นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Promised พรากสัญญานิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
The Promised พรากสัญญา
คังยูรีค่อยๆ ถอยหลังออกมา ตอนนี้คิดแค่ว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างคังเยนาดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่เลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสนทนาด้วย คังยูรีหันหลังกลับเพื่อจะเดินเลี่ยงออกไป แต่ก็ถูกคังเยนาวิ่งเข้ามาดักหน้าเอาได้เสียก่อน
“เธอจะหนีไปไหน ไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอ”
“อย่ายุ่งกับฉันเลยนะ” คังยูรีรีบตอบกลับพร้อมก้าวเท้าเดินต่อ
“หยุดนะ คังยูรี!”
เสียงตะโกนของคังเยนาทำให้คังยูรีต้องสะดุ้งอีกรอบ เด็กสาวดังกล่าวต้องการอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้ตามตอแยเธอไม่เลิกแบบนี้ แล้วทำไมถึงได้รู้จักชื่อของเธอด้วย
“เธอต้องการอะไรกันแน่ แล้วรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
“ก็นั่นไง?” คังเยนาชี้ไปที่ป้ายชื่อที่ปักอยู่บนชุดนักเรียนของคังยูรี
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ เธอเองก็เดินเข้ามาไม่ระวังเองเหมือนกัน อีกอย่างฉันก็ยังไม่ชนเธอด้วย”
“เธอนี่พูดมากจริงๆ แต่พูดมากแบบนี้ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้ไม่เหงา ทีแรกฉันก็กังวลแทบแย่ว่าเราจะคุยกันรู้เรื่องมั้ย บอกหน่อยสิทำไมเธอถึงมองเห็นฉันได้ล่ะ”
“เธอพูดอะไรของเธอ ยิ่งพูดยิ่งงง ใครที่ไหนก็มองเห็นเธอกันทั้งนั้น”
“ก็ได้ งั้น..เดี๋ยวฉันจะทำอะไรให้ดู”
คังเยนาเผยรอยยิ้มออกมาเพราะเธอคิดเรื่องสนุกบางอย่างออก เด็กสาวเดินเข้าไปยังกลุ่มนักเรียนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ ก่อนจะขึ้นไปเหยียบเก้าอี้และก้าวเท้ายืนอยู่บนโต๊ะ การกระทำของคังเยนาทำให้คังยูรีตกใจเป็นอย่างมาก
“เธอทำอะไรน่ะ ลงมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ดูนี่นะ ยัยคุณครูปากร้าย ยัยคุณครูนิสัยไม่ดี พวกเด็กนักเรียนไม่มีใครชอบครูเลยสักคน ครูได้ยินมั้ย?”
คังเยนาตะโกนไปทางที่ครูสาวนั่งอยู่ เธอตะโกนสุดเสียงแต่ว่าครูคนดังกล่าวรวมถึงนักเรียนทุกคนก็ยังอยู่ในท่าทางปกติไม่มีใครได้ยินเสียงเธอเลยสักนิด คังยูรีหันกลับมามองคังเยนาที่กำลังก้าวลงจากโต๊ะ เด็กสาวฉงนใจเป็นอย่างมาก เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไง
“แต่เมื่อกี๊ฉันยังเห็นเธอตวาดใส่คนที่เดินชนเธออยู่เลยนะ”
“ฉันก็ทำฟอร์มดุไปอย่างนั้นและเพราะรู้ว่าไม่มีใครมองเห็นฉันไง”
“ไม่อ่ะ ฉันไม่เชื่อ” เด็กสาวยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
คังยูรีเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ เด็กสาวชี้ให้นักเรียนกลุ่มนั้นมองคังเยนาที่ยืนอยู่พร้อมกับถามทุกคนว่ามีใครเห็นคังเยนาเหมือนกับที่เธอเห็นมั้ย แต่ไม่ว่าจะถามสักกี่คนก็ได้คำตอบแบบเดียวกันคือไม่มีใครมองเห็น พอเป็นอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้เด็กสาวเริ่มหวาดกลัวขึ้นอีกครั้ง หรือว่าคังเยนาจะเป็นผี เธอเองก็ไม่ได้มีตาวิเศษที่จะมองเห็นผีสักหน่อย
“นี่ ทำไมต้องตัวสั่นด้วย เธอเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นอะไรทำนองนี้ไม่ใช่เหรอ”
“อย่ามาใกล้ฉันนะ” คังยูรีค่อยๆ ถอยออกห่างออกทันทีที่คังเยนาเดินเข้าใกล้
“งั้น…เธอก็กลัวชาฮีจูเหมือนที่กลัวฉันใช่มั้ย”
“ชาฮีจู หมายถึงคนส่งจดหมายนั่นเหรอ"
“ใช่ ชาฮีจู ชายหนุ่มชุดขาวผู้ส่งสารนั่นแหละ”
“งั้น…เธอก็….”
“อ้อใช่ ฉันลืมแนะนำตัวเองไปสินะ ฉัน…คังเยนา คนที่เธอจะมาช่วยไง” คังเยนายิ้มหวานชี้ไปที่ป้ายชื่อที่ติดอยู่ที่เสื้อนักเรียนของตัวเอง
“ไม่ใช่สิ ชาฮีจูบอกว่าเธอเป็นคนไม่ได้บอกว่าเธอเป็นผี แล้วฉันจะไปช่วยผีได้ยังไง”
“ฉันไม่ใช่ผีสักหน่อย ถ้าฉันเป็นผีป่านนี้พวกยมทูตคงพาตัวฉันไปแล้วมั้ง”
“แล้วทำไมถึงไม่มีใครมองเห็นเธอล่ะ ถ้าเธอไม่ใช่ผีแล้วคืออะไร”
“อืม…ชาฮีจูบอกว่า ฉันแค่วิญญาณออกจากร่าง ถ้าหาร่างเจอฉันก็จะกลับเข้าร่างได้ เป็นแบบนี้ไงถึงต้องให้เธอช่วย เพราะมีแค่เธอคนเดียวที่มองเห็นฉันกับชาฮีจู ช่วยฉันหน่อยนะยูรี”
เหมือนคังยูรีจะเริ่มชินกับสถานการณ์ตอนนี้แล้ว แค่ได้ยินชื่อของชาฮีจูก็ทำให้เธอคลายความกังวลลงได้บ้าง เพราะเธอเองก็ผ่านเรื่องราวของชาฮีจูมาก่อน ถ้าจะมีคนประเภทเดียวกันกับชาฮีจูเพิ่มมาอีกคนก็พอจะตั้งรับได้
คังยูรีสังเกตเห็นว่ามีกลุ่มนักเรียนกำลังมองมาที่เธอแล้วซุบซิบนินทา เพราะคนปกติทั่วไปจะเห็นเหมือนว่าเธอกำลังพูดคุยอยู่คนเดียว เด็กสาวไม่อยากเป็นจุดสนใจเลยพาคังเยนาเดินไปคุยในที่หลบมุมออกจากผู้คน
“เห็นชาฮีจูบอกว่าเธอจำอะไรไม่ได้ เธอเป็นแบบนี้มานานยัง”
“ก็หลายเดือนแล้ว หรืออาจจะเป็นปีแล้วมั้ง ฉันตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่ห้องสมุดนี้แล้วจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ฉันอยู่แบบนี้ตั้งนานกว่าชาฮีจูจะมาเจอ หลายเดือนก่อนเขาบอกว่าเธอช่วยฉันได้ฉันก็เลยตั้งตารอเธอทุกวันนี่แหละ”
“แบบนี้นี่เอง”
“แต่ชาฮีจูบอกว่าเธอจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงไม่ได้ไปแล้วล่ะ”
“อ้อ…เรื่องนั้น”
คังยูรีพูดไม่ออก คำพูดของคังเยนาทำให้เธอคิดถึงนัมจีโฮขึ้นมา เด็กสาวลูบไปที่สร้อยผลึกที่สวมใส่หวนคิดถึงผู้เป็นเจ้าของเดิม คังยูรีหน้าซึมเล็กน้อย ผ่านมาเดือนกว่าแล้วเธอก็ยังคงคิดถึงชายหนุ่มอยู่เสมอ
“เป็นอะไร ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ”
“เปล่า ฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ แล้วชาฮีจูล่ะช่วงนี้ทำไมฉันไม่เห็นเขาเลย”
“ช่วงนี้ฉันก็ไม่เจอเขาเหมือนกัน สงสัยไปทำงานของตัวเองมั้ง เขาก็เป็นแบบนี้แหละผลุบๆ โผล่ๆ อยากมาก็มา อยากไปก็ไป”
“แล้วฉันต้องเริ่มยังไง ช่วยเธอยังไง”
“เรื่องนี้ต้องให้ชาฮีจูอธิบาย รอให้เขามาก่อนค่อยว่ากันอีกที”
“อืม ฉันแค่กลัวว่ามันจะไม่ทันเวลา3เดือน นี่ก็เหลือเวลาแค่เดือนกว่าแล้ว”
“ทำไมเหรอ ครบ3เดือนเธอจะไปไหนเหรอ”
“ไม่ได้ไปไหน ก็ฉันมีเวลาช่วยเธอแค่3เดือนไม่ใช่เหรอ” คังยูรีแสดงสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ใครบอกเธอว่าฉันมีเวลาแค่3เดือน”
“ก็ชาฮีจูไง”
“ไม่นะ เขาบอกแค่ว่า…ถ้าฉันหาร่างตัวเองเจอตอนไหนก็กลับเข้าร่างตอนนั้นได้เลย ไม่เห็นเขาจะพูดถึงเรื่อง3เดือนอะไรที่เธอว่าสักนิด”
“อะไรนะ! นี่แปลว่าเขาหลอกฉันเหรอ”
คังยูรีขมวดคิ้วไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ชาฮีจูโกหกเรื่องของคังเยนา ตลอดที่ผ่านมาเธอเองก็กังวลมาตลอดว่ากลัวจะช่วยเหลือคังเยนาได้ไม่ทันเวลา แต่พอมารู้แบบนี้ก็อดเคืองขุ่นให้ชายหนุ่มไม่ได้
“ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วงั้นฉันไปก่อนนะ”
คังยูรีหันมาแจ้งเด็กสาวที่ยืนอยู่ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องสมุดด้วยความเร่งรีบ แต่เหมือนคังเยนาเองก็ยังอยากให้คังยูรีอยู่ต่อเลยรีบเดินตามออกไป ไม่ทันที่จะเดินพ้นประตูห้องสมุดก็มีพลังงานบางอย่างดึงดูดร่างของเธอให้กลับเข้ามาอยู่ภายในบริเวณห้องสมุดตามเดิม เด็กสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความไม่สบอารมณ์
“ถ้าเธอไปแล้วฉันจะคุยกับใครล่ะ ทำไมฉันต้องมาติดอยู่ที่นี่ด้วย จะออกไปไหนก็ไปไม่ได้ น่าโมโหชะมัด” คังเยนาพึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิด
เป็นเวลาร่วมเกือบปีแล้วที่คังเยนาถูกจองจำอยู่ที่ห้องสมุดแห่งนี้ เธอและชาฮีจูก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมวิญญาณของเธอถึงต้องมาติดอยู่ที่แห่งนี้ สงสัยเรื่องนี้ก็คงมีแค่คังยูรีเท่านั้นที่สามารถให้คำตอบเธอได้
คังยูรีกลับมาถึงห้องเรียนก็เห็นขนมปังและนมกล้วยวางอยู่บนโต๊ะเรียนของเธอ เด็กสาวมองไปยังรอบๆ ห้องเพื่อมองหาคนที่นำมาให้ แต่ทุกคนที่อยู่ในห้องก็ดูไม่ได้สนใจเธอเท่าไหร่ แล้วของพวกนี้มาอยู่บนโต๊ะเธอได้ยังไงกัน
“ยูรี มาแล้วเหรอ” ซองนาอึนยิ้มให้กับคังยูรีทันทีเดินมาถึงโต๊ะเรียนของเธอ
“แล้วนี่…”
“อ๋อ ฉันเอามาวางไว้ให้เธอเอง ขนมปังของแดอุนและนมกล้วยของฉันเอง พอดีฉันกับแดอุนเห็นว่าเธอไม่ได้ไปกินข้าวที่โรงอาหารเลยเอามาให้น่ะ เหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะเลิกเรียน ถ้าเธอไม่กินอะไรบ้างเดี๋ยวหน้ามืดเอานะ”
คังยูรีนัยน์ตาสั่นเครือเธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความมีน้ำใจ ความโดดเดี่ยวที่เธอมีก่อนหน้านี้เหมือนค่อยๆ จางหายไปทีละเล็กทีละน้อย เด็กสาวไม่รู้ว่าซองนาอึนกับโดแดอุนนั้นจะจริงใจกับเธอจริงมั้ย หรือบางทีคบกันไปนานๆ อาจจะเป็นเหมือนซออึนซูหรือเปล่า แต่เธอก็อยากจะลองเสี่ยงดูอีกครั้ง เธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตปกติ ที่อยากมีเพื่อน อยากมีสังคมเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไปเหมือนกัน
“ขอบใจมากนะ” คังยูรียิ้มให้ซองนาอึนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเบนสายตายิ้มไปมองโดแดอุนที่กำลังเดินมาทางเธอพอดี
“รีบๆ กินเถอะ เดี๋ยวครูโกมาเธอจะอดกินได้นะ จะบอกให้ว่าครูโกดุมาก”
เสียงกระซิบที่ข้างหูของซองนาอึนทำให้คังยูรีหลุดขำออกมา เด็กสาวรีบทานขนมปังทันทีตามที่เพื่อนสาวบอก คังยูรีรู้สึกมีความหวังอีกครั้ง อย่างน้อยเธอก็มีเพื่อนไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว
_______________________
ช่วงค่ำของวัน
คังยูรีกลับมาถึงบ้านก็ค่ำพอดี เด็กสาวยังไม่ค่อยคุ้นชินกับเส้นทางเท่าไหร่เลยทำให้เดินหลงไปบ้าง พอจะเดินขึ้นห้องนอนก็เห็นชินซูฮวายืนพิงราวบันไดมองมาที่เธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย คังยูรีรีบยืดตัวตรง หรือว่าเธอทำอะไรให้หญิงสาวไม่พอใจเลยมาดักรอเธออยู่แบบนี้
“นี่มันกี่โมงแล้วทำไมพึ่งถึงบ้าน”
“ขอโทษค่ะ ฉันเดินหลงนิดหน่อย พอดียังไม่ค่อยคุ้นทางที่นี่เท่าไหร่”
“โตขนาดนี้แล้วยังจะหลงทางอีก เธอนี่ภาระฉันจริงๆ”
“พี่ซูฮวาไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ ยังไงฉันก็ไม่ทำตัวเป็นภาระพี่แน่นอน”
“ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับเธอหรอกนะถ้าแม่ไม่ได้ขอไว้ อยู่บ้านเขาก็หัดทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยสิ ว่าแต่…ทำไมวันนี้ฉันไม่เห็นเธอไปกินข้าวที่โรงอาหารเลย”
“ฉันไปอยู่ห้องสมุดค่ะ พอดีไม่หิว”
“ต่อไปนี้ไม่หิวก็ต้องกิน ตอนพักเที่ยงฉันต้องเห็นเธอที่โรงอาหารเข้าใจมั้ย เดี๋ยวแม่ก็มาว่าฉันอีกว่าไม่ดูแลเธอ ไม่รู้ฉันหรือเธอกันแน่ที่เป็นลูกแม่ จะห่วงอะไรเธอมากมายก็ไม่รู้”
“ค่ะ ต่อไปฉันจะไปกินข้าวที่โรงอาหาร” คังยูรีรีบตอบรับ เด็กสาวยิ้มเล็กน้อยก่อนจะขอตัวขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง
ชินซูฮวาชักสีหน้ากลอกตามองตามคังยูรีก่อนจะเดินลงบันไดมาที่ห้องครัว เธอเองก็ยังไม่คุ้นชินกับการมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในบ้านเท่าไหร่ ยิ่งผู้เป็นแม่ฝากฝังให้ดูแลคังยูรีอีกก็ยิ่งทำให้หงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
คังยูรีมาถึงห้องก็ล้มตัวนอนลงที่เตียงทันที เด็กสาวถอนหายใจด้วยความหวั่นใจ ที่โรงเรียนมีเรื่องคังเยนาให้กังวลกลับมาบ้านก็ยังต้องมากังวลเรื่องของชินซูฮวาอีก คำพูดกระแทกแดกดันของชินซูฮวาทำให้เธอไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก เธอยังไม่ทันทำอะไรก็ถูกต่อว่าเสียแล้ว
“สู้ๆ นะคังยูรี เธอต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขให้ได้เข้าใจมั้ย” เด็กสาวพูดปลอบใจตัวเองให้ฮึกเหิม
ระหว่างนั้นอยู่ๆ คังยูรีก็นึกถึงชาฮีจูขึ้นมา เด็กสาวสะดุ้งลุกจากเตียงคิดถึงคำพูดของคังเยนาที่บอกกับเธอ ดูเหมือนว่าเธอยังรู้สึกเคืองขุ่นที่ชาฮีจูหลอกเธออยู่
“นี่ คุณส่งสารคุณอยู่มั้ยออกมาเจอฉันหน่อยสิ หลอกฉันแล้วยังจะมาหลบหน้าฉันอีกเหรอ ฉันโกรธนะ ได้ยินมั้ยว่าฉันโกรธคุณ"
คังยูรีพูดลอยๆ ออกไปเผื่อว่าชายหนุ่มจะได้ยิน แต่เหมือนจะไม่เป็นผลเพราะทุกอย่างดูเงียบสงบไม่ได้มีการตอบรับกลับมา เกือบเดือนแล้วที่เธอไม่ได้เจอชาฮีจู ใจหนึ่งก็กังวลว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับชายหนุ่มหรือเปล่าเลยทำให้เขาออกมาเจอเธอไม่ได้
_________________________
ณ ห้วงนิมิต
ชาฮีจูหลับตานั่งบำเพ็ญพลังวิญญาณอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ชายหนุ่มต้องเก็บสั่งสมพลังปราณเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณให้แก่ตัวเอง การที่เขามาทำหน้าที่ผู้ส่งสารในโลกวิญญาณนี้ก็ย่อมต้องมีพลังวิญญาณพิเศษเพื่อไว้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเช่นกัน
ชาฮีจูอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ ในโลกของเขายังมีกลุ่มที่คอยตามล่าดวงวิญญาณอาฆาตร้ายที่เป็นภัยต่อโลกวิญญาณอยู่ด้วย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ขนานนามว่าซองชิล เป็นกลุ่มที่มีพลังวิญญาณแข็งกล้าผู้อยู่จุดสูงสุดของโลกวิญญาณ
ย้อนกลับไปเมื่อ13ปีก่อน
เมื่อครั้งวัยรุ่นถือว่าชาฮีจูเป็นเด็กที่ค่อนข้างเกเรชอบรังแกเพื่อนร่วมห้อง มีนักเรียนหลายคนที่ถูกเขารังแกจนต้องย้ายโรงเรียน บางคนก็เกือบจบชีวิตตัวเองก็มี
คืนวันหนึ่งชาฮีจูได้ออกมาสังสรรค์กับเพื่อนนักเรียนชาย กลุ่มของเขามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเรียนอีกโรงเรียนที่ไม่ถูกกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกคนถูกนำตัวมายังสถานีตำรวจเพื่อรอผู้ปกครอง เวลาล่วงเลยผ่านไปพอสมควร เหล่านักเรียนทุกคนต่างก็มีผู้ปกครองของตนมารับยกเว้นชาฮีจู
ชาฮีจูมองไปยังประตูทางเข้าและเฝ้ารอผู้เป็นพ่อแม่หรือใครก็ได้ที่จะสามารถรับเขาออกไปจากสถานีตำรวจได้ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อผู้เป็นพ่อกับแม่ให้เหตุผลว่าไม่สะดวกที่จะมารับ ซึ่งเขาเองก็รู้เหตุผลนี้ดีเพราะพ่อกับแม่ไม่อยากเสียหน้าเพราะลูกชายตัวเองถูกตำรวจจับมากกว่า
ระหว่างน้อยเนื้อต่ำใจอยู่นั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงลมหนาวบางอย่างที่เข้ามาสัมผัสผิวกาย ทันใดนั้นก็มีชายสูงวัยในชุดขาวม่อฮ่อมทั้งตัวกำลังเดินตรงมาทางเขาและบอกกับตำรวจไปว่าเป็นครูที่โรงเรียน ตำรวจจึงวางใจปล่อยตัวเขาให้ออกมากับชายสูงวัยได้
“คุณลุงเป็นใคร ทำไมต้องโกหกตำรวจว่าเป็นครูของผมด้วย”
“ฉันเป็นใครก็ช่าง เธอแค่รู้ไว้ว่าฉันมาช่วยเธอก็พอ ฉันจะพาเธอไปที่ที่หนึ่ง”
“ทำไมผมต้องไปกับลุงด้วย”
“มันมีเหตุผลที่เธอต้องไป ตามมาสิ”
ชาฮีจูเดินตามชายสูงวัยนั้นไปแต่โดยดี เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เชื่อใจชายคนดังกล่าวนัก ชาฮีจูไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ยิ่งเดินมากเท่าไหร่ ลมหนาวก็พัดผ่านเข้ามามากกว่าเดิม ทุกย่างก้าวที่เดินรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ชาฮีจูรีบโอบกอดตัวเองเพื่อคลายความหนาวนั้นเอาไว้
เดินได้สักพักก็มีแสงสีขาวสาดส่องมาที่ตัวเขากับชายสูงวัยดังกล่าว แสงนั้นส่องมากระทบดวงตาทำให้ชาฮีจูต้องรีบหลับตาลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชาฮีจูค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาทุกอย่างรอบตัวดูขาวโพลนไปหมด ชายหนุ่มมองไม่เห็นสิ่งรอบตัวราวกับว่าตัวเขาถูกขังไว้ในกล่องใบใหญ่สีขาว ไม่ว่าจะต้นไม้ หรือตึกรามบ้านช่องชายหนุ่มก็มองไม่เห็นเลยสักนิด ทุกอย่างรอบตัวเขาดูว่างเปล่าไปหมด สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ชาฮีจูประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“นี่มันอะไรกัน ลุงพาผมมาที่ไหน”
“เดี๋ยวเธอก็รู้”
พูดไม่ทันขาดคำ แสงขาวจ้าก็สาดส่องมาที่ชายหนุ่มอีกครั้ง ชาฮีจูรีบหลับตาเพื่อหลีกเลี่ยงแสงนั้นอีกรอบ เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แต่ครั้งนี้สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังที่เขาไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ที่แปลกใจกว่านั้น เมื่อครู่เขายังอยู่ริมทางเดินอีกที่อยู่เลยแต่ทำไมตอนนี้ถึงมาโผล่ที่นี่ได้
“เข้าไปสิ เธอต้องไปพบใครคนหนึ่ง”
“นี่เป็นบ้านของใคร แล้วทำไมผมต้องไปเจอเขาด้วย”
“เธอเข้าไปก็จะรู้ทุกอย่างเอง” ชายสูงวัยเผยรอยยิ้มขึ้นมา
ชาฮีจูทำตามที่ชายสูงวัยบอก ชายหนุ่มค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว ระหว่างที่เดินเข้าไปข้างในบ้าน ก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนเดินสวนออกมาจากห้องห้องหนึ่งที่อยู่ในบ้านพอดี แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมองไม่เห็นเขาเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจอยู่เหมือนกันแต่ก็ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังห้องที่หญิงดังกล่าวพึ่งเดินออกมา
ชาฺฮีจูเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แววตาสั่นไหวของเขาจับจ้องไปยังคนที่อยู่เบื้องหน้า ชาฮีจูสั่นไปทั้งตัวเหงื่อเริ่มไหลซึมผ่านร่างกายออกมา นี่มันอะไรกัน! ทำไมคนผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้