หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?
แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?
สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ
วันนี้ช่างเป็นกลางวันที่สุขสงบกลิ่นลมอ่อนพัดโชยเข้าจมูกอย่างบางเบา ข้านั่งบนเก้าอี้ไม้แล้วถักผ้าด้วยความใจเย็น หน้าบ้านของข้านั้นเปิดโล่งไม่มีสิ่งใดขวางโดยรอบ มีเพียงหลังคาที่คอยบังแสงแดดอันแรงจ้า
“□!” ข้าอุทานออกไปเพียงเพราะเตะกับพื้นหน้าบ้านขณะแกว่งขา มันเจ็บมากจนต้องปล่อยเครื่องถักในมือลงแล้วกุมเท้าแทน ข้ารู้ได้ทันทีว่าน้ำตาคลออยู่บนลูกตาสองข้างจากภาพที่พร่ามัว
จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างมาแตะที่บ่าโดยไม่ทันตั้งตัว “□□□!!!” ข้ากรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ พร้อมหันกลับไปหาเจ้าของฝ่ามือนั้น เขาเป็นชายร่างสูงรูปร่างกำยำผิวกายสีน้ำผึ้งดูหายาก
“□!” ข้าตะโกนเรียกเขาแม้ว่าข้าจะไม่รู้เลยว่าคำที่ข้าพูดมันออกเสียงถูกหรือไม่ก็ตาม ข้าค่อนข้างแปลกใจที่เขากลับจากเมืองเร็วขนาดนี้ ‘แฟรงค์ ทรูธ’ เป็นครูสอนวิชาเอาตัวรอดในสถาบันหลวงจึงไม่ค่อยได้กลับมายังหมู่บ้านบ่อยนัก
เขายิ้มส่งแล้วเปิดปากพูด “□□□□” น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่าอะไร หากให้ข้าเดาส่งๆ คงจะเอ่ยปากพูดว่าข้ากลับมาแล้วเป็นแน่ เพราะเขามักจะเป็นแบบนี้ตลอดที่กลับมายังบ้านเกิด
“□□□□□□□□?” ข้าถามไปแต่เขาก็ปิดปากหัวเราะจนไหล่ยักขึ้นลงรัวๆ
แฟรงค์เดินมาข้างข้าทางฝั่งซ้ายแล้วย่อลง มือหยิบไม้ถักผ้าของข้าที่วางไว้ขึ้นพร้อมขีดเขียนลงบนพื้นดินตรงหน้าเป็นตัวอักษรไก่เขี่ยแต่ก็พออ่านได้ [เจ้าจะถามข้าว่าอะไรเหรอ?]
เขายังคงลายมือแย่เหมือนเดินจนทำให้ข้าอมยิ้ม ข้านำมือกวาดพื้นลบตัวอักษรเดิมแล้วเขียนทับ [เหตุใดเจ้าถึงกลับมาเร็วนักเล่า?] จู่ๆ ข้ารู้สึกเสียใจที่มือของตัวเองเปื้อนเพียงคนเดียว แล้วแน่นอนว่าเขาจะไม่โง่นำมือลบแน่ ข้าจึงนำมือขวาเอื้อมจับข้อมือข้อใหญ่ของเขาแล้วนำมันสะบัดกับพื้นดินจุดเก่า
“□?!” แฟรงค์หันมาพร้อมสีหน้าฉงน เหมือนว่าเขาจะอยากแก้แค้นข้ากลับจึงนิ้วมือมาป้ายปลายจมูกของข้า
ข้าคิ้วขมวดกลอกตามอง ถอนหายใจแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง กระทั่งโดนเขาสะกิดต้นขาจนข้าสะดุ้งเฮือก ข้ามองกลับยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วตวาดเขา “□□□□□!”
ทว่าเขานั้นทำตาวิ้งใส่แววตาที่แสดงออกบ่งบอกว่าเขารู้สึกผิด คราวนี้เขากลับใช้นิ้วมือเขียนลงไป [ข้าขอโทษ]
เป็นอันที่แน่นอนว่าข้าต้องยกโทษให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้อยู่แล้วกลับกันข้าเลือกที่จะกอดอกชักสีหน้าไม่พอใจพร้อมเสมองอย่างอื่น นัยน์ตาทั้งคู่ของข้าเองก็เผลอเหลือบมองเป็นครั้งคราว ประหนึ่งว่าตัวข้าแอบชอบเขาอย่างไรอย่างนั้น
ข้าถอนหายใจห้วน ลงมือเขียนโต้ [ช่างเถอะ] ข้าสบตาจ้องมองรงค์แล้วมองผ่านไปยังเด็กสาวที่อยู่ข้างหลังของเขาแล้วโบกมือตะโกนเรียก “□□!” จนเด็กสาวมองกลับมา เธอมีชื่อว่า ‘เมจู’ เป็นเด็กสาววัยแปดขวบที่มีแม่พิการอายุเท่าๆ โดยที่มีเด็กน้อยคนนี้เลี้ยงดู
เธอแสดงสีหน้าตกใจพอตั้งหลักได้ก็โบกมือกลับพร้อมวิ่งแจ้นตรงเข้าหา “□□□□ □□□□!” เธอยิ้มคลี่ยิ้มกว้างสดใสที่ทำให้โลกทั้งใบแทบสุขสงบได้โดยยิ้มหวานๆ ของเธอ
“□□□□□□?” ดูเหมือนแฟรงค์เองก็ตกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นเมจู เพราะในเวลานี้แม่ของเธอควรจะทานข้าวเที่ยงได้แล้วแต่เธอกลับออกมาเดินเล่น
“□□□” และดูเหมือนเธอนั้นจะไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแถมยังคงยิ้มออกมาเช่นเดิม
ข้าที่ไม่รู้ว่าพวกเขาสนทนาอะไรกัน ก็นำไม้ถักเขียนบนพื้นด้วยตัวอักษรที่สละสลวย [พวกเจ้าคุยอะไรกันหรือ?] เมื่อเขียนเสร็จก็นำไม้นั้นสะกิดขาของชายตรงหน้าเบาๆ
เขาที่อ่านจบก็เขาต่อ [ข้าแค่กังวลเรื่องแม่นางน่ะ] ทว่าไม่เขาวางไม้ลงทำท่าจะเขียนต่อแต่เขาเม้มปากส่วนใบหน้าเองก็เต็มไปด้วยกังวลใจ [ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า]
[ว่ามา] ข้าลบรอยเก่าแล้วเขียนใหม่
[กว่าข้าจะกลับมาที่นี่อีกคงจะนาน] เขาเขียนไปตัวก็สั่นระริกเบาๆ ซึ่งข้าเองก็เพิ่งสังเกตเห็นช่วงสุดท้ายของประโยค
[นานแค่ไหนหรือ?] เราสองลบๆ เขียนอยู่อย่างนั้นโดยที่มีเมจูยืนคอยส่องจ้องมองลงมาดูอย่างสงสัย
เพียงครู่เดียวเมจูก็แทรกด้วยการสะกิดชายตรงหน้าพร้อมเปิดปากพูดบางอย่าง “□□□ □□□” พลางโน้มตัวให้เราทั้งสองแล้ววิ่งออกไป เหมือนว่าคำพูดที่พูดเมื่อครู่นี้จะเป็นประโยคขอตัวลาหากดูจากการกระทำของเธอ
หลังจากการสนทนาถูกขัดไป แฟรงค์ก็เริ่มเขียนอีกครั้งด้วยลายมือไก่เขี่ยอ่านแทบไม่ออกดังเดิม [อาจจะเกินปีกว่าๆ เห็นจะได้] ปกติแล้วมันไม่ควรนานเช่นนั้น ข้ายังคงจะได้ว่าเขานั้นจะกลับมาทุกครึ่งปี ข้าไม่รู้ว่าหากพบกันอีกครั้งข้าควรจะทำตัวอย่างไร
จากนั้นข้าเองก็ไม่ได้ตอบอะไรได้แต่เพียงยกตัวขึ้นพังเก้าอี้อีกครั้งแล้วหายใจเข้าให้เต็มปอดราวกับคนหยุดหายใจไปสักพัก ทว่าเมื่อมองกลับหาเขา แววตาที่ส่งมาบอกข้าว่าไม่อยากไปอย่างอาลัยอาวรณ์แม้เพียงแค่มองก็ตาม
สายตาของเขาไม่เคยโกหกข้าเลยสักครั้งข้ามักเดาอารมณ์เขาได้ตลอดที่ผ่านมา ดูเหมือนครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่เพียงไม่นานรีบพุ่งเข้ามาโดยที่ข้าไม่ทันตั้งตัว พร้อมประทับจุมพิตแรกลงที่ปาก มันทำให้ข้าประหม่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เกลียด
“□□□” เขาเผยเขี้ยวสองข้างด้วยยิ้มพอใจตามด้วยโอบกอดข้าด้วยร่างกายกำยำอบอุ่น
ร่างกายของข้าร้อนรุ่มไปหมด หัวใจเองก็ตื่นเต้นสั่นระรัวจนอย่างเอาออกจากอก มันเป็นอีกครั้งที่ข้ารู้สึกแบบนี้ ข้าเคยเป็นแบบนี้ตอนอยู่กับเขาเมื่อสิบปีก่อนใต้ต้นไม้กลางค่ำคืนอันเต็มไปด้วยเสียงเรไรกับแสงจันทร์อ่อนๆ
ไม่นานนักวงแขนก็ปล่อยออก ร่างกายที่สัมผัสกันผ่านเสื้อผ้าได้หายไป ข้าจ้องมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเห็นว่าเขาลงไปเขียนบนพื้น [เขากลับไปที่บ้านก่อนนะ] ว่าแล้วเขาก็กลับไปทิ้งให้ข้าได้มองแผ่นหลังที่ห่างไป
ข้าถอนหายใจลากยาวแล้วเดินเก็บสิ่งของตนเองที่ทิ้งไว้ มันก็นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ไว้เดือนข้าต้องเข้าป่าไปเยี่ยมบ้างแล้ว
ในย่ำค่ำของวันนั้นข้ารู้สึกได้ถึงความสั่นไหวซึ่งสัมผัสได้จากปลายเท้าหลังจากชำระร่างกายจากเหงื่อที่เหนอะหนะ อาจจะมีใครสักคนกำลังเคาะประตูอยู่ก็เป็นได้ เพราะโดยปกติมันก็เป็นเช่นนี้ตลอด ข้าจึงตัดสินใจเดินไปตรงประตูทางเข้าของบ้านแล้วเปิดออกดู
มันเป็นเขา ชายหนุ่มร่างกำยำกับผิวสีน้ำผึ้ง รอบนี้เมื่อลึกเข้าไปสายตาของเขาบอกกับข้าว่าหิวกระหาย เมื่อเห็นดังนั้นข้าก็ปล่อยเขาเข้ามาแล้วปิดประตูให้เข้าที่
เมื่อข้ามานั่งลงที่เตียงในชุดนอนปกติ แฟรงค์กลับกระโจนเข้ามา ข้าถูกเขานอนคร่อมแล้วโดนริมฝีปากนั้นประทับอีกครั้งหนึ่ง พร้อมไปใจไปกับมันอย่างช้า เราสองเสมือนว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพียงครู่เดียวเขาก็เริ่มถอดเสื้อผ้าข้าออกทีละชิ้น “□□!” ข้าว่าเขาแต่เขานั้นไม่สะดุ้งเลยแม้แต่น้อย ในรอบนี้เขาส่งสายตาอ้อนวอนหางคิ้วของเขาตกลงดูท่าจะกังวลไม่น้อยไปกว่าตัวข้าเลย
ข้าผละเขาออกเบาๆ มือพลางเอื้อมหยิบกระดาษและดินสอขึ้นมาเขียนอย่างรวดเร็ว [มันเป็นครั้งแรกของข้า]
เขาเหลือบมองกระดาษที่ข้าพลิกกลับพร้อมด้วยตาที่เบิกโพลงแน่นิ่งไปก่อนจะพยักหน้าตอบกลับแล้วค่อยๆ สัมผัสกายข้าอย่างละมุน ความรู้สึกเสียวซ่านแล่นไปทั่วร่างเพียงถูกปลายนิ้วด้านๆ ลูบไล้อย่างแผ่วเบา
อีกทั้งยังถอดชั้นในข้าออกไปจนเหลือเพียงเรือนร่างเปล่ากับใบหน้าเขินอายอันถูกปิดบังด้วยกระดาษภายในมือ เขาคว้ากระดาษแผ่นนั้นไปแล้วโยนไปข้างล่าง ตามด้วยรสสัมผัสของน้ำลายและลิ้นที่ควานหากันการที่ทำเช่นนี้ทำให้ปลายเท้าขึ้นกระตุกเบาๆ จนต้องรัดรอบสะโพกเขาแน่น
...สิ้นเสียงของข้าที่ครางครั้งสุดท้ายออกไป เราสองก็นอนชิดกันอยู่บนเตียงแข็งพร้อมด้วยสมุดบันทึกซึ่งกำลังผลัดกันเขียนอยู่
[เจ้าจะยอมเป็นคนรักของข้าไหม?] เขาถามมา
แน่นอนว่าข้าจะต้องตอบตกลงตามหัวใจของข้าที่สั่งมา [แน่นอน แต่หลังจากนี้เจ้าต้องปกป้องข้านะ]
เขาหยุดกึกแต่ก็ลงมือเขียนตอบจนได้ [ข้าสัญญา] ทันทีที่อ่านจบข้าก็หันหน้ามาหาเขาพร้อมสบสายตากัน
แล้วแฟรงค์ก็ให้ข้าหนุนแขน มืออันใหญ่ของเขาก็ลูบศีรษะข้าอย่างอ่อนโยน แววตาที่มองมาบอกว่าเป็นห่วงอย่างชัดเจนจากนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้น จบด้วยการจูบหน้าผากข้าแล้วเอ่ยปากอย่างจนข้าปล่อยใจให้หลับใหลในภวังค์แห่งฝัน “□□□...”
ยามรุ่งเช้าแห่งแสงแรกมาถึงข้าก็ตื่นขึ้น กลับพบว่าสิ่งที่ข้าหนุนตอนนี้ไม่ใช่แขนของเขาแต่เป็นเพียงหมอนใหญ่ เขาอาจอยู่ข้านอกบ้านก็เป็นได้ ทว่าไม่ทันได้ลุกดีสายตาก็เหลือบไปเห็นเศษกระดาษวางไว้บนลิ้นชักเก็บของข้าเตียงโดยสอดใต้ตะเกียงไฟที่มอดดับไปแล้วอยู่ตรงนั้นอย่างแน่นิ่งไร้ลมพัดผ่าน
พบว่าท้ายประโยคของลายมือไก่เขี่ยนั้นสั่นไหวกระดาษบางส่วนถูกฉีกออกไป [ข้าอาจจะกลับมาในอีกครึ่งปี แม้ว่ามันจะช้าไปบ้าง แต่ข้าจะจำคำสํญญาของเมื่อคืนไว้ หวังว่าเจ้าจะสบายดีหลังจากนี้ จงใช้ชีวิตให้มีสุขเหมือนวันปกติของเจ้าแบบที่ผ่านๆ มา —ด้วยรัก]
แต่แล้ววันคืนก็ผ่านพ้นไป ข้ายังคงถักผ้าให้กับคนในหมู่บ้านอย่างเดิมตลอดหนึ่งปีเมจูที่เหงาก็มาหาข้าบ้างในบางวัน
......ข้ายังรอเขาอยู่แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมาสองปีให้หลังแล้วก็ตาม จวบจนพื้นดินสั่นสะเทือนรอบละแวก มันช่างน่ากลัวถึงพบตอนนี้แล้วเขาคงจะปกป้องข้าจากแผ่นดินไหว
จู่ๆ แรงจากฝีเท้าหนักแน่นก็เข้ามาใกล้ ข้าหวังว่าจะเป็นเขา แต่เมื่อประตูเปิดออกให้เห็นแววตาทั้งสอง ข้ากลับไม่อยากเชื่อสายตาพวกนั้น กลับกันในใจก็แย้งขึ้นว่าสายตาของสิ่งมีชีวิตไม่เคยหลอกใครหากมองเขาไปลึกพอ
นรกมาเยือนหลังจากสายตาที่จ้องกระหายจะฆ่า จนถึงช่วงเวลาสุดท้ายข้าก็ไม่พบวี่แววของเขาเลย เหลือแต่เพียงท้องฟ้าฉาบดำเต็มไปด้วยหมู่ดาวและลมหนาวผัดผ่านผิวกายอย่างเย็นยะเยือก