ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?
ชาย-ชาย,รัก,ไทย,feel good,slice of life,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมีถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?
พออ่านจบเล่มหนึ่ง ก็สี่ทุ่มกว่าพอดี
จุ๋นมองนาฬิกาแล้วก็ตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะใช้เวลาการอ่านการ์ตูนหนึ่งเล่มไปเกือบชั่วโมง สนุกก็ใช่ แต่มากกว่านั้นคือการสังเกตรูปวาด แล้วคิดว่ารูปพวกนี้ถูกวาดขึ้นมาได้ยังไง ในขณะที่จุ๋นทำงานตามแบบ หมีกลับคิดทุกอย่างแล้ววาดขึ้นมาเองจากจินตนาการ นั่นน่าทึ่งมากๆ เลย
อีกสิ่งที่สะดุดตาจุ๋นคือตอนแถมช่วงท้ายเรื่อง หมีไม่ได้วาดตัวละครแบบปกติ แต่เป็นหัวโตๆ ตัวเล็กๆ มู้ดของตอนแถมก็ดูน่ารักผิดกับเนื้อเรื่อง และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้จุ๋นคันไม้คันมือขึ้นมา
อยากเย็บตุ๊กตาเหมือนตัวนี้จังเลยนะ…
ก็ในเมื่อหมีออกแบบตุ๊กตามาให้จุ๋นแล้ว จุ๋นเองก็อยากทำของเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทนเหมือนกัน แล้วก็คิดว่าคงเป็นตุ๊กตาตัวละครหลัก นายต้นกล้านี่แหละ
ในเล่มที่เป็นตัวเล็กนั้น นายต้นกล้าถูกวาดเป็นขาวดำ แต่หน้าปกเป็นภาพสี ทำให้จุ๋นพอจะรู้ว่าควรใช้สีอะไร พอเอาสมุดมาเขียนว่าจะใช้อะไรเท่าไรแล้ว ก็เริ่มดูว่าจะใช้ของอะไรที่มีอยู่ได้บ้าง อะไรที่ไม่มีก็.. สั่งพรุ่งนี้แล้วกัน เพราะจุ๋นเป็นคนนอนเร็วเลยไม่กล้าทักใครไปตอนดึกๆ ไม่เป็นไร จดไว้ก่อนก็ได้
ใช้เวลาหลายวันกว่าจะทำตุ๊กตาผ้านายต้นกล้าเสร็จเพราะติดงานซ่อมตุ๊กตาด้วย จุ๋นมองผลงานตุ๊กตาประดิษฐ์เองของตนอย่างภูมิใจก่อนจะหยิบมันใส่กระเป๋าเพื่อเอาไปให้หมี และจุ๋นก็หวังว่าตุ๊กตาตัวนี้จะทำให้สภาพจิตใจของหมีดีขึ้นอีกหน่อย เพราะป่วย หมีเลยทำงานได้ไม่เต็มที่ ไปหาวันไหนก็บ่นแต่ทำงานได้ไม่เยอะเท่าที่ควร ถึงเมื่อวานจะดีขึ้นพอสมควร ไม่ลุกโอยนั่งโอยแล้วก็เถอะ
"ไหนว่าวันนั้นว่างไงมึง"
จุ๋นที่กำลังจะเคาะประตูห้องหมีชะงักเมื่อได้ยินเสียงของหมีดังลอดออกมาจากในห้อง น้ำเสียงดูจะหงุดหงิดอยู่จุ๋นถึงไม่กล้าทำอะไรต่อ
"งี้ใครจะไปเป็นเพื่อนกูได้เนี่ย"
"จุ๋นเหรอ ขนาดเจอกันวันละแป๊บๆ กูยังเก็บพิรุธแทบแย่"
เก็บพิรุธเหรอ?
นี่จุ๋นฟังผิดไปรึเปล่า แล้วหมีจะมาเก็บพิรุธกับตนทำไม ไม่ใช่ความหมายของประโยคนี้มันมีอยู่อย่างเดียวเหรอ? จุ๋นครุ่นคิดขณะยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง รอจนเสียงหมีที่เหมือนจะคุยโทรศัพท์กับใครสักคนเงียบลงแล้วจึงค่อยเคาะห้อง ก่อนที่จะไขประตูเข้าไป
"เฮ้ย"
"โทษๆ จุ๋น เราลืมเก็บ"
ที่จุ๋นอุทานออกมาเพราะพอเข้าห้องมาตัวเองก็เกือบเผลอเหยียบแผ่นบางอย่างที่อยู่บนพื้น พอมองให้ชัดๆ ก็เหมือนว่าเป็นสติ๊กเกอร์ พวงกุญแจ กับตุ๊กตากระดาษ ตุ๊กตาที่พอพับเข้าหากันจะเป็นตัวเหลี่ยมๆ จุ๋นเคยได้แบบนี้ตัวหนึ่งจากการซื้อนิยายในงานหนังสือ ก็เลยพอดูออก ซึ่งเซ็ตของพวกนี้ถูกวางอยู่เต็มพื้นห้อง
“อันนี้คืออะไรเหรอ”
“เราจะแถมคนที่พรีออเดอร์มาน่ะ ก็เลยมาเรียงไว้แล้วก็นับ แต่นี่นับเสร็จแล้วนะ เหลือเอาใส่ซอง”
“มา เราช่วย”
หมีดูจะหน้าเหวอนิดหน่อยเมื่อจุ๋นเอ่ยมาแบบนั้น เพราะหมีก็รู้ว่าจุ๋นเองก็งานเยอะ ปกติเอาอาหารมาให้ก็ได้คุยแค่นิดหน่อยแล้วจุ๋นก็รีบกลับบ้าน แต่เมื่อเห็นจุ๋นวางกับข้าวลงแล้วค่อยๆ ก้มเก็บของแถมที่วางอยู่เป็นชุดๆ หมีก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรอีก ก็พอโน้มตัวลงแบบนั้นแล้วมันปวดหลังน่ะสิ…
“แล้วซองอยู่ตรงไหนเหรอ”
“นี่ๆ”
หมีหยิบซองเป็นปึกมายื่นให้ แต่จุ๋นกลับขอว่าเดี๋ยวเก็บส่วนนี้ให้ก่อนแล้วให้หมีเอาโต๊ะญี่ปุ่นมาวาง หมีก็ทำตามแต่โดยดี กางโต๊ะให้จุ๋นมีที่วางของ ทั้งชุดของแถมและซองใส ที่ตอนนี้ของแถมถูกวางแยกกองกันเป็นสติ๊กเกอร์หนึ่งกอง พวงกุญแจหนึ่งกอง และตุ๊กตากระดาษหนึ่งกอง เพื่อให้หยิบง่าย จากนั้นหมีจึงไปช่วยเก็บที่เหลือ เพราะถึงจะปวดหลังแต่เขาเป็นคนมาวางเอง จะทิ้งให้จุ๋นเก็บทั้งหมดก็กระไรอยู่
“แค่ใส่ซองเฉยๆ เลยใช่มั้ย”
“เอ่อ ให้พวงกุญแจอยู่หน้าสุด ตุ๊กตาอยู่ที่สอง แล้วสติ๊กเกอร์อยู่ข้างหลังนะ”
จุ๋นพยักหน้าแล้วหยิบชุดหนึ่งใส่ซอง กวาดสายตามองส่วนที่ทับกันอยู่บนโต๊ะแล้วลองกะคร่าวๆ ยังไงก็น่าจะถึงร้อยมั้ยนะ? พอคิดได้อย่างนั้นแล้วจึงถามหมีเสียดีกว่า
“หมี ทั้งหมดนี่มีเท่าไรเหรอ”
“100ชุดน่ะ เราจำกัดให้คนพรีออเดอร์กันมาเท่านี้เพราะมากกว่านี้ก็แพ็กไม่ไหวแล้ว แต่เราพิมพ์เพิ่มอีกห้าสิบเล่มไปขายในงาน”
“พรีออเดอร์นี่คือแพ็กใส่กล่องส่งเขาใช่มั้ย”
“ใช่ๆ”
แค่ฟังก็เหงื่อตกแล้ว จุ๋นลองนั่งคิดภาพการนั่งแพ็กของร่วมร้อยกล่อง นั่นต้องทำทั้งวันทั้งคืนเลยรึเปล่า ขนาดตัวเขาวันๆ หนึ่งแพ็กแค่สองสามตัวหลังจากซ่อมเสร็จยังคิดว่าใช้เวลาพอสมควร แล้วจำนวนขนาดนั้นกับสภาพหลังของหมีตอนนี้ ทำเสร็จอย่าว่าแต่จะไปขายหนังสือเลย จะลุกเดินได้มั้ยก็ยังไม่รู้
“เราต้องไปรับหนังสือพรุ่งนี้เนอะ แล้วแพ็กวันไหนเหรอ”
“ก็วันนั้นเลย เราต้องส่งให้ถึงคนพรีก่อนที่จะวางขายในงานน่ะ จะได้มีคนรีวิว มันมีคนที่กะจะมาซื้ออยู่แล้วก็จริง แต่ก็เผื่อมีลูกค้าหน้าใหม่ด้วย”
อย่างนี้น่าจะต้องมาช่วย…
ต่อให้หมีจะปฏิเสธ จุ๋นก็คิดว่าต้องมาช่วยอยู่ดี นี่ไม่ใช่งานที่จะทำได้คนเดียวอยู่แล้ว ถึงแม้จุ๋นจะลำบากนิดหน่อยตรงที่ต้องเพิ่มเวลาทำงานของตัวเองเพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องรอ แต่จุ๋นคิดว่าตนเองไหว ตัดเรื่องชอบกันหรืออะไรนั่นทิ้งไปก่อนเลย ยังไงตอนนี้หมีก็เป็นเพื่อนเขาแล้ว ก็ต้องช่วยเท่าที่ไหวล่ะ
แต่ก่อนจะนึกถึงเรื่องนั้น ตัวจุ๋นเองก็เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองเอาตุ๊กตาเย็บเองมาให้หมี
“นี่หมี เกือบลืมแน่ะ” จุ๋นหันไปค้นกระเป๋าสะพายของตัวเอง หยิบตุ๊กตานายต้นกล้าขึ้นมา เพียงแค่ยื่นให้หมีดูเท่านั้น อีกฝั่งก็ตาโตร้องโอ้โหเสียงดัง
“เย็บเองเลยเหรอเนี่ย” หมีรับตุ๊กตาไปดู พลิกหน้าพลิกหลังดูรายละเอียด ทั้งทรงผม ทั้งชุด เหมือนนายต้นกล้าจิบิที่ตัวเขาวาดไม่ผิดเพี้ยน
“อื้อ เราอ่านถึงตอนแถม ที่หมีวาดเป็นตัวเล็กๆ แล้วเราอยากเย็บมาให้”
“โอ้โห ขอบคุณมากๆ เลยนะ”
แววตาหมีส่งความปลื้มปริ่มออกมาอย่างไม่ปิดบัง เห็นดูท่าจะชอบมากขนาดนั้นจุ๋นเองก็รู้สึกเขินๆ เหมือนกัน และก็มีความสุขด้วย นี่ถ้าเขาเย็บตุ๊กตาออกขายแล้วมีคนชอบได้เท่านี้ก็คงจะดี
“เดี๋ยวเราถ่ายรูปลงเน็ตนะ จะโปรโมตด้วยว่าเป็นของจากร้านจุ๋น เอ้ยแบบนี้น่าจะดีนะ ให้เราบอกมั้ยว่าจุ๋นจะมีโครงการทำตุ๊กตาออริจินัลด้วย”
“อันนั้นอย่าเพิ่งเลย แค่เคลียร์งานตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ไม่รู้จะได้ทำเมื่อไร”
“แล้วอุตส่าห์เย็บตัวนี้มาให้เราเหรอ โหจุ๋น ขอบคุณมากๆ นะ”
หมีกอดตุ๊กตาแนบแก้ม หน้าตาดีใจมากจริงๆ จุ๋นเห็นแบบนี้แล้วเหมือนหมีไม่ได้อายุเท่าเขาเลย ดูดีใจเหมือนกับเด็กๆ อย่างไรอย่างนั้น
น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย
โรงพิมพ์ที่หมีสั่งพิมพ์การ์ตูนนั้นอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านของจุ๋น เขาจึงต้องออกจากบ้านแต่เช้า ขับรถคันเก่าที่พ่อซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ไปที่โรงพิมพ์ และเพราะหมีแจ้งกับที่นั่นเรียบร้อยแล้วว่าจะมีคนมารับหนังสือแทน จุ๋นจึงไม่ต้องพิสูจน์ตัวตนมากนัก ไม่นานหนังสือร้อยกว่าเล่มในลังใหญ่ก็ถูกขนมาที่รถ
อันที่จริง ก่อนที่จะมาจุ๋นก็ถามหมีแล้วว่าทางโรงพิมพ์ไม่มีบริการส่งให้เหรอ หมีจึงบอกว่านี่เป็นโรงพิมพ์ที่ใช้บริการตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ราคาถูกแล้วเจ้าของยังใจดี เสียแค่อายุค่อนข้างเยอะแล้วจึงไม่ยอมปรับตัวเท่านั้นล่ะ
จุ๋นเข้าใจมากๆ ที่หมีไม่อยากเปลี่ยนร้านที่คุ้นเคย เลยได้แต่ภาวนาให้หมีหายจากการปวดหลังเร็วๆ แล้วกัน ไม่อยากนั้นครั้งต่อไปจุ๋นต้องมาช่วยอีก
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เต็มใจซะเมื่อไร…
กว่าจะกลับไปที่ห้องของหมีก็เกือบเก้าโมงแล้ว วันนี้จุ๋นจึงไม่ได้หอบกับข้าวฝีมือแม่ แต่กลับแวะซื้อกับข้าวไปให้ทั้งหมีและตนเองทานกันในทั้งวันนี้ รวมถึงพรุ่งนี้เช้าด้วย จุ๋นนั้นแพ็กกระเป๋าเตรียมมานอนห้องหมีเรียบร้อย แม้จะยังไม่ได้บอกอีกฝ่ายก็เถอะ
พอรถเข้าที่จอดของอพาร์ตเม้นต์ จุ๋นก็เห็นว่าหมีมานั่งรออยู่ข้างล่างแล้ว อีกฝ่ายยิ้มแหะๆ ให้ คงรู้ตัวว่าจะโดนจุ๋นดุ ซึ่งเขาดุแน่ๆ
“ลงมาทำไมเนี่ย”
“มาช่วยจุ๋นขนไง มันหนักนะ”
“ไม่ต้องเลย หลังเจ็บอยู่จะมาขนของหนักได้ไง”
“ไปหาพี่อิ้งค์มาแล้ว พี่เขาให้ไปซื้อเข็มขัดพยุงหลังมาใช้ นี่ก็ใส่อยู่ ไหวๆ จริงๆ นี่ก็หายเยอะแล้ว”
ภาพที่หมีกระพริบตาปริบๆ นี่มันอย่างกับหมาใหญ่กำลังอ้อนยังไงก็ไม่รู้ แต่จุ๋นเคยผ่านช่วงเวลาที่เจ็บหลังอย่างมากมาแล้ว ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้หมีมาขนของหรอก จะยังไงก็ต้องทำใจแข็ง แล้วปฏิเสธไป
“ไม่ได้หรอก เราเคยเป็นมาแล้วนะปวดหลังน่ะ อย่าประมาทเชียว”
หมีหน้าจ๋อยจนน่าสงสาร แต่จุ๋นก็เมินภาพนั้น เขาบอกให้อีกฝ่ายขึ้นไปรอบนห้อง ทีแรกคนดื้อก็ไม่ยอม ต้องเกลี้ยกล่อมอยู่พอสมควรกว่าหมีจะเดินคอตกขึ้นไป จุ๋นถึงค่อยได้ขนหนังสือลังแรกเดินขึ้นอพาร์ตเม้นต์ไป
แค่ประตูเปิด ลมแอร์เย็นๆ ก็ตีหน้าของผู้มาเยือนเข้าให้ หมีรีบเปิดแอร์ไว้อย่างไม่กลัวเปลืองค่าไฟเพราะจุ๋นช่วยเขามาเยอะเหลือเกิน จุ๋นเองเดินมาเหนื่อยๆ พอได้รับแอร์เย็นๆ ก็รู้สึกดีขึ้น แต่พอหันมองที่มุมห้องด้านหนึ่ง จึงได้เห็นกับสิ่งที่เมื่อวานยังไม่มี
“กล่องพวกนี้ มาได้ยังไงเหรอหมี”
จุ๋นรู้ตัวเลยว่าตัวเองถามเสียงเรียบมากด้วยพยายามสะกดอารมณ์ที่เริ่มจะโมโหขึ้นมานิดๆ ก็จะไม่ให้โมโหได้ยังไง ถึงจะเป็นกล่องเปล่าแต่การแอบเขาไปซื้อกล่องมาร่วมร้อยใบวางซ้อนกันเยอะแยะนั่น ยังไงก็ต้องขนขึ้นมาเหนื่อยอยู่ดี ทั้งที่เขาเป็นห่วงเรื่องหลังของอีกฝ่ายแท้ๆ
“อย่าว่าเรานะ อันนี้เราสั่งซื้อแล้วให้พี่ร้านขายกล่องเอามาส่งให้”
“แต่หมีเป็นคนขนขึ้นมา?”
“ไม่ๆ เอ่อ แต่ก็ช่วยเขานิดนึงแหละ มันเยอะนี่นา”
“ให้ตายสิ”
จะโมโหใส่ตรงๆ ก็ไม่กล้า จุ๋นคิดว่าพวกเขายังไม่สนิทกันมากพอที่จะสาดอารมณ์ลบใส่กัน จึงคิดจะเดินไปขนกล่องอื่นขึ้นมาพลางสงบสติอารมณ์ตัวเองด้วย แต่เพียงแค่หันหลังจะเปิดประตูห้องออกไป หมีก็เดินมาจับแขนเอาไว้เสียก่อน
“ขอโทษจริงๆ นะจุ๋น อย่าโกรธเราเลยนะ”
ภาพหมาใหญ่หูลู่หางตกซ้อนเข้ามาในดวงตาของจุ๋นอีกครั้ง เขาจึงทำเพียงแค่ถอนหายใจ “ที่เราโมโหเนี่ย เป็นเพราะเราห่วงหมีนะรู้เปล่า”
“รู้…”
“งั้นก็อย่าทำให้เราห่วงนักสิ”
“อื้ม จะไม่ทำอีกแล้ว ดีกันนะ”
หมียื่นนิ้วก้อยมาให้ บวกกับหน้าจ๋อยๆ นั้นทำให้จุ๋นใจอ่อน สุดท้ายเขาก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับอีกฝ่าย แล้วมองใบหน้านั้นด้วยแววตาที่อ่อนลง
“ไม่โกรธแล้ว เดี๋ยวเราไปขนของขึ้นมาให้ หมีรอเราก่อนนะ”
“อื้ม”
จุ๋นผละออกไปเพื่อลงไปขนของต่อ ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะยกทั้งหมดขึ้นมาได้ แต่มันยังไม่จบ เขาบอกหมีว่าจะไปเอากับข้าวที่ซื้อมาให้ ซึ่งคราวนี้หมีเห็นว่าเป็นของเบา จึงจะไปขนขึ้นมาให้ คราวนี้จุ๋นยอมแล้ว แต่ก็ไม่ให้หมีไปคนเดียว เพราะบอกว่ามีกระเป๋าใบใหญ่มาด้วย ถึงหมีจะสงสัยว่ากระเป๋าอะไรแต่ก็ไม่ได้ถาม
จนเดินกันลงมาถึงรถของจุ๋นและได้เห็นกระเป๋าเท่านั้นแหละ หมีจึงได้เห็นว่านั่นมันเหมือนกระเป๋าเสื้อผ้าเลยนี่นา
“ก็กระเป๋าเสื้อผ้าน่ะสิ” จุ๋นตอบหลังจากที่หมีถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ และไม่ทันที่หมีจะพูดอะไร จุ๋นกลับพูดต่อเสียก่อน
“วันนี้ให้เราค้างห้องหมีนะ”
“ห๊ะ!”