ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?
ชาย-ชาย,รัก,ไทย,feel good,slice of life,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ใช้เวลาสักพักกว่าจุ๋นจะพยุงหมีไปที่มอเตอร์ไซด์ของตน ให้ซ้อนหลังเกาะไว้จนจุ๋นขับพามาที่คลินิกใกล้ๆที่ตอนนี้ค่อนข้างว่าง จากที่คุณหมอและพยาบาลยืนเม้าท์กันอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ก็ต้องรีบเปลี่ยนโหมดเป็นทำงานแข็งขัน พาหมีเข้าไปตรวจดูอย่างรวดเร็ว
“จะให้ยาไปทาน แล้วก็ต้องลุกเดินบ่อยๆ ยืดเหยียดพอประมาณ ถ้าหายปวดแล้วก็แนะนำให้ออกกำลังกายนะคะ”
คุณหมอคนสวยร่ายยาวหลังจากตรวจเสร็จ สรุปว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมที่เป็นมาระยะค่อนข้างยาวแล้วแต่ไม่ได้ปวดมากนัก เพียงแค่มันมาแปล๊บขึ้นเฉียบพลันขณะยืนขึ้น หมีที่นั่งฟังทำหน้าจ๋อย เขาไม่ได้คิดว่ามันหนักขนาดต้องมาหาหมอ แล้วยังต้องปรับพฤติกรรมอีก
“ไม่ต้องกายภาพเหรอพี่อิ้งค์”
“ยังไม่หนักเท่าแกเมื่อก่อนน่ะ แต่ถ้าทำที่ว่ามาแล้วยังไม่ดีขึ้น ก็มาตรวจอีกรอบ แล้วจะแนะนำโรงพยาบาลให้นะคะ”
หมียิ้มแหยให้คุณหมออิ้งค์ที่เป็นเจ้าของคลินิก รู้ได้เพราะคลินิกมีชื่อเดียวกับชื่อคุณหมอที่ติดไว้หน้าห้อง และจุ๋นแนะนำว่าเป็นพี่สาว ไม่ทันได้ถามว่าพี่สาวแบบไหนเพราะพวกเขาก็รีบๆ กัน แต่ดูจากหน้าที่ไม่เหมือนกันเลยแล้ว ก็คงไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ แต่เป็นญาติ เป็นพี่ข้างบ้าน หรือเป็นพี่สาวที่กำลังแอบชอบอยู่กันล่ะ ดูทั้งสองคนสนิทกันซะด้วย
“งั้นเดี๋ยวจ่ายเงินกับรับยาข้างหน้านะคะ”
หมีกับจุ๋นพยักหน้ารับคำพูดของคุณหมออิ้งค์ ก่อนที่จุ๋นจะเอ่ยถามขึ้นมา “พี่อิ้งค์ วันหลังแวะไปกินข้าวที่บ้านบ้างนะ แม่คิดถึง”
“จ้า พี่ก็คิดถึงคุณน้า เดี๋ยวว่างแล้วจะรีบไปหานะ นี่จุ๋นพาน้องหมีกลับบ้านดีๆ นะ”
“อื้อ”
จุ๋นดูเป็นคนพูดเพราะ ถึงจะคุยกับหมีที่เป็นผู้ชายอายุเท่ากันก็ยังพูดเพราะ หรือเพราะเรายังไม่สนิทกันก็ไม่รู้ แต่หมีเห็นจุ๋นวันนี้แล้วก็หวั่นใจ ไหนจะรอยยิ้มที่มีให้พี่เขา ไหนจะพูดเป็นกันเองอยู่ตลอดอีก ทำเอาไม่สบายใจจนเกือบโอนเงินเกินไปแล้ว ยารับมาก็ไม่ได้ฟังอธิบาย เดี๋ยวค่อยไปอ่านข้างซองเอาแล้วกัน
“หมีเป็นอะไร เจ็บมากอยู่เหรอ” จุ๋นถามขณะที่รอหมีขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซด์ ดูหมีจะนิ่งแปลกๆ ไป
“ไม่ ไม่มีอะไร”
“งั้นเดี๋ยวหมีบอกทางนะ เราไปส่ง”
“เฮ้ยไม่ต้อง ไม่ต้อง… ทำตามที่คุณหมอบอกก็ได้”
“ถึงพี่อิ้งค์ไม่บอกเราก็จะไปส่งอยู่แล้ว หมีเจ็บอยู่นะ ถึงปั่นจักรยานจะใช้แค่ขาแต่มันก็กระเทือนเหอะ”
ถึงหมีจะอยากเถียงต่อแต่ตอนนี้จุ๋นเริ่มทำหน้าดุแล้ว จึงค่อยๆ พาตัวเองขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซด์ไป คราวนี้จุ๋นไม่ขับเร็วเหมือนขามา อาจจะรู้แล้วว่ามันจะกระเทือน ซึ่งตอนขามาที่ซิ่งมาด้วยความตกใจก็ทำให้หมีเจ็บอยู่ แต่ไม่มีแรงจะบ่น แล้วก็ไม่กล้าบ่นด้วย ในเมื่อจุ๋นอุตส่าห์รีบพามาคลินิกขนาดนั้น
“เย็นนี้หมีจะกินอะไร”
พอจุ๋นถามหมีก็เพิ่งนึกออก นี่ก็เย็นแล้วแต่เขายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย แต่ก็ไม่หิว คงเพราะความเจ็บและความไม่สบายใจ พอถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอยากกินอะไร เลยบอกว่าเดี๋ยวกลับไปกินมาม่าเอา แต่จุ๋นก็ไม่ยอม ดึงดันวนรถแวะมาที่ตลาดจนได้ จอดอยู่ฝั่งที่ติดกับร้านข้าวไข่เจียว
“ไข่เจียวมั้ย เครื่องเยอะๆ น่าจะดีกว่ามาม่านะ หรืออยากกินร้านอื่น ไปรอที่โต๊ะเดี๋ยวเราไปซื้อให้”
“ไข่เจียวนี่แหละ กลับไปกินบ้านแล้วกัน”
ถ้าเป็นปกติ อยู่ในตลาดที่มีโซนโต๊ะทานข้าวให้นั่งอย่างนี้ คงชวนจุ๋นนั่งกินเพื่อเวลาอยู่ด้วยกันแล้ว แต่ตอนนี้มันฟุ้งซ่านไปหมด ขนาดว่าเลือกเครื่องไข่เจียวเสร็จแล้วรอเขาทอดยังคิดว่าเวลาผ่านไปช้ามาก อยากจะกลับห้องเร็วๆ แล้ว แต่ความสงสัยบวกกับความอึดอัดที่ตอนนี้ไม่มีอะไรจะคุยกัน ทำให้หมีเผลอหลุดถามออกไป
“กับหมออิ้งค์น่ะ รู้จักกันมานานแล้วเหรอ”
“เกิดมาก็เจอพี่เค้าละ บ้านใกล้ๆ กัน รู้มั้ยหน้าอ่อนขนาดนั้น โตกว่าพวกเราห้าปีแน่ะ”
“หา” หมีตกใจจนตาเบิกกว้าง แต่จะว่าไปอายุก็ฟังดูสมเหตุสมผล เพราะถึงหมีจะไม่ค่อยรู้ลำดับขั้นของการเรียนหมอ แต่การออกมาเปิดคลินิกได้ก็น่าจะมีอายุประมาณหนึ่ง
“เป็นไอดอลเรามาตลอดเลย เรียนเก่ง สู้คน ตอนเด็กเราโดนล้อบ่อยๆ เคยไปฟ้องจนพี่เคลียร์ให้หมดเลย”
“จุ๋นโดนล้อเหรอ เรื่องอะไรน่ะ”
“ก็แม่เราเย็บผ้า สอนเราเย็บด้วย พอทำการบ้านเย็บผ้าสวย เพื่อนก็ล้อว่าเราเป็นตุ๊ด”
ตอนนี้จุ๋นพูดยิ้มๆ ทำเอาหมีเดาไม่ออกว่าตอนนั้นจุ๋นรู้สึกยังไง แต่การที่ไม่ชอบก็เป็นเพราะตัวเองไม่ได้เป็นตามนั้นรึเปล่า คิดได้อย่างนี้หมียิ่งจ๋อย แถมยังรู้สึกผิดซ้ำไปอีกที่ดันจ๋อยกับเรื่องเพศของจุ๋นก่อนจะรู้สึกเห็นใจที่อีกฝ่ายโดนล้อ
“อย่างนี้จุ๋นก็ชอบพี่เขาแย่เลยสิ…” พอพูดออกไปแล้วแทบอยากตะครุบปาก อะไรกัน ตัวหมีเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะอยากรู้จนถึงขั้นหลุดปากออกไป
“รักเหมือนพี่สาวแท้ๆ เลยล่ะ หมีไม่ต้องห่วงนะ”
“อย่างนั้นเหรอ”
ทั้งที่อยากจะอุดหูเพราะกลัวคำตอบ แต่พอได้ฟังแล้วก็.. จะว่าโล่งใจได้มั้ยนะ แต่จะว่าไปหมีรู้สึกว่าจุ๋นตอบแบบจริงจังแปลกๆ ก็ปกติ ทั้งน้ำเสียง ทั้งการจ้องตา แล้วยังบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงอีก อันนี้จะตีความได้ยังไงบ้างนะ?
ไม่ทันได้พูดคุยต่อ ไข่เจียวส่วนของหมีก็เสร็จ พวกเขาจึงพากันขึ้นมอเตอร์ไซด์ ไม่นานนักก็มาถึงอพาร์ตเม้นต์ของหมี แต่ไม่ได้แยกกันทันทีเพราะมัวแต่เถียงกันเรื่องการเอาจักรยานของหมีกลับมา แต่สุดท้ายก็จบลงที่ว่าหมีจะยังไม่ไปเอาจักรยานเร็วๆ นี้ ให้จุ๋นซื้อหากับข้าวมาให้ไปก่อนจนกว่าหมีจะดีขึ้นจริงๆ แล้วเดี๋ยวจุ๋นจะมารับไปอีกที
โดยเรื่องนี้หมีตั้งเดดไลน์ให้ตัวเองไว้ที่สองอาทิตย์ เพราะเสาร์อาทิตย์ของอีกสองอาทิตย์นั้นหมีต้องไปที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองเพื่อออกบูธขายการ์ตูนของตัวเอง อันที่จริงก่อนหน้านั้นก็ต้องไปรับการ์ตูนที่ส่งให้โรงพิมพ์ไป แต่อันนี้จุ๋นบอกเดี๋ยวไปรับให้เอง
มีเรื่องรบกวนมากมายจนเกรงใจ แต่พอเห็นแววตาจริงจังของจุ๋นก็ไม่กล้าปฏิเสธ ไม่สิ บางทีหมีคิดว่าตัวเองอาจจะไม่อยากปฏิเสธนักก็ได้
ก็จะได้เจอจุ๋นทุกวันเลยนี่นา…
หลังออกจากอพาร์ตเม้นต์ของหมี จุ๋นก็กลับมาแวะที่ตลาดอีกครั้งเพราะแม่ของเขาโทรมาบอกให้ซื้อข้าวเย็นมาจากตลาดด้วยเลย กว่าจะกลับบ้าน กินข้าว เคลียร์งานที่เหลือ จุ๋นจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าไม่ได้รับสายโทรศัพท์ไปกว่าห้าสาย ซึ่งทั้งหมดนั้นก็มาจากอิ้งค์ คุณหมอแถวบ้านผู้เปรียบเหมือนพี่สาวของจุ๋นนั่นเอง
“ว่าไงพี่อิ้งค์”
‘ทำไมไม่รับสาย ส่งน้องหมีนานรึไงฮึ’
“ส่งเสร็จนานแล้ว แต่พอกลับบ้านมาก็ยุ่งๆ น่ะ ว่าแต่พี่โทรมาทำไมเยอะเหรอ มีอะไรด่วนรึเปล่า”
'ก็ไม่ด่วนอะไรหรอก แค่อยากเผือกเฉยๆ นายน้องหมีคนนั้นน่ะยังไง มีซัมติงรึเปล่าจ๊ะ'
จุ๋นขำนิดๆ กับการพูดตรงของพี่สาว แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรให้เผือก เพราะอะไรมันก็ยังดูไม่ชัดเจนเลย "ทีแรกเค้าเอาตุ๊กตา.. เอ้ย จริงๆ เป็นหมอนข้างมาซ่อม แล้วก็เอามาห่มมาซ่อม จริงๆ ก็เพิ่งเจอกันไม่กี่วันเอง"
'ไม่กี่วันแต่เป็นธุระพาเขามาหาหมอเนี่ยนะ'
"เอ๊า ก็อยู่ๆ เค้าปวดหลัง ทำหน้าเจ็บจะตายขนาดนั้นจะปล่อยไว้ได้ไง"
'จ้ะ ไม่มีอะไรก็ไม่มี แต่น้องหมีเค้ามีรึเปล่า ตอนเค้ามองแกดูไม่ธรรมดานะ'
"จริงๆ ก็..."
สุดท้ายจุ๋นก็ตัดสินใจเล่าเรื่องหมีที่ตนรู้สึกให้พี่สาวฟัง เพราะยังไงอิ้งค์ก็เป็นเหมือนที่ปรึกษาของตนมาตั้งแต่เด็กแล้ว และถึงหมีจะไม่ได้พูดอะไรชัดๆ แต่ไหนจะที่จ้องตัวเขามากกว่าตุ๊กตาตอนซ่อมครั้งแรก ไหนจะเวลามองหรือคุยกันวันที่หอบผ้าห่มมาให้ซ่อม แต่ที่สุดก็คงเป็นเรื่องแบบตุ๊กตาที่เอามาให้นี่ล่ะ จุ๋นเห็นนะว่าตอนที่หมีวางกระดาษสองใบลงที่โต๊ะ นั่นหยิบมาจากกระดาษหลายแผ่นที่มีรูปคล้ายกันวาดอยู่
เห็นอย่างนั้นถึงได้ทำให้เผลอคิดขึ้นมาว่า ถ้าคนไม่ชอบกันจะทำให้ขนาดนั้นในเวลาไม่กี่วันหรือ แต่จุ๋นก็พยายามสลัดความคิดนั้นไป เพราะหมีเองก็เป็นนักวาดการ์ตูน เรื่องออกแบบอาจจะเป็นเรื่องง่าย และหมีก็อาจจะเป็นคนใจดีเฉยๆ ก็ได้
'แกก็ถามเค้าเลยสิว่าชอบผู้ชายมั้ย'
"โหพี่อิ้งค์ แบบนั้นต่อให้เขาชอบผู้ชายก็คงกลัวนะ รุกไปขนาดนั้น"
'งั้นแกไม่ชอบเค้าเหรอ'
"จะให้ชอบในวันสองวันได้ไงเล่า แต่ถ้าเขาชอบผู้ชายก็อยากลองคุยอยู่นะ..."
'นั่นไง'
พอถูกแซวเข้าจุ๋นก็เถียงไม่ออก เลยบอกปัดๆ ไปว่าเดี๋ยวจะลองตะล่อมถามเอาแล้วกัน พี่อิ้งค์นั้นอยากซักต่อแต่นี่ก็ค่อนข้างดึกและเธอต้องทำงานแต่เช้าจึงยอมล่าถอยไป โดยบอกน้องชายคนสนิทว่ามีอะไรคืบหน้าก็มาเล่าให้ฟังด้วย จุ๋นเองก็กะจะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่เด็กเรื่องหัวใจหรืออะไรก็ตามก็มักจะมาถามพี่อิ้งค์อยู่เสมอ ส่วนแม่น่ะหรือ แม่นั้นเป็นข้อยกเว้นสำหรับเรื่องรักๆ นี้
ก็แม่ยังไม่รู้เลยนี่นาว่าเขาชอบผู้ชาย...
พอมาถึงหน้าอพาร์ตเม้นต์ของหมีพร้อมกับข้าวที่แม่ทำมาเผื่อแล้ว จุ๋นก็นึกได้ว่าลืมไปเสียสนิทว่าเขาควรจะขอกุญแจสำรองของหมีไว้เพื่อการนี้ มาถึงเขาจะได้ขึ้นไปหาที่ห้องชั้นสามได้เลย ดูตอนนี้สิ เห็นสภาพหมีที่อุตส่าห์แบกร่างลงมาเปิดประตูให้เขาแล้วก็สงสาร ก็เลยบอกเรื่องนี้ออกไป
"งั้นจุ๋นขึ้นมารอเราแป๊บนึง เราก็ไม่รู้แล้วว่าเก็บกุญแจไว้ที่ไหน"
จุ๋นเดินตามหมีขึ้นอพาร์ตเม้นต์ที่มีอยู่ห้าชั้น แน่นอนว่าไม่มีลิฟต์ ด้วยจำนวนชั้นแค่นี้การเดินขึ้นลงไม่ได้ยากเท่าไรอยู่แล้ว แต่พอป่วยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย หมีเองก็บ่นว่าพอป่วยแล้วก็อยากจะอยู่ชั้นหนึ่ง ทั้งที่ตอนมาเลือกห้องมีชั้นหนึ่งว่างก็ไม่เอา เพราะคิดว่าจะได้ยินเสียงรถดังกว่า ทั้งที่ห้องว่างนั้นก็เป็นฝั่งไม่ติดถนนเหมือนกับห้องชั้นสามที่หมีอยู่ตอนนี้
"รกนิดนึงนะ"
ถ้าเทียบกับห้องของเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของจุ๋นแล้ว เขาว่านี่มันแทบจะไม่รกเลย มีของวางไม่เป็นที่อยู่บ้างก็จริง แต่โดยรวมก็ค่อนข้างเป็นระเบียบ ส่วนที่รกสุดก็คงเป็นโต๊ะของหมีเองที่มีกระดาษอยู่เต็มไปหมด
"วันนี้เป็นไงบ้างหมี"
"ดีขึ้นนิดนึง แบบนิดดดนึง ตอนนี้แทบจะทำงานห้านาทีสลับกับนอนสิบนาที เอ้ย ยังไม่ได้ทำสัญญาให้จุ๋นเลย"
จุ๋นส่ายหน้า "ไม่ต้องรีบหรอก แล้วข้าวนี่ให้เราใส่จานเลยมั้ย"
"จุ๋นกินด้วยกันรึเปล่า"
"เปล่า เรากินมาแล้ว"
"อ๋องั้นยังไม่ต้องหรอก"
จุ๋นคิดว่าเสียงของหมีดูจ๋อยๆ แต่ก็ไม่อยากจะคิดไปเอง แล้วจะให้นั่งอยู่กับที่ขณะหมีกำลังหากุญแจก็กระไรอยู่ เลยเดินเข้าไปหาขณะอีกฝ่ายกำลังสาละวนอยู่หน้าลิ้นชัก
"ให้เราช่วยหามั้ย"
"มันน่าจะอยู่ในนี้แหละ เพราะเราเก็บเอกสารทั้งหมดไว้ในนี้"
หมียกลิ้นชักสองชั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะ ยื่นให้จุ๋นหาชั้นหนึ่ง ส่วนตัวเองหาอีกชั้นหนึ่ง ไม่นานนักหมีก็เจอซองกระดาษสีน้ำตาลอันเล็ก พอเทออกมาก็เห็นเลยว่าเป็นกุญแจสำรองจริงๆ
"เจอแล้วจุ๋น เดี๋ยวเราลองไปไขก่อนนะ"
พูดแล้วหมีก็เดินออกไปหน้าห้อง ล็อกประตูจากด้านในเอาไว้ ไม่นานก็ไขเข้ามาได้ หมีจึงเดินเข้ามาอย่างดีใจ ยื่นกุญแจให้จุ๋น "เอ้านี่ ส่วนตัวตี๊ดเข้าชั้นล่างก็คืออันนี้"
ตัวตี๊ดชั้นล่างที่หมีว่าก็เหมือนการ์ดจิ๋ว เอาไว้ใช้ผ่านประตูชั้นล่างขึ้นมา มันคล้องอยู่กับกุญแจเพราะงั้นจึงหยิบง่าย แต่หายก็หายได้ทั้งหมดเหมือนกัน หมีจึงบอกจุ๋นให้ระวังเอาไว้ เพราะตัวเองเคยเกือบทำหายมาแล้ว และพอจะขนลิ้นชักกลับที่เดิม ก็เหมือนหลังจะปวดหนักขึ้นมาอีกแล้วทั้งที่ตอนยกลงมายังพอทนไหว ทำให้จุ๋นต้องเป็นคนเอาทั้งหมดกลับที่แทน
ตอนที่ขนของนั่นเอง จุ๋นจึงได้เห็นการ์ตูนชุดหนึ่งอยู่บนชั้นหนังสือ ด้วยความตาไว จึงสังเกตได้ว่าชั้นบนสุดมีการ์ตูนที่บนสันมีสัญลักษณ์รูปหมีคิ้วเข้มเก๊กหน้าเท่อยู่ เกิดสงสัยขึ้นมาว่านี่เป็นการ์ตูนที่หมีวาดรึเปล่านะ?
"หมี อันนี้วาดเองรึเปล่า"
"อ๋อ ใช่ๆ "
หมีค่อยๆ ยันตัวขึ้นมา หยิบเล่มหนึ่งส่งให้จุ๋น ซึ่งผู้รับก็รับแล้วเปิดดูทันที เพียงแค่เปิดผ่านๆ ก็เห็นแล้วว่าวาดภาพได้สวย เนื้อเรื่องก็ดูน่าสนุกดี จุ๋นไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูนนัก แต่ไหนๆ ก็ได้รู้จักจากหมีแล้ว เลยคิดว่าถ้าได้อ่านผลงานของอีกฝ่ายก็คงทำให้ได้รู้จักกันดีขึ้น จึงขอยืมไปอ่าน พอหมีได้ยินอย่างนั้นก็หน้าบานขึ้นมาเลย
"ได้ๆ เรื่องนี้มีหกเล่ม จุ๋นเอาไปทีละสองเล่มก็ได้"
"หกเหรอ นี่จบรึยัง"
"ยัง นี่เราก็วาดเล่มเจ็ดอยู่"
ดูจำนวนหน้าแล้ว จุ๋นจึงคิดขึ้นมาได้ว่านักเขียนการ์ตูนนี่งานหนักน่าดูเลย เล่มนึงก็เป็นร้อยหน้าเข้าไปแล้ว เทียบกับงานของจุ๋นที่มากสุดไม่เกินอาทิตย์ก็เสร็จหนึ่งชิ้น งานของหมีคงใช้เวลานานมากๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เป็นออฟฟิศซินโดรมเข้าจนได้
"หมีเก่งมากจัง แต่หลังจากนี้ก็อย่าหักโหมนะ"
"ขอบใจนะ ต่อไปนี้คงดูแลสุขภาพดีเลยล่ะ เข็ดแล้ว"
หมีหัวเราะขื่นๆ เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มีในตอนนี้ พอจุ๋นกลับไปแล้วเขาคงนอนแผ่หลา ไม่ขยับไปมาอีกสักพักแน่ๆ ส่วนจุ๋นนั้นพอหยิบการ์ตูนเสร็จก็ได้เวลากลับจริงๆ แต่ก่อนจะออกจากห้องกลับกดมือถือแล้วยื่นมาให้หมี
"ขอเบอร์กับไลน์หมีไว้หน่อยสิ คุยกันทางแชทของร้านมันก็ดูแปลกๆ เนอะ"
"จริงด้วย"
ไม่นานหมีก็ทั้งกดเบอร์และแอดไลน์ตัวเองที่เครื่องจุ๋นเสร็จสรรพ รวมถึงโทรออกจากเครื่องจุ๋นมาเครื่องตัวเองด้วย พอได้ช่องทางติดต่อกันครบแล้วจุ๋นก็ออกไป ส่วนหมีน่ะหรือ ถ้าไม่ติดว่าปวดหลังก็คงจะกระโดดแล้ว ก็ในที่สุด.. ในที่สุดก็ได้เบอร์จุ๋นมาสักที ดีใจจนอยากร้องเย้ดังๆ ขึ้นมาเลยทีเดียว