ฮาร์วีย์อุตส่าห์ยอมเสี่ยงตายเพื่อให้ได้มาทำงานที่เดียวกับชายที่ตนหลงรัก แต่แล้วจู่ ๆ เขากลับตื่นขึ้นในกองขยะ และพบว่าตนเองกลายเป็นตาแก่ไปเสียแล้ว...ร่างกายแบบนี้จะจีบผู้ติดได้ยังไงกัน! เอาวัยหนุ่มของฉันคืนมานะ!
แฟนตาซี,ผจญภัย,ไซไฟ,ชาย-ชาย,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,#BL,แฟนตาซี,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจทวงคืนวัยหนุ่มของฮาร์วีย์ฮาร์วีย์อุตส่าห์ยอมเสี่ยงตายเพื่อให้ได้มาทำงานที่เดียวกับชายที่ตนหลงรัก แต่แล้วจู่ ๆ เขากลับตื่นขึ้นในกองขยะ และพบว่าตนเองกลายเป็นตาแก่ไปเสียแล้ว...ร่างกายแบบนี้จะจีบผู้ติดได้ยังไงกัน! เอาวัยหนุ่มของฉันคืนมานะ!
นี่ไม่ใช่การแนะนำเรื่องของนักเขียนหน้าเห็ดงี่เง่าที่ทำลายชีวิตผม แต่เป็นพื้นที่ในการเรียกร้องความเป็นธรรมของตัวละคร!
สวัสดีนะคนที่ผ่านมา ถึงผมจะไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่คุณต้องมีจิตใจดีกว่าคนที่เขียนเรื่องของผมขึ้นมาแน่
คืองี้ ผมชื่อฮาร์วีย์ ใช่ ผมเป็นนายเอกของนิยายห่วยแตกเรื่องนี้ ผมอัดอั้นมานาน ไหน ๆ คุณก็ผ่านมาแล้ว ช่วยฟังผมบ่นหน่อยแล้วกัน คุณจะได้เห็นว่านักเขียนคนนี้กลั่นแกล้งผมขนาดไหน
แรกเริ่มเดิมที ผมเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่มีความฝันอยากแต่งงานกับผู้ชายดี ๆ สักคน แต่เจ้านักเขียนนั่นก็ทำให้ชีวิตของผมย่อยยับด้วยมือทั้งสองข้างและคอมพิวเตอร์โง่ ๆ ของเขา ตั้งแต่การเขียนให้ผมมีชีวิตอนาถา พ่อแม่ตายตอนเจ็ดขวบ ถูกปูไล่หวดเพราะไม่ยอมเรียนเรื่องยา พอหนีออกจากบ้านมาหาผู้ ก็ถูกสาปให้กลายเป็นคนแก่!
มันเกินไปมั้ย!
ผมพยายามแทบตายเพื่อที่จะได้อยู่กับชายที่ผมแอบชอบมาตั้ง 10 ปี แล้วดูสิ ความหล่อที่ผมสั่งสมมาทั้งชีวิตหายวับไปกับตา เหลือแต่ผิวเหี่ยว ๆ หนังย่น ๆ และเสียงแหบ ๆ ไม่มีส่วนไหนที่สามารถใช้เป็นอาวุธตกผู้ได้เลย!
ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังต้องออกเดินทางด้วยสภาพอิดโรยไปหาเรื่องเสี่ยงตายต่าง ๆ นานาเพื่อทวงเอาอายุขัยและวัยหนุ่มแสนรุ่งเรืองของผมคืนมา
ใช้งานตัวละครหนักชะมัด! เงินเดือนผมก็ไม่ได้นะเนี่ย!
อะไรนะ? ...มีอีกไหมเหรอ?
โอ้! นี่ยังไม่ถึงครึ่งกับสิ่งที่เจ้านักเขียนคนนี้ทำกับผม ถ้าทุกคนอ่านต่อไปก็จะได้รู้เองว่าเจ้าเห็ดสีน้ำเงินคนนี้มันร้ายกาจขนาดไหน
โปรดเอาใจช่วยผมให้รอดพ้นจากโชคชะตาที่แสนเลวร้ายครั้งนี้ด้วย
**นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง เนื้อหา ตัวละคร สถานที่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นเรื่องสมมติเท่านั้น**
***คำเตือน : เนื้อหาในนิยายมีการใช้ความรุนแรง ฉากฆ่าฟันนองเลือด กรุณาใช้วิจารณญาณอย่างมากในการอ่าน ห้ามลอกเลียนแบบเด็ดขาดเลยนะฮะ***
หลังจบคลาสต่อสู้จำลอง อาธีน่าแบกผมมาที่ห้องพยาบาล อาจเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะเราพบคาเรลอยู่ที่นั่น เธอดูไม่แปลกใจที่เห็นผมกับอาธีน่าในสภาพยับยู่ยี่ ที่จริงเธอเหมือนกำลังรอพวกเราอยู่เลย...
คาเรลเม้มปากเมื่อเห็นบาดแผลบนตัวผม
"โดนหนักเอาการเลยนะ" คาเรลช่วยพยุงผมไปนั่งบนเตียง และนำกล่องพยาบาลมาให้
"ฉันว่าฉันควรได้รับรางวัลกระสอบทรายดีเด่นหลังจบการสอบนะ" ผมพูดประชดขณะประคบรอยช้ำบนแก้ม
ครั้งนี้ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีกระดูกส่วนไหนแตกหัก เพราะมันคงเป็นเรื่องยากที่จะทำแผลให้ตัวเองขณะที่กระดูกข้อมือแหลกละเอียด
"ฉันเดาว่านายคงไม่ใช่สายพละกำลังสินะ" คาเรลวิเคราะห์ ขณะทำแผลให้อาธีน่า แต่เหมือนเธอกำลังทะเลาะกับผ้าพันแผลมากกว่า
"ส่งมาสิ เดี๋ยวฉันทำให้" ผมยื่นมือออกไปช่วยแกะผ้าพันแผลที่พันรอบข้อมือของคาเรล
"จะให้ฉันเอาเปรียบคนเจ็บได้ไง ดูสภาพนายสิ..."
"ถ้าพวกเธอไม่อยากไปกินมื้อเย็นช้าก็ส่งมาเถอะ" เพื่อนสาวทั้งสองลังเล "นี่มันงานถนัดของฉัน เชื่อสิ"
ความจริงผมแค่ไม่อยากเห็นคาเรลทำจนตัวเองและเพื่อนสาวตัวโตกลายเป็นมัมมี่ด้วยผ้าพันแผลก็เท่านั้น
"งั้น...รบกวนด้วย"
ผมรับผ้าพันแผลมา กระเถิบเข้าไปนั่งลงใกล้ ๆ อาธีน่า ผมตรวจสอบบาดแผลของเธออย่างละเอียด
สองสาวจ้องมองการปฐมพยาบาลของผมอย่างสนอกสนใจ
"นี่อะไรน่ะ?" คาเรลหยิบขวดแก้วใสขนาดเล็กออกมาจากย่ามของผม มันถูกห่อกันกระแทกอย่างดีเพื่อป้องกันไม่ให้ของเหลวที่อยู่ข้างในรั่วไหลออกมา
"โว้! อย่าจับนะ" ผมรีบคว้าสิ่งนั้นคืนอย่างรวดเร็ว "ไอนี่มันยาอันตราย แค่สูดดมนิดเดียวเธอได้ประสาทหลอนไปเป็นเดือนแน่"
"ไงนะ?..."
ผมรีบเก็บของสิ่งนั้นใส่ย่าม ดูให้แน่ใจว่าคาเรลจะไม่ซนไปแตะต้องมันอีก
คิ้วทั้งสองของคาเรลขมวดเข้าหากัน
"ขอถามได้ไหม...ทำไมของอันตรายแบบนั้นถึงมาอยู่ในกระเป๋าของนาย"
"เอาไว้ป้องกันตัว" ผมตอบตามความจริง
"ป้องกันตัว...?" คาเรลดูไม่เชื่อสักเท่าไร
ไม่แปลกที่เธอไม่เชื่อ หากมีไอ้บ้าพกของที่เป็นเหมือนระเบิดเวลาเอาไว้ในกระเป๋า เดินเทียวไปเทียวมารวมกับผู้อื่นหน้าตาเฉย ผมก็คงคิดว่าคนคนนั้นเป็นตัวอันตรายเหมือนกัน
"ฉันไม่ได้คิดจะใช้มันกับคน สาบานได้" ผมยืนยัน
ดูจากสีหน้าของเพื่อนทั้งสอง หากผมต้องการมิตรภาพที่แท้จริงจากพวกเธอ ผมก็ไม่ควรมีลับลมคมใน
"อย่างที่รู้...ทักษะการต่อสู้ของฉันมันไม่เอาไหน ยิ่งถ้าให้เทียบกับคนอื่น ๆ ฉันคงเป็นพวกรั้งท้าย ดังนั้นฉันจำเป็นต้องหาวิธีต่อสู้ในแบบของตัวเอง อย่างน้อยก็เพื่อเอาตัวรอดจากพวกสัตว์ร้ายด้านนอก"
"ทำไมต้องเป็นยาล่ะ?" คาเรลถามต่อ
"ครอบครัวของฉันเป็นหมอยา มันเลยปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันมีความเชี่ยวชาญด้านนี้พอสมควร" ผมล้วงหยิบขวดยาชนิดอื่นจากย่าม "ฉันเคยทดลองใช้ยาพวกนี้ตอนที่เข้าไปเก็บสมุนไพรในป่ากับปู่ มันมีคุณสมบัติหลายด้าน...ถ้าพวกเธอสนใจ ฉันจะทำอันที่อันตรายน้อยกว่านี้ให้ก็ได้"
คาเรลส่ายหน้า "ไม่เป็นไร ฉันว่าของแบบนี้เป็นอาวุธสำหรับผู้ใช้ที่มีความรู้เรื่องพืชและสมุนไพรวิทยา มันเหมาะกับนายมากกว่า..."
"ขอบคุณที่เข้าใจ"
ผมยิ้ม ดีใจที่อย่างน้อย ๆ คาเรลและอาธีน่าก็ไม่ได้มองว่าผมเป็นตัวประหลาด
"โชคดีที่แผลไม่ลึกเท่าไหร่" ผมพูดหลังจากทำแผลให้อาธีน่าเรียบร้อยแล้ว "ใส่ยาทำแผล คอยระวังอย่าให้โดนน้ำ อีกไม่กี่วันก็หายเป็นปกติแล้วล่ะ"
อาธีน่ายกแขนขึ้นราวกับภูมิใจในบาดแผลของตัวเอง
"นายดูเหมือนหมอมากกว่าทหารนะฮาร์วีย์" คาเรลพูดขึ้นหลังจากสังเกตท่าทางของผมมาสักพัก "ในเมื่อครอบครัวของนายเป็นหมอยา ฉันเลยสงสัยว่าอะไรทำให้นายมาอยู่ในที่แบบนี้"
...เพราะความรักล่ะมั้ง...
ผมไม่แน่ใจว่าหากผมพูดออกไปแบบนั้น มันจะลดความน่าเชื่อถือที่มีอยู่น้อยนิดของผมหรือเปล่า
ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงสัญญาณเลิกคลาสสุดท้ายก็ดังขึ้น ผมจึงได้โอกาสเปลี่ยนเรื่อง ถึงแม้ว่าเพื่อนสาวทั้งสองจะไม่หลงกลก็ตาม
หลังมื้อเย็นวันนั้นทุกคนต่างพูดคุยถึงเรื่องของการแบ่งกลุ่มทดสอบ
หลายคนพยายามชักชวนผู้ที่ดูมีความสามารถให้มารวมกลุ่ม ทั้งที่นั่นเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์...ถ้าพวกเขาฟังที่ซาคารัสพูดสักหน่อย ก็คงจะจำได้ว่าการแบ่งกลุ่มนั้นได้ถูกจัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งเดียวที่เหล่าเด็กฝึกจะทำได้ในตอนนี้คือสวดภาวนาให้สมาชิกในกลุ่มของตนไม่ใช่พวกไก่อ่อน หรือพวกชอบกินแรงชาวบ้าน
ก่อนเข้านอน ผมหนีออกมานั่งตากลมหน้าอาคารที่พัก เพราะไม่อยากถูกโอเว่นขัดขวางตอนเขียนจดหมาย ไกลออกไปเป็นอาคารที่พักชั่วคราวของกลุ่มเด็กฝึกจากเมืองหลวง
อาธีน่าและคาเรลกำลังยืนโบกมือให้ผม
คาเรลชี้เข้าไปในอาคารที่พักของพวกเธอเพื่อบอกว่ากำลังจะเข้านอนแล้ว
...ผมเองก็ควรทำเช่นนั้นเหมือนกัน...
ผมโบกมือลาเพื่อนทั้งสอง รู้สึกอยากเล่าเรื่องของพวกเธอให้ครอบครัวฟัง ถึงแม้ว่าปู่จะไม่ยอมตอบกลับจดหลายของผมเลยก็ตาม
ที่หน้าอกด้านซ้ายของเครื่องแบบเด็กฝึกมีผลึกรูปสามเหลี่ยม เมื่อผมแตะผลึกนั้นจะเรืองแสง มันช่วยทำให้ผมสามารถเขียนจดหมายถึงครอบครัวในที่มืดได้
ถึงครอบครัวที่รัก...
วันนี้ที่ค่ายฝึกก็ยังคงสนุกเหมือนเดิม อันที่จริงตอนเช้าผมถูกฤทธิ์ของหญ้าสีเงินทำให้ตื่นสายจนถูกทำโทษ (ปู่คงจะด่าว่าผมไม่เอาไหนอีกแล้วสินะ...ผมก็อยากด่าตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน) ยังไงก็ตาม...วันนี้ผมได้เพื่อนใหม่ 2 คน พวกเธอเป็นเด็กที่เดินทางมาจากศูนย์ฝึกขนาดใหญ่ในเมืองหลวง ชื่ออาธีน่ากับคาเรล พวกเธอใจดีกับผมมาก
จริงสิ...ผมได้เจอไอดอลของผมด้วย! เขาค่อนข้าง หน้าตาดี น่าเกรงขามและน่าเคารพ
อีกสามวันหลังจากนี้ผมจะได้เข้ารับการทดสอบ ถ้าผมผ่าน...มันคงจะทำให้ฐานะของบ้านเราดีขึ้น ผมยังไม่ลืมความฝันที่จะเปิดร้านยาในเมืองหลวงของพี่อาร์มันหรอกนะ ถึงปู่จะไม่ยอมอ่านจดหมายของผมก็เถอะ ไม่เป็นไร...
ช่วงนี้อากาศเย็นลง ผมรู้ว่าครอบครัวหมอยาอย่างพวกเรารู้จักดูแลสุขภาพของตัวเอง แต่ผมหวังว่าทุกคนจะสบายดี
...ด้วยรัก ฮาโวเทีย ไลทัส
"วาดรูปหน้ายิ้มไปให้ด้วยดีกว่า" ผมพึมพำ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเอไอที่แปลงข้อความในกระดาษเป็นข้อความอิเล็กทรอนิกส์จะมองรูปที่ผมวาดออกหรือเปล่า...
ในระหว่างที่ผมกำลังตั้งอกตั้งใจวาดหน้าของตัวเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
"นั่งทำอะไรเด็กฝึก?"
น้ำเสียงเย็นยะเยือกทำให้ผมสะดุ้งโหยง จนเผลอทำปากกาในมือหล่นลงไปในท่อน้ำที่กำลังชำรุด
ผมรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือแคนทัส แต่ผมกำลังเสียใจที่ทำปากกาด้ามเดียวในชีวิตหาย และผมคงต้องโดนเอไอผู้คุมคลังอุปกรณ์ขี้บ่นต่อว่าอีกเป็นแน่
"เอานี่ไปใช้แทนสิ" แคนทัสยื่นปากกาด้ามเล็กสีดำมาให้ มันยืดยาวขึ้นจนพอดีกับมือของเขา
เรื่องน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นได้เสมอที่รูฟาเซนต์ อุปกรณ์เหล่านี้อยู่ก้ำกึ่งระหว่างวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์ แม้แต่ผู้คนในเมืองก็ยังมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่สำหรับผม ไม่ว่ามันจะเป็นเวทมนตร์หรือวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างย่อมมีหลักการทำงานของมัน ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ...นั่นแหละคือความเป็นจริง
ผมจ้องมองปากกาในมือแคนทัส บอกตัวเองให้เลิกคิดถึงหลักการทำงานของมันหากไม่อยากสมองพังไปเสียก่อน...
ผมรับปากกาไว้ด้วยท่าทางเก้กัง "ขะ ขอบคุณครับ"
ปากกาด้ามนั้นปรับขนาดจนพอดีกับมือของผม
"นายยังไม่ตอบคำถามนะเด็กฝึก" แคนทัสตัดบท เอาซะความเคอะเขินของผมมลายหายไปในพริบตา "ออกมานั่งทำอะไร...ฉันมั่นใจว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะเขียนจดหมาย"
ข้างอาคารมืด ๆ ที่มีแต่แมลงตัวเล็กและกลิ่นเหม็นจากท่อน้ำทิ้ง...(สำหรับผม) ไม่มีที่ไหนจะเหมาะกับการเขียนจดหมายไปมากกว่านี้แล้ว...ผมคิดซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่ตอบออกไป
"ผมแค่ไม่อยากให้จดหมายที่ตั้งใจเขียนถูกฉีกทึ้งก่อนจะถึงมือผู้รับน่ะครับ"
"..." ถึงจะไม่ได้พูดอะไร แต่แคนทัสน่าจะเข้าใจความหมายของผมดี
ในตอนที่แคนทัสนั่งลงข้าง ๆ ผมพยายามไม่มองหน้าเขาตรง ๆ เพราะไม่อยากหน้าแดงเป็นมะเขือเทศอีก
หลังเขียนจดหมายเสร็จผมก็พยายามจะคืนปากกาให้แคนทัส แต่เขาปฏิเสธ เขายกปากกาด้ามนั้นให้ผมเพื่อชดเชยปากกาด้ามเก่าที่เขาพุ่งพรวดเข้ามาทำให้ผมตกใจจนหลุดมือ...ผมสาบานกับตัวเองว่าจะเก็บรักษาปากกาด้ามนี้ไว้อย่างดี
หลังจากนั้นผมและแคนทัสก็ได้แต่นั่งอยู่ในความมืดที่เงียบสงัด เพราะเขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นทำให้ผมไม่กล้าลุกไปไหน ไม่สิ ต้องใช้คำว่าไม่อยากลุกไปไหนมากกว่า...
ผู้บัญชาการหน้าหล่อคนนั้นไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่นั่งชันเข่าเอนกายแหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า เส้นผมสีเข้มของเขาปลิวไสวตามสายลมในยามเย็น ริมฝีปากเชิดโค้งอย่างเย่อหยิ่ง และดวงตาคู่นั้นก็ยังคงเป็นประกายสีทองเมื่อต้องแสงจากดวงจันทร์
"มีอะไรอยากพูดสินะ" แคนทัสเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าตนกำลังถูกจ้องมอง
แค่ดูดาวมันต้องหล่อขนาดนี้ไหมล่ะครับ...ผมสลัดความคิดอกุศลออกไป
"อะ อันที่จริงผมเป็นแฟนคลับคุณครับ!" ผมพูดอย่างกระตือรือร้น
"นายเคยบอกแล้ว..."
"หลายปีก่อน...พวกเราก็เคยเจอกันด้วยครับ!" ผมคาดหวังให้เขาจำผมได้ ทั้งที่คำตอบมันแสดงผ่านสายตาเย็นชาคู่นั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"จริงเหรอ?...ฉันจำไม่เห็นได้ว่าเคยเจอ..."
คำพูดของแคนทัสทำให้ผมรู้สึกอยากร้องไห้ แต่มันก็ไม่แปลก เรื่องมันผ่านมาตั้ง 10 ปี ถ้าจะมีไอ้บ้าคนไหนที่จำเรื่องทั้งหมดได้ยาวนานขนาดนั้นก็คงมีแต่ผมเท่านั้นแหละ...
"งะ งั้นหรือครับ ฮะ ฮะ ฮ่า" ผมพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนแม้ในใจจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า "มะ มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้วล่ะครับ จำไม่ได้ก็ไม่แปลก...มันเป็นช่วงที่เกิดการบุกรุกครั้งใหญ่นอกชายแดน..."
น้ำเสียงของผมขาดช่วงไป เพราะสังเกตเห็นแววตาดุร้ายของแคนทัส
ชายหนุ่มหันหน้าหนี ผมได้ยินเขาถอนหายใจ ก่อนที่จะหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"นั่นเป็นช่วงเวลาที่ฉันไม่อยากนึกถึงที่สุด..."
"..."
ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ สมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ ถึงจะรู้ว่าแคนทัสไม่ได้มีเจตนาจะเหมารวมผมไปกับสิ่งที่เขาไม่อยากจดจำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกเหมือนถูกค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ทุบลงกลางอกอยู่ดี
ช่วงเวลาแสนสำคัญที่เป็นแรงผลักดันให้ผมมาอยู่ในจุดจุดนี้ มันกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เขาเกลียดชัง...
บรรยากาศรอบตัวเราทั้งสองชวนให้อึดอัด ผมพยายามคิดหาคำพูดดี ๆ ที่จะแก้ไขสถานการณ์ แต่แล้วแคนทัสก็เป็นฝ่ายเริ่มเปลี่ยนประเด็นในการพูดคุย...
"แผล...เป็นยังไงบ้าง?"
คำถามของแคนทัสทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้แก้มทั้งสองข้างของตัวเองบวมเป่ง แถมบนหน้าผากก็ยังมีรอยช้ำน่าเกลียด
...นี่ผมนั่งคุยกับเขาด้วยสภาพทุเรศแบบนี้งั้นเหรอ?...
...อ๊าก!...ผมกรีดร้องอยู่ในใจ อยากเนรเทศตัวเองลงไปอยู่ในท่อน้ำเหมือนปากกาด้ามเก่าเสียเหลือเกิน
ผมรีบยกมือขึ้นปิดแก้มบวมเป่งของตัวเอง "อ้อ เอ่อ...ดีครับ พรุ่งนี้ก็หายแล้วล่ะ"
แคนทัสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จ้องมองบาดแผลของผมอย่างสนอกสนใจ ในขณะที่ผมก็พยายามจะใช้มือปิดบังใบหน้าน่าเกลียดของตัวเอง โชคร้ายที่ผมมีแค่สองมือ และนั่นไม่พอจะปิดหน้าบาน ๆ ของผมให้มิด
"ร่างกายของนายรักษาตัวเองได้ดีทีเดียว" เขาวิเคราะห์
อาจเพราะดื่มสมุนไพรบำรุงอยู่ตลอด บวกกับฤทธิ์ของหญ้าสีเงินที่ยังตกค้างอยู่จากเมื่อเช้า ทำให้ผมไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไร
"ผะ ผมเป็นพวกแผลหายเร็วมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ" ผมพูดแก้เขินและตบท้ายด้วยมุกตลกร้ายที่ทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดมากกว่าเก่า "อาจเพราะผมโดนจนชินแล้วก็ได้"
แต่แล้วแคนทัสก็พยายามฆาตกรรมผมทางอ้อมด้วยการกระเถิบเข้ามาใกล้ ในระยะที่ผมสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของเขาอย่างชัดเจน
หัวใจไม่รักดีของผมเต้นโครมครามอย่างกับว่าจะกระโดดออกมาจากหน้าอก ผมแทบลืมวิธีการหายใจ ไม่สิ...ลืมไปแล้วมากกว่า เพราะปอดของผมไม่ได้รับออกซิเจนมานานกว่า 10 วินาทีแล้ว
"ดูยังไงก็ไม่เหมาะเลยสักนิด..." แคนทัสพึมพำขณะจ้องมองบาดแผลของผม (ในระยะประชิด)
"อะไรนะครับ?"
"ฉันคิดว่านาย...ไม่เหมาะกับที่นี่แม้แต่นิดเดียว"
"ครับ?"