ฮาร์วีย์อุตส่าห์ยอมเสี่ยงตายเพื่อให้ได้มาทำงานที่เดียวกับชายที่ตนหลงรัก แต่แล้วจู่ ๆ เขากลับตื่นขึ้นในกองขยะ และพบว่าตนเองกลายเป็นตาแก่ไปเสียแล้ว...ร่างกายแบบนี้จะจีบผู้ติดได้ยังไงกัน! เอาวัยหนุ่มของฉันคืนมานะ!
แฟนตาซี,ผจญภัย,ไซไฟ,ชาย-ชาย,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,#BL,แฟนตาซี,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจทวงคืนวัยหนุ่มของฮาร์วีย์ฮาร์วีย์อุตส่าห์ยอมเสี่ยงตายเพื่อให้ได้มาทำงานที่เดียวกับชายที่ตนหลงรัก แต่แล้วจู่ ๆ เขากลับตื่นขึ้นในกองขยะ และพบว่าตนเองกลายเป็นตาแก่ไปเสียแล้ว...ร่างกายแบบนี้จะจีบผู้ติดได้ยังไงกัน! เอาวัยหนุ่มของฉันคืนมานะ!
นี่ไม่ใช่การแนะนำเรื่องของนักเขียนหน้าเห็ดงี่เง่าที่ทำลายชีวิตผม แต่เป็นพื้นที่ในการเรียกร้องความเป็นธรรมของตัวละคร!
สวัสดีนะคนที่ผ่านมา ถึงผมจะไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่คุณต้องมีจิตใจดีกว่าคนที่เขียนเรื่องของผมขึ้นมาแน่
คืองี้ ผมชื่อฮาร์วีย์ ใช่ ผมเป็นนายเอกของนิยายห่วยแตกเรื่องนี้ ผมอัดอั้นมานาน ไหน ๆ คุณก็ผ่านมาแล้ว ช่วยฟังผมบ่นหน่อยแล้วกัน คุณจะได้เห็นว่านักเขียนคนนี้กลั่นแกล้งผมขนาดไหน
แรกเริ่มเดิมที ผมเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่มีความฝันอยากแต่งงานกับผู้ชายดี ๆ สักคน แต่เจ้านักเขียนนั่นก็ทำให้ชีวิตของผมย่อยยับด้วยมือทั้งสองข้างและคอมพิวเตอร์โง่ ๆ ของเขา ตั้งแต่การเขียนให้ผมมีชีวิตอนาถา พ่อแม่ตายตอนเจ็ดขวบ ถูกปูไล่หวดเพราะไม่ยอมเรียนเรื่องยา พอหนีออกจากบ้านมาหาผู้ ก็ถูกสาปให้กลายเป็นคนแก่!
มันเกินไปมั้ย!
ผมพยายามแทบตายเพื่อที่จะได้อยู่กับชายที่ผมแอบชอบมาตั้ง 10 ปี แล้วดูสิ ความหล่อที่ผมสั่งสมมาทั้งชีวิตหายวับไปกับตา เหลือแต่ผิวเหี่ยว ๆ หนังย่น ๆ และเสียงแหบ ๆ ไม่มีส่วนไหนที่สามารถใช้เป็นอาวุธตกผู้ได้เลย!
ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังต้องออกเดินทางด้วยสภาพอิดโรยไปหาเรื่องเสี่ยงตายต่าง ๆ นานาเพื่อทวงเอาอายุขัยและวัยหนุ่มแสนรุ่งเรืองของผมคืนมา
ใช้งานตัวละครหนักชะมัด! เงินเดือนผมก็ไม่ได้นะเนี่ย!
อะไรนะ? ...มีอีกไหมเหรอ?
โอ้! นี่ยังไม่ถึงครึ่งกับสิ่งที่เจ้านักเขียนคนนี้ทำกับผม ถ้าทุกคนอ่านต่อไปก็จะได้รู้เองว่าเจ้าเห็ดสีน้ำเงินคนนี้มันร้ายกาจขนาดไหน
โปรดเอาใจช่วยผมให้รอดพ้นจากโชคชะตาที่แสนเลวร้ายครั้งนี้ด้วย
**นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง เนื้อหา ตัวละคร สถานที่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นเรื่องสมมติเท่านั้น**
***คำเตือน : เนื้อหาในนิยายมีการใช้ความรุนแรง ฉากฆ่าฟันนองเลือด กรุณาใช้วิจารณญาณอย่างมากในการอ่าน ห้ามลอกเลียนแบบเด็ดขาดเลยนะฮะ***
วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกมีความสุขกับการอาบน้ำที่สุดในรอบครึ่งปี
ภาพปกติที่สามารถเห็นได้ในห้องอาบน้ำรวม คือร่างของชายหนุ่มสูงเกือบสองเมตรหลายสิบคนดึงผ้าขนหนูของกันและกันอย่างสนุกสนาน ไม่ก็เศษซากกางเกงในปลิวว่อนในอากาศ...ผมรู้สึกทึ่งที่ตัวเองสามารถรอดพ้นคืนวันอันแสนโหดร้ายเหล่านั้นมาได้ โดยไม่เสียสติไปเสียก่อน
ผมเดินออกจากห้องอาบน้ำ เช็ดตัว แล้วสวมเครื่องแบบเด็กฝึก ซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อสีดำแขนกุดทับด้วยแจ็กเกตทหารทำจากผ้าฝ้ายทอหนา และกางเกงคาร์โก้สีเข้ม แม้มันจะไม่เข้ากับคนรูปร่างผอมกะหร่องแบบผมเลยก็ตาม
ก็นะ...เพราะต้องเอาตัวรอดจากการกลั่นแกล้งของโอเว่น และการฝึกมหาโหด ผมเลยแทบไม่มีเวลามาสนใจเรื่องแฟชั่นการแต่งตัวเสียเท่าไร ถึงอย่างไรเสียเสื้อผ้าเหล่านั้นก็จะขาดลุ่ยเพราะการฝึกในอีกสองหรือสามวันหลังจากนี้อยู่ดี
ผมสะพายย่ามสีดำคู่ใจแล้วตรงดิ่งไปยังโกดังขนาดเล็กซึ่งอยู่ห่างจากโรงนอนไปไม่กี่เมตร
สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าล็อกเกอร์โดม มันถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นห้องเก็บของ และเป็นช่องทางในการติดต่อกับใครก็ตามที่อยู่นอกศูนย์ฝึก
ผมเดินไปตามทางที่ทอดยาวออกไป บนกำแพงขวามือมีจอมอนิเตอร์ขนาดเล็กติดอยู่ เหนือจอมีป้ายหมายเลข ซึ่งเป็นรหัสที่มีไว้แบ่งระดับของสมาชิกภายในองค์กร
ล็อกเกอร์ของเด็กฝึกคือรหัส 001
ผมไปหยุดลงตรงหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีรหัสดังกล่าว หน้าจอกะพริบสองครั้งก่อนที่จะมีไอคอนหน้ายิ้มซึ่งดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไรโผล่ขึ้นมา
"ชื่อ...ครับ"
โปรแกรมอัตโนมัติเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย เหมือนมันรู้สึกเบื่อกับการทำงานในจอมอนิเตอร์แคบ ๆ นี้เต็มที
"ฮาโวเทีย ไลทัส" ผมตอบ
บางทีผมอาจจะคิดไปเอง แต่เหมือนผมจะได้ยินเจ้าเอไออัจฉริยะถอนหายใจ
หน้าจอมอนิเตอร์หมุนวนเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ใบหน้ายิ้มเหยเกนั่นจะกลับมาพร้อมชูเครื่องหมายกากบาทสีแดงตรงหน้า
"ไม่มีจดหมาย...ครับ"
ผมพยักหน้าพลางพ่นลมหายใจด้วยความผิดหวัง ก่อนจะเดินไหล่ตกออกจากล็อกเกอร์โดม
ครึ่งปีก่อนที่ผมจะมาติดแหง็กอยู่ในโรงฝึกนรกแห่งนี้ ผมเคยอาศัยอยู่กับคุณปู่ พี่ชาย น้องชายและน้องสาวฝาแฝด ในบ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญ
ผมเกิดในครอบครัวหมอยา แม้พ่อกับแม่ของผมจะเสียไปในช่วงที่มีการบุกรุกครั้งใหญ่ แต่พวกเราทั้งห้าคนก็ยังสามารถตั้งถิ่นฐานและร้านยาเล็ก ๆ ของตัวเองได้ ใคร ๆ ต่างก็หวังให้ผมช่วยดูแลกิจการร้านยาของปู่เหมือนอย่างที่พี่ชายของผมทำ...แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายผมก็แอบหนีมาสอบเข้ากองกำลังพิเศษอยู่ดี รู้ตัวอีกทีก็ครึ่งปีผ่านไปแล้ว
ครึ่งปี...ที่ผมไม่ได้โผล่หัวกลับไปที่บ้านเลย
'ฮาโวเทีย ไลทัส! ถ้าแกกล้าเดินออกไปแล้วร้องโยเยกลับมา ฉันจะใช้ไม้เท้านี่หวดแกให้ยับ แล้วฝังแกลงหลุมให้ไปอยู่กับพ่อแม่ของแกเลย!'
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ปู่พูดกับผม
ใช่...เป็นการอวยพรที่น่ารักดีใช่ไหมล่ะ
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปู่และพี่น้องของผมจะโกรธผมหรือไม่ ในตอนนั้น ผมแทบไม่ได้คิดอะไรมากเลย หากมีทางใดที่ผมสามารถเข้าร่วมกับกองกำลังพิเศษได้ ผมก็จะทำโดยไม่ลังเล...
ที่ผ่านมาผมไม่เคยหวังให้ใครมาเข้าใจในสิ่งที่ผมอยากจะเป็น แต่อย่างน้อย ๆ ผมก็ยังแอบหวังว่าครอบครัวของผม ผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันไหลอยู่ในร่างกายจะยังพอเข้าใจผมบ้าง...
หลายครั้งที่ผมพยายามเขียนจดหมายหาปู่ แต่ผมก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับ อันที่จริงผมจะส่งเมลก็ได้ แต่ปู่ของผมคงเข้าใจผิดว่ามันเป็นข้อความอันตรายที่จะทำให้เครื่องมือสื่อสารพังและลบมันทิ้งทันที
...ปู่ผมเป็นพวกที่แค่ได้ยินคำว่าเทคโนโลยีก็ผื่นขึ้นแล้ว...
ในเมื่อไม่มีการตอบกลับใด ๆ ผมจึงเดินออกจากล็อกเกอร์โดม ก่อนจะตรงดิ่งไปยังโรงอาหารแทนที่จะเป็นสนามฝึก
ขณะนี้เป็นเวลา 13:00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะกับการโดดเรียนไปกินมื้อเที่ยง
เนื่องจากเป็นเวลาที่เหล่าครูและเด็กฝึกเริ่มทยอยกลับเข้าชั้นเรียน ซึ่งนั่นหมายความว่าผมสามารถนั่งทานอาหารได้โดยไม่ต้องระแวงว่าจะมีใครมาลากคอผมไปเข้าคลาสฝึกปีนผามหานรกที่เต็มไปด้วยโขดหินร้อนจี๋
โรงอาหารของศูนย์ฝึกขนาดกลางแห่งนี้มีลักษณะโครงสร้างที่ค่อนข้างพิเศษ ตัวอาคารเป็นโดมทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ ภายในเป็นพื้นที่กว้างขวาง ปูพื้นอีพ็อกซีสีขาวสะอาดตา ซึ่งมีพื้นผิวเรียบมันวาว ไร้รอยต่อ ทำให้โรงอาหารแห่งนี้ดูเหมือนตั้งอยู่บนลานสเกตขนาดใหญ่
รอบ ๆ เป็นจุดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม มันถูกสร้างเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ทำให้มีร้านอาหารมากมายหลากหลายชนิดให้เลือกสรร มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่บล็อกขนาดเล็กที่มีพื้นที่เพียงไม่กี่ตารางเมตรเหล่านั้นจะสามารถบรรจุแรงงานเชฟหลายสิบคน และวัตถุดิบในการทำอาหารจำนวนมากเอาไว้ได้
ผมเคยขอคุณโคลเฟอร์เจ้าของร้านเบเกอรีเข้าไปดูการทำงานหลังร้าน ซึ่งมันดูไม่ต่างจากโรงงานไลน์ผลิตอาหารขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจักรเป็นมนุษย์...เชื่อเถอะ ผมหมายความตามที่พูดจริง ๆ
ส่วนมากผู้คนที่นี่มักจะเดินอาด ๆ ไปนั่งที่โต๊ะ แล้วไม่นานหุ่นยนต์แอนดรอยด์ในรูปลักษณ์ของโดรนก็จะลอยมารับออร์เดอร์ จอ LED ปรากฏใบหน้ายิ้มแฉ่งของเจ้าหุ่นยนต์ ข้างลำตัวทรงสี่เหลี่ยมยังมีสโลแกนแปะไว้ว่า...บริการลูกค้าด้วยหัวใจแม้จะเป็นหุ่นกระป๋อง...
ผมคิดว่ามันเป็นมุกตลกของผู้พัฒนา แต่มันก็ออกจะหยาบคายเกินไปหน่อยที่ปฏิบัติเหมือนหุ่นยนต์พวกนั้นเป็นแค่สิ่งของไร้ความรู้สึก
เจ้าหุ่นแอนดรอยด์จดเมนูที่ลูกค้าสั่ง จากนั้นส่งข้อมูลออร์เดอร์ต่อไปยังห้องครัวของร้านต่าง ๆ และนำอาหารมาเสิร์ฟตามลำดับ
เป็นระบบที่สะดวกสบายก็จริง แต่อย่าเผลอไปทำให้หุ่นแอนดรอยด์พวกนั้นโมโหเข้าล่ะ ไม่งั้นคุณอาจกลายเป็นเป้าหมายในการขว้างปาเศษอาหารของพวกมันได้
เมื่อเข้ามาภายในอาคาร ผมตรงดิ่งไปยังบล็อกครัวเบเกอรีของคุณโคลเฟอร์
ชายชรารูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ในชุดพ่อครัวสีขาวสะอาดตา เขามีเคราหยิกหย็อยที่ยาวมาจนถึงหน้าอก มันถูกถักเป็นเปียและผูกด้วยโบสีแดง ทำให้เขาดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาซานต้าคลอสตัวใหญ่
คุณโคลเฟอร์กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หลังเคาน์เตอร์ราวกับกำลังหาบางสิ่งที่ตนทำตกพื้น โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าผมกำลังเดินเข้าไปใกล้
"คุณโคลเฟอร์ผมขอเหมือนเดิมที่นึงครับ!"
ผมสั่งอาหาร ไม่ได้มีเจตนาทำให้คุณโคลเฟอร์ตกใจ แต่เขาก็ยังคงอุทานเสียงดัง และสะดุ้งโหยงจนแว่นตากรอบหนาของเขากระเด้งขึ้นไปพาดอยู่บนหัวคิ้วข้างหนึ่งอยู่ดี
"อะ โอ้! ฮาร์วีย์ ทำไมถึงเพิ่งมาเอาตอนนี้ล่ะ นี่มันเลยเวลาแล้วไม่ใช่รึ?..." คุณโคลเฟอร์ถามขณะจัดแว่นตาให้เข้าที่เข้าทาง
ผมเล่าเรื่องที่ถูกแกล้งให้คุณโคลเฟอร์ฟังพร้อมตีหน้าเศร้า บีบน้ำตาสองสามหยดเพื่อเรียกคะแนนสงสาร
อะไรนะ...ไอ้การแสดงไม่เอาไหนของผมมันจะทำให้คุณโคลเฟอร์เชื่อได้จริง ๆ อย่างไรงั้นหรือ...โอ้ มันได้ผลแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
"นั่นมันน่ารังเกียจที่สุด!" คุณโคลเฟอร์หน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้ากลมกลายเป็นสีแดงเหมือนมะเขือเทศต้มสุกเพราะความเดือดดาล
หลังจากนั้นคุณโคลเฟอร์ก็สาธยายพฤติกรรมแย่ ๆ ของพวกเด็กฝึกกลุ่มอื่นที่ชอบพูดจาหยาบคาย สบถ และเอาขนมปังของเขามาเรียงเป็นหอคอยโอนเอนน่าเกลียด
"ไร้รสนิยมที่สุด! ขนมปังของฉันต้องสร้างตึกได้ดีกว่านั้นสิ!" คุณโคลเฟอร์สบถเป็นภาษาโบราณ ซึ่งผมฟังออก มันแปลว่า...เจ้าพวกลูกเป็ด!
ผมตั้งใจฟังคุณโคลเฟอร์บ่น นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกเดินมาสั่งอาหารหน้าร้านแทนที่จะสั่งจากโดรน เพราะนั่นทำให้ผมได้เจอกับเพื่อนต่างวัยที่มีความคิดเห็นแบบเดียวกัน
"พวกเด็กฝึกที่อยู่มานานก็ชอบทำตัวอวดเบ่ง คนแก่อย่างฉันละเบื่อบรรยากาศแบบนี้สุด ๆ" คุณโคลเฟอร์ทอดถอนใจขณะตัดขนมปังโบรทเชี่ยนออกเป็นแผ่น ๆ
"งั้นทำไมคุณถึงยังเปิดร้านอยู่ที่นี่ล่ะครับ?"
"เงินมันดีน่ะสิ!" คุณโคลเฟอร์ตอบอย่างตรงไปตรงมา "แล้วหลานของฉันก็อยากบรรจุในกองกำลังพิเศษด้วย..."
"หลานของคุณทำงานอยู่ที่นี่หรือครับ? ทำไมผมไม่เคย..."
"ก็ไม่เชิงแบบนั้น" ใบหน้าของคุณโคลเฟอร์ดูเศร้าลงเล็กน้อย "เด็กนั่นหนีออกจากบ้านไปหลายปีเพื่อสอบเข้ากองกำลังพิเศษ ส่วนหนึ่งที่ฉันตอบรับคำเชิญให้มาเปิดร้านที่นี่ ก็เพราะคิดว่า สักวันหนึ่งคงได้เจอเจ้าเด็กคนนั้นบ้าง...ถึงแม้เขาจะไม่อยากเจอคุณตาแก่ ๆ คนนี้เลยก็ตาม"
"นั่นไม่จริงหรอกครับ" ผมพยายามให้กำลังใจ "อย่างน้อยผมก็เป็นคนนึงที่ตั้งตารอกินขนมปังของคุณ"
คุณโคลเฟอร์หัวเราะ
"ถ้าหลานฉันคิดแบบนั้นก็ดีสิ ฮะ ฮะ ฮ่า"
ในตอนนั้นเองประตูบานใหญ่ของโรงอาหารค่อย ๆ เลื่อนเปิดออก ตามด้วยเสียงฝีเท้าหนัก ๆ จากรองเท้าบูตส้นหนากระทบกับพื้น
หูของผมได้ยินเสียงก้าวเดินอย่างพร้อมเพรียง กลุ่มเด็กวัยรุ่นหลากหลายช่วงอายุที่ผมไม่คุ้นหน้าทยอยเดินเข้ามาในโรงอาหาร
กลุ่มผู้มาใหม่ประกอบไปด้วยวัยรุ่นหนุ่มสาวจำนวนหลายสิบคน พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบเด็กฝึกเหมือนกันกับผม แต่ผ้าที่นำมาตัดชุดเป็นผ้าชั้นยอด ซึ่งกันน้ำและปรับอุณหภูมิได้ดี ไม่ว่าจะอยู่ในอากาศแบบไหนคนที่สวมใส่จะรู้สึกสบายตัวอยู่เสมอ ต่างจากเสื้อผ้าของผมที่แค่วิ่งรอบสนามสามรอบก็เปียกโชกด้วยเหงื่อ ชุ่มชื้นไปทั้งตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเหนอะหนะที่ตามมาเลย
อะไร?...เปล่านะ...ผมไม่ได้อิจฉาอะไรหรอก ลองนึกถึงผ้าที่ไม่มีวันเปียกสิ มันคงจะลำบากแย่ตอนที่ต้องซักทำความสะอาด...
กลุ่มผู้ดูแลและครูฝึกที่เดินนำหน้ามาล้วนมีรูปร่างสูงโปร่งกำยำ ทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดึงดูดสายตาของผม
ชายวัยกลางคนผู้มีร่างกายสมส่วนดูดี เขาคนนั้นสวมชุดเครื่องแบบเรียบง่ายแต่กลับดูโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม เส้นผมสีเข้มของเขากระดกขึ้นสูง นัยน์ตาเป็นประกายสีทองเมื่อต้องแสงไฟ มือและแขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ราวกับว่าเขาเพิ่งไปมีเรื่องกับกวางภูเขามาทั้งฝูง ที่น่าเหลือเชื่อคือเขายังคงดูดีแม้จะอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง
"ทำไมเขาถึง..." ผมพึมพำ สายตายังคงจับจ้องไปที่แคนทัส ชายผู้เป็นหนึ่งในผู้บัญชาการของกองกำลังพิเศษ และเป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้ผมอยากเข้าร่วมกับกองกำลังพิเศษ
"โอ้ มากันแล้วสินะ" คุณโคลเฟอร์อุทานเมื่อเห็นกลุ่มผู้มาเยือน
"พวกเขาเป็นเด็กฝึกจากเมืองหลวงใช่ไหมครับ?"
"รู้ด้วย?"
"เดาเอาครับ...ดูจากเครื่องแบบ แล้วก็ครูฝึกหน้าตาดีคนนั้น...แบบว่า เทพบุตรคงไม่มาอาศัยอยู่ในที่แบบนี้หรอกครับ..."
"เธอเป็นคนตลกนะรู้มั้ย" คุณโคลเฟอร์หัวเราะ "แต่ก็ใช่...คนพวกนั้นเป็นเด็กฝึกจากเมืองหลวงจริง ๆ นั่นแหละ ร้านอาหารทุกร้านได้รับแจ้งเรื่องมาตั้งแต่เมื่อวานให้เตรียมรับผู้มาเยือน..."
"พวกเขามาทำอะไรกันหรือครับ?" ผมถาม ยังไม่สามารถละสายตาไปจากแคนทัส
ชายคนนั้นและผู้ดูแลคนอื่น ๆ เริ่มสั่งให้เด็ก ๆ ของเขาจับจองที่นั่งในโรงอาหาร
"แค่ได้ข่าวมานะ..." คุณโคลเฟอร์กระซิบ "เห็นว่าปีนี้การสอบคัดเลือกจะถูกจัดที่ศูนย์ฝึกของเราล่ะ"
"หืม...ทำไมเป็นงั้นล่ะครับ?"
โดยปกติแล้ว การสอบคัดเลือกกองกำลังพิเศษจะต้องถูกจัดขึ้นที่เมืองหลวง เนื่องจากศูนย์ฝึกของที่นั่นมีทรัพยากรเอื้ออำนวย และรองรับคนได้มากกว่าที่แห่งนี้หลายสิบเท่า
"อย่าถามมากเลย ฉันก็ไม่ได้รู้เยอะอะไรขนาดนั้น"
คุณโคลเฟอร์วางถาดอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารครบครันตรงหน้าผม ทั้งขนมปังโบรทเชี่ยนก้อนกลมส่งกลิ่นหอมกรุ่น เนื้อปลาแซลมอนชิ้นโต และผักใบเขียวนานาชนิดที่ช่วยเสริมให้จานอาหารดูหรูหราอลังการขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
คุณโคลเฟอร์เอื้อมมือมาตบบ่าผมเบา ๆ อย่างเป็นมิตร และพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
"ฉันรู้แค่ว่าคนจากเมืองหลวงไม่ค่อยเป็นมิตร ถ้าไม่อยากมีปัญหาก็อย่าไปเสวนากับคนพวกนั้นเลยจะดีกว่า"
ผมยิ้ม แม้จะไม่ได้ฟังคำเตือนของคุณโคลเฟอร์เลยก็ตาม
"แล้วเจอกันมื้อเย็นครับคุณโคลเฟอร์"
ผมแตะกำไลเหล็กที่ข้อมือกับกำไลของคุณโคลเฟอร์เพื่อจ่ายค่าอาหาร จากนั้นยกถาดอาหารของตัวเอง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่สิงสถิตดี ๆ สักที่ ทว่ากลุ่มผู้มาใหม่ก็ครอบครองพื้นที่ไปมากกว่าครึ่ง
ขณะที่ผมเดินผ่าน ผมรับรู้ได้ถึงสายตานับสิบที่จ้องมองมาที่ผม...
เป็นอย่างที่คุณโคลเฟอร์บอก ผมไม่รู้สึกถึงความเป็นมิตรจากสายตาของคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
หุ่นโดรนค่อย ๆ บินมารับออร์เดอร์ตามโต๊ะต่าง ๆ ซึ่งนั่นเป็นช่วงที่ทุกคนเปลี่ยนจุดสนใจ ผมอาศัยจังหวะนั้นสับขาเดินไปยังส่วนท้ายของโรงอาหาร น้อยคนนักจะเลือกนั่งในตำแหน่งที่ใกล้กับจุดทิ้งเศษอาหารแบบนี้
แม้บรรยากาศและกลิ่นโดยรอบจะไม่น่าอภิรมย์เสียเท่าไร แต่อย่างน้อย ๆ ผมก็มั่นใจได้ว่าจะไม่โดนรบกวนจากเด็กอันธพาลคนใดก็ตามที่ไม่อยากขย้อนอาหารที่กินเข้าไปออกมา
ทันใดนั้นแนวสันหลังของผมเกร็งกระตุก การก้าวเดินแต่ละก้าวเชื่องช้าราวกับภาพสโลโมชั่น
ร่างสูงโปร่งของแคนทัสกำลังมุ่งตรงมาทางผม
ยิ่งเขาใกล้เข้ามา นัยน์ตาสีเข้มคู่นั้นก็ยิ่งจ้องมองมาที่ผม แทบไม่อยากเชื่อว่าผมไม่ได้กำลังฝันอยู่
ผมแอบรู้สึกขอบคุณที่โอเว่นแกล้งจนทำให้ผมมีเวลาโดดเรียน ทั้งยังไม่พลาดโอกาสได้เจอคนที่ผมชอบอีก
ผมคิดมาตลอดว่าหากมีโอกาสได้เจอไอดอลของตัวเองตรงหน้าจะพูดอะไรดี แนะนำตัว ของจับมือ หรือไม่ก็ขอให้เขาเซ็นชื่อลงบนหน้าผากของผม
แต่ไม่นานเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของแคนทัสก็ทำให้ผมได้สติ ผมรีบเบนตัวหลบทาง ก้มศีรษะลงเพื่อทำความเคารพแคนทัสที่ยศสูงกว่า
ชายคนนั้นเดินผ่านผมไป ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะสนใจผมด้วยซ้ำ ราวกับว่าผมไม่มีตัวตน
...คุณจำผมไม่ได้สินะ...
ผมแอบผิดหวังนิดหน่อยที่ถูกเมิน แต่มันก็ผ่านมานานกว่า 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาช่วยผมและครอบครัวเอาไว้ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของผมก็เปลี่ยนไปหลายส่วน ไม่แปลกที่เขาจะจำไม่ได้...
บางทีคนที่แปลกอาจจะเป็นผมเอง ที่ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะดูเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ผมก็ยังคงจำเขาได้ ไม่มีวันลืม...