ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?

ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี - ตอนที่ 2 หมีพร่ำเพ้อ โดย ดังใจ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ไทย,feel good,slice of life,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

feel good,slice of life,#BL

รายละเอียด

ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?

ผู้แต่ง

ดังใจ

เรื่องย่อ

สารบัญ

ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 1 หมีทำขาด,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 2 หมีพร่ำเพ้อ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 3 หมีให้นะ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 4 หมีว้าวุ่น,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 5 หมีตัวดื้อ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 6 หมีเปิดเผย

เนื้อหา

ตอนที่ 2 หมีพร่ำเพ้อ


มีคำกล่าวที่ว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวอยู่ใช่ไหม ตอนนี้จิตของหมีกำลังควบคุมกายอย่างหลุดพ้นไม่ได้อยู่เชียว จากวันที่เจอจุ๋นครั้งแรก แม้จะพยายามบอกตัวเองไม่ให้คาดหวังในรสนิยมของอีกฝ่าย แต่ใจก็ยังแอบลอยไปหา การ์ตูนที่ควรจะวาดหน้าต่อไปก็กลายเป็นออกแบบตัวละครจุ๋นแทน ถึงขั้นที่ว่าจะวางตัวละครตัวนี้ใส่ลงไปในเนื้อเรื่องอย่างไร

การ์ตูนที่หมีเขียนเป็นการ์ตูนแนวต่อสู้ แนวมิตรภาพลูกผู้ชายซึ่งมีการวางตัวพระนางไว้ เป็นเพราะในสมัยเด็กหากแสดงออกว่ารักชอบเพศเดียวกันก็จะโดนล้ออย่างรุนแรง การต้องปกปิดปมนี้ไว้ทำให้เขาไม่กล้าออกผลงานที่เป็นรสนิยมของตัวเองได้ตรงๆ พอเพื่อนรู้ว่าชอบวาดการ์ตูน ตัวหมีจึงพยายามวาดสิ่งที่น่าจะถูกใจเพื่อนที่สุด ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นเชี่ยวชาญการ์ตูนต่อสู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

จากจุ๋นที่เป็นช่างซ่อมตุ๊กตา เขาคิดว่าถ้าให้เป็นตัวละครที่มีพลังรักษาคงจะเข้าที แต่ตัวละครนี้ในเนื้อเรื่องก็มีอยู่แล้ว เลยยังกลุ้มใจจนวาดเนื้อเรื่องจริงๆ ต่อไม่เท่าไร ดีที่เขาเป็นนักเขียนอิสระ จะเลทนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรนัก… จริงหรือ ไม่หรอก ถึงจะไม่ได้มีสำนักพิมพ์ แต่เขาก็รับคอมมิชชั่น รับวาดรูปเพื่อการโฆษณา มีลูกค้าที่คอยจ้างอยู่ เพราะงั้นการส่งงานเลทถือเป็นข้อห้ามของเขา ยิ่งทำงานนี้มาตั้งแต่มหาวิทยาลัย ก็7-8ปีเข้าไปแล้ว หมีไม่ยอมทำให้ตัวเองเสียเครดิตหรอก

“เฮ้อ..” แต่ยังไง การวาดโดยไม่มีอารมณ์พาไปนี่มันก็ยากแสนยากจริงๆ หมีถอนหายใจขณะจ้องไอแพดที่ว่างเปล่าตรงหน้า เขาตั้งใจจะคิดงานให้ออกวันนี้ แต่ในเมื่อมันดูจะไม่คืบหน้า เขาจึงเปลี่ยนเป็นอีกอันที่ทำค้างไว้ จริงอยู่ว่าศิลปะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และฝีมือเหมือนกัน แต่วาดต่อจากสิ่งที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วง่ายกว่าการสร้างสรรค์ผลงานใหม่เป็นไหนๆ

“อยากเจอจุ๋นจัง” หมีพึมพำออกมา ยอมรับใจตัวเองว่าเริ่มถลำไปไกลกว่าที่คิด

เขาพยายามคิดหาเหตุผล และคิดว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ถูกใจใครมานานแสนนาน ความรักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่มัธยมวัยหวาน พอขึ้นมหาวิทยาลัย ทั้งการเรียนและอาชีพเสริมก็ต่างเป็นตัวขโมยเวลา ยิ่งหลังเรียนจบยิ่งแล้วใหญ่ เขาเรียนจบช่วงที่มีโควิดพอดี งานจ้างหดหายจนว่างบ้างก็จริงแต่เพราะมีเพียงความคิดที่ต้องเอาชีวิตรอด เลยไม่ได้สนใจมองใคร

บางทีนี่อาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้

มะรืนนี้จะถึงวัดนัดก็ช่างประไร อยากไปหาแล้วจะรออยู่เพื่ออะไร บ้านของจุ๋นก็อยู่ใกล้อพาร์ตเม้นต์แค่นี้ คิดได้เช่นนั้นแล้วหมีจึงฮึดปั่นงาน จนถึงเวลาใกล้เที่ยง จึงค่อยหอบผ้าห่มที่ตั้งใจจะให้จุ๋นซ่อมออกจากบ้านไป






“อ้าว หมีนี่นา เข้ามาก่อนสิ”

จุ๋นมีสีหน้าแปลกใจขณะเปิดประตูบ้าน แต่คราวนี้ไม่ได้มีจุ๋นเพียงคนเดียวที่โผล่หน้าออกมา แม่ของจุ๋น หรือคุณจารุณีเจ้าของร้านก็มองออกมาด้วย ครั้งที่แล้วหมีได้เพียงทักทายเธอสั้นๆ ตอนเดินผ่านขณะออกจากบ้านเท่านั้น ยังไม่ได้ตั้งใจมองเท่าไรเลย แต่เท่าที่เห็นก็ดูจะเป็นคนใจดี จากที่ยิ้มรับไหว้ในวันนั้น กับการยิ้มรับไหว้ในวันนี้

“นัดวันมะรืนนี่ ทำไมมาก่อนล่ะ”

คิดไว้แล้วว่าต้องถูกถาม แน่นอนว่าหมีจึงเตรียมคำตอบไว้แล้ว “มีงานเข้ามาน่ะ ตอนนั้นคงออกจากห้องไม่ได้ ก็เลยต้องมาก่อน”

“อ๋อ นี่เรากับแม่กินข้าวอยู่ มากินด้วยกันก่อนสิ”

แม้ว่าที่หมีออกมาช่วงเที่ยงก็เพราะจะหาอะไรกินนอกบ้านอยู่แล้ว แต่การถูกชวนครั้งนี้มันผิดคาดเกินไป พวกเขาเพิ่งเคยเจอกันเพียงครั้งเดียวจะชวนกินข้าวกันแล้วหรือ?

หมีมองหน้าจุ๋นที่เดินนำไปที่ประตูบ้านสลับกับคุณแม่ที่มองออกมาจากประตู แล้วคุณแม่ที่จุ๋นแนะนำว่าชื่อคุณแม่จ๋าก็ช่วยยืนยันอีกเสียง

“ไม่ต้องเกรงใจลูก มากินๆ”

ขนาดนี้แล้ว จะปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ “ขอบคุณมากนะครับ”

ไม่นาน หมีก็มานั่งที่โต๊ะทานข้าวของครอบครัว มองไปเห็นกับข้าวอยู่สองอย่าง พะแนงหมูกับผัดกะหล่ำน้ำปลา เผ็ดอย่างจืดอย่างกำลังดี แค่กลิ่นที่โชยมาก็ชวนน้ำลายสอ ยิ่งเห็นข้าวสวยร้อนๆ ที่จุ๋นตักมายื่นให้ ถ้าไม่เกรงใจคงจ้วงตักไม่รอรีแล้ว

“กินได้มั้ยลูก” คุณแม่จ๋าถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แน่นอนว่าหมีพยักหน้ารัวๆ นี่ยิ่งกว่ากินได้ซะอีก

“กับข้าวอาจจะน้อยไปหน่อยนะ พอดีอยู่กันแค่สองคน” จุ๋นเสริมขึ้น ซึ่งสำหรับหมีแล้ว กับข้าวสองอย่างนี่ไม่น้อยเลย เพราะหมีอยู่คนเดียวจึงมักกินข้าวจานเดียวเป็นส่วนใหญ่ ไม่อย่างนั้นก็ก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

พอหมีเริ่มกินและมีรอยยิ้ม สองแม่ลูกก็ยิ้มตามไปด้วย ยิ่งหมีบอกว่าอร่อย หน้าคุณแม่จ๋ายิ่งมีความสุข จนจุ๋นบอกว่าทั้งสองอย่างนี้แม่ทำเอง มิน่าถึงดีใจขนาดนั้น

“อร่อยจริงๆ ครับ”

“อร่อยก็กินเยอะๆ นะ” ไม่พูดเปล่าแต่คุณแม่จ๋าตักใส่จานให้ด้วย จนหมีตกใจว่ามันใกล้จะหมดชามอยู่แล้ว เอาแต่ให้เขากิน เดี๋ยวทั้งสองคนก็กินไม่พอกันพอดี

แต่พอเหลือเท่านั้น จุ๋นก็ยกจานออกไป น่าจะไปทางครัว แล้วกลับมาพร้อมกับกับข้าวที่พูนชามเช่นเดิม และเหมือนจุ๋นจะรู้ว่าหมีสงสัย ถึงได้ช่วยไขข้อข้องใจ

“แม่ทำไว้เยอะ กินทั้งเที่ยงเย็นแหละ”

พอรู้อย่างนั้นแล้วหมีก็โล่งใจ แล้วจึงค่อยตักอาหารใส่ปากอีกครั้ง และเพราะพวกเขายังไม่คุ้นเคยกัน หมีจึงคิดจะชวนคุย แต่ด้วยความที่ตัวเองก็พูดไม่เก่ง จึงมัวแต่คิดว่าจะพูดอะไร จนเป็นคุณแม่ที่เป็นฝ่ายถามเสียก่อน

“หมีอยู่คนเดียวเหรอลูก”

“ใช่ครับ อพาร์ตเม้นต์ในซอย86นี่เอง”

“มาอยู่ได้ไงล่ะเนี่ย เรียนมหาลัยแถวนี้… ก็ไม่มีซะหน่อย”

“อ๋อ หลังจบมหาลัยผมไปอยู่บ้านที่ระยองครับ เพราะโควิด แต่พอมันซาก็เลือกมาอยู่แถวนี้เพราะเป็นแถวบ้านเพื่อนสนิท แถมมีร้านอาหารอร่อยเยอะด้วย แล้วผมจะได้เดินทางเอย ติดต่อลูกค้าเอยง่ายๆ ด้วย”

“ถามได้มั้ยจ๊ะว่าทำงานอะไร”

นี่เป็นคำถามที่ค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียว

ถ้านับจากเหล่าผู้ใหญ่ที่เคยเจอมา ครูสมัยมัธยมเอย ญาติบางคนเอย ผู้ใหญ่มั้งจะตั้งธงไว้ว่าอาชีพที่หมีตั้งใจจะเป็นนี้ใช้หางานได้ไม่ดีนัก อาจจะต้องลำบาก หลายคนก็พยายามแนะนำงานอื่นให้ หรือบางคนก็ดูถูกเขาด้วยซ้ำ จริงอยู่ที่คุณแม่จ๋าดูท่าทางใจดี แต่ไม่รู้ว่าจะมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไง

“ผม.. เป็นนักเขียนการ์ตูนครับ วาดเป็นเรื่องๆ ขายเองด้วย ทั้งพิมพ์เล่มทั้งลงเน็ต มีลูกค้าจ้างวาดด้วย งานออกแบบต่างๆ ก็มีนะครับ” หมีพูดออกไปเสียเยอะ อยากจะแสดงให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเขาก็ทำงานเยอะและหลากหลายเหมือนกัน

“เหมือนพวกขายหัวเราะ แบบนั้นใช่มั้ย”

“การ์ตูนแก๊กแบบนั้นก็มีครับ”

พอได้รู้เท่านั้น คุณแม่จ๋าก็ร้องอ๋อและไม่ถามต่อ หมีโล่งใจ คิดว่าจะต้องอธิบายอะไรเยอะแยะซะแล้ว จากนั้นคุณแม่จึงเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องทั่วไป คุยกันไปจนจบมื้ออาหาร






หมีอาสาจะล้างจานเอง แต่คุณแม่จ๋าก็ไม่ยอม จนสุดท้ายกลายเป็นทั้งหมีทั้งจุ๋นก็ต้องมาช่วยกัน ซึ่งก็ดี เพราะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น หลังจากนั้นจุ๋นจึงชวนหมีไปที่ห้องทำงาน หยิบผ้าห่มที่ตั้งใจเอามาซ่อมปูลงกับพื้นห้อง

ผ้าห่มของหมีขาดอย่างหนักตรงกลาง มันคือขาดทะลุในช่วงกลางผ้าเป็นแนวยาว อีกไม่กี่นิ้วก็สามารถขาดกลายเป็นผ้าห่มผืนเล็กสองผืนได้เลย ส่วนขอบก็รุ่ยค่อนข้างเยอะ มีที่ปะบ้างตั้งแต่ขาดเล็กน้อยในสมัยก่อนที่คุณแม่ของหมีช่วยปะให้ แต่พอเริ่มขาดเยอะคุณแม่ก็ไม่ช่วยแล้ว

“นี่หมีห่มอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ”

“ไม่หรอก เราเอาไปห่มให้ตุ๊กตาตัวใหญ่แทน เราห่มไม่ได้หรอก มีหวังขาดกว่านี้แน่”

จุ๋นพยักหน้า หมีเดาเอาว่าจุ๋นคงคิดว่าก็คงจะขาดจริงๆ จากนั้นจุ๋นจึงถาม “อันนี้ยัดนุ่นเพิ่มคงไม่น่าไหวแล้วล่ะ จริงๆ งานผ้าแม่เราทำ แต่อันนี้ชิ้นใหญ่เดี๋ยวเราทำเอง หมีเลือกนะว่าอยากผ้าสีไหนใช้ตรงกลาง”

จุ๋นหยิบผ้าหลายลายที่ถูกตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ออกมา ตัวเลือกมีเป็นสิบตัวเลือกแต่หมีเลือกไม่ยากเลย เพราะผ้าห่มเป็นสีส้ม หมีจึงเลือกผ้าที่เป็นสีส้มลายดวงดาวสีเหลือง ถึงเฉดของผ้าสีส้มนี้จะสดกว่าสีส้มบนผ้าห่มอยู่อักโขก็เถอะ

“แล้วตรงขอบๆ เอาเหมือนกันเลยมั้ย”

“เหมือนกันเลย”

“โอเค”

พอจุ๋นตอบรับ หมีก็คิดว่าเขาได้เวลาที่จะกลับแล้ว แต่ยังไม่อยากกลับ ช่วงเวลาอันน้อยนิดที่จุ๋นจดบันทึกลงสมุด หมีจึงพยายามคิดเรื่องคุย แล้วก็นึกได้ว่าวันนี้เขาเล่าเรื่องของตัวเองไปเยอะ แต่ยังไม่ได้รู้เรื่องของจุ๋นเลย

“ทำไมจุ๋นถึงมาซ่อมตุ๊กตาเหรอ”

“เพราะอยากให้ตุ๊กตาทุกตัวเป็นโลกมีความสุข”

“ห๊ะ”

“ล้อเล่น” จุ๋นเอ่ยยิ้มๆ แล้วเล่าต่อ “เราไม่ชอบงานที่ออฟฟิศ ยังไงดี งานไม่ได้แย่หรอก แต่คน เฮ้อออ หมีรู้มั้ยว่าเราร้องไห้ทุกวันเลย แต่ก็ไม่อยากลาออกเพราะไม่อยากให้ประวัติเสีย จนแม่ทนไม่ไหว บอกให้ลาออกแล้วพักทำงานกับแม่ก่อน”

“พักเหรอ? งั้นจุ๋นก็กะจะกลับไปทำงานบริษัทน่ะสิ”

“ไม่แล้ว เรื่องมันผ่านมาหลายปี ตั้งแต่จบใหม่ๆ แล้วล่ะ ทีแรกร้านแม่เราก็ซ่อมผ้าอย่างเดียว พอเรามาทำก็เลยเพิ่มซ่อมตุ๊กตามาด้วย ยิ่งได้รับงานยากๆ ได้จดจ่อกับการเย็บยิ่งหายเครียด ทำไปทำมาก็สนุก เราไม่รู้หรอกว่าตุ๊กตามีความสุขมั้ย แต่เห็นหน้าคนที่มารับมีความสุขทุกคนเลย เราก็เลยมีความสุขไปด้วย”

“อ๋อ เลยกะทำไปเรื่อยๆ สินะ ดีๆ จุ๋นก็งานเยอะด้วย ถือว่ามั่นคงเลย”

“มันก็มั่นคงแหละ แต่..”

จุ๋นพูดแล้วก็หยุด เขายิ้มบางแล้วส่ายหน้าเบาๆ เหมือนกำลังเขินอะไรสักอย่าง แต่หมีก็ไม่เข้าใจว่าจุ๋นเขินอะไร จะว่าเขินตัวหมีก็คงไม่ใช่หรอก

“เกือบหลุดบอกความฝันไปแล้วสิ แต่มันน่าอาย”

“เฮ้ย น่าอายอะไร เรายังฝันอยากขายการ์ตูนได้ทีละแสนเล่ม วาดเรื่องเดียวอยู่ได้ยาวๆ มีคนรู้จักหลายประเทศเหมือนโคนันเลย เราเพ้อเจ้อกว่าจุ๋นตั้งเยอะ”

“ฮ่าๆๆ ไม่เพ้อเจ้อหรอก ดูมีเป้าหมายดี แล้วหมีเริ่มเขียนการ์ตูนตั้งแต่เมื่อไรเหรอ”

“ถ้าวาดเล่นบนสมุดให้เพื่อนเวียนอ่านก็ม.ต้น แล้วก็เริ่มทำเพจเฟซบุ๊กตอนม.ปลาย ก็มีสปอนเข้า รับโฆษณาได้บ้าง แล้วที่ตีพิมพ์เป็นเล่มขายก็มหาลัยนี่แหละ”

“เก่งจัง ทำงานได้แต่เด็กเลย”

หมีเผลอยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำนั้น ปกติแล้วในช่วงเวลานั้นเขามักจะได้รับแต่คำพูดที่ว่ามัวแต่เอาเวลาไปวาดการ์ตูนไร้สาระแทนที่จะตั้งใจเรียน พอจบมาตั้งใจทำเป็นงานหลักก็มิวายโดนค่อนขอด อันที่จริงที่หลังโควิดซาแล้วหมีย้ายมา เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าไม่อยากฟังเสียงจากทั้งญาติและเพื่อนบ้านนั่นแหละ ทั้งที่พ่อแม่เขาไม่ว่าอะไรแท้ๆ

“ก็มีแต่คนรุ่นเดียวกันนี่แหละที่เข้าใจ นี่จุ๋นเปลี่ยนเรื่องนะ เรายังไม่รู้เลยว่าความฝันของจุ๋นคืออะไร”

ปกติแล้วหมีไม่ใช่คนถามเซ้าซี้อะไรแบบนี้ แต่กับคนที่สนใจ ยอมรับอย่างยิ่งเลยว่าอยากจะรู้เรื่องของอีกฝ่ายให้มากที่สุด

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ พอเราซ่อมตุ๊กตาเยอะๆ เข้า เราก็อยากสร้างตุ๊กตาแบรนด์ของตัวเองบ้างน่ะ”

“ดีนี่นา” อะไรกัน เป็นเรื่องแบบนี้นี่เอง หมีไม่เห็นว่าจะน่าอายตรงไหนเลย แถมยังดูจับต้องได้เสียด้วยซ้ำ

“แต่ๆ เราออกแบบไม่เป็นเลย จะไปลงเรียนก็ไม่มีเวลาเพราะงานยุ่งมากๆ มันเลยดูไกลมากเลยน่ะ”

หมีเกือบพูดออกไปแล้วว่าไม่เห็นต้องเรียนเลย การออกแบบคาร์แรคเตอร์อะไรพวกนี้ แต่ก็หยุดปากไว้ เพราะพวกเขาอาจจะมีหัวคนละด้านกัน ขืนไปบอกว่ามันง่ายคงโดนโกรธกันพอดี และเพราะอย่างนั้น เลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

“เดี๋ยววันนึง.. ก็คงได้ทำล่ะมั้ง”

“อื้ม เราก็หวังอย่างนั้นแหละ”

ยังดีที่จุ๋นดูจะมีปฏิกิริยาโอเคกับคำพูดที่หมีเร่งคิดที่สุดแล้วในตอนนี้ ทำให้หมีพอโล่งใจได้บ้าง แต่พอได้ยินคำว่าเวลา มองนาฬิกาแล้ว จึงเริ่มรู้สึกตัวว่านี่ดูจะไม่ใช่เวลาที่มาอ้อยอิ่งเสียแล้ว เขาต้องกลับไปทำงานแล้ว

“ตายละ เรากลับก่อนนะจุ๋น เริ่มกลัวจะทำงานไม่ทันแล้วล่ะ”

“อ้าว โอเค กลับดีๆ นะ”

“อีกสองวันเจอกัน”

“อีกสองวันเหรอ? แต่หมีมาก่อนเวลาสองวัน เพราะงั้นกว่าเราจะเย็บให้ กว่าจะเสร็จก็อีกสี่วันแน่ะ”

“สี่วันเลยเหรอ…” หมีหน้าเหวอ เขาบวกจำนวนวันผิดไปเสียสนิท อีกตั้งสี่วัน ความรู้สึกที่พอมาเจอแล้วยิ่งอยากเจอ คงจะทำให้ทรมานแย่ในช่วงสี่วันนี้

“แต่ถ้าอยากมาคุยเล่นก่อนก็มาได้นะ”

รอยยิ้มค่อยผุดขึ้นบนใบหน้าของหมี ถ้าเขาเป็นหมาก็คงหางกระดิกไม่หยุดเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้ หมีตอบรับอย่างแข็งขันก่อนที่จะเอ่ยลา ไม่ลืมไปลาคุณแม่ของจุ๋นด้วย

นึกถึงครั้งหน้าเสียแล้ว ต่อไปจะชวนคุยอะไรดีนะ พอเจอกันแล้วก็ยิ่งอยากรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ เลย…