หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง) - อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา โดย คุณเด้ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี

รายละเอียด

หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ผู้แต่ง

คุณเด้ง

เรื่องย่อ

*หากเจอคำผิดหรือชื่อตัวละครเขียนไม่เหมือนเดิม ติได้เลยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง


สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ





สารบัญ

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง การย้อนกลับครั้งที่สามสิบเจ็ด,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง ภูตเงา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง นามของทรราช,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย □□□...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง หมู่เมฆบดบัง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง ผ้าสีขาวย้อมแดง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม คล้ายว่า...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม จดหมาย 100 ปี,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ เริงระบำ

เนื้อหา

อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา

การย้อนกลับครั้งที่ ......


ข้าย้อนเวลากลับมารอบที่เท่าไรกัน ชายผู้ครองผมสีดำขลับเปียกปอนทั่วร่างท่ามกลางสายฝนแล้วจึงฉุกคิดขึ้น ขณะที่กำลังนำแผ่นหลังพิงกำแพงคฤหาสน์หลังใหญ่หรูหราอันถูกประดับประดาด้วยแสงไฟ


ใบหน้าโชกเลือดแสดงแววตาที่เลือนลอย อีกอย่างที่ไม่ต่างกันคือเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ขาดวิ่นซึ่งถูกย้อมด้วยสีแดงของโลหิตที่ไหลจากบาดแผลจากการต่อสู้บนศีรษะ รวมทั้งแขนซ้ายที่ขาดไปและรอยเลือดทั่วร่าง


“แฮ่ก...แฮ่ก...” เขาหอบเหนื่อยด้วยความเมื่อยล้าไปทั่วตัว


เดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงฝ่าเท้าย้ำน้ำมาแต่ไกล ปรากฏร่างของชายสูงหุ่นดีพร้อมใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้รอยแผลเป็นหรือรอยไหม้ ในมือถือดาบเรเปียร์สีขาวนวลราวไข่มุกส่องสว่างยามแสงไฟตกกระทบ


“...เลิกหนีเถอะ...” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบราวกับหน่ายเต็มทน มือจับด้ามดาบ พลางยื่นใบดาบปลายแหลมเรียวยาวจรดลงใต้คางของน้องในสายเลือด “หากสังหารเจ้า ข้าก็จะยิ้มได้อย่างภาคภูมิ”


“อาร์ชอนเทีย มิใช่เจ้าเองหรือที่ทำให้นางตาย?” ชายผมดำถามราวกับสุมฟางเข้าไปในกองไฟ


ตัวของอาร์ชอนเทียที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแล้วเขม่นตาให้ความรู้สึกว่าอยากจะสังหารเขาเสียเดี๋ยวนั้น ทันใดนั้นเองอาร์ชอนเทียก็ได้นำดาบแทงเฉียวคอของผู้พูดเสียดเพียงนิด


“โกรธรึ?” แม้จะบอกไปอย่างงั้น แต่สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดไม่น้อยไปกว่าฝ่ามือที่ขาวซีดอยู่แล้วเลย


“เจ้า...” ชายผมสีบลอนด์ทองแค่นเสียงแล้วกดฟันแน่น เล็บมือจิกผิวจนมีเลือดซิบออกมาให้เห็น เมื่อคลายก็พบรอยแดงรอยเล็บอย่างชัดเจน


เมื่อชายที่โดนดาบจ่อเห็นท่าทีดังกล่าวก็ทำกิริยายิ้มยียวนเพื่อกวนประสาท แต่ภายในดวงตากลับพบว่าว่างเปล่า


“นายน้อย...หากปล่อยให้ศัตรูมีดาบไว้ข้างกายมันอันตรายนะเจ้าคะ” หญิงผู้มีเรือนผมยาวสลวยสีเขียวสาหร่ายได้ตรงเข้ามาพร้อมกางร่มขาวที่โดดเด่นในเงามืดขณะนี้ เสื้อผ้าที่นางสวมเป็นสีกรมท่าออกแนวสบายๆ และดูไม่หรูหรามากนัก


ชายที่แทบจะสลบเหมือดรูม่านตาเบิกตากว้างในทันทีที่ได้ยินเสียงของหญิงตรงหน้า “แบคดิช?!”


นางคือ ‘แบคดิช’ หนึ่งในสามองครักษ์ของกลุ่มร่มในทัพเงาบ้านทไวไลท์แห่งแดนสนธยาผู้ถือครองมงกุฎเงาเพียงหนึ่งในทวีปอัสกัน


อาร์ชอนเทียดึงดาบสืบทอดออกจากกำแพงหนาแล้วตวัดดาบอย่างแรงเพื่อสลัดคราบเลือดที่ติดตามใบดาบ “เจ้ารู้นามของนางด้วยรึ? คงไม่แปลกเพราะเจ้าเป็นทายาทเงาที่ถูกแต่งตั้งนี่...”


“นายน้อยเจ้าคะ เราควรสังหารเดียโวลอสเสียตอนนี้ หากท่านยังยืดบทสนทนามันจะ—”


ไม่ทันที่แบคดิชผู้ถือร่มขาวจะกล่าวจบประโยคชายผู้ครองนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลก็ได้ตัดขึ้นมาด้วยความหัวเสีย


“เงียบ” ศีรษะของอาร์ชอนเทียหันขวับอย่างไวพร้อมถลึงตาใส่ รอบตัวแผ่ไอสังหารราวกับบอกว่าอย่าเข้ามาสอดไม่เข้าเรื่องให้มากนัก


แบคดิชที่โดนเช่นนั้นก็คิ้วกระตุก ตัวสะดุ้งแรง แขนซ้ายที่ถือร่มก็สั่นระริกเสมือนคนจะหมดแรงแต่ก็ฝืนทนจนเหงื่อไหลพลั่กเต็มแผ่นหลังจนเปียกแฉะ ลำคอก็ได้แต่กลืนน้ำลายไม่กล้ากล่าวคำใดออกมาด้วยขาที่แข็งทื่อ


“เดียโวลอส วาน เนบิวลา...” เสียงของอาร์ชอนเทียเนือยๆ ใบหน้าที่แสดงความโกรธออกมาบรรเทาลงไปบ้างแล้ว แต่ก็เปลี่ยนเป็นความเรียบเฉยทับแทนที่


“เดียโวลอส ซู ทไวไลท์ ไม่ใช่หรือไง? เจ้าไม่นับครอบครัวกับข้าแล้วรึ?”


“เพราะนาง...ทำให้ข้าตาสว่าง” อาร์ชอนเทียงึมงำ


เดียโวลอสที่นั่งหมดสภาพได้ยิ้มยียวนเหมือนเคย พร้อมกล่าวด้วยถ้อยคำเยาะเย้ย “เอะอะเจ้าก็พล่ามถึงแต่นาง นางเป็นมารดาเจ้าหรือไง?”


“ผายลมเถอะ! ข้าควรทรมานเจ้าเสียดีกว่าตายไปดื้อๆ” อาร์ชอนเทียตาเขียว ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ พร้อมพุ่งเข้าไปคว้าคอของเดียโวลอสแล้วบีบจนแน่น


แม่ง...แน่นฉิบหาย


เดียโวลอสคิดขณะที่ถูกชายตรงหน้าผู้เปี่ยมไปด้วยความโกรธพลุ่งพล่านบีบคอแล้วโดนดันเข้ากับกำแพงแข็งจนดังแน่น เขายกแขนที่เหลือเพียงข้างเดียวขึ้นพยายามแกะมืออันบีบรัดของชายตรงหน้าผู้เป็นพี่ออกตามสัญชาตญาณ สายตาเริ่มพร่ามัวเหงื่อเริ่มไหลออกมาผสมปนเปกับหยาดฝนที่หยดแล้วหยดอีก


วินาทีนั้นเองสายตาที่เลือนลอยของเจ้าตัวได้เขม่นมองไปทางหญิงแบคดิชจากกลุ่มร่ม


ปรากฏภาพใบหน้าที่กำลังแสยะยิ้มกว้างถึงใบหู ดวงตากลวงลึกโบ๋ดูดำมืดไร้นัยน์แสดงให้เห็น เสมือนเป็นภาพหลอนตอนโดนเข้ากับมนต์ดำของเหล่าแม่มดที่เดียโวลอสเคยพบเจอ


เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงกลั้นใจปล่อยมือแล้วคว้ามีดภายใต้เสื้อแล้วจึงแทงไปยังท่อนแขนของอาร์ชอนเทีย


ทั้งสองสบตากัน ขณะที่มีดเล่มเล็กแทงทะลุผิวหนังของอีกฝ่ายหนึ่ง เลือดเริ่มไหลออกแต่แววตาก็ยังคงปกติไม่มีทีท่าว่าจะหวั่นไหวแม้แต่น้อย ลมหายใจที่ไหลลื่นของเขาซึ่งเป็นอีกสัญญาณเช่นเดียวกัน


เมื่อคิดหนทางใดไม่ออก ก่อนที่สติของเขาจะวูบดับจึงตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งออกมา “เจ้ามันสวะอีกกี่ภพชาติ เจ้ากับนางก็ไม่มีวันได้เป็นคู่ครองกัน...” เดียโวลอสพ่นคำสบถมือขวาหยิบอาวุธมีดสั้นที่ซ่อนใต้เสื้ออีกข้างออกมาแล้วเฉือนคอของตนพร้อมๆ กันกับนิ้วมือของอาร์ชอนเทีย


“เดียโวลอออสสส!!!”






มันมืดกว่าคราก่อน หรือมืดมิดเหมือนเดิมกัน ข้าสัมผัสถึงเตียงนอนและผ้าห่มอุ่นๆ ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย กระทั่งอ้อมแขนและฝ่ามือข้าก็รับรู้ถึงมันไม่ได้เช่นกัน


หรือนี่คือการตายที่แท้จริง ยามมองลงไม่เท้า ยามมองข้างหน้าไม่เห็นทาง รอบข้างต่างดำสนิทราวกับเป็นสถานที่ที่ดูดกลืนแสงทั้งหมดไว้


แล้วตอนนี้ข้ากำลังลอยอยู่หรือย้ำเท้าเหยียบสีดำพวกนี้กัน?


เล็บที่ควรข่วนฝ่ามือกลับไม่รู้สึกถึง ความเย็นเยียบในใจที่ได้รับในทุกคืนวันเวลานี้ได้เลือนหายไปเสียแล้ว ไม่มีแม้แต่เสียงเรไรในยามที่ข้านอนในป่า มันสงบแต่ก็เงียบเหงา...


เหตุใดข้าถึงรู้สึกถึงไออุ่นเล็กๆ กัน เปลวไฟซึ่งมีสีเหมือนท้องฟ้ายามรุ่งสางก็ปรากฏตรงหน้าข้า เรื่อยๆ เรื่อย เรื่อย จนเต็ม แม้จะกวาดสายตาไปทางใดก็พบเพียงพื้นสีดำสนิทและเปลวไฟดวงน้อยราวถูกจุดบนเทียนเล่มเล็กได้ถูกเติมเต็มจนสุดลูกหูลูกตา


“ยินดีต้อนรับกลับ” น้ำเสียงหวานละมุนนุ่มนวลได้ดังขึ้นอยู่เบื้องหลังและข้าก็รีบหันขวับไปหาต้นทางในทันทีทันใด


จากภาพเดิมกลับกลายเป็นภาพสีที่จืดชืดไร้ชีวิตชีวา แต่หน้านางตรงหน้าข้าช่างคุ้นนัก เสมือนคนเคยพบกัน


เรือนผมสีเงินสลวยมัดเกล้าเปิดหน้าผากกับเสื้อผ้าที่แลดูเหมือนชนชั้นสูง แต่น่าแปลกที่นางนั้นสวมเดรสสีดำลายปักลูกไม้ทั้งส้นสูงสีเดียวกันซึ่งเป็นชุดที่เลดี้ไม่ค่อยสวมใส่ในสังคมเท่าไร เมื่อเพ่งมองดูใบหน้าก็เปรียบดั่งรูปปั้นแกะสลักที่ถูกทำโดยช่างฝีมือเทพ และดวงตาสีดำของนางเองก็สวยงามเหลือเกิน น่าเสียดายที่บรรยากาศมันซีดจนจืด


“หม่าม้า!” เสียงของเด็กสาวตัวน้อยดังขึ้นข้างหลังของข้า เป็นแบบครั้งที่แล้ว ข้าหันกลับไปด้วยความสงสัย สายตาที่นางผู้นั้นมองมา ข้าคงคิดไปเอง นางคงจะจ้องมองลูกสาวที่รักของตน


ภาพที่เด็กสาวผมเงินสั้นเลยปลายคางกระโดดเข้าอ้อมแขนของมารดาปรากฏต่อหน้าข้า มันคงจะทำให้ข้าอิจฉาไม่น้อยหากไม่ใช่สถานการณ์แบบนี้ “ลองเล่าให้แม่ฟังหน่อยว่าวันนี้เรียนอะไรมาบ้าง?” นางถามพลางคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขและสวยงาม รูปปากเป็นกระจับทรงสวยน่าดึงดูดเป็นอย่างมากแม้สีตรงหน้าจะซีดถึงที่สุด


“หม่าม้าลองเดาดูสิ”


นางลูบคางทำเป็นครุ่นคิดก่อนตอบออกมาด้วยใบหน้าสงสัยในคำตอบ “หอคอยกลับหัวหรือเปล่านะ?”


“แอ่ดดด—!” เด็กหญิงทำแขนเป็นกากบาทแม้ข้าไม่รู้ความหมายแต่ก็คิดว่าข้านั้นพอเดาได้ในบทสนทนาถัดไป “หม่าม้าทายผิดคำตอบที่ถูกคือเรื่องราวของเทพีมาคาลัม”


เทพีมาคาลัม?! คนพวกนี้นับถือมาคาลัมกันหรือ? ต่อให้ข้าไม่ทราบที่ตั้งของสถานที่แห่งนี้ ข้าก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองมิอาจจะสัมผัสล้วงลึกได้


“เอ๋?! แม่ทายผิดเหรอเนี่ย... ไม่นึกเลยนะว่าหลักสูตรปัจจุบันจะสอนเรื่องพวกนี้ด้วย” นางทำหน้าเศร้าหลังเดาคำตอบผิด “แล้วลูกรู้ไหมว่าอัครสาวกของมาคาลัมมีใครบ้าง?”


เด็กสาวตรงหน้าข้าตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบอย่างคล่องปรื๋อ “เอ่อ...มี...จิลลาร์คนักบุญราชสีห์คราม กาลาธีนักบุญปักษาทองเงิน เมจูเด็กสาวลูกแก้ว วาฬดวงประทีป แล้วก็ เดียโวลอสเงาใต้พิภพ”


เดียโวลอส?! นั่นมันชื่อของข้า เหตุใดกัน?! มาคาลัมไม่มีทางมอบชื่อซ้ำแก่ผู้อื่นแน่นอน 


“ถูกเป๊ะเลยนะเนี่ย~” ทั้งคู่ก็ได้เริ่มเดินมาใกล้กับบานประตู


เมื่อประตูเปิดออก ก็ยังคงทอดสายตามองอยู่จุดเดิมแม้อีกใจของข้าก็ตีกันวุ่นไม่น้อย


ข้าควรตามเข้าไปดีหรือเปล่า? ถึงข้าจะไม่รู้ก็ตามว่าสิ่งที่ทั้งสองสนทนากันอยู่คืออะไร ที่แน่ๆ เทพีอย่างมาคาลัมก็ถูกยกมาเป็นหัวข้อ


เมื่อตามไปได้ไม่กี่ก้าว นางผู้นั้นก็หันมาแล้วแล้วกล่าวประโยคหนึ่ง “เจ้าไม่ควรเข้ามาในบ้านของผู้อื่นตามใจนะเงาใต้พิภพ”