันไม่เห็นพี่จีโฮเลย”
“ล้อเล่นหรือเปล่ายูรี เธอจะไม่รู้เรื่องนี้ได้ไง”
“เรื่องอะไรเหรอคะ” เด็กสาวเลิกคิ้ว คำพูดนั้นทำให้เธอเริ่มกังวล
“อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้เรื่องที่จีโฮกลับไปโซลแล้ว กลับไปตั้งแต่เมื่อวาน ปู่ของจีโฮเสียได้เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว เจ้านั่นก็ไปๆ กลับๆ โซลเป็นว่าเล่น เห็นว่าถ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจีโฮก็จะย้ายไปอังกฤษเลย”
“ได้ยังไง ทำไมตอนพี่จีโฮอยู่กับฉันถึงไม่พูดอะไรเลย”
“เจ้านั่นก็คงกลัวเธอคิดมากแหละมั้ง เธอก็รู้นี่ว่าจีโฮไม่อยากให้ใครต้องคอยเป็นห่วงเรื่องของเขา”
คังยูรีไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เมื่อคืนเธอกับจีโฮยังโทรคุยกันอยู่เลย น้ำเสียงเขาก็ดูปกติทุกอย่าง แปลว่าตอนที่เขาโทรหาเธอคงจะอยู่ที่โซลแล้ว แต่ทำไมชายหนุ่มถึงไม่บอกอะไรเธอเลย คังยูรีเป็นกังวลใจนักเธอรีบวิ่งออกจากโรงเรียนแล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านของนัมจีโฮในทันที
คังยูรียืนอยู่หน้าประตูบ้านของนัมจีโฮ บ้านทั้งหลังดูเงียบไปหมด ประตูบ้านถูกล็อกเอาไว้ เด็กสาวพยายามโทรหานัมจีโฮตลอดแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ราวกับว่าเขาจงใจปิดมือถือเอาไว้ คังยูรีรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นนัก เธอไม่ทันได้บอกลาชายหนุ่มเลยด้วยซ้ำ
ตลอดเวลาที่ผ่านมานัมจีโฮคอยกังวลเรื่องของเธอมาตลอด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรกับชายหนุ่มบ้าง ทั้งที่ตัวเขาเองก็มีเรื่องลำบากใจเหมือนกันแต่กลับเลือกที่ปกปิดเธอเพราะไม่อยากให้เธอต้องคิดมาก นัมจีโฮยังคงยิ้มแย้มให้กับเธอแม้แต่ในวันสุดท้ายที่ต้องจากกัน แต่เหตุใดชายหนุ่มถึงเลือกจากไปโดยไม่กล่าวลาเธอเช่นนี้
คังยูรีในสภาพเซื่องซึมเดินหมดแรงอยู่ริมฟุตบาท เด็กสาวหลั่งน้ำตาคิดถึงแต่นัมจีโฮ พอไม่มีชายหนุ่มอยู่ข้างกายก็รู้สึกเจ็บปวดใจนัก ก่อนหน้านี้เด็กสาวคิดแค่ว่าตัวเองจะผ่านไปได้ต่อให้ไม่มีชายหนุ่มอยู่ข้างกายก็ตาม แต่พอเอาเข้าจริงเธอกลับทำใจยอมรับไม่ได้เลยสักนิด
“เธอเลือกแบบนี้เองแล้วมาทำหน้าเหมือนคนจะตายทำไม” ชาฮีจูที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาเอ่ยหยอกต่อเด็กสาว
“คุณมาซ้ำเติมฉันเหรอ”
“ถ้าคิดถึงเขามากเธอก็ตามเขาไปสิ โซลก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง แต่ฉันบอกเธอเลยนะ ถ้าเลือกที่จะปล่อยเขาไปแล้วเธอก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้”
“ฉันรู้แล้ว”
คังยูรีน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อเธอเป็นคนตัดสัมพันธ์กับชายหนุ่มเองจะมาเว้าวอนตอนนี้ก็คงไม่ได้อะไร เด็กสาวรู้สึกโกรธตัวเองนัก
“ชอบเขาขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่บอกว่าจะรอเขาล่ะ” คำถามของชาฮีจูทำให้คังยูรีชะงักในทันที เด็กสาวค่อยๆ หันมาสบตาชาฮีจูที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ฉันแค่ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของเขา ถ้าฉันสัญญาว่าจะรอก็เท่ากับผูกมัดเขาไว้ ถ้าวันหนึ่งเขาเจอคนที่เขาชอบมากกว่าฉันล่ะ”
“เธอน่ะคิดมาก เธอไม่มั่นใจในตัวเขาหรือไม่มั่นใจในตัวเองกันแน่ ฉันว่าน่าจะเป็นเธอมากกว่าที่จะชอบคนอื่นไปก่อน”
“ทั้งสองอย่างแหละ ฉันไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้น”
เด็กสาวเอ่ยเบาๆ เธอเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางทีการที่นัมจีโฮจากไปโดยไม่ร่ำลาก็อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ เหมือนทั้งคู่ได้แยกย้ายเดินตามเส้นทางที่ตัวเองต้องการ
“งั้นเธอเลือกแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป อย่าเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไปแล้ว”
“แต่ฉันชอบพี่จีโฮมากเลยนะ ฉันชอบเขาขนาดนี้แล้วทำไมฉันถึงปล่อยเขาไปด้วย ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย”
เด็กสาวพร่ำเพ้อถึงชายหนุ่มที่จากไปสะอื้นร้องไห้ไม่ขาดสาย เธอรู้สึกทรมานและเจ็บปวดราวกับหัวใจแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่คิดว่าการจากกันของเธอและนัมจีโฮจะทำให้ทรมานได้ถึงขนาดนี้
ชาฮีจูได้แต่ยืนมองคังยูรีร้องไห้อยู่แบบนั้น เขาเองก็ไม่รู้จะปลอบเธอยังไงเช่นกัน เรื่องของความรักเป็นอะไรที่ชายหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจเลยจริงๆ
__________________________________
เมืองยอซู
คังยูรีในเสื้อยืดกางเกงขาสั้นนั่งอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอนของเธอ หลังจากเรียนจบชั้นม.4 เธอก็ย้ายมาอยู่ที่ยอซูกับผู้เป็นป้าของเธอตามที่ตกลงไว้ เด็กสาวนั่งจ้องตัวเองผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง พรุ่งนี้จะเป็นวันเปิดเทอมวันแรกของเธอ เป็นวันที่เธอต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่เรียนใหม่ และสังคมใหม่
คังยูรีมองรอบตัวเหมือนกำลังมองหาสิ่งของบางอย่าง เมื่อแน่ใจแล้วว่าบนโต๊ะเครื่องแป้งของเธอไม่มีสิ่งที่ต้องการเลยลุกออกจากเก้าอี้เดินออกจากห้องนอนเพื่อลงไปยังชั้นล่างของตัวบ้าน
คังยูรีลงมาที่ห้องครัวเพื่อหาสิ่งของที่เธอต้องการ ไม่ทันได้หาเจอก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีใครบางคนยืนจ้องเธออยู่ เด็กสาวรีบยิ้มทักทายคนดังกล่าวอย่างเป็นมิตร
“พี่ซูฮวา”
“เธอหาอะไรอยู่” หญิงสาวที่ยืนอยู่เอ่ยถามขึ้น สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ซูฮวาหรือชินซูฮวา เป็นลูกสาวของคังอึนจูผู้เป็นป้าของเธอ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นม.6 บ้านหลังนี้แต่เดิมอยู่กัน3คนคือคังอึนจู ชินฮาซอกผู้เป็นสามีและชินซูฮวาผู้เป็นลูกสาว แต่เมื่อ2ปีที่แล้วผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้เสียชีวิตลงด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเลยทำให้บ้านหลังนี้เหลือกันอยู่แค่2คนแม่ลูกก่อนที่จะมีคังยูรีเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน
“ฉันหากรรไกรค่ะ ว่าแต่พี่ซูฮวามีกรรไกรบ้างมั้ย”
“เอาไปทำไม อย่าบอกนะว่าเธอจะเอาไปทำร้ายตัวเอง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันแค่จะตัดผม” เด็กสาวรีบปฏิเสธ
“ฉันว่าผมยาวก็เหมาะกับเธอนะ ทำไมถึงจะตัดสั้นล่ะ”
“ก็แค่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองดูบ้าง”
“งั้นตามมาสิที่ห้องฉันมีกรรไกรอยู่ เดี๋ยวฉันจะเป็นช่างตัดผมให้เธอเอง” หญิงสาวเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นบันไดนำไปก่อน
คังยูรีเองก็พอจะดูออกว่าญาติผู้พี่ของเธอเหมือนไม่ค่อยจะเอ็นดูเธอเท่ากับป้าของเธอเท่าไหร่ แต่เธอก็เข้าใจได้เพราะเธอพึ่งย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าถิ่นอาจจะไม่ค่อยพอใจ แต่ถึงอย่านั้น การที่ชินซูฮวาไม่สนใจเธอก็เป็นเรื่องดี เพราะเธอเองก็พอใจกับการต่างคนต่างอยู่มากกว่า คังยูรีตัดสินใจอยู่สักครู่ก่อนจะเดินตามชินซูฮวาขึ้นไป
เช้าวันใหม่ โรงเรียนมัธยมปลายยองคัง
คังยูรีมาถึงโรงเรียนแห่งใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่ เด็กสาวอยากมาก่อนเวลาเพื่อทำความคุ้นเคยกับโรงเรียนให้มากขึ้น ถึงทุกอย่างจะไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ ทั้งสถานที่ใหม่ รวมถึงยูนิฟอร์มใหม่ที่สวมใส่แต่ก็ไม่ได้ดูกังวลจนเกินไป เธอยังคงยิ้มพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเสมอ
คังยูรียืนอยู่หน้ากระจกห้องน้ำเพื่อมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง ผมยาวประบ่าในลุคใหม่ของเธอดูไม่เลวนัก เด็กสาวพอใจมากกับช่างตัดผมจำเป็นของเธอ ฝีมือตัดผมของชินซูฮวาก็ใช้ได้อยู่เหมือนกัน
เมื่อถึงเวลาเข้าเรียนคาบแรกของวัน คังยูรีได้ถูกแนะนำตัวต่อหน้าเพื่อนๆ ในชั้นเรียนด้วยครูประจำชั้น เด็กสาวยิ้มกว้างทักทายทุกคนอย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเองที่ได้มีการจัดเตรียมเอาไว้
“ฉันนาอึนนะ นี่ก็แดอุน ยินดีที่ได้รู้จักนะเพื่อนใหม่”
นักเรียนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยทักทายคังยูรีด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะชี้ไปที่เพื่อนชายร่วมห้องที่นั่งถัดจากพวกเธอ ทั้งคู่ดูจะตื่นเต้นเล็กน้อยมีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามา
คังยูรีรู้สึกโล่งใจไปมากที่การเริ่มต้นใหม่ขอเธอไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนในห้องเรียนเข้ามายิ้มและทักทายเลยทำให้เธอคลายความกังวลไปได้มาก และอีกอย่างทั้งสองคนนั้นก็ดูน่ารักและดูจริงใจต่อเธออยู่เช่นกัน
เมื่อถึงช่วงพักเที่ยงคังยูรีเลือกที่จะเดินเข้าห้องสมุดแทนการไปทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหาร เด็กสาวแค่อยากหลีกเลี่ยงความวุ่นวายเพราะเธอยังไม่คุ้นชินกับโรงเรียนใหม่เท่าไหร่ และเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกหิวด้วย
คังยูรีเดินเลือกหาหนังสืออ่านตามชั้นวางหนังสือ ห้องสมุดที่นี่ดูใหญ่กว่าห้องสมุดที่โรงเรียนเก่าของเธอเล็กน้อย แถมยังมีหนังสือหลากหลายที่น่าสนใจอีกด้วย เด็กสาวดูมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ท่ามกลางหนังสือมากมายและที่สงบๆ แบบนี้
“ยัยบ้า! เดินดูหน่อยสิ จะชนฉันแล้วไม่เห็นเหรอ”
เสียงของนักเรียนหญิงคนหนึ่งดังขึ้น เธอกำลังตวาดใส่เด็กนักเรียนหญิงอีกคนที่วิ่งไม่ดูที่ดูทางเกือบจะชนเธอเข้าให้ คังยูรีมองไปที่เด็กสาวที่ตวาดเสียงดังนั้นอยู่สักครู่ ก่อนหันกลับมาสนใจหนังสือที่วางอยู่บนชั้นตามเดิม
คังยูรีเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากชั้นวาง เด็กสาวก้าวเท้าออกจากชั้นหนังสือโดยไม่ทันระวังว่ามีนักเรียนหญิงบางคนเดินเข้ามาพอดี คังยูรีสะดุ้งตกใจทำให้หนังสือที่ถืออยู่ในมือตกลงที่พื้น เธอรีบก้มเก็บหนังสือดังกล่าวขึ้นมา ก่อนจะจ้องไปที่นักเรียนสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด
“แย่แล้ว นี่มันคนนั้นนี่” เด็กสาวพึมพำในใจ แววตาดูกังวลอยู่ไม่น้อย
คังยูรีจำได้ว่าผู้หญิงที่เธอเกือบจะชนนั้นเป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่ตวาดใส่นักเรียนอีกคนเมื่อสักครู่ คังยูรีคิดในใจว่าเธอต้องโดนนักเรียนหญิงดังกล่าวตะคอกและด่าให้เป็นแน่ ยิ่งแววตาของเด็กสาวที่กำลังมองเธอตอนนี้ดูไม่ค่อยพอใจนัก
“ขอโทษนะ” คังยูรีรีบขอโทษต่อนักเรียนคนดังกล่าว ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินเลี่ยงเธอออกไป
“เดี๋ยว!”
เสียงตะโกนเรียกของนักเรียนสาวคนนั้นทำให้คังยูรีสะดุ้งโหยง ดีนะที่ช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีนักเรียนอยู่ที่ห้องสมุดมากเท่าไหร่ ไม่งั้นเธอคงได้เห็นสายตาที่ไม่พอใจอยู่หลายคู่เป็นแน่ที่เสียงดังในสถานที่แบบนี้ ถึงเธอจะไม่ใช่ฝ่ายเริ่มก็ตาม
คังยูรีค่อยๆ หันมาสบตาเด็กสาวที่ยืนอยู่ ขืนเธอหนีไปก็คงถูกเด็กสาวดังกล่าวตามตัวเจอจนอย่างแน่นอน เพราะลักษณะและท่าทางของเธอดูเอาเรื่องเหมือนเป็นคนไม่ยอมใครเหมือนกัน
“ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้ชนเธอสักหน่อย”
แต่เหมือนคำอธิบายของคังยูรีจะไม่ได้ผล เด็กสาวคนดังกล่าวค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เธอมากกว่าเดิม ทำให้เธอเองก็รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
“นี่ เธอมองเห็นฉันด้วยเหรอ”
คังยูรีตกใจกับคำถามของเด็กสาวเป็นอย่างมาก ก็เห็นๆ อยู่ว่าเธอยืนอยู่ตรงหน้าแล้วเหตุใดถึงได้ถามเรื่องไร้สาระเช่นนี้ออกมา
“เธอพูดแบบนี้หมายความว่าไง”
คังยูรีเริ่มกังวลกับท่าทางของเด็กสาวคนดังกล่าวที่ดูแปลกจนเกินไป ไหนคำพูดของเธอ ไหนจะรอยยิ้มน่ากลัวที่กำลังยิ้มให้เธอและมองมาที่เธออีก คังยูรีรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก