ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?
ชาย-ชาย,รัก,ไทย,feel good,slice of life,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ความรู้สึกแรกหลังจากที่จุ๋นบอกว่าจะค้างคือความตกใจ ต่อมาหรือความประหม่า แน่นอนว่าหมีเขินมากที่คนที่ชอบจะมานอนค้างที่ห้อง จะปฏิเสธจุ๋นก็ยกเอาปัญหาสุขภาพขึ้นมาพูดซึ่งทำให้เถียงไม่ออก สุดท้ายก็ต้องเดินพาจุ๋นพร้อมกระเป๋าขึ้นมาบนห้อง แล้วพอเห็นสภาพห้อง ความรู้สึกตื่นเต้นอะไรนั่นก็หายไปหมด
เหลือแต่ความคิดที่ว่า พวกตนจะได้นอนจริงเหรอในคืนนี้
กล่องร่วมร้อยกล่อง บับเบิ้ลมากมาย สก็อตเทปเป็นสิบอัน ตอนนี้วางเป็นระเบียบอยู่ก็จริง แต่พอเริ่มทำก็คงกระจัดกระจาย และคงใช้เวลามาก เดิมทีหมีเองก็คิดแล้วว่าเขาคงต้องโต้รุ่งเพราะอยากแพ็กของให้เร็วที่สุด ไม่รู้ว่าช่วยกันสองคนจะเป็นยังไง เพราะหมีเองไม่รู้ว่าจุ๋นจะแพ็กเร็วแค่ไหนด้วยสิ
พวกเขากินข้าวเช้ากัน แล้ววางอาหารที่ยังอุ่นๆ ไว้บนโต๊ะทำงานที่ตอนนี้หมีได้วางโน้ตบุ๊กและไอแพดไว้ด้านหนึ่งจนพอมีที่ว่าง หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงทยอยขนกล่องและบับเบิ้ลจำนวนหนึ่งมาไว้ใกล้ๆ ในระยะแขนเอื้อมถึงจากโต๊ะญี่ปุ่นเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องขยับตัวกันมาก
“ตกลงว่า หมีจะห่อหนังสือกับของแถม แล้วให้เราแพ็กกล่องใช่มั้ย”
“ตามนั้นแหละ เดี๋ยวพวกเราแพ็กคนที่สั่งเล่มเจ็ดอย่างเดียวก่อน มีแค่ไม่กี่ออเดอร์ที่มีสั่งเล่มเก่าด้วย แต่ถึงตอนนั้นแล้วเดี๋ยวเราบอก”
“โอเค”
ในเมื่องานเริ่มต้นที่หมี ระหว่างรอหมีห่อหนังสือ จุ๋นจึงจัดระเบียบรอบตัวไปพลางๆ โดยเฉพาะชื่อผู้ส่งกับชื่อผู้รับที่หมีปริ้นท์ออกมาให้แล้ว เขาเพียงแค่ทากาวแล้วแปะได้เลย ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องเขียน แต่พอคิดถึงการเขียนแล้ว จุ๋นจึงมองมือของหมีที่ห่อของอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็นึกสงสัย
“จะว่าไป หมีไม่ปวดข้อมือเหรอ ตอนเราเป็นนี่ปวดมากเลย หมีก็น่าจะเหมือนกันนี่”
“อ๋อ เราปวดครั้งแรกตอนเด็กโน่น เลยบริหารมาตลอดน่ะ”
“แล้วไม่ปวดไหล่หลังเหรอเมื่อก่อน”
“ไม่เลย คงเพราะออกกำลังกายมั้ง เล่นบาสกับเพื่อนๆ ตอนเรียน แต่พอทำงานอยู่คนเดียวแล้วนั่งกับที่ตลอดเลย”
จุ๋นพยักหน้ารับ ชั่งใจว่าถ้าหมดช่วงนี้แล้วจะชวนหมีไปวิ่งดีมั้ย แต่ก็เอาไว้ก่อน ตอนนี้จุ๋นขอโฟกัสกับการปิดกล่องให้ดี ติดชื่อให้เนี้ยบก่อนดีกว่า
“แบบนี้ได้มั้ยหมี” จุ๋นโชว์กล่องให้ดูแล้วเขย่ามันด้วย เพราะใส่บับเบิ้ลเข้าไปเพิ่มเลยไม่ได้ยินของข้างในขยับ กล่องก็ปิดแน่นเรียบร้อยดี หมีจึงยกนิ้วโป้งให้
“อื้อ ดีแล้ว”
“แล้วปกติถ้าทำคนเดียวใช้เวลาเท่าไรเนี่ย”
“ครั้งก่อนก็จากเช้าถึงเช้าอีกวันโน่นแหละ เพราะไม่ได้จำกัดยอดพรีด้วยล่ะนะ”
“โห แล้วทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วยล่ะ อย่างรอบนี้อีกตั้งเกือบอาทิตย์กว่าจะถึงวันออกบูธนี่นา”
“ครั้งนี้ดูมีเวลาเยอะก็จริง แต่บางครั้งโรงพิมพ์ก็ทำช้าน่ะ อีกอย่าง เราอยากให้นักอ่านได้ของเร็วๆ ยิ่งเห็นได้เร็วกว่าที่เคยกำหนดไว้แล้วเค้าดีใจ เราก็ยิ่งดีใจไปด้วย”
หมีพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงข้อความที่ส่งเข้ามาจากโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง เขาชอบเหลือเกินเวลาคนรับได้ของก่อนกำหนดแล้วส่งข้อความมาชื่นชม แต่ก็ยอมรับว่ามันเป็นภาระหนักเหมือนกัน เพราะผู้อ่านก็คาดหวังว่าจะต้องได้ของก่อนเวลาอยู่ตลอด หมีจึงต้องพยายามมากขึ้น
“แต่ไม่ได้นอนแล้วไม่เป็นไรเหรอ เรานะเคยโต้รุ่งตอนเรียนแล้วปวดหัวไปทั้งวันเลย ครั้งเดียวก็เข็ดแล้ว”
“ปวดเหมือนกัน แต่ไม่ได้ทำบ่อยๆ หรอก ตอนนี้นอนดึกยังไงก็ต้องให้ได้หกชั่วโมงน่ะ”
“แปลว่าเมื่อก่อนนอนน้อยมากเลยดิ”
“ก็นะ…”
ความทรงจำวัยมหาวิทยาลัยผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด หมีเล่าให้จุ๋นฟังว่าสมัยก่อนนั้นเรียนก็หนัก ทำงานก็หนัก ไหนจะต้องแบ่งเวลาไปทำกิจกรรมกับเพื่อนอย่างเช่นเล่นบาสเพื่อไม่ให้หลุดกลุ่มอีก เลยแทบไม่มีเวลานอน ตอนนั้นปล่อยตัวสุดๆ ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราเฟิ้ม แต่เพราะออกกำลังกายเยอะเลยผอมมาก
“มีคนคิดว่าเราติดยาด้วย”
“เฮ้ย” จุ๋นตกใจจนอุทานเสียงดัง “แรงเกินไปรึเปล่า”
“แรงแหละ แต่ตอนนั้นเพื่อนก็ช่วยกันบอกว่าเราวาดการ์ตูน โชว์เพจเฟซบุ๊กให้ดูงี้ พอคนรู้เยอะๆ เข้าก็ไม่โดนว่าอย่างนั้นละ แล้วจุ๋นอะ”
พอพูดเรื่องของตัวเองแล้วก็อยากฟังเรื่องของอีกคนบ้าง จุ๋นทำหน้านึกแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไรมาก เรียนแล้วก็เที่ยวกับเพื่อนไปวันๆ
“อาจจะแปลกกว่าคนอื่นหน่อยตรงที่เราติดต้องไปรับพี่อิ้งค์มั้ง ตั้งแต่ช่วงม.ปลายละ รับส่งพี่อิ้งค์จนมีแต่คนคิดว่าเราเป็นแฟนพี่เขา ทั้งที่จริงคือพี่เค้าเลิกดึกจนน่าห่วงเลยที่จะต้องกลับบ้านคนเดียว”
“อ๋อ งี้จุ๋นก็ไม่มีแฟนเลยอะดิ”
“ใช่ ไม่เคยมีเลย เคยแค่มีคุยๆ แล้วเค้าก็ไม่เข้าใจว่าพี่อิ้งค์น่ะเหมือนพี่สาวแท้ๆ เราจริงๆ รับส่งแบบเป็นหน้าที่น้องชาย ไม่ได้มีอะไรเกินเลย”
“ไม่มีผู้หญิงที่ไหนเข้าใจหรอกจุ๋น”
“เราบอกเหรอว่าเราคุยๆ กับผู้หญิง”
มือของหมีที่กำลังห่อของสะดุดกึกทันที เขาเกือบหลุดอุทานอ้าวออกไปแล้วด้วยซ้ำ ได้แต่เงยหน้ามองจุ๋นอย่างงุนงง ในขณะที่จคนตรงหน้ายิ้มบาง คิดว่าได้เวลาแล้วที่ต้องบอกออกไป
“เราเป็นเกย์น่ะ”
ตาของหมีเบิกกว้าง หูอื้อไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำนั้น จนอยากจะได้ยินอีกครั้งให้แน่ใจ ว่าที่จุ๋นพูดนั้นจริงใช่ไหม ใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้นมาแล้ว
“จริงเหรอจุ๋น”
“ใช่ ทำไมอะ รับไม่ได้รึเปล่า”
“เปล่าๆ ไม่ใช่ เราแค่…” จะว่ายังไงดี ไม่ใช่ว่าหมีรับไม่ได้แน่ๆ อยู่แล้ว แต่ทั้งตกใจ และทั้งรู้สึกมีความหวังขึ้นมา แต่ก็รู้สึกสับสนจนไม่รู้จะพูดอะไร เพราะอยู่ๆ ก็ดันคิดขึ้นมาได้ว่าจุ๋นเพียงบอกว่าเป็นเกย์ ไม่ได้แปลว่ามีแนวโน้มจะชอบตนสักหน่อย
“แค่?”
“ตกใจน่ะ คือดูไม่ออก แบบว่า.. เราก็เป็นเกย์เหมือนกัน”
หมีเกาแก้ม หลุบตา ทั้งๆ ที่คัมเอ้าท์กับเกย์เหมือนกันแท้ๆ แต่กลับประหม่าจนไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่ก็แอบเห็นริมฝีปากของจุ๋นอยู่ว่าอมยิ้ม
“จริงเหรอ ดีใจนะเนี่ย ได้เจอคนเพศเดียวกันด้วย”
เสียงของจุ๋นดูไม่เห็นจะตื่นเต้นอะไร ไม่รู้ว่าพอเดาได้มาก่อนแล้วแกล้งพูดเชิงตกใจเฉยๆ รึเปล่า แต่จะยังไงหมีก็คิดไม่ออกแล้ว ในหัวนึกได้แต่ตอนที่จุ๋นบอกไม่ชอบที่โดนล้อว่าเป็นตุ๊ดเมื่อคราวนั้น
“แต่จุ๋นเคยบอกว่าไม่ชอบที่โดนล้อว่าเป็นตุ๊ดนี่”
“อ้าว ต่อให้เป็นจริงแต่ใครจะชอบโดนล้อล่ะ ตอนนั้นเราเป็นเด็กประถมเอง ถึงจะรู้ตัวว่าชอบผู้ชายแล้วก็เหอะ แต่ตอนนั้นทำตัวแปลกจากเพื่อนไม่ได้เลย จนม.ปลายโน่นกว่าจะกล้าเปิดเผย เพราะมีเพื่อนดีด้วยล่ะนะ”
หมีเริ่มที่กล้าเงยหน้ามองจุ๋นขึ้นบ้างแล้ว ในใจคิดว่าดีจัง เทียบกับหมีที่ต้องปิดมาตลอด รู้กันแค่ครอบครัว กับเพื่อนนั้นก็ปิดไว้เพราะตั้งแต่เด็กหมีก็เป็นเด็กห่ามๆ เล่นกับกลุ่มผู้ชายมาตลอด เพื่อนในกลุ่มก็ชอบแซว หรือล้อเพศที่สามแรงๆ เสียด้วย จึงยิ่งไม่กล้าเปิดเผย ถึงจะไม่ได้ร่วมล้อไปกับเขาก็เถอะ แต่นึกย้อนไปก็ผิดหวังในตัวเองอยู่เหมือนกันที่ปกป้องเหล่าเพื่อนเพศที่สามไม่ได้
พอถึงตอนทำงาน หมายถึงตั้งแต่มหาวิทยาลัยก็ยังไม่กล้าเปิดเพราะกลัวจะเสียแฟนคลับผู้ชายที่คาดหวังความแมนของเขาไป เพราะงั้นผู้ชายคนเดียวนอกจากพ่อก็มีแค่ปั้น เพื่อนสนิทของเขานั่นแหละที่รู้เรื่องเพศสภาพนี้
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะหมี”
“หน้า.. เราทำหน้ายังไงนะ”
“ดูเศร้าๆ”
“อ๋อ” หมีแค่นยิ้ม รู้ตัวขึ้นมาว่าคงจะเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ “แค่คิดว่าดีจังเลยนะ เรายังไม่กล้าบอกเลย มีแค่ครอบครัวกับเพื่อนสนิทคนเดียวที่รู้”
“งั้นหมีน่าจะดีกว่าเราในแง่นึงนะ”
“ยังไงเหรอ”
“แม่เรายังไม่รู้เลย”
พอพูดประโยคนั้นจบ แววตาสดใสของจุ๋นก็ดูมืดหม่นลง จุ๋นถอนหายใจน้อยๆ ขณะที่มือที่เคยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนหน้านี้ก็ช้าลงด้วย หมีเห็นคุณแม่ของจุ๋นมาแล้วและคิดว่าเธอเป็นคนใจดี แต่ก็นั่นสินะ หมีเองก็เข้าใจเหมือนกันว่าความใจดีกับการยอมรับเพศสภาพนั้นไม่เกี่ยวกันเลย
“พาหมีเศร้าซะแล้ว ตอนแรกคุยกันถึงไหนนะ ใช่ เรามีคนคุยเป็นผู้ชาย แต่พวกนั้นก็ยังคิดว่าเราเป็นแฟนพี่อิ้งค์อยู่ดี งงป่ะหมี”
พอเริ่มกลับมาคุยเรื่องสมัยมหาวิทยาลัยบ้าง จุ๋นก็กลับมาสดใสอีกครั้ง พอรู้เรื่องกันมากขึ้น ก็ยิ่งเหมือนอะไรหลายๆ อย่างเริ่มปลดล็อค หรืออาจจะเพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ทำได้แค่คุยเท่านั้น พวกเขาเลยคุยกันใหญ่
แต่ก็ใช่ว่าจะคุยกันตลอด ทำงานก็มีเหนื่อยบ้าง หมีที่ใส่เข็มขัดพยุงหลังก็ยังเจ็บเมื่อนั่งไปนานๆ ยังต้องขอตัวไปนอนบ้าง แล้วก็มีการเคลียร์เตียงบ้าง ในเมื่อคืนนี้ก็คงต้องนอนด้วยกัน หมีจึงต้องพาน้องตุ๊กตาที่กินพื้นที่ครึ่งเตียงไปวางที่อื่น เหลือเพียงหมอนข้างน้องกระต่ายไว้กอดเท่านั้น
ก็จุ๋นมาค้างจะให้จุ๋นนอนพื้นได้ยังไง ส่วนตัวหมีเองก็นอนพื้นไม่ได้ด้วยเพราะยังปวดหลังอยู่ ต่อให้เขินแค่ไหนก็ต้องนอนด้วยกัน ได้แต่บอกกับน้องกระต่ายว่าช่วยคั่นเอาไว้ด้วยนะ ให้หมีกอดแต่น้องกระต่ายก็พอ อย่าได้เผลอกลิ้งไปแตะต้องตัวจุ๋นเลย
จากกลางวัน เข้าสู่ช่วงกลางคืน หลังจากผลัดกันอาบน้ำและกินข้าวเย็นจนเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาทำงานโค้งสุดท้าย หมีไม่เคยนึกเลยว่าพลังแห่งการช่วยเหลือกันจะมากมายขนาดนี้ ในเมื่อเขาทำงานที่เคยใช้เวลาทั้งคืนใกล้เสร็จตอนช่วงเกือบเที่ยงคืน ดีใจที่งานจะเสร็จแล้วยังดีใจที่ไม่พาจุ๋นนอนดึกจนเกินไปด้วย
“ในที่สุด!” หมีพูดออกมาเสียงดังเมื่อห่อหนังสือเซ็ตสุดท้ายเสร็จ ส่งต่อไปให้จุ๋นที่จัดลงกล่องแล้วปิดมันอย่างดี หมีตั้งมือสองข้างเตรียมพร้อม พอจุ๋นวางกล่องลงปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าถึงเวลาไฮไฟว์
“เสร็จแล้ววว” สองเสียงประสานก่อนที่หมีจะหงายหลังลงไปนอนแผ่กับพื้น ในขณะที่จุ๋นยกกล่องเซ็ตสุดท้ายไปเรียงไว้ข้างผนังที่ตอนนี้เต็มไปด้วยกล่องวางเรียงกันซ้อนสูงจนเกือบถึงเพดาน
“ขอบคุณมากเลยนะจุ๋น ไม่มีจุ๋นเราทำไม่เสร็จแน่ๆ”
หมียกมือไหว้จุ๋นที่ยืนค้ำหัวตัวเองอยู่ จุ๋นหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ แล้วบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ แขนของจุ๋นที่เกือบจะโดนตัวหมีอยู่แล้วทำให้หมีเขยิบตัวออก แต่ยังไม่กล้าลุกขึ้นเพราะกลัวว่าจะดูผิดปกติ
“เราเพิ่งเคยทำงานมาราธอนขนาดนี้ เหนื่อยเหมือนกันนะ”
“ขอบคุณมากๆ พรุ่งนี้เดี๋ยวเราเลี้ยงข้าวนะ บุฟเฟ่ต์กันมั้ย”
“ก็ดีนะ แต่ก่อนหน้านั้นต้องไปส่งของก่อนใช่เปล่า”
หมีส่ายหน้า “เดี๋ยวเรียกพี่ไปรมารับที่นี่น่ะ แค่ขนของลงไปเอง”
ได้ยินอย่างนั้นจุ๋นก็สบายใจ เพราะถ้าหมีจะขนของทั้งหมดนี่ขึ้นลงรถคงจะไม่ไหว แค่ขนลงจากที่นี่ก็คงเหนื่อยมากแล้ว จุ๋นเองก็ไม่มั่นใจว่าเวลาที่นัดทางไปรษณีย์มารับเขาจะสามารถอยู่ช่วยได้รึเปล่า เพราะแค่มาช่วยวันนี้ก็มีงานค้างที่ต้องเร่งทำแล้ว
จากการส่งของ หัวของจุ๋นแล่นเรื่อยไปจนนึกถึงวันออกบูธ เหมือนหมีจะเคยคุยกับใครสักคนว่าอีกฝ่ายไม่ว่าง ถ้าอย่างนั้นแล้วหมีจะไปออกบูธยังไงนะ?
“หมี ที่ไปออกบูธนี่ไปคนเดียวเหรอ”
“อ๋อ ไปกับเพื่อนน่ะ ปกติเพื่อนสนิทเราไปช่วย”
“โอเค..” จุ๋นตอบรับแม้จะยังสงสัย แต่ก็คิดไปว่าหมีคงได้คนมาช่วยแล้วล่ะมั้ง แปลกใจเหมือนกันที่ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาคือความเสียดาย ทั้งๆ ที่วันนี้ก็เหนื่อยมาก แค่นึกถึงงานของตัวเองที่ค้างอยู่ก็ปวดหัว แต่ก็ยังหวังลึกๆ จนได้ว่าหมีจะขอให้ตนไปช่วย
ให้ตายเถอะ แอบคิดว่าเขาชอบตัวเอง แต่ไม่ใช่ว่าเป็นตัวเองหรอกหรือ ที่เผลอใจ
ถ้าได้ไปช่วยหมีก็ดีสินะ...