หากคุณชอบหอมหวานของเรื่องราวรักโรแมนติก การพบเจอ การงอนง้อที่แสนหวาน คุณจะตกหลุมรักเรื่องนี้
หากคุณชอบความดราม่า ความคมคาย เงื่อนงำ เรื่องนี้จะพาคุณค่อยๆ ดำดิ่งลงไปในลูปวังวนที่บีบหัวใจจนบทสุดท้าย
นิยายวายใน concept เก๋ๆ ว่าด้วยเรื่องลูปเวลา ซึ่งก็คือ วังวน ซ้ำๆ ของการวนลูปกลับไปแก้ไขอดีตของนายเอกที่คิดว่าพระเอกขับรถชนตาย โดยแม้ว่าจะกลับมาใหม่ เขาก็คงยังติดอยู่ในวังวนเกิดตายซ้ำๆ แต่ยิ่งวนเวียนเท่าไหร่ ความลับและปริศนาใหม่ๆ จะยิ่งเพิ่มพูนไป พร้อมๆ กับความหอมหวานของความรักที่ค่อยๆ เบ่งบาน
ชาย-ชาย,ผู้ใหญ่,รัก,ดราม่า,ตลก,คอมเมดี้,อ่านเพลิน,อ่านสบายๆ,boylove ,bl,นายเอกเก่ง,18+,วาย,ออฟฟิศ,น่ารัก,ดรามา,โรแมนติก,พระเอกธงเขียว,พระเอกขี้หึง,พระเอกคลั่งรัก,ย้อนเวลา,ย้อนกลับมา,ดราม่า,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Trauma หรือ ปมบาดแผลทางใจ คือ อาการตอบสนองทางอารมณ์ต่อเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนกับภาวะจิตใจ เช่น อุบัติเหตุ หรือ ความตาย
การตอบสนองของร่างกายมีได้หลากหลายทั้งภาวะช็อก เศร้า ปวดหัว เฉื่อยชา นอนไม่หลับหรือแม้แต่ฝันถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ
ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับซอลในตอนนี้ หลังจากผ่านเรื่องร้าย มาประมาณสองเดือน มันยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ตกและขวัญผวาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นอยู่ตลอดเวลา
อารมณ์มันปนเปอยู่ในหัวเต็มไปหมด
ทั้งคำถามว่า ทำไม?
ทั้งความโกรธ
ทั้งความเศร้า
และเรื่องพวกนี้ ดันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้
ใครจะเชื่อ
นอกจากซอลจะต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้ ชีวิตเดิมๆ ก็ยังคนวนเวียนต่อไป
โปรเจค Z ที่เพิ่งบรีฟก็เริ่ม มีไอเดียกันเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
“ก็ทีมเรามันเก่งง่ะ” กิ๊ฟกล่าวอย่างพอใจ หลังจากเสนอร่างโปรเจคแรกให้บอสพัลลภผ่าน ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี ภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นมาซ้ำ
“พี่ซอลลลลลลล แย่แล้วว” ไอ้บูมร้องขึ้นในขณะที่กำลังจ้องมือถือในมือ
“ไอ้หมอมะระ มันทำจริง!!!”
ไม่ผิดคาด เพราะมันก็เคยทำมาแล้ว ไอ้หมอสุดท้ายมันก็ไปให้เพจสำนักข่าวก๊อกแก๊กโพสต์มั่วๆ เรื่องประเด็นการกดราคาจากชาวสวน ทำให้ชาวเน็ตส่วนนึงไม่พอใจเพราะคิดว่าเรื่องจริง
จริงอยู่ที่เรื่องนี้สุดท้ายมันพิสูจน์ความบริสุทธิ์กันได้ด้วยหลักฐานต่างๆ แต่มันก็กระทบกับภาพลักษณ์บริษัทที่กำลังจะปล่อยโปรเจคใหม่เร็วๆ นี้อยู่ไม่น้อย พี่พัลลภถึงขั้นเรียกประชุมทีมกุมขมับ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่าต้นตอหายนะนี้ มันก็มาจากความปากแจ๋วของทีมมาร์เกตติ้งอย่างพวกเรา (ก็ทีมเรามันเก่งง่ะ)
ภาพฉากบรรยากาศที่ตึงเครียดในวันนี้ซอลเคยเห็นมาแล้วก่อนที่จะตาย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปรอบนี้ คือความเครียดที่พุ่งพีคกว่าเดิม เมื่อ ไอ้เครียดตัวพ่อก้าวเท้าออกจากลิฟต์มา
“คุณพัลลภ ทีมเราต้องขอความร่วมมือทีมมาร์เกตติ้งลงมาแก้ไขเรื่องนี้โดยด่วนครับ” ศศินเปิดประตูห้องประชุมเข้ามา
“เอ่อ.. มีอะไรให้ช่วยบอกได้ครับผม.. แต่.. แค่ว่า.. ทีมเราไม่ได้ทำในเรื่องการเมเนจแก้ไขภาพลักษณ์องค์กรมาก่อน ไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่วยได้ตรงส่วนไหนน่ะครับ” พัลลภยายามตอบกลับว่าไม่ใช่หน้าที่ของทีมแบบสุภาพที่สุด แต่ก็ลำบากใจเพราะก็รู้อยู่แก่ใจว่าทีมคือหนึ่งในต้นเหตุ
“ไม่ต้องห่วงครับ มีคนเคยบอกว่าจะรับผิดชอบ” ศศินปรายตามองมาทางซอลอย่างมีจุดประสงค์
“ครับ ผมลงไปรับผิดชอบได้พี่” ซอลบอกหัวหน้าให้วางใจ ก่อนหันไปจ้องหน้าศศินอย่างเอาเรื่อง
“ดีใจที่ได้ยินครับ..
งั้นรีบเตรียมตัวให้ดี สุดสัปดาห์นี้เราต้องออกต่างจังหวัดกัน” มือใหญ่ถูกวางแปะลงที่บ่าของซอล ราวกับอุ้งมือจิ้งจอกที่ตะครุบพร้อมประกาศว่าเป็นเจ้าชีวิตของเหยื่ออันโอชะนี้
“ห๊ะ ต่างจังหวัด!” ทุกคนในห้องประชุมตกใจเหมือนกัน
“ใช่ ผมกะคุณซอลต้องไปถ่ายคลิปสัมภาษณ์สวนอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้าของเรามาปล่อยพีอาร์ยืนยัน ว่าการซื้อขายของเรานั้นเป็นธรรมแถมยังเอื้อประโยชน์ให้ชาวสวนได้มีรายได้ที่มั่นคงเป็นกอบเป็นกำ”
“พรุ่งนี้เช้าผมไปรับคุณที่บ้านนะครับ” ศศินพูดก่อนจะเหลือบไปเห็นซอลที่นั่งหน้าซีด เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง
ไปต่างจังหวัด..
ตายแน่กู
ตอนนี้ภาพในหัวซอลคือการถูกศศินฆ่าหมกป่ากล้วย
หรือโดนวางยาด้วยเห็ดพิษที่เก็บจากยอดดอยแถวแม่ฮ่องสอน
ยังไงก็ไม่รอด…
จุดจบมาเร็วกว่าที่คิดจังวะ
หลังออกจากห้องประชุม น้องๆ ในทีมเห็นซอลนั่งเครียดอยู่คนเดียวที่โต๊ะ ใช้ปากกาพยายามจดสิ่งต่างๆ ลงไปในกระดาษ ก่อนที่จะยัดใส่ในมือไอ้ดอย
“ดอย ฟังพี่… มึงเป็นคนที่กูไว้ใจมากที่สุด” ซอลจับไหล่ดอยแน่น
“ถ้าเกิดอะไรกะกู อันนี้ฝากให้ป๊ากะม๊ากูด้วย…
สัญญากับกูสิ!!”
ไอ้ดอยงงเป็นไก่ตาแตก..
มันเงียบไปสักพักก่อนจะพูดว่า
.
.
“พี่เป็นบ้าบ่?”
“เผื่อไว้ก่อน..และมึงรู้ใช่ไหมว่า ถ้ากูเป็นอะไรไป…ใครมันเป็นคนทำ” ซอลพยักหน้ายื่นส่งสัญญาณไปยังเป้าหมายที่เดินเก๊กออกจากห้องประชุมกลับไปทางลิฟท์
คืนนั้นซอลใช้เวลาทั้งคืนในการเก็บของ และแน่นนอน คนรอบคอบอย่างซอลก็ต้องเตรียมแผนรับมือการฆาตกรรมที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ.. ชุดปฐมพยาบาล ผ้าพันแผล ยาแก้ปวดแบบแรง นกหวีดไว้เป่าขอความช่วยเหลือ พลุไฟฉุกเฉินเผื่อหลงป่า มีดพกไว้ป้องกันตัว เข็มทิศ ไฟแช็ก ชูชีพ เสื้อกันฝน เสื้อกันหนาว เชือก ตะหลิว หม้อเผื่อต้มยาสมุนไพรแก้พิษ
ซอลแพคทุกอย่างลงกระเป๋า คิดแล้วคิดอีกจนแทบไม่ได้นอน
ไม่สิ..
เราจะยอมเป็นฝ่ายถูกล่าฝ่ายเดียวเหรอไง..
นี่อาจเป็นโอกาสเหมาะ ที่เราจะเปลี่ยนมาคุมเกม
เป็นผู้ล่าบ้าง..
ใช่แล้ว! ต้องชิงลงมือ ฆ่ามันก่อนให้ได้..
ในทริปนี้
เช้าวันต่อมา ซอลแบกกระเป๋าใบใหญ่เป้ง และลากกระเป๋าที่เหลืออย่างทุลักทุเลลงมาจากห้อง ก่อนที่จะมาเจอศศินรออยู่ตรงล้อบบี้
“คุณซอล…เราไปกันแค่ราชบุรี” ศศินถึงกับอึ้งกับอุปกรณ์ยังชีพที่ซอลแบกมาทั้งหมด
“เสือก” ซอลตอบกลับด้วยมิตรภาพ
ศศินเดินนำซอลออกไปหน้าตึก ทันทีที่เห็นสิ่งที่จอดรออยู่ตรงหน้า ซอลถึงกับสะอึกหน้าถอดสี
Porsche 911 สีดำเงาวับที่จอดรอนิ่งอยู่ตรงลานจอด
คันนี้แหละไอ้มัจจุราชที่ปลิดชีพซอลวันนั้น
ซอลเหงื่อไหลท่วมตัวสั่นเทิ้มในขณะที่เดินเข้าใกล้มันไปเรื่อยๆ
ตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ โดยไม่รู้ว่ากำลังกลัวหรือโกรธอยู่กันแน่
นี่เป็นความจริงเหรอ
เขากำลังจะเข้าไปนั่ง อยู่ในรถคันนี้?
คันที่ชนตัวเองตายเนี่ยนะ?!?
กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศแนว wood ผสานกับกลิ่นเบาะหนังสีแดงราคาแพง ทำให้บรรยากาศในรถดูมีระดับแตกต่างจากทางด่วนร้อนๆ ที่กำลังขับผ่าน อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ภายในใจซอลกลับร้อนรุ่มจนเหงื่อแตกพลั่ก
“ไม่สบายเหรอ” ศศินเห็นความผิดปกติของคนนั่งข้าง
“ผมไม่ชอบเดินทาง” ซอลบอกปัดหน้านิ่วคิ้วขมวด มือเกร็งกำเซฟตี้เบลท์ที่คาดลำตัวไว้แน่นเหมือนเป็นสิ่งสุดท้ายในรถคันนี้ที่จะช่วยชีวิตเขาได้ ในขณะที่คนที่นั่งฝั่งคนขับดูผ่อนคลายอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ศศินในเสื้อโปโลลายทางพอดีตัว กับกางเกงสีน้ำเงินเข้มสบายๆ สายตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำกำลังสอดส่ายสายตา มองหาร้านสตาร์บัค
แก้วลาเต้เย็นหวานน้อยไซส์ใหญ่ถูกยื่นให้ผ่านช่องกระจกฝั่งคนนั่ง จากชายหนุ่มคนขับที่แวะจอดซื้อกาแฟมาเผื่อคนที่นั่งเกร็งมาตลอดทาง
ซอลรับแก้วกาแฟมาด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจ ก่อนตัดสินใจดูดกาแฟธรรมดาแก้วนั้น ในใจคิดว่า ตายเป็นตายวะ!
“คุณจะเกร็งทำไมเนี่ย” ชายร่างสูงโน้มตัวผ่านช่องกระจกเข้ามาถามคนในรถ
“อยู่กับผมแล้ว…ตื่นเต้นเหรอ?” สายตาอันตรายจ้องลึกเข้าไปในตาอีกฝ่าย แล้วเลิกคิ้วถามหน้าตากรุ้มกริ่ม
“พูดมากว่ะ” ซอลพูดพลางดูดกาแฟอย่างรำคาญ
“ก็อยากพูดด้วยอะ”
ไอ้หมานี่มันเป็นบ้าอะไรเนี่ย ทำหน้าอ้อนตีนจังวะ อยู่กันเงียบๆ ดีๆ ไม่ได้รึไง ซอลส่งสายตาอาฆาตมองตามไอ้หมากวนตีนที่เดินส่ายแก้วอเมริกาโนเย็นอ้อมรถไปนั่งฝั่งคนขับอย่างอารมณ์ดี
ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไร ไอ้ศศินที่ดุยังกะหมาบ้าที่ออฟฟิศ มันดูอารมณ์ดีเหมือนประสาทกลับในวันนี้ มันเปิดเพลงในรถร้องฮัมในลำคอ ยังกะกำลังพาแฟนไปเที่ยวต่างจังหวัด
เห้ย..
กูไม่ใช่แฟนมันว้อย
!!ไม่มีทาง!!
ซอลสลัดหัวไปมาเหมือนคนบ้า เพื่อไล่ความคิดนี้ออกไปจากหัว
“ชอบเพลงนี้เหรอ?” ศศินแปลกใจจนต้องแซว
“ควาย! กูไม่ได้เต้น” เชี่ยแล้ว! ซอลเผลอหลุดใช้คำหยาบกะไอ้ศศิน มันเป็นคนที่ตำแหน่งใหญ่กว่านี่หว่า
“ดีละหละ ในที่สุดก็พูดเป็นกันเองซะที” ผิดคาดแฮะ…มันไม่โกรธ.. ไอ้ซอลก็จัดสิคร้าฟกลัวอะไรล่ะทีนี้
“มึง…พูดเองน้าาาา..” ซอลตอบกลับแบบกวนตีน
“ก็เออสิวะมึง” ไอ้หมาจิ้งจอกก็ใช่ย่อย
ซอลคงไม่รู้ตัว ว่าตอนนี้ตัวเองเผลอยิ้มมุมปากอย่างสบายใจ ในรถที่เจ้าตัวว่าเป็นรถมัจจุราชคันนี้ไปแล้ว
ในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าไปยังไร่ลุงศร เป็นฟาร์มที่มีพื้นที่กว้างขวางแบ่งสัดส่วนปลูกพืชพรรณหลากหลาย ทั้งเมล่อนออกานิค สวนมะพร้าวน้ำหอม สวนข้าวโพด และพืชผักสวนครัวทั้งตะไคร้ ขิง ข่า มะกรูด แถมยังแบ่งโซนเลี้ยงสัตว์ มีน้องวัว น้องแกะให้นักท่องเที่ยวได้แวะมาถ่ายรูปเล่นด้วย
คุณลุงคุณป้าท่าทางอารมณ์ดีเดินออกมาต้อนรับพร้อมกับเหล่าคนงาน
“สวัสดีครับคุณศศิน ไม่ได้เจอกันนานเลยเป็นไงบ้าง” คุณลุงกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับลุงศร คราวก่อนต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับเรื่องนั้น”
“ไม่เป็นไรเพื่อคุณศศินเราทำได้ทุกอย่าง” ซอลมองดูบทสนทนาที่รู้สึกเหมือนกับมีลับลมคมในอย่างหวั่นๆ
“อ้อ ลุงศรป้าพิณครับ นี่คุณซอล ที่จะมาช่วยสัมภาษณ์คุณลุงคุณป้าวันนี้” ศศินแนะนำซอลให้ทั้งสองรู้จัก ซอลยกมือสวัสดีคนทั้งคู่อย่างนอบน้อม
“อ้อ สวัสดีๆ มาๆ เข้าบ้านก่อน” ลุงศรกวักมือเชื้อเชิญให้ทั้งคู่เข้าไปพักผ่อนในบ้าน ก่อนที่ศศินจะเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับลุง
บ่ายนั้นทั้งคู่ใช้เวลาอัดคลิปถ่ายทำสิ่งที่อินไฟไนท์กรุ๊ปร่วมมือกับไร่ลุงศร ในการนำรายได้มาพัฒนาชุมชน ทำให้ซอลและศศิน ค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่พวกเขาทำ จะช่วยให้กระแสโซเชียลเข้าใจบริษัทของเรามากขึ้นบ้าง เดชะบุญที่ถ่ายทำกันเสร็จก่อนที่ฝนจะเริ่มตั้งเค้า ดูเหมือนว่าคืนนี้น่าจะตกหนัก
ตกเย็น ในขณะที่ซอลนั่งพักเหนื่อยอยู่ในห้องรับแขก สายตาเขาก็เหลือบไปเห็นศศินทำตัวลับๆ ล่อๆ ตรงท้ายรถก่อนที่จะค่อยๆ ยกกล่องๆ หนึ่งออกมา.. กล่องที่ดูมีน้ำหนักอยู่พอประมาณ
ศศินมองดูรอบๆ แล้วปิดกระโปรงรถเหมือนพยายามปิดบังอะไรบางอย่างโดยไม่ให้ใครรู้
ทันใดนั้นเอง สายตาอันตรายนั่นก็หันขวับเข้ามาประสานกับสายตาของซอลทันที
ซอลรีบหันหลบ ภาวนาไม่ให้ไอ้ศศินรู้ว่าแอบมองดูพฤติกรรมมันอยู่ตั้งแต่ต้น
“คุณซอลคะ” ซอลสะดุ้งโหยง “ป้าจะมาบอกว่าป้าจัดห้องไว้ให้คุณซอลกับคุณศศินเรียบร้อยนะ ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วมากินข้าวกัน”
ซอลตอบรับป้าด้วยท่าทีโล่งอก แต่เดี๋ยวก่อน… นอนห้องเดียวกันกะมันเนี่ยนะ ถ้ากลางดึก มันเอามีดปักอกเราล่ะ! กูจะรอดไหมเนี่ย!!!
ซอลหันซ้ายหันขวาส่องหาตัวไอ้ศศินที่จู่ๆ ก็หายไป จนเห็นแผ่นหลังไวๆ ที่อุ้มกล่องเดินเรียบเข้าไปในไร่
หรือมันกำลังวางแผนอะไรแน่ๆ
มันคงถึงเวลาแล้วสินะที่จะต้องเลือกว่าจะสู้? หรือหนี?
ในที่สุดซอลก็เข้าใจความรู้สึกของตัวละครเอกที่สมควรตายในหนังสยองขวัญแล้วว่า ไอ้ความเผือกและความอยากรู้อยากเห็นเนี่ย มันห้ามไม่ได้จริงๆ เพราะตอนนี้ ซอลรีบเก็บอุปกรณ์ที่พกมาอย่างดี ทั้งมีดพกหนังสติ๊กใส่เป้เล็ก แล้วหยิบไฟฉายเดินตามไอ้ศศินไป
ฝนเริ่มตกปรอยๆ ระหว่างทางเดิน ทำให้เวลาห้าโมงเย็นดูมืดครึ้มยังกับสองทุ่ม ซอลค่อยๆ ย่องตามศศินที่เดินไปตามเส้นทางที่สองข้างทางเป็นคูน้ำลึกที่มีความชันอยู่พอสมควร ชายหนุ่มก้มลงไปมองเท้าที่ค่อยๆ ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง แต่พอเงยหน้ามาอีกทีก็พบว่าแผ่นหลังกำยำนั้นหายลับตาไปแล้ว
ท่ามกลางความมืด มาร์เกตติ้งหนุ่มกลายเป็นผู้ประสบภัยซะงั้น จะกลับก็ไม่ถูก จะไปต่อก็ไม่ได้ แถมไฟฉายก็ทำท่าว่าจะดับลง ในขณะที่พะว้าพะวังอยู่นั่นเอง
ร่างกำยำดำทะมึนก็โผล่มา
มันเดินย่างสามขุมเข้ามาหาซอลอย่างใจเย็น แววตาดุจหมาจิ้งจอกที่พร้อมล่าจับจ้องที่ร่างเหยื่ออันเปียกโชก กล่องใหญ่ในมือที่เปียกโชกปรากฏเห็นของเหลวสีแดงไหลหยดลอดออกมาจากรอยปิดที่ไม่สนิทของกล่อง
ซอลคว้าเป้มากอดไว้แน่น มือรีบสอดเข้าไปควานหามีดพกที่อยู่ข้างในเป้
ศศินเดินย่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก้าวต่อก้าว แล้วจู่ๆ ..
ร่างใหญ่ก็โผพุ่งเข้าใส่ทันที!
ซอลที่เตรียมรับมือไว้อย่างดี รีบเอี้ยวตัวหลบได้ทัน! ทำให้ร่างหนาที่โผเข้ามา ร่วงไถลลงไปในร่องคูน้ำลึกข้างทาง มือที่กำยำคว้ารากไม้ไว้ได้ก่อนที่จะไถลตกลงไปลึกกว่านี้ ชายหนุ่มโหนตัวอยู่โดยมีเพียงท่อนแขนที่เส้นเลือดปูดโปนเหนี่ยวกับรากไม้ไว้ พร้อมแผลที่เลือดสีแดงไหลริน
วินาทีนี้ซอลถือมีดพกในมือแน่น
บอกตัวเองว่าจังหวะนี้แหละ ที่จะต้องรีบจัดการมันก่อนที่มันจะจัดการเรา
ร่างที่เปียกโชกของมาเกตติ้งหนุ่มค่อยๆ เดินใกล้เข้าไปยังเป้าหมายที่กำลังใช้แรงทั้งหมดที่มียึดตัวเองไว้ เหมือนหมาจิ้งจอกน่าสงสารที่ติดกับดัก
ในมือของซอลกำมีดแน่นซ่อนไว้ด้านหลังพร้อมจะจู่โจม
เขาคุกเข่าลงที่ริมร่องคูน้ำ ก้มลงจ้องมองแววตาจิ้งจอกนั้นที่กำลังเว้าวอนขอความช่วยเหลือ
ถ้าใช้มีดตัดรากไม้ มันก็จะตกลงไป ทำให้เหมือนอุบัติเหตุได้.. ซอลคิดในใจ
ซอลจ้องลงไปประสานตากับสายตาคู่นั้น จ้องมองตากัน.... มันเป็นวินาทีเป็นวินาทีตาย แบบเดียวกันเหมือนกับในคืนรถชนนั้น
เพียงแต่ตอนนี้ แววตาที่อำมหิต
.
.
มันเป็นของเขาเอง
.
.
ใช่… ไม่อย่างนั้นเขาจะต่างอะไรกับฆาตกรล่ะ
ซึ่งคนอย่างไอ้ซอล ไม่ใช่ฆาตกรเหมือนมัน
ในที่สุด
หมับ..
ท่อนแขนขาวเอื้อมลงไปจับแขนที่กำยำไว้แน่นก่อนค่อยๆ ใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงชายหนุ่มที่ตัวใหญ่กว่าขึ้นมาจากคูน้ำ ทั้งสองหอบแฮกๆ นั่งหมดแรงอยู่กลางสายฝน
“มึงทำบ้าอะไรเนี่ย” ร่างใหญ่ตะโกนถามอย่างหงุดหงิดแข่งกับเสียงฝน
“มึงแหละทำไรลับๆ ล่อๆ มีแผนเหี้ยไร?” ไอ้ซอลเถียงกลับอย่างรู้ทัน
“กูจะเอาตัวอย่างน้ำ Z Drink ไปให้เด็กบ้านโน้น แต่ฝนมันตกแล้วกูลื่นโว้ย…ไอ้ควาย!” ไอ้หมาใหญ่โชว์แผลถลอกที่แขนและไหล่ให้ซอลได้แหกตาดู “แม่งโปรดักส์เละหมด”
ซอลหันขวับไปดูกล่องที่ไอ้ศศินทำตกอยู่ อ๋อใช่.. น้ำแดงอัดลมในขวดที่บรรจุอยู่ในกล่องเปียกฝนบู้บี้ไหลรั่วออกมาเป็นทางจริงๆ ด้วย
.
.
ท่ามกลางฝนที่โหมกระหน่ำ
ทั้งสองรีบประคองพากันกลับมาล้างเนื้อล้างตัวที่บ้าน ก่อนที่จะเข้าไปทำตัวให้แห้งภายในห้องนอน
“มึงก็ไม่เห็นต้องทำลับๆ ล่อๆ” ซอลที่กำลังเช็ดหัวตัวเองอยู่ก็บ่นพึมพำเหมือนพยายามหาเหตุผลไม่ให้ตัวเองผิด
“กูเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าโปรเจคนี้ยังให้ใครรู้ไม่ได้” ศศินเดินบ่นออกจากห้องน้ำมา ท่าทางเหนื่อยใจที่ต้องอธิบายให้คนง่าวเข้าใจอีกครั้ง
“เออ กูรู้” ซอลเผลอมองไปยังชายที่นั่งลงบนเตียงตรงหน้า ซึ่งขณะนี้กำลังเอาผ้าขนหนูไล่เช็กหยดน้ำเล็กๆ ที่ไหลเล่นลงไปตามกล้ามเนื้อท่อนบนอันเปลือยเปล่าของเขา โดยไม่รู้ตัว ซอลไล่สายตาไปตามมัดกล้ามหน้าอก โครงไหล่ที่ผึ่งผายและกล้ามแขนที่เป็นมัดขนาดกำลังดี จนกระทั่งเหลือบไปเห็นแผลที่แขนซ้ายของศศินเปิดกว้างอยู่
“เชี่ย แผลที่แขนมึง! เลือดยังไหลอยู่เลย..
แปป..กูมียา” ใช่แล้วอย่างน้อยกล่องพยาบาลที่พกมาก็มีประโยชน์ล่ะวะ
ซอลค่อยๆ บรรจงใช้มือเรียวค่อยๆ เอาสำลีชุบแอลกอฮอล์ทาวาดรอบๆ แผลที่มีเลือดสีแดงซึมออกมาของศศินให้อย่างแผ่วเบา
ในขณะที่รับรู้ถึงสัมผัสสำลีนุ่มที่ค่อยๆ ถูกกดลงอย่างระมัดระวัง และความเย็นวาบของแอลกอฮอล์ที่วาดลงตรงแขน ชายร่างใหญ่ก็สังเกตว่า มีของแปลกๆ ในกระเป๋าของซอลเต็มไปหมด
“พกอะไรมาเยอะแยะเนี่ย.. กลัวตายเหรอ” ศศินขำในความแปลกของไอ้คนที่กำลังง่วนทำแผลให้อยู
.
.
“เออ.. กลัว” ซอลพูดสิ่งที่คิดในใจออกมาตรงๆ ท่ามกลางความเงียบ
“กูกลัวมึง.. จะฆ่ากู”
ศศินจ้องเข้าไปในแววตากลมโตของคนข้างๆ ที่แววตาเริ่มแดงก่ำแฝงไปด้วยความกลัวจากขั้วหัวใจ แววตาแบบนี้จะมีใครที่ใจร้ายจะฆ่าจะแกงได้ลงคอ
“ทำไมกูต้องฆ่ามึง?”
ไอ้หมาจิ้งจอกค่อยๆ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“กวนตีนอย่างมึง กูไม่ฆ่าให้เปลืองแรงหรอก”
ศศินจับแขนคนตรงหน้าไว้แน่นแล้วค่อยๆ โน้มตัวลงไปจนหน้าแทบชิดกับอีกฝ่ายจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ท่ามกลางอากาศที่เย็นจากฝนกระหน่ำ
“แต่กูจะจูบ”
ก่อนที่มาเกตติ้งหนุ่มจะตั้งตัวทัน ริมฝีปากกว้างก็บดขยี้ลงมายังริมฝีปากของซอล หมาจิ้งจอกหนุ่มดูดดื่มเอาความชุ่มชื้นของทั้งริมฝีปากบนล่างของคู่กรณี ก่อนที่ค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปประสานเคลียเคล้าอย่างนุ่มนวล
จากที่ขัดขืนตอนแรก ทำไม่ร่างกายของซอลถึงโอนอ่อนตามแล้วหละ
เอาวะ..
อย่างน้อย
จูบกันก็ยังดีกว่าฆ่ากัน
ใช่ไหมนะ.