หากคุณชอบหอมหวานของเรื่องราวรักโรแมนติก การพบเจอ การงอนง้อที่แสนหวาน คุณจะตกหลุมรักเรื่องนี้
หากคุณชอบความดราม่า ความคมคาย เงื่อนงำ เรื่องนี้จะพาคุณค่อยๆ ดำดิ่งลงไปในลูปวังวนที่บีบหัวใจจนบทสุดท้าย
นิยายวายใน concept เก๋ๆ ว่าด้วยเรื่องลูปเวลา ซึ่งก็คือ วังวน ซ้ำๆ ของการวนลูปกลับไปแก้ไขอดีตของนายเอกที่คิดว่าพระเอกขับรถชนตาย โดยแม้ว่าจะกลับมาใหม่ เขาก็คงยังติดอยู่ในวังวนเกิดตายซ้ำๆ แต่ยิ่งวนเวียนเท่าไหร่ ความลับและปริศนาใหม่ๆ จะยิ่งเพิ่มพูนไป พร้อมๆ กับความหอมหวานของความรักที่ค่อยๆ เบ่งบาน
ชาย-ชาย,ผู้ใหญ่,รัก,ดราม่า,ตลก,คอมเมดี้,อ่านเพลิน,อ่านสบายๆ,boylove ,bl,นายเอกเก่ง,18+,วาย,ออฟฟิศ,น่ารัก,ดรามา,โรแมนติก,พระเอกธงเขียว,พระเอกขี้หึง,พระเอกคลั่งรัก,ย้อนเวลา,ย้อนกลับมา,ดราม่า,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Second Chance – โอกาสที่สอง
ถ้าคุณได้มันมาอีกครั้ง คุณจะทำยังไงกับมัน
สำหรับซอล ชีวิตทุกวันมันก็เหมือน restart เริ่มใหม่บนเตียงนอนนี่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
ลาเต้เย็นหวานน้อยจากคาเฟ่ประจำก่อนถึงที่ทำงานในทุกเช้า
Playlist เดิมๆ ใน Spotify ที่วนในหูฟังทุกวัน
หรือการกลับมาดูหนังเก่าเรื่องโปรดเดิมๆ ในวันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งต่อให้ย้อนกลับมากี่ครั้งเท่าไหร่ ลูปชีวิตมันจะมีอะไรไปนอกจากนี้
จะว่าซอลเป็นคนที่ยึดติดก็ได้ ทั้งกิจวัตรประจำวัน เรื่องงาน หรือความรัก ถ้าชอบอะไรแล้วก็ไม่ค่อยจะเปลี่ยนใจเท่าไหร่ คงเพราะเห็นว่ามันเป็นพื้นที่ปลอดภัย เซฟโซนที่เหมาะกับคนอย่างตัวเองนั่นแหละ
ทุกวันใหม่ ชายหนุ่มจึงใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เหมือนกำลังพยายามยื้อและต่อรองกับชะตาตัวเอง
การแก้แค้น ไอ้ศศิน มันเลยต้องมีขั้นมีตอน และรอบคอบมากๆ
แต่แผนคืออะไรน่ะเหรอ?
.
.
ยังไม่ได้คิดหรอก
ก็คนมันเพิ่งเคยตายครั้งแรกนี่หว่า
แต่อย่างกับวอนหาเรื่อง ไอ้ศศินช่วงนี้มันขึ้นมาที่แผนกนี้บ่อย ทำอย่างกับมาตรวจดูงานทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ บางทีก็เข้าไปคุยกับบอสพัลลภ ซึ่งพอถามบอสก็บอกว่ามาคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป พวกเมนูเด็ด ร้านอาหารดังย่านนี้ หรือปริมาณงานในแผนก
ซึ่งอย่างที่บอก… ไม่จำเป็นด้วยซ้ำปะ
มันคงมาวางมาด ว่าเป็นคนมาจากบริษัทแม่คอยจับตาดูอยู่ชัวร์
“พี่ซอล หมอมะระขี้นกมันโทรมาอีกแล้วววว” กิ๊ฟวิ่งหน้าตั้งถือโทรศัพท์มายื่นให้อย่างร้อนรน ซอลผละสายตาที่จ้องคนชุดสูทผ่านกระจกใสกั้นห้องพี่พัลลภมายังมือถือในมือกิ๊ฟ
“มีอะไรอีกก”
“ก็ตื๊อเรื่องมะระขี้นกไม่เลิก กิ๊ฟบอกเค้าไปแล้วว่ามันไม่ได้เป็นจุดเด่นของโปรดักต์เราจะให้สื่อสารออกไปแบบนั้นได้ยังไง”
ซอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไอ้ลุงหมอนี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร แค่มีเส้นสายยัดสวนตัวเองให้เป็นคู่ค้ากับบริษัทได้ก็ชักจะเอาใหญ่ มาติดต่อบีบบังคับโดยตรงกับแผนกในบริษัทขนาดนี้มันเกินไปมาก ชายหนุ่มคิดก่อนที่จะรับสายที่ปลายสายตะเบ็งเสียงมาด้วยอารมณ์ “มะระขี้นกมันไม่ดียังไง พวกคุณเองก็มีใส่ไปในส่วนผสมไม่ใช่เหรอ แค่พูดขึ้นมาว่ามันเป็นวัตถุดิบหลักแค่นี้จะตายรึยังไง!”
“คุณหมอครับ ฟังผมนะ เราใส่ไปแค่ 0.05% ซึ่งมันน้อยมากถ้าเทียบกับเปอร์เซ็นต์น้ำผึ้งมานูก้าที่อยู่ในขวด จะให้เราเปลี่ยนจากการตั้งชื่อว่า สมุนไพรน้ำผึ้งมานูก้า เป็นสมุนไพรน้ำมะระขี้นกมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ผมเคยบอกเหตุผลไปหมดแล้ว ทั้งในแง่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค หรือแง่การตลาด”
“ก็ตอนนี้ไร่ผมมะระขี้นกมันล้น ถ้าคุณแค่โฆษณาออกไปมันจะขายได้ ไม่เข้าใจรึไง”
“ผมคิดว่าอันนั้น เป็นสิ่งที่ลุงต้องบริหารจัดการนะครับ”
ไอ้หมอเก๊ เงียบไปสักพักจนในที่สุดมันก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นมา
“ถ้าไม่ช่วยกูนะ กูจะไปโพสต์แน่ว่าบริษัทพวกมึง กดราคาวัตถุดิบไร่กู มึงคอยดู”
จู่ๆ ซอลก็นึกได้ ...
โอ๊ย! ไอ้หมอ กูจำได้แล้วช่วงต้นเดือนกุมภาก่อนจะโดนรถชน มึงนั่นเองเป็นคนไปโพสต์ว่า อินไฟไนท์กดราคา จนชาวสวนทั่วประเทศลุกฮือเป็นข่าวใหญ่โต ทั้งบริษัทต้องลำบากแก้ข่าวกันจ้าละหวั่น ก่อนที่จะรู้ความจริงว่าเป็นข่าวมั่วก็เสียหายหลายล้านแถมตามจับตัวคนโพสต์ไม่เจอ
“อินไฟไนท์ไม่เคยกดราคาวัตถุดิบ ใครๆ ก็รู้ดี ลุงเองก็รู้อยู่แก่ใจ”
“มึงรู้ กูรู้แล้วไง ชาวบ้านไม่รู้ กูปั่นแป๊บเดียว แล้วมาดูกันว่า โซเชียลจะเลือกใครระหว่างบริษัทนายทุนยักษ์ใหญ่กับชาวไร่ ชาวสวนตาดำๆ หึหึ”
“แล้วแต่มึงเลย ไอ้หมอปลอม ความรู้เท่าหางอึ่งแต่หลอกชาวบ้านว่าเป็นหมอ สักวันเหอะมึง..”
“มึงรอเลย..” ไอ้หมอแก่ทิ้งท้ายก่อนตัดสายไป
เออดิวะ ไอ้เห้….!
ซอลตะโกนลั่นใส่โทรศัพท์ด้วยอารมณ์โกรธที่พุ่งทะยาน
แต่เมื่อเขาหันหลังกลับมา ก็ต้องพบกับสายตาเย็นยะเยือกของร่างใหญ่ที่จ้องมองเขาอยู่ในระยะประชิด
เชี่ย.. ไอ้ศศิน มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
“คุณซอลมากับผม ที่ห้องประชุมเดี๋ยวนี้” ร่างใหญ่สั่งด้วยเสียงเรียบดุจคมมีด
ประตูกระจกห้องประชุมถูกปิดลง ไล่หลังหัวหน้าทีมมาร์เก็ตติ้งหนุ่มที่เดินตามหลังแผ่นหลังกว้างของชายร่างสูงกว่าเข้าไปในห้อง มู่ลี่บังตาถูกรูดปิดลงราวกับไม่ต้องการให้พนักงานภายนอกเห็นความโหดร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในห้องนี้
ภาพความอำมหิตของสายตาคู่เดียวกันนี้ที่หลังพวงมาลัยในคืนนั้น ซ้อนทับขึ้นมาในหัว ยิ่งทำให้การเผชิญหน้ากับเขาในครั้งนี้ของซอลเป็นเรื่องน่าขนลุกมากขึ้น
“หัวหน้าอย่างคุณ รับมือกับสถานการณ์นั้นแบบนี้เหรอ” เครื่องประหารเริ่มเดินเครื่อง
“ผมรู้ต้องทำยังไง”
“คุณรู้ไหมสิ่งที่คุณเพิ่งทำไป มันกระทบกับบริษัทขนาดไหน”
“ผมพยายามปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทให้ดีที่สุดแล้ว” ซอลเถียงด้วยเสียงที่นิ่งเรียบพยายามกดความโมโหเอาไว้
“คุณก็พูดง่ายนิ แล้วใครมันต้องตามเช็ด” ร่างใหญ่ย่างเท้าเข้ามาประชิดตัวมาร์เก็ตติ้งหนุ่มที่ถอยหลังไปจนติดโต๊ะ “พวกดูแลภาพลักษณ์องค์กรอย่างผมนี่ไง”
“ใช่.. มันงานพวกคุณนี่..” ซอลจ้องเข้าไปในแววตาสุนัขจิ้งจอก “จริงๆ แล้วผมไม่จำเป็นต้องคุยติดต่อกับไอ้หมอแก่ ที่เป็นคู่ค้าวัตถุดิบด้วยซ้ำ ไม่ใช่หน้าที่ผมที่ต้องลงไปเจรจาเพื่อรักษาภาพลักษณ์องค์กร ผมมีหน้าที่ที่จะทำยังไงให้ขายน้ำพวกนั้นได้ต่างหาก เผื่อคุณยังไม่เข้าใจ”
ซอลสู้ยิบตา งัดเอาทุกเหตุผลมาฟาดกลับไอ้คนตัวสูงที่ค่อยๆ เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่น Bleu de Chanel อ่อนๆ ลอยเย้ายวนออกมาจากซอกคอหนาของชายหนุ่มร่างสูงกว่า
“แต่คุณก็ทำลายภาพลักษณ์องค์กรไปแล้ว ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่คุณ” ศศินแสยะยิ้มมุมปากราวกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ ในขณะที่จ้องลึกเข้าไปในแววตาหัวหน้าทีมหนุ่มเหมือนกับจะกลืนกินคนข้างหน้าลงไปให้ได้
ทั้งคู่ใช้ความนิ่งเงียบ เพื่อกดดันอีกฝ่ายให้ยอมถอย
จนกระทั่ง..
“ผมรับผิดชอบเอง!” ซอลจ้องตอบ นิ่ง และหนักแน่น
“ดีใจที่ได้ยินครับ” ศศินถอยตัวออกไปอย่างผ่อนคลายด้วยความพอใจที่ได้ยินในสิ่งที่ต้องการแล้ว
“ผมจะรอดูความรับผิดชอบของคุณ” ไอ้หมาจิ้งจอกหันมาบอกอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะเปิดประตูออกห้องไป
เฮ้ออออออ…
ซอลเดินคอตก กลับมาทิ้งตัวลงโปะที่โต๊ะของตัวเองในแผนก เด็กๆ สามคนในทีมวิ่งกรูกันเข้ามาชาร์จเติมพลังให้กับหัวหน้าทีมหนุ่มอย่างเร่งด่วนอย่างกับเหล่าเจ้าหน้าที่ในห้องไอซียู ไอ้ดอยพุ่งมานวดไหล่ กิ๊ฟเสิร์ฟน้ำ ขณะที่บูมหอบขนมมากองไว้เต็มโต๊ะ
“ลูกพี่เก่งมาก อย่างน้อยพี่ก็ได้จัดการไอ้หมอแก่นั่นนะพี่” ดอยให้กำลังใจในขณะใช้มือสับคอให้ซอล อย่างกับพี่เลี้ยงนักมวยตอนพักยก
“แค่นี้กิ๊ฟว่า มันก็ไม่กล้าโทรมาตอแยเซ้าซี้เราแล้วล่ะค่ะ” กิ๊ฟลบเบอร์อีหมอทิ้งจากมือถือเหมือนสาวมั่นที่เพิ่งเลิกกะแฟน ในขณะที่บูมแกะขนมป้อนเข้าปากซอลไม่หยุด
“เออ ไม่ต้องห่วง.. กูจัดการละ” ซอลบอกน้องในทีมให้มั่นใจ ในขณะที่สายตาลึกๆ พยายามซ่อนความกังวลเอาไว้อยู่
“งั้นเราไปหาอะไรสนุกๆ กินไหมครับเที่ยงนี้” ไอ้บูมออกไอเดียเรื่องกินตามเคย
“ก็ดี ไม่ได้ไปกินอะไรดีๆ กันนานละ ไปนะพี่ซอลลล” กิ๊ฟอ้อนพี่มันอีกคน สุดท้ายก็ 3 ต่อหนึ่ง ซอลที่ไม่สามารถทัดทานอำนาจของเด็กรุ่นใหม่ได้เลยต้องตามน้ำไป
ทั้งทีมพากันไปยังห้างประจำใกล้ออฟฟิศที่มีร้านอาหารดูดีหลายระดับ ตั้งแต่ราคาเอื้อมถึงไปจนถึงหรูหราหมาเห่าอัดแน่นไว้เพียบ ซึ่งแน่นอนร้านที่ชาวคณะกำลังจะไป อยู่ในระดับหมาไม่เห่า แต่เอื้อมถึง
ทีมที่ออกอาการดี๊ด๊าเป็นพิเศษเพราะไม่ได้ออกไปไหนกันเลยในแรมปี พากันมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นบนสุดของห้าง ในขณะที่ซอลเดินตามต้อยๆ เพราะง่วงเกินกว่าจะดี๊ด๊าไหว
สายตาก็เหลือบไปเห็น คุณนภา บอร์ดบริหารระดับสูงของบริษัทกำลังเดินเลี้ยวเข้าร้านอาหารหรูร้านนึง มีชายคนหนึ่งเดินตามหลังเข้าร้านไป
โหว เจ้แกแอบมากินข้าวกะหนุ่มที่ไหนเนี่ย ซอลคิดลามปามแซวผู้ใหญ่อยู่ในใจ
ก่อนที่จะเห็นหน้าชายหนุ่มที่เดินตามหลังคุณนภา
.
.
ไอ้หมา..ศศิน
ซอลยืนจ้องอยู่นาน เพื่อดูความเคลื่อนไหวของสองคนนั้นในร้าน ในขณะที่เหล่าเด็กๆ ในทีมเดินนำเข้าร้านไปโดยไม่รู้ตัวกันว่า หัวหน้าพวกมันกำลังสาระแนเรื่องชาวบ้านอยู่
ศศินยื่นเอกสารเป็นปึกๆ ให้นภาดูอะไรบางอย่าง ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยความซีเรียส ซอลพยายามอ่านปากของทั้งคู่แต่ก็ไม่ค่อยได้ใจความ
นภาขยับปากเป็นรูปคำว่า..
…มาร์เก็ตติ้ง…
หรือจะพูดถึงแผนกของเรา
เชี่ย.. หรือจริงๆ ไอ้ศศินมาคอยสอดแนมแผนกเรากลับเอาไปรายงานตึกใหญ่
ถึงว่ามันมาที่ชั้นมาร์เก็ตติ้งบ่อยๆ เกินความจำเป็น
คราวนี้เป็นทีไอ้ศศินขยับปากพูด
อะ..ลี..บง..
อะไรวะ
พูดอะไรของแม่ง..
ก่อน..อะลี..บง..
คืออะไรวะ
เห้ย..
.
.
เดี๋ยวนะ..
ไอ้เชี่ย…
.
ซอล..รพีพงษ์
ชื่อกูนี่หว่า!!!
มึงรายงานกูเหรอ ไอ้เวรเอ๊ย!!!
ตกเย็นเลิกจากงาน ซอลเลือกที่จะเดินเตร็ดเตร่จากรถไฟฟ้า อ้อมไปทางสวนสาธารณะใกล้บ้าน เดินฟัง playlist แบบ lo-fi ใน Spotify จ้องมองท้องฟ้าสีวานิลลาที่กำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีลาเวนเดอร์
การวนกลับมาใหม่ในอีกชีวิตครั้งนี้ จะว่าหนักกว่าก่อนตายก็ดูเหมือนจะหนัก แต่อย่างน้อยรอบนี้ ซอล ก็ได้ทำและเรียนรู้
ที่จะสู้กว่าเดิมบ้าง ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีละกัน
ว่าแต่ไอ้นั่นมันรายงานอะไรกูวะ
เรื่องมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ
หรือ บริษัทมีอะไรบางอย่างที่ปิดบังพวกเราอยู่?
.
.
ซอลนั่งจิบเบียร์คิดวนคนเดียวในสวนสาธารณะ รู้ตัวอีกทีบรรยากาศรอบตัวก็มืดสนิท รอบๆ แทบไม่มีคนเหลืออยู่ จะมีก็แค่เงาของกลุ่มวัยรุ่นนั่งสุมหัวกันตะคุ่มๆ อยู่ไกลๆ
เพื่อที่จะไม่รู้สึกวังเวงไป ซอลจึงคอยมองคนกลุ่มนั้นไว้ในขณะพยายามจิบเบียร์ให้หมดก่อนจะลุกกลับบ้าน จู่ๆ ความเคลื่อนไหวก็เกิดขึ้นกับกลุ่มวัยรุ่นนั้น
ชายในกลุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นเดินตรงมาทางซอล
“อ้าว ซอลเองเหรอนึกว่าใคร” ชายหนุ่มมาดเซอร์ที่คุ้นตาเดินตรงเข้ามาหาซอล
“อ้าว เบสต์มาทำไรเนี่ย”
“อ๋อ มาคุยกับเพื่อนนิดหน่อยน่ะ”
….
“เรากำลังจะกลับแล้ว..กลับด้วยกันมั้ย” เบสต์ชี้ไปทางมอเตอร์ไซค์สีดำเงาวับคันใหญ่ที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้
“จริงๆ เราเดินกลับได้ ใกล้ๆ นี่เอง”
“มาเหอะ ทางเดียวกัน” เบสต์จับแขนซอลกึ่งลากไปยังทางที่มอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ก่อนพยักหัวให้หนึ่งในแก๊งเพื่อนหนึ่งที แล้วสตาร์ตรถออกไป
ลมเย็นๆ ของคืนในเดือนกุมภาพันธ์ปะทะกับหน้าขณะเบสต์ขับพาซอลซ้อนท้ายมุ่งหน้าไปทางอะพาร์ตเมนต์ แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ที่ต้องขับวนอ้อมสวน ความเย็นของเหล่าต้นไม้ก็ทำให้บรรยากาศในค่ำคืนนี้ดีสุดๆ เส้นผมที่พลิ้วเบาของชายหนุ่มคนขับ เล็ดลอดออกจากการทับของหมวกกันน็อก มาหยอกเย้าทักทายกับใบหูของซอลจนบางทีก็จั๊กจี้
จู่ๆ ใจซอลก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ในขณะที่มอเตอร์ไซค์ขับผ่านยังฉากที่คุ้นตา
ริมถนน ณ จุดลับสายตานี้..
คือจุดที่ซอลเคยถูกชน
ซอลหลับตาปี๋ เอาหน้าซุกกับแผ่นหลังของชายคนขับโดยไม่รู้ตัว แผ่นหลังนั้นสั่นตามเสียงหัวเราะ หึหึ อย่างเอ็นดูในลำคอ
จนถึงวันนี้ ที่ผ่านมาหลายวันแล้ว
ภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นยังคงตามหลอกหลอนซอล
ยิ่งใกล้วันเกิดเหตุมากขึ้นเท่าไหร่
ยิ่งรู้ตัวว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา
ทำให้ซอลรับรู้ว่า
การที่ได้วนลูปกลับมาอยู่ในช่วงเวลาก่อนตายอีกครั้ง
จุดที่แย่ที่สุดของมัน
คือการตกอยู่ใน
วังวนแห่งความกลัวที่หลอนอยู่ในหัวไม่รู้จบ
.
.