- อย่าแตะต้องท่านแม่นะไอลูกหมานี่!เธอในวัย3ขวบที่พึ่งระลึกได้ว่าตัวเองอยู่ในนิยายเรื่องอะไร เป็นลูกของใครกับใคร – “what the fu*k”
ชาย-ชาย,ครอบครัว,แฟนตาซี,ผจญภัย,ตลก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ท่านพ่ออย่ารังแกท่านแม่ (Mprng)- อย่าแตะต้องท่านแม่นะไอลูกหมานี่!เธอในวัย3ขวบที่พึ่งระลึกได้ว่าตัวเองอยู่ในนิยายเรื่องอะไร เป็นลูกของใครกับใคร – “what the fu*k”
- อย่าแตะต้องท่านแม่นะไอลูกหมานี่!เธอในวัย3ขวบที่พึ่งระลึกได้ว่าตัวเองอยู่ในนิยายเรื่องอะไร เป็นลูกของใครกับใคร –
“what the fuck”
เฟิงมี่
“ฝ่าบาทไม่โปรดสตรีและเด็ก หึ แล้วฟ้าก็ช่างเล่นตลกที่เฟิงมี่เป็น‘เด็กผู้หญิง’”
หยางเหยียนลู่อิง (ท่านแม่)
“วันนี้ข้าจะอยู่เล่นกับเจ้าเอง”
ลูซินัส (ท่านพ่อ)
...หลังจากนั้น....
“ข้าแนะนำให้ท่านเล่นวิ่งว่าวกับลูกไม่ได้ให้เอาลูกไปทำเป็นว่าวนะท่านพี่!”
ลูชิเอล (ท่านอา)
“อัปลักษณ์จริง...”
หยางไท่ลู่เฟย (ท่านลุง)
คำชี้แจ้ง&ทักทาย
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย Boy Love แฟนตาซี อบอุ่นหัวใจ แนวครอบครัวสุขสันต์ หลังเรื่องบู้กระจาย ทั้งเรื่องน้องเฟิงมี่อายุ 3 ขวบค่ะ หุหุ อาจจะแปลกเล็กน้อยที่ตัวละครดำเนินเรื่องเป็นลูกของคู่พระนายค่ะแต่อยากให้ลองรับไปชิมอยู่ครับ😊
(ระหว่างในบางบทจะมีบทบรรยายเนื้อหาในอดีตของพระนายโดยจะใช้สัญลักษณ์ขีดยาวและขึ้นย่อแรกด้วยคำว่า (อดีต) เป็นตัวคั่น ค่ะ)
อย่างไรก็ฝากรับครอบครัวน้องเฟิงมี่ของเราไปพิจารณาด้วยนะคะ 🙏🏻😊
นิยายเรื่องนี้ลงที่แรกที่R&W(แอปฟ้า)ขออนุญาตนำมาโปรโมตใน plotteller (น้องแพนด้าแดง) ขอบคุณเป็นอย่างสูงค่ะที่เอื้อพื้นที่ให้สำหรับนักเขียนตัวน้อยๆได้โปรโมตนิยาย
เรื่องนี้จบแล้วค่ะ มี e-book อยู่ใน meb ค่ะ มีทั้งหมดสองเล่มจบ ตอนนี้จัดโปรลด ถึงวันที่ 1 ก.ย. จาก เล่มล่ะ 289 เหลือเล่มล่ะ 174 บาทครับ ในแต่ล่ะเล่มมีจำนวนหน้า 500+ จำนวนคำ 1xx,xxx ครับ และมีตอนพิเศษในเล่มที่ไม่ลงในเว็บด้วย ถ้าท่านใดสนใจ และอยากสนับสนุนนักเขียนตัวน้อยๆ สามารถไปอุดหนุนกันได้ค่ะ แน่นอนว่าในเว็บจะลงให้อ่านฟรีจนถึงตอนจบค่ะ แต่จะลงช้าหน่อยนะคะ
ถ้าใครอยากได้เล่ม e-book แบบโปรลดอีก รอตอนช่วงเทศกาลได้ค่ะเเต่จะไม่ได้ราคาเท่ากับตอนเปิดตัวนะคะ ขออภัยด้วยอย่างไรก็กดติดตามกันไว้ได้ค่ะ เพื่อไม่ให้พลาดตอนใหม่และโปรโมรชั่นดีดี😊❤️
ขอขอบพระคุณการสนับสนุนทุกรูปแบบค่ะ🙏🏻🙇♀️
จิ้ม ท่านพ่ออย่ารังแกท่านแม่ เล่ม 1
จิ้ม ท่านพ่ออย่ารังแกท่านแม่ เล่ม 2 (จบ)
Wah_Cherly
นัก(หัด)เขียน
บทที่10
เธอกับการถึงพระราชวังและมื้ออาหารสุขสันต์
เฟิงมี่เกาะหน้าต่างดูวิวรอบ ๆ จนเมื่อผู้เป็นพ่อปิดม่านลง บดบังทิวทัศน์ต่าง ๆ ของเธอ ขัดความสุขจนต้องหันไปมองค้อน
“ไม่มีอะไรให้เจ้าดูแล้ว”
จักรพรรดิเอ่ยบอกเอนหลังพิงพนักหลับตาลงเพื่อพักสายตาไม่ได้สนใจเด็กน้อยที่ดูจะไม่พอใจพระองค์อยู่
“สองข้างทางเป็นป่าน่ะอีกไม่นานก็ถึงวังแล้ว โอ๊ะระวัง!”
เป็นหยางเหยียนลู่อิงอธิบายให้ลูกรักฟังพลางจับเจ้าตัวแสบให้ลงมานั่งดี ๆ หลังยืนเกาะหน้าต่างอยู่นาน เมื่อหันมาหาเขาเฟิงมี่ทำท่าจะล้มใส่จึงต้องจับเจ้าตัวเล็กแนบอกไว้และดูเหมือน เฟิงมี่เองก็อยากอ้อนผู้เป็นแม่เจ้าตัวเล็กจึงกอดคอเอาศีรษะทุยไถไปกับหน้าอกของหยางเหยียนลู่อิง
“มามี้มีมี่เมื่อย ค่ะ”
“ไม่เมื่อยสิแปลก..อ้อนจะเอาอะไรหึ ตัวแสบ”
“เป่าค่ะ อยากอ้อนเฉย ๆ ค่ะ”
เฟิงมี่ยังคงกอดคออ้อนผู้เป็นแม่ เอาคางเกยไหล่บางค้างไว้ หยางเหยียนลู่อิงไม่ได้ว่าอะไรเพียงยกยิ้มขำกอดกระชับลูกน้อยให้มาแน่นขึ้น ลูบศีรษะสีทองสวยนุ่มไปมา
“เมืองชวยมัก ๆ เยยค่ะมามี้ มีไฟติกเต็มไปหมกเยย!”(เมืองสวยมาก ๆ เลยค่ะมามี้ มีไฟติดเต็มไปหมดเลย)
เฟิงมี่เริ่มเล่าสิ่งที่เห็นให้ผู้เป็นแม่ฟังอย่างตื่นเต้น
“จริงเหรอ แล้วลูกชอบไหม”
“ชอบค่ะ เมืองใหม่ชวยมัก ๆ “(ชอบค่ะ เมืองใหม่สวยมาก ๆ เลย)
“ชอบก็ดีแล้วลูกรัก”
แรก ๆ หยางเหยียนลู่อิงเองก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าเฟิงมี่จะต่อต้านกับสภาพแวดล้อมใหม่ เมื่อเห็นเฟิงมี่ยังคงร่าเริงก็เบาใจได้เปาะหนึ่ง…แต่ถึงกระนั้นก็คงต้องรอดูต่อไปอีกสักพัก
รถม้าเคลื่อนตัวมาหยุดหน้าพระราชวังอันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ
“ถึงแล้วเหยอคะ?”(ถึงแล้วเหรอคะ)
จักรพรรดิหนุ่มที่นั่งฟังสองแม่ลูกคุยกะหนุงกะหนิงกันมาตลอดทางลืมตาขึ้นมองเจ้าของดวงตาที่เหมือนกับตนเองที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว
“อืม ถึงแล้ว”
เฟิงมี่ที่เห็นผู้เป็นพ่อตื่นแล้วก็เอี้ยวตัวออกจากอกท่านแม่กางมือออกมายังฝั่งองค์จักรพรรดิ
“อุ้ม”
จักรพรรดิลูซินัสนิ่งค้างไปเมื่อได้ยินคำสั่งจากลูกสาวตัวน้อย
“เออ เดี๋ยวแม่อุ้มเจ้าเอง”
หยางเหยียนลู่อิงเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน
“ม่ายเอามามี้เหนื่อยแย้ว อุ้มมีมี่ทั้งวัน ให้ป่ะป๊าอุ้มบ้าง”
เฟิงมี่กล่าวบอกเหตุผลของตัวเองหันไปกางแขนให้ผู้เป็นพ่ออุ้มอีกครั้ง เธอให้อุ้มเพราะเห็นท่านแม่เหนื่อยมาทั้งวันแล้วถึงยอมให้อุ้มหรอกน่ะ ไม่ได้อยากให้อุ้มเลยสักนิด!
“ป่ะป๊า..?”
องค์จักรพรรดิทวนคำที่ไม่เข้าใจด้วยคิ้วที่ผูกเป็นปม
“ข้าว่านางหมายถึงท่าน…นางเรียกข้าว่ามามี้ ป่ะป๊า ก็คงหมายถึง พ่อ เดี๋ยวข้าอุ้มนางเองไม่รบกวนท่านหรอก”
“…หึ อย่างนั้นเหรอ…..ไม่ต้องส่งมา เจ้าอุ้มมาทั้งวันแล้ว”
องค์จักรพรรดิยกยิ้มพึมพำแผ่วเบา ก่อนเอ่ยสั่งพร้อมยื้อตัวเด็กน้อยที่เรียกร้องให้พระองค์อุ้มมาไว้กับตัว เจ้าก้อนสีเหลืองก็ให้ความร่วมมืออย่างดีเอามือคล้องคอของพระองค์ไว้ องค์จักรพรรดิใช้เพียงมือเดียวก็สามารถอุ้มเด็กน้อยได้อย่างสบาย
“ระวังนางตกด้วย!!!”
หยางเหยียนลู่อิงร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ ๆ ก็โดนฉกลูกน้อยไปอุ้มแทน องค์จักรพรรดิอุ้มเฟิงมี่ลงจากรถม้าทันทีด้วยมือข้างเดียว ใจของผู้เป็นแม่หวาดเสียวไปหมดกลัวว่าลูกน้อยจะหงายหลังอีกใจก็กลัวองค์จักรพรรดิจะทำลูกรักหลุดมือ รีบก้าวลงจากรถม้าตามองค์จักรพรรดิไปทันที
“เวลาอุ้มเฟิงมี่ ท่านต้องประคองหลังนางไว้ด้วย เดี๋ยวนางจะหงายหลังตกลงไป ข้าไม่ให้อภัยท่านแน่!”
หยางเหยียนลู่อิงลืมสิ้นความเกรงกลัวต่อองค์จักรพรรดิสัญชาตญาณความเป็นแม่ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
องค์จักรพรรดิมองคนรักที่ยืนเอ็ดพระองค์อย่างลืมตัวด้วยสายตาเอ็นดู
“ข้าไม่ทำเจ้านี่ตกหรอก…ก็เป็นสิ่งสำคัญของเจ้าและข้านี่จะทำตกได้อย่างไรกัน”
จักรพรรดิลูซินัสก้มลงไปกระซิบข้างใบหูของหยางเหยียนลู่อิง ไม่เพียงแต่ หยางเหยียนลู่อิงที่นิ่งค้างไป เฟิงมี่เองก็นิ่งค้างไปด้วยความตกใจเช่นกัน
ภายในราวถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์จากทรวงสวรรค์ อ้อมแขนที่ใช้กอดคอผู้เป็นพ่อถูกกระชับให้แน่นขึ้น
เจ้าพ่อบ้านี่มันบ้าไปแล้ว….ใบหน้าที่แรงระเรื่อของเด็กน้อยซุกกับซอกคอของผู้เป็นพ่อ
หยางเหยียนลู่อิงเองก็ตกอยู่ในภวังค์หน้าแดงซ่านไม่ต่างจากลูกน้อย ก่อนโดนจักรพรรดิลูซินัสใช้แขนข้างที่ว่างโอบเอวบาง เข้าไปในตัวพระราชวัง
ทางเข้าพระราชวังมีทหารคอยอารักขาอยู่ทุกคนทราบการมาถึงของจักรพรรดิแต่ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงพาใครมาด้วย เมื่อเห็นภาพจักรพรรดิกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกับคนงามผู้หนึ่งพวกเขาต่างตกใจจนเผลอลืมทำความเคารพ ภาพขององค์จักรพรรดิที่กวัดแกว่งดาบสังหารผู้คนด้วยสายตาที่เย็นชา คุ้นตาพวกเขาจนยากที่จะลบออกจากหัว การที่เห็นพระองค์มีใบหน้าที่อ่อนโยนและมีบรรยากาศที่ผ่อนคลายเช่นนี้พวกเขาไม่คุ้นเลย
“เจ้าเห็นเหมือนข้าหรือไม่เด็กน้อยที่ฝ่าบาททรงอุ้ม มีดวงตาเช่นเดียวกับฝ่าบาท”
“ข้าคิดว่าข้าตาฝาดเจ้าก็เห็นสินะ ดวงเนตรสีแดงแห่งออสโทเปียร์ไม่ผิดแน่”
“และผู้ที่เคียงข้างฝ่าบาทใช่บุรุษที่เขาร่ำลือกันหรือไม่”
เหล่าองครักษ์หน้าประตูเริ่มถกเถียงกันถึงสิ่งที่เห็น
“พวกเจ้าก็รอดูประกาศอย่างเป็นทางการเถอะ หน้าที่ของเรามีเพียงอารักขาเหล่าราชวงศ์ ปกป้องจักรวรรดิ ข้าในฐานะหัวหน้าของพวกเจ้าขอสั่งไม่ให้พวกเจ้าแพร่งพ่ายเรื่องที่เห็นออกไปเข้าใจหรือไม่…มันเป็นการดีต่อหัวของพวกเจ้า ถ้าปฏิบัติตาม”
“ครับผม!”
หัวหน้าหน่วยองครักษ์ที่คอยคุมกล่าวสั่งลูกน้องของตน เรื่องของท่านหญิงน้อยมีข่าวลือมาตั้งแต่เมื่อวาน เพราะคนในวังจากกรมวังที่ดูแลเรื่องต่าง ๆ ในพระราชวังได้รับคำสั่งพิเศษโดยตรงจากจักรพรรดิที่ถูกส่งมาโดยนกเร็วไหนจะนกเร็วจากเจ้าชายลูชิเอลที่มีรับสั่งให้ตัดชุดของเด็กส่งไป และการที่ฝ่าบาททรงอุ้มเด็กน้อยผู้หนึ่งเข้ามาในพระราชวังด้วยตนเองฐานะของเด็กน้อยผู้นั้นก็สูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาจะอาจเอื้อมแล้ว
และยิ่งดวงเนตรที่แสดงถึงความเป็นสายเลือดแห่งราชวงศ์ออสโทเปียร์แล้วก็ยืนยันไปแล้วว่าเลดี้ผู้นั้น เป็นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิออสโทเปียร์
แล้วจักรพรรดิที่เกลียดสตรีและไม่ปลื้มเด็กผู้นั้นไปมีเจ้าหญิงน้อยกับใครที่ไหนเมื่อไรอย่างไรนี่คงเป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจของผู้รับรู้เรื่องราวในตอนนี้ก็ว่าได้
“นาซิส! นั่นเจ้าใช่หรือไม่!”
หัวหน้าหน่วยองครักษ์ที่พึ่งเดินออกมากวาดสายตาไปเจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่คุ้นเคย หลังเรื่องราวเมื่อสี่ปีก่อนฐานะของเด็กคนนั้นก็ไม่ต่างจากกบฏ แม้ฝ่าบาทจะมีรับสั่งให้ละเว้นตระกูลของเด็กนั่นไว้ก็ตาม
“ท่านเซอร์ ฟอร์ดัล ไม่พบกันนานเลยนะครับ สบายดีไหมครับ”
นาซิสยังคงร่าเริงไม่เปลี่ยนจากเมื่อสี่ปีก่อน แต่ที่ต่างออกไปคงเป็นร่างกายที่ดูกำยำและใบหน้าที่เด่นชัดขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ดูโตขึ้นเยอะเลย…
ช่างเหมือนกับ ท่านพ่อของเขาไม่มีผิด
“ข้าสิต้องถามเจ้าเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คนแก่อย่างข้าสงสัยจนปวดหัวไปหมดแล้ว”
เซอร์ฟอร์ดัลรู้สึกว่าตัวเองตามไม่ทันจริง ๆ การกลับมาขององค์จักรพรรดิครั้งนี้สร้างความสับสนครั้งยิ่งใหญ่ให้กับเหล่าข้ารับใช้ ไหนจะเรื่องของว่าที่เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ ไหนจะเรื่องของพระสนมต้องห้ามผู้นั้น
“ฮาฮา เรื่องมันยาวนะครับ ตอนนี้ผมได้อภัยโทษแล้วครับแต่โดนลดขั้นลงมา”
นาซิสยิ้มให้กับญาติผู้ใหญ่เพื่อนสนิทของผู้เป็นพ่อ จะว่าเป็นอาจารย์คนแรกที่ท่านพ่อไหว้วานสอนการเป็นอัศวินให้แก่ตนเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้น คนแก่ผู้นี้ก็ไม่ยอมให้นาซิสเคารพเป็นอาจารย์ ด้วยเหตุผลที่อยากให้นาซิสมีอาจารย์ที่มียศถาบรรดาศักดิ์มากกว่าตนเอง
“เจ้ายังคงเป็นองครักษ์อยู่อย่างงั้นหรือ”
“ครับ”
“ดีแล้ว ท่านลอร์ดรู้เรื่องว่าเจ้ากลับมาหรือยัง”
เซอร์ฟอร์ดัสตบบ่าอย่างให้กำลังใจจากฐานะไม่ต่างจากกบฏ กลับสู่ตำแหน่งองครักษ์แม้จะโดนลดขั้นก็ตาม แค่นี้ก็ปาฏิหาริย์แล้วที่นาซิสยังคงมีชีวิตอยู่
“ผมพึ่งมาถึงเองครับ ยังไม่ได้กลับบ้านเลยครับ มันวุ่นวายไปหมดผมเลยไม่ทันได้เตรียมการอะไร”
“กลับมาก็ดีแล้ว…ตอนที่ข้าได้ข่าวว่าเจ้าพาพระสนมผู้หนึ่งหนีไป ข้าตกใจมาก…เจ้ากลับมาเช่นนี้เจ้าคงมีเหตุผลพอที่ฝ่าบาททรงให้อภัยสินะ”
“ฮาฮาไม่หรอกครับ”
นาซิสยิ้มขำนึกดูแล้วการที่ตนยังคงมีชีวิตอยู่เช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะองค์หญิงน้อยเสียมากกว่า
“ท่านลอร์ด ลินเดียร์ ท่านชายลูชิเอลมีรับสั่งหาเจ้าค่ะ”
สาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานขัดบทสนทนาของผู้ที่ไม่ได้พบกันเนิ่นนาน
“ผมคงต้องขอตัวก่อน ไว้คราวหน้านะครับ ฝากบอกท่านพ่อด้วยนะครับว่าผมกลับมาแล้ว”
“ได้ข้าจะบอกท่านเอิร์ลไว้ให้ ไปพบท่านชายเถอะ”
เซอร์ฟอร์ดัสดึงนาซิสเข้ากอด
“ยินดีต้อนรับกลับ”
นาซิสขยับยิ้มยกมือขึ้นโอบกอดตอบคนที่ตนเคารพ การเดินทางไปครั้งนั้น นาซิสไม่เคยคาดหวังว่าตนจะได้กลับมาเหยียบบ้านเกิดเมืองนอนอีก แต่เหนือสิ่งอื่นใดการได้กลับบ้านไปเจอคนที่รักก็ยังคงเป็นสิ่งผู้คนที่ไกลบ้านโหยหาไม่ต่างกัน
.
.
.
จักรพรรดิลูซินัส พาสองแม่ลูกมายังโต๊ะอาหารที่ถูกเตรียมการไว้ เฟิงมี่ถูกผู้เป็นแม่แย่งมาอุ้มนั่งตัก ด้วยเกรงว่าจักรพรรดิลูซินัสจะลำบากเวลาเสวยอาหาร จะปล่อยให้ลูกทานเองก็กลัวจะหยิบอาหารที่เด็กไม่ควรทานเข้าไป เพราะตอนนี้อาหารช่างละลานตาไปหมด
แต่เฟิงมี่คิดว่าท่านแม่ของเธอแค่เขินจนต้องหาอะไรทำให้ดูวุ่นวายกลบเกลื่อนความเขินของตัวเอง
เด็กน้อยกวาดสายตาไปรอบโต๊ะอาหาร ที่เต็มไปด้วยอาหารคาว ที่เธอทั้งคุ้นตาและไม่คุ้นตา หน้าตาแต่ล่ะจานก็กินกันไม่ลงตกแต่งกันได้สมเป็นพระกายาหารขององค์จักรพรรดิ ถ้าให้เดาของหวานคงตามมาแน่ ๆ ...มีท่านพ่อเป็นจักรพรรดิมันดีอย่างนี้นี่เอง!
ตอนที่อยู่แคว้นมิซิกิโนะ ท่านแม่จะเตรียมอาหารเป็นชุดให้เธอแน่นอนว่ามันจะต้องถูกหลักโภชนาการ อาทิที่ว่า เธอกินผักจนจะร้อง แม้ผักมันจะถูกซ่อนไว้ก็ตามแต่กัดไปรสชาติของผักมันก็ขมขึ้นคอแล้ว
แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ สเต๊กเนื้อขาแกะดูล่อหน้าล่อตาเธอมาก เพราะมันอยู่ใกล้พอที่เธอจะเอื้อมถึงมือน้อย ๆ เลยขยับเข้าใกล้อย่างต้องมนต์
ก่อนฝันจะสลายลงเมื่อท่านแม่สังเกตเห็น จับมือน้อยที่กำลังใช้ซ้อมจิ้มชั้นเนื้อบางส่วนที่ถูกตัดพอดีคำไว้
“อันนี้เฟิงมี่ทานไม่ได้ค่ะ มันไม่สุก เดี๋ยวจะท้องเสีย”
เนื้อที่ดีมันต้องย่างไม่สุกอยู่แล้วท่านแม่! ใจจริงเธออยากจะเถียงไปอย่างนั้นแต่เหตุผลของท่านแม่ก็คือความจริง ร่างกายของเด็กน้อยไม่ควรทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบแถมมีแต่ไขมัน แต่มันก็น่ากินจริง ๆ เฟิงมี่ได้แต่มองมันด้วยสายตาละห้อย แต่แล้วชิ้นเนื้อที่เธอจับจ้องก็ถูกซ้อมของคนผู้หนึ่งจิ้มไปกินต่อหน้าต่อตา
“อืม อร่อยอยู่นะ”
องค์จักรพรรดิที่เห็นว่าลูกสาวมองเจ้าสเต๊กขาแกะไม่วางตาก็อดจะหยอกเย้าแกล้งเจ้าตัวเล็กเสียไม่ได้ จะว่าพระองค์เอาคืนที่ลูกน้อยชอบหอมแก้มหยางเหยียนลู่อิงเย้ยพระองค์ก็ได้
ในรถม้านั่นและก่อนหน้านั้นอีกพระองค์ไม่ลืมหรอกนะ
ซ้อมในมือน้อยถูกกำแน่น จะเอาใช่ไหมเจ้าพ่อบ้า!
“มามี้ คร้า”
เฟิงมี่กล่าวเรียกท่านแม่หลังท่านวางข้าวที่เฟิงมี่สามารถทานได้ไว้ให้เธอ
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองท่านแม่ที่มองลงมา อย่างออดอ้อน
“หืมว่าไงน้ำผึ้งน้อย” หยางเหยียนลู่อิงที่ถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นก็ใจอ่อนยวบไปแล้วกว่าครึ่งถ้าไม่ติดว่ากำลังทานอาหารคุณแม่ติดลูกคงฟัดแก้มเจ้าตัวน้อยไปแล้ว
“ป้อนมีมี่หน่อยค่ะ”
ตั้งแต่เฟิงมี่สามารถจับช้อนได้อย่างถนัดมือหยางเหยียนลู่อิงก็ไม่เคยได้ป้อนข้าวลูกอีกเลย แม้จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ลูกของเขามีพัฒนาการที่ไวกว่าเด็กทั่วไปแต่ก็อดนึกเสียดายไม่ได้ที่จะไม่ได้เล่นป้อนอาหารกับลูก
“ได้สิคนเก่ง มามะ”
ท่านแม่ดีเด่นที่หลงลูกยิ่งกว่าอะไร เตรียมช้อนตักข้าวป้อนอย่างรวดเร็ว
“…รถม้ามาแล้วคนเก่ง อ้าปากเร็ว”
ท่านแม่กล่าวเล่นตะล่อมให้เธอกินข้าว ถึงท่านแม่ไม่บอกให้เธออ้าปากเธอก็พร้อมงับช้อนรออยู่แล้ว
“เก่งมากเด็กดี”
เธอปรายตามองท่านพ่ออย่างเหนือกว่า แม้ภายในปากจะถูกท่านแม่วางยา มันเต็มไปด้วยผัก ใบหน้าที่ออกมาจึงยู่ยี่เล็กน้อย
“หึ อิงอิง”
“ขอรับ…อุ๊บ”
จักรพรรดิลูซินัสเอ่ยเรียกท่านแม่ที่พิถีพิถันในการหาของมาใส่ช้อนเพื่อป้อนเธอ เมื่อหันไปหาองค์จักรพรรดิจึงถูกยัดอาหารคำโตเข้าปากอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เจ้าเองก็กินบ้างเถอะ มัวแต่ป้อนเจ้านี่เจ้าจะทานไม่อิ่ม”
สองแม่ลูก แก้มพองด้วยอาหารไม่อาจค้านอะไรได้เจ้าตัวเล็กที่เจอท่านพ่อเอาคืนนิ่ม ๆ ก็ได้แต่ทำตาโตใส่
“เจ้าดูซูบลงไปเยอะ…คงต้องขุนอีกหน่อย”
จักรพรรดิไล่ปลายนิ้วไปตามกรอบหน้าของหยางเหยียนลู่อิงทรงพึมพำพร้อมจ้องสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอย่างมีเลศนัย
ใบหูของหยางเหยียนลู่อิงขึ้นสีแดงด้วยความเขินอายที่ถูกจ้องมองคล้ายกับตนได้ถูกปอกเปลือกตั้งโชว์ให้จักรพรรดิได้เชยชม คุณแม่คนงามที่เขินอายดึงตัวเองออกมาทำทีหาอาหารเตรียมป้อนลูกต่อ แต่ก็ดูจะหยิบจับมั่วไปหมด
“แหวะ มามี้พลิก!!”(แหวะ มามี้พริก)
เฟิงมี่ที่อ้าปากงับช้อนที่ท่านแม่เอามาจ่อที่ปากอย่างไม่บอกไม่กล่าว ไม่มีถ้อยประโยคปะเหลาะให้เธอกินเหมือนตอนแรก อย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกแย่งความสนใจไป แต่พอเคี้ยวคำนั้นไปได้เพียงครึ่งคำก็ต้องคายออกมาแทบไม่ทัน พริกทั้งดุ้น!!!
“ฮ่ะ เฮ้ยย! แม่ขอโทษ แม่ไม่ทันมอง น้ำ!!”
หยางเหยียนลู่อิงได้สติรีบก้มดูลูกน้อยบนตักเห็นเจ้าตัวเล็กคายพริกออกมาก็ร้องอย่างตกใจ รีบหาน้ำมาให้ลูกน้อยดับความเผ็ดแทบไม่ทัน
“ม่ายให้มามี้ป้อนแย้ว!”(ไม่ให้มามี้ป้อนแล้ว)
“ไปไหนลูก โกรธแม่เหรอ แม่ขอโทษ”
เฟิงมี่ที่หายเผ็ดได้นิดหนึ่งไถลตัวจาก ตักของท่านแม่เดินอ้อมมานั่งฝั่งตรงข้ามท่านแม่ ข้างผู้เป็นพ่อ เด็กน้อยกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์แก้มป่อง ๆ แดงก่ำจากความเผ็ด
“หึหึ ริชาร์ด อาหารเสร็จหรือยัง”
จักรพรรดิเอ่ยถามพ่อครัวใหญ่ที่คอยอำนวยความสะดวกระหว่างมื้ออาหาร
“กำลังนำเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
“ขออภัยเพคะ”
นางกำนัลเอาเบาะมาเสริมให้เฟิงมี่นั่ง ร่างน้อยยังคงกอดอกอย่างงอนผู้เป็นแม่ ก่อนจะถูกดึงความสนใจด้วยขบวนนางกำนัลที่ยกอาหารบางอย่างเข้ามา
“นี่เป็นชุดอาหารสำหรับเด็กที่ทรงรับสั่ง”
อาหารถูกวางลงเบื้องหน้าของเฟิงมี่เจ้าตัวจรดจ้องอย่างสนใจ
“คุงกระตัยน่ายักมัก ๆ เยย!”(คุณกระตัยน่ารักมากมากเลย)
เมื่อเปิดที่ครอบอาหารออกเฟิงมี่ก็ร้องอย่างชอบใจ อาหารมากมายถูกตกแต่งอย่างน่ารักเป็นรูปสัตว์ต่างโดยเฉพาะกระต่ายทั้งข้าวสวยร้อนที่ถูกตกแต่งให้เป็นหน้ากระต่าย ซุปร้อนที่มีผักแกะสลักเป็นหัวกระต่าย เป็นชุดอาหารที่น่ารักมาก
“พระองค์ชอบกระหม่อมก็ดีใจพ่ะย่ะค่ะ...”
พ่อครัวที่รับหน้าที่ในการทำอาหารครั้งนี้ยิ้มรับอย่างยินดี มือขวากุมไว้ที่ตำแหน่งหัวใจน้อมรับคำชม
เฟิงมี่ตักซุปซี่โครงพร้อมกับแครอทที่หันเป็นรูปกระต่ายขึ้นชิม อย่างไม่เกี่ยงแม้แครอทจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เธอไม่ชอบก็ตาม
“อืมมมอย่อยค่ะ!” (อืมม อร่อยค่ะ)
“นางตักแครอทกินเองข้าไม่อยากเชื่อ…”
หยางเหยียนลู่อิงร้องครางแผ่วเบา ลูกน้อยของเขาเกลียดผักสีส้มนั้นอย่างกับอะไรดี
“หน้าตาของอาหารหลอกล่อเด็กได้เสมอพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อครัวหลวงทำท่าป้องปากกระซิบ บอกท่านแม่ที่ดูจะตกใจที่เฟิงมี่ยอมทานของที่เกลียดด้วยตนเอง ลูกของเขาตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเจริญอาหาร ผู้เป็นแม่อย่างเขาก็คลายกังวลไปได้อีกเปาะที่ลูกน้อยไม่มีปัญหาในการกินอาหารของที่นี่ที่ดูจะแตกต่างจากเมืองที่จากมาพอควร…แม้จะพอรู้ว่าลูกของตัวเองกินง่ายอยู่ง่ายก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี
“ของหวานเพคะ”
นางกำนัลยกของหวานมาวางเมื่อเห็นว่าเฟิงมี่ทานข้าวจนหมดจานแล้ว ฝาครอบถูกเปิดออกทำให้เห็น ชิ้นเค้กวานิลลาที่ถูกประดับด้วยผลไม้ที่แกะสลักเป็นกระต่ายน้อย
“อย่อยอย่อยทุกอย่างเยย มีมี่รักพ่อครัวค่ะ” (อร่อย อร่อยทุกอย่างเลย มีมี่รักพ่อครัวค่ะ)
“ขอบคุณพ่ะย่ะค่ะ อาหารทุกอย่างที่พระองค์ทานองค์จักรพรรดิเป็นผู้สั่งการลงมาให้ทำเป็นพิเศษ”
พ่อครัวน้อมรับคำชมอีกครั้งแต่ก็อดจะรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ จากสายตาขององค์จักรพรรดิที่จ้องมองมาเมื่อตนถูกชมจนต้องกล่าวทิ้งท้ายยกความดีความชอบให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
“ขอบคุงป่ะป๊าค่ะ มามี้รักปะป๊าที่สุด”
เฟิงมี่ถูกอาหารล่อลวง ใครให้ของกินแสนอร่อยกับเฟิงมี่ล้วนถูกเธอบอกรักอย่างประเลาะเสมอ
“หึ…เอารางวัลให้พ่อครัวหลวงที”
องค์จักรพรรดิ ที่มองดูผลลัพธ์เมื่อเห็นสีหน้าเป็นสุขของคนรักที่มองลูกน้อยทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยก็ไม่ลืมที่จะตกรางวัลให้กับผู้ที่มีผลงาน…อีกอย่างพระองค์ก็ได้ข้อมูลสำคัญเพิ่มเสียด้วย…ดูเหมือนเจ้าก้อนน้อยนี่จะหลอกล่อด้วยอาหารได้ไม่ยากเลย…
ดวงตาสีแดงทับทิมขององค์จักรพรรดิจรดจ้องไปยังสองแม่ลูกที่เริ่มหยอกเย้ากันเพราะคนแม่ที่โดนงอนเริ่มตามง้อลูกน้อยอีกครั้ง
“น้ำผึ้งน้อยรัก…ป่ะป๋าแต่ไม่รักมามี้เหรอคะ”
หยางเหยียนลู่อิงเอ่ยหยอกล้อลูกรักด้วยถ้อยคำที่ลูกน้อยใช้เรียกตนและคนรัก ใบหน้างามล้ำแสร้งทำสีหน้าหงอยเหงา…แต่ก็ขึ้นริ้วแดงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงถ้อยคำที่เอ่ยแทนตัวจักรพรรดิ
“มีมี่ งอนมามี้ค่ะ ไม่รักชั่วคราวค่ะตอนนี้รักปะป๊าที่ซูดค่ะ”
ไวน์แดงถูกยกขึ้นจิบเพื่อบดบังมุมปากที่ยกยิ้ม ขององค์จักรพรรดิ
พระองค์ชักเริ่มไม่แปลกใจเสียแล้วที่ใคร ๆ ต่างก็หลงเจ้าตัวน้อยนี่…
(อดีต)
ร่างสูงโปร่งทอดสายตามองไปยังปราสาทหลังโตที่ค่อย ๆ ไกลห่างออกไป แสงไฟจากคบเพลิงเวทส่องสว่างวูบวาบไปทั่วทั้งแผ่นดิน คงไม่พ้นเป็นคบเพลิงของทหารที่กำลังออกตามล่าตน...
“ข้าขอโทษ...หวังว่าสักวันเราจะได้พบกันอีก...”
“ตอนนี้ยังไม่สายที่ท่านจะย้อนกลับไปนะครับ”
“เป็นเช่นนี้น่ะดีแล้ว...บางทีช่วงเวลาที่ต้องไกลห่างนี้ก็อาจทำให้เขาได้ยั้งคิด...ว่ามันคือความรัก...หรือแค่ความหลงใหลกันแน่”
นาซิสมองคนตรงหน้าที่หันมามองตนทั้งที่น้ำตานองหน้า...สำหรับองค์จักรพรรดิเขาไม่อาจรู้ความคิดของพระองค์เท่าไรนักแต่ก็พอรู้ว่าพระองค์ใส่ใจกับคนตรงหน้ามากกว่าผู้ใด...แต่คนตรงหน้าดูเหมือนจะรักองค์จักรพรรดิเข้าให้แล้ว...ถึงได้มีใบหน้าเจ็บปวดเช่นนี้