หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?
แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?
สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ
ขณะที่ออกมาจากร้าน แสงที่สาดส่องกลับถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีดำ ซึ่งรวมกันเป็นปึกแผ่นจนแสงยามทิวาแทบลอดมาไม่ถึงพื้น
จู่ๆ เกรย์ก็บอกกับเดียโวลอสที่เดินนำหน้า “ในร้านเงินครามไม่มีน้ำผึ้งขายเจ้าค่ะ”
คำบอกนั้นทำให้เด็กสาวผมเงินชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาพร้อมคำตอบที่ตรงไปตรงมา “...ที่คฤหาสน์มีอยู่แล้ว”
ตอนนั้นเอง เกรย์ก็ได้เงยหน้าขึ้นมองฟ้า เมื่อพบว่าแสงตอนเที่ยงวันไม่ได้สาดมาถึงผิวกายของนางแต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยเงาของเมฆครึ้มอันเป็นสัญญาณบอกถึงฝนที่กำลังจะมา มือจึงหยิบร่มที่พกติดตัว ทว่าร่มที่ควรจะอยู่ข้างกายก็ไม่มีแม้แต่ด้าม นางนึกว่าตนนั้นผิดผลาดในฐานะองครักษ์แล้วจึงเอ่ยปากบอกกับเดียโวลอสไป
“นายน้อยดิฉันคงลืมร่มไว้ในรถตอนนี้คงกลับถึงคฤหาสน์แล้ว ดิฉันผิดผลาดในฐานะองครักษ์หลังจากนี้โปรดลงโทษ แต่ตอนนี้โปรดท่านเดินไปหาเด็กสาวที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้น” นางนั่งยองลงเผชิญหน้ากับความสำนึกผิด เมื่อถึงถ้อยคำสุดท้ายก็ชี้นิ้วไปทางกลุ่มเด็กผู้หญิงสามคนที่ถูกล้อมด้วยสองสตรีซึ่งเป็นองครักษ์ส่วนตัวอีกทีหนึ่ง
เดียโวลอสมองตามปลายนิ้วนั้นแล้วก็เข้าใจ จึงตอบกลับไปด้วยตาขวางสีหน้าแลดูไม่สบอารมณ์ “ไปแล้วรีบนำรถกลับมารับ”
“ราวสิบห้านาทีนายน้อยโปรดรอ” จบประโยคนี้ร่างของเกรย์ค่อยๆ กลายเป็นหมอกสีดำเข้มจนจางหายไป
เมื่อเห็นดังนั้นเดียโวลอสก็ไม่รอช้ารีบแจ้นตรงไปยังกลุ่มลูกขุนนางพวกนั้นอย่างเร็วไว “ขอโทษนะพวกท่าน คือข้าอยู่กับพวกท่านได้ไหม?” สิ้นเสียงเรียกของเดียโวลอสเหล่าสาวๆ ก็หันมาด้วยหน้าฉงน
“เจ้า?” เด็กหญิงคนหนึ่งในนั้นที่มีใบหน้าจิ้มลิ้มครองผมบ๊อบสั้นน้ำตาลอ่อนพร้อมด้วยนัยน์ตาสีฟ้าค่อนไปทางเข้มพลอยเป็นประกายระยิบแล้วเลิกคิ้วแปลกใจเล็กที่พบเจอ
“ข้า? ทำไมเหรอ?” เดียโวลอสชี้นิ้วหาตนเองแล้วถาม
ว่าแล้วตัวของเด็กสาวผมน้ำตาลผู้ห้อยตราแก้วรูปดอกทานตะวันก็ได้ทักถามอีก “เจ้าที่นั่งรถสีเงินคันนั้นใช่หรือไม่?! นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าเห็นรถม้าสีเงินกระจ่างขนาดนั้น” ความรู้สึกกระตือรือร้นของนางพรั่งพรูออกมาจนเต็มใบหน้าอ่อนหวานในตอนแรก แววตาราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนเสียแล้วตอนนี้
ในขณะนั้นองครักษ์ทั้งสองที่มองมาก็เฝ้าสังเกตอย่างสงสัยแต่ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น ไม่กี่ก้าวถัดจากจุดที่ยืนอยู่ เด็กสาวสองคนซึ่งมีรูปร่างเหมือนกันทุกประการยกเว้นบุคลิกท่าทางที่แสดงออกมานั้นต่างคนละขั้ว คนนึงมีสีหน้าหยิ่งทะนง อีกคนคิ้วตกสายตามองมาด้วยความอ่อนโยนได้ยืนจ้องมาเช่นเดียวกัน
ฉิบหาย...ข้าควรตอบไปว่าอย่างไรดี? เดียโวลอสเหงื่อตกในช่วงเวลาที่เปรียบเสมือนหยุดนิ่ง ณ เวลานั้น เขาเว้นช่วงตรึกตรองสั้นๆ แล้วกล่าวตอบไป
“ท่านใช่เด็กสาวจากอิริโอโทรปหรือเปล่า? ตราแก้วของเจ้ามันงามมากดีเดียวเลยล่ะ” เดียโวลอสชมสิ่งของสุดเอกลักษณ์ของนางกลับบ้างเพื่อแสดงไมตรี ริมฝีปากบางส่งยิ้มด้วยใจอันเสแสร้ง
นางจับตราแก้วดอกทานตะวันเบาๆ แล้วหน้านางขัดเขินขึ้นอย่างฉับพลัน แก้มสองข้างแดงก่ำอันเกิดจากความเขินอายจากคำชม “ข ขอบคุณนะ ข้า ‘อีเรีย อิริโอโทรป’ แล้วเจ้าล่ะ?” จบแล้วก็ถามมาอีกหน
หญิงร่างสูงโปร่งข้างๆ ปั้นหน้าไม่พอใจออกมา มันคงจะเป็นเช่นนั้นโดยปกติ ซึ่งมันก็ดีที่เหล่าองครักษ์ไม่ค่อยไว้ใจใครมั่วซั่ว
เจ้าเด็กผมเงินยาวก้มหน้ายิ้มมุมปากจางๆ ก่อนยกหน้าขึ้นพร้อมแนะนำตัวแบบเดียวกัน “เดีย... ‘เดีย เดอ ครูดาวา’ กล่าวสวัสดีเจ้าหญิงน้อยแห่งทุ่งทานตะวัน” ปลายนิ้วชี้โป้งจับจีบชายกระโปรงสองข้างแล้วย่อตัวพร้อมพยักหน้าเบาหนึ่งที
“ครูดาวา? ตระกูลจากประเทศข้างเคียงงั้นเหรอ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเลย...” นางนำนิ้วแตะปากพร้อมเผยหน้าสงสัย
“ข้ามาจากนครรัฐน่ะคงไม่แปลกที่เจ้าจะไม่เคยได้ยิน” เดียโวลอสตอบไป ในใจพลางคิดว่าคนพวกนี้อาจจะไม่ค่อยรู้จักคนจากนครรัฐสักเท่าไร
แต่ผิดคาดองครักษ์หญิงด้านหลังที่จับตามองดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาตอบกลับจากคำตอบของเด็กสาวผมเงินเงางามเมื่อครู่ และก็เป็นครั้งแรกที่เดียโวลอสสังเกตเห็น แหวนขึ้นสนิมบนนิ้วกลางข้างซ้ายของสตรีผู้นั้น หากไม่ได้มองแบบผ่านตาก็แทบไม่เห็นสัญลักษณ์บนตัวแหวนเลยแม้แต่น้อย มันเป็นรูปมังกรที่ม้วนขดตัวเป็นวงกลมซึ่งเก็บปีกไว้อยู่
เดียโวลอสเหงื่อตกจากความสะเพร่าของตน เหมือนว่าเขาจะพลาดที่พลั้งปากจนอยากจะหัวเราะแห้งๆ ส่งกลับไปหาหญิงตรงหน้าผู้นั้นเสียเดี๋ยวนี้เลย เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่านัยน์ตาที่วูบไหวเมื่อครู่นี้คิดอะไรอยู่เบื้องหลัง
“แล้วคนที่อยู่ข้างหลังเจ้าล่ะ?” เดียโวลอสยื่นหน้าเข้าถาม พร้อมปั้นหน้ายิ้มแย้มแสร้งไปตามน้ำ
ทั้งสามมองตากันแล้วคนแรกก็เอ่ยชื่อ “แอร์ แคนดัฟ เจมิไน” นางเป็นเด็กสาวที่ครองใบหน้าหยิ่งทะนงปรากฏให้เห็นเด่นชัด แต่แล้วอีกคนที่หน้าคล้ายก็ต่อ “มิสตี้ แคนดัฟ เจมิไน เจ้าค่ะ” นางเหมือนจะเป็นเด็กสาวที่เป็นขั้วตรงข้ามกับอีกคน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ” น้ำเสียงอ่อนนุ่มระทวยใจกระจายรอบบริเวณเหมือนเวลาได้หยุดนิ่งไป ครั้งนี้แทบไม่มีใครมองตัวตนของเดียโวลอสออกโดยสมบูรณ์ จากรอยยิ้มไร้เดียงสา
จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินคุยไปอยู่นาน กระทั่งเกรย์ผู้เป็นองครักษ์ประจำตัวได้ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของกลุ่มนั้น โดยไร้แม้แต่เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา
องครักษ์ทั้งสองของกลุ่มเด็กสาวได้กระชับดาบแน่นแต่ยังไม่ฟันออกไปเพราะท่าทีนิ่งสงบของเกรย์ จึงทำให้ทุกคนคิดว่ายังไม่เป็นภัยอันตรายใดๆ ไม่ก็เกรงกลัวในความสามารถของเกรย์อยู่ไม่น้อย มันเป็นธรรมดาที่เหล่าผู้คุ้มกันจะต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา ทำให้พวกนางนั้นครุ่นคิดตรึกตรองมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ หากผลีผล่ามอาจถึงตาย
เดียโวลอสหันกลับไปหาหญิงชุดดำที่เผยตัวเงียบๆ แล้วสนทนาผ่านมานาด้วยสายตานิ่งสงบ [เจ้าเอาร่มมาแล้วหรือเกรย์?]
[เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ] เกรย์ตอบพลางพยักหน้าหนึ่งครั้งให้ มือพลันยกร่มสีดำปลายแหลมขึ้นให้เจ้าตัวดู
[จัดการองครักษ์สองคนนั้นเสีย หากฆ่าได้ก็ฆ่า หากไม่ไหวก็แค่ถ่วงเวลาไว้] สิ้นประโยคสุดท้ายที่ส่งผ่านมานาไปหาองครักษ์ผมเทาควัน ก็เกิดเสียงปะทะกันของเหล็กดังขึ้นสนั่นจนแสบหูแทบกัดฟันรับ
เกรย์แทงร่มพุ่งตรงไปยังเหล่าองครักษ์ทั้งสองแล้วกางออกบดบังวิสัยทัศน์ของพวกนาง หนึ่งในนั้นที่เคยทำหน้าเคลือบแคลงใส่เดียโวลอสก็ชักดาบกันได้อย่างหวุดหวิด ตามด้วยอีกคนที่ฟาดดาบยาวขึ้นบนจนเฉือนใบร่มขาดแบ่งครึ่งเป็นสองท่อน แต่ผู้โจมตีก็ทิ้งเงาไว้ กลับกันร่างของนางได้หายไป
“คุณหนูหนีไปเจ้าค่ะ!!!” เสียงตะโกนขององครักษ์หญิงคนที่ฟันร่มขาดบอกให้คุณหนูแฝดของพวกนางทั้งสองให้ไปจากที่นี่
และแน่นอนเมื่อรับคำนั้นมาก็รีบพากันหนีให้วุ่น รวมทั้งเดียโวลอสเองก็โดยถูกเด็กสาวตัวน้อยอย่างอีเรียลากติดสอยห้อยตามไปหาทางหนีทีไล่อย่างหัวซุกหัวซุน ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวของทั้งสามก็ยังไม่ทราบว่าเดียโวลอสต้องการทำอะไร
...ขณะเดียวกันอีกกลุ่มก็สู้กันอย่างเดือดดาล
“เจ้าเป็นใคร!?” หญิงผมสั้นบ็อบสีน้ำตาลเข้มได้เอ่ยปากถาม พลางตวัดดาบยาวในมือลงเพียงครั้งเดียวพร้อมด้วยผ้าคลุมสกปรกกำลังสะบัดและถูกปลดออกในที่สุด
เกรย์ไม่ได้ตอบแต่สายตาก็สะดุดเข้ากับตราขนาดเล็กบนกลางป้องดาบของนาง มันเป็นรูปมังกรขดตัวเป็นวงกลม ซึ่งสิ่งนั้นทำให้เกรย์ชะงักไปจนเกือบหลบปลายดาบที่ฟาดลงมาไม่พ้น สิ่งนั้นทำให้เสื้อคลุมของหญิงผมเทาขาดตั้งแต่หัวไหล่ถึงชายผ้า “ฟู่ว!” เกรย์พลันหายใจกระแทกหลังจากรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
“ชิ!” หญิงเมื่อครู่จิปากไม่สบอารมณ์
เกรย์ผู้ซึ่งยังไม่ทันตั้งหลักดีก็ต้องเสียศูนย์อีกครั้ง ใบดาบยาวอีกใบฟันราบหวังจะตัดหัวนางในฉับเดียวก็ได้เข้ามาใกล้เพียงเอื้อม เกรย์ใช้จังหวะนี้ในการปัดดาบขึ้นบนโดยมีดที่กำแน่นจนเกิดเสียงดังสั่นหึ่งอยู่สักพัก
องครักษ์ชุดดำกระโดดถอยแล้วเบิกตากว้างจ้องมองลึกเข้าไปในตาของหญิงผู้ที่เพิ่งโจมตีมาจนนางแน่นิ่งไป
ถึงกระนั้นก็ยังถูกไล่ต้อนโดยองครักษ์หญิงของอีเรียจนหลังติดกำแพง เกรย์กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่แล้วหลบใบดาบยาวที่แทงมาเฉียดใบหน้า ตามด้วยหมัดซ้ายที่สวนไปพร้อมกับมีดในมือ ซึ่งนั่นทำให้ท้องซ้ายของหญิงตรงหน้าโดนบาดถากๆ แต่ก็ไม่ลึกพอที่จะทะลุเกราะเหล็กบางที่สวมไว้
ดาบที่ปักไว้ไม่ได้ถูกดึงกลับมา ทันใดนั้นหมัดตวัดขวาพุ่งแกว่งกระแทกเข้ากันกับแขนที่ยกป้องของเกรย์จนกระดูกแทบร้าว การโจมตีนั้นทำให้เกรย์ผู้โดนกระทำกระเด็นออกไปจนกลิ้งตลบ
องครักษ์ผมสั้นหวังจะซ้ำ สุดท้ายก็ต้องไม่เป็นดั่งหวัง เกรย์ไหวจังหวะนี้จางหายไปกับเงา
“...แม่งเอ้ย...” นางสบถออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว พลางมองไปยังองครักษ์ของแฝดทั้งสองที่สลบล้มพับไปก่อนหน้า
อีกด้านหนึ่งเองก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก...
เดียโวลอสโผเข้ากอดอีเรียจากด้านหลังจนนางสะดุ้งเฮือก “เดีย?!” นางอุทานเสียงหลงจนแฝดทั้งสองมองงง
เดียโวลอสยกมือไปข้างหน้าแล้วเริ่มกวาดนิ้วเขียนวงจรเวท “เวทปฐมภูมิ อำนาจไร้ล้าง” ทันใดนั้นมือที่ว่างเปล่าก็หยิบเหล็กปลายแหลมใต้แขนเสื้อยาวพร้อมปาพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างเร็วไร้แม้แต่แรงต้านของอากาศมากัน
ฉึก!
เสียงเหล็กปักกลางระหว่างคิ้วบนศีรษะของแอร์ผู้เป็นแฝดคนพี่ที่หยิ่งทะนงโดยที่นางยังไม่ทันได้ปริปากพูด
“กรี๊ดดด!!!” มิสตี้หวีดร้องแทบฉี่ราดหลังจากที่นางมองภาพของพี่สาวตนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตาเพียงชั่วอึดใจเดียวโดยเด็กสาวในช่วงอายุไม่ต่างกันใช้เหล็กปลายแหลมปาปักเข้ากลางหว่างคิ้ว
ร่างของแอร์ที่สิ้นใจไปก็เสียศูนย์ล้มลง จังหวะที่ลงไป เหล็กที่ปักอยู่ก็ถูกกระแทกเข้ากับพื้นหิน และนั่นก็ทำให้มิสตี้เกือบสลบแต่ก็ทำได้เพียงร่ำไห้น้ำหูน้ำตาไหลจ้องมองไปยังศีรษะที่มีปลายแหลมของเหล็กแวววาวงอกออกมาจนถึงครึ่งแท่งปรากฏให้เห็น เหล่าของเหลวสีแดงฉานทยอยไหลรินอย่างช้าๆ ท้ายที่สุดก็เอ่อนองใต้ร่างไร้วิญญาณ
ฝ่ามือทั้งสองของนางสั่นระริก ขณะเดียวกันสีหน้าของอีเรียก็ไม่สู้ดีนักนางสามารถหมดสติได้ทุกเมื่อ
“นี่...” เดียโวลอสกระซิบเรียกข้างหูเด็กสาวตรงหน้าพร้อมแสยะยิ้ม นัยน์ตาสีดำสนิทไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ มือที่กอดตัวของอีเรียไว้ก็ผละออก จากนั้นก็มีเสียงล้มคล้ายกันกับตอนแรกดังขึ้นอีกครั้งซึ่งนั่นก็คืออีเรียที่ตกใจมากจนสลบเหมือดไป
เด็กสาวในชุดเดรสสีขาวเดินหน้าไปห้าก้าวด้วยร่างกายบอบบาง มิสตี้ผู้นั่งบนพื้นตั้งแต่ตอนที่พี่ของตนถูกสังหารก็ได้เหลือบมองด้วยแววตาบริสุทธิ์อันสั่นไหวอย่างหวาดกลัว
ริมฝีปากเอ่ยพูดอย่างละล่ำละลักฟังแทบไม่ได้ศัพท์ นิ้วมือทั้งห้าพยายามดันตัวไปด้านหลังแต่ก็ติดกำแพงของบ้านแถวนั้นเสียก่อน นางกลืนน้ำลายเฮือก หัวใจสั่นไหวแทบจะพุ่งออกจากอก สีหน้าเขินอายช่วงแรกทวีคูณมากขึ้นจนแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าผวา
“มิสตี้...มีอยู่หนึ่งหนทางที่เจ้าจะรอดจากข้าได้ หากเจ้าตอบคำถามนี้ถูกข้าจะปล่อยเจ้าไป หากผิดหรือไม่ตอบข้า เจ้าก็ไม่อาจย่างก้าวออกไปจากที่นี่ได้” เดียโวลอสยื่นเงื่อนไขพลางนั่งยองลงข้างหน้าของมิสตี้แฝดคนน้อง
“อ อา...” นางเหมือนจะตอบแต่ตะกุกตะกักเกินจะพูดไหว
เมื่อเป็นเช่นนั้นเดียโวลอสกระตุ้นโดยการตัดขึ้นโดยไม่สนว่านางต้องการจะสื่ออะไร “ข้ากับเจ้าเคยพบกันกี่ครั้งแล้ว?” แน่นอนว่ามันเป็นคำถามที่ยากเกินที่จะตอบ แท้จริงแล้วคำถามพวกนี้ไม่จำเป็นเลยเสียด้วยซ้ำหากเขาจะปล่อยนางไปก็ทำได้ แต่ท้ายที่สุดครั้งนี้จะไม่มีพยาน
“ครั้งเดีย- ไม่! ...สามครั้ง เราเจอกันสามครั้งแล้ว!” สาวน้อยกลั้นน้ำตาตอบ บนใบหน้าต่างเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและน้ำมูกเปรอะเปื้อน
เจ้าของคำถามเงียบไปก่อนถอนหายใจแรงเพราะผิดหวังเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นคำตอบที่เขาคาดไว้แต่แรกอยู่แล้ว เดียโวลอสลูบคางแล้วเฉลยคำตอบ “น้อยไปมากเลยล่ะ คำตอบคือสิบสามครั้ง...”
“ไม่ ไม่...ไม่” นางเสียสติแต่ไม่ทันที่นางจะได้กรีดร้องไปมากกว่านี้ เข็มอีกเล่มในมือของเดียโวลอสก็แทงไปยังจุดเดียวกันกับแฝดคนพี่ที่เพิ่งสิ้นลมไปได้ไม่นาน
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเจ้าตัวก็แบมือขึ้นพร้อมมองดูนิ้วโป้งที่กดท้ายเข็มที่เป็นรอยตัดไว้ มันเกิดรอยแดงให้เห็นอย่างชัดเจนบนมือขาวซีด เขาสะบัดมือไปมาให้หายเกร็งตามด้วยไปเก็บตราแก้วข้างกระโปรงของบุตรสาวบารอนอิริโอโทรป
ตราแก้วทานตะวันแวววาวไม่น้อย เดียโวลอสมองดูตราแก้วในมือพลันเผยยิ้มพอใจ ตอนแรกข้าเลือกที่จะไม่ปล่อยให้มีพยาน แต่พอเห็นตราแก้วนี้ข้ากลับเลือกอีกอย่าง ให้บารอนนั่นระแวงแบบนี้ดีกว่าฆ่านางให้ตาย
“...เกรย์กลับ...” เขาเก็บตราแก้วเข้าแขนเสื้อแล้วเอ่ยปาก ทันใดนั้นเงาสีดำก็ปรากฏตรงหน้าพร้อมควันสีดำจางๆ ควบแน่นจนกลายเป็นหญิงสาวในชุดคลุมพร้อมรอยแผลข้างแก้ม
“ขออภัยสำหรับร่มคันโปรดของท่านเจ้าค่ะคุณหนูเดีย” นางนั่งชันเขาโน้มตัวไปข้างหน้ามองพื้นและรองเท้า
“ช่างมัน ค่อยให้เจ้าตระกูลหาใหม่ให้ก็ได้ ทไวไลท์ไม่ได้ขัดสนอะไรอยู่แล้ว ว่าไปนั่น...ข้าเองอยากงีบเสียด้วยสิ เจ้ามือว่างพอที่จะอุ้มข้ากลับหรือเปล่า?” เดียโวลอสยิ้มบาง ซึ่งแน่นอนว่าหลังจบคำพูดของเขา องครักษ์ตรงหน้าได้เงยศีรษะขึ้นสบตา
เกรย์พยักหน้าหนึ่งครั้งรับคำสั่งนั้นแล้วตามด้วยการนำมือช้อนไปใต้กระโปรงยาวสีขาวลายปักลูกไม้ของเด็กชายแปลงสาวพร้อมยกก้นเขาขึ้น มือพลางโอบไหล่ดึงลงเบาๆ ให้นอนลง
จู่ๆ นางก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้น คิ้วขมวดปมปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกันกับเงาสีดำที่โอบรอบตัวของทั้งสองร่าง ตามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ “โปรดปิดตาด้วยเจ้าค่ะ ภาพต่อไปนี้ มันไม่น่าดูเสียเท่าไรนัก” เหมือนว่าคำพูดของนางจะยาวกว่าปกตินิดหน่อย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เดียโวลอสไม่อาจข่มตาหลับลง แม้ตอนนี้รอบข้างจะมืดไปแล้วก็ตาม
ความมืดกะทันหันเหล่านี้ชวนให้นึกถึงวันนั้นเมื่อหกปีที่แล้ว เขากลับขยิบตาไปมาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเบื้องหน้าของเขามืดจริงๆ กระทั่งแสงสีแสดดุจเปลวไฟได้ฉายเข้ากระทบจนเกิดภาพติดตาเป็นรอยสีเขียวแปลกๆ ทั่วทุกทิศในระยะมองเห็น
ยามเมื่อภาพตรงหน้าถูกปรับให้คมชัด ล้อมรอบกายก็ถูกแทนที่ด้วยตึกรามบ้านช่องในลักษณะผุพังแต่โครงสร้างต่างๆ ยังคงเดิม เดียโวลอสกวาดสายตาทั่ว เขาไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้ ท้องฟ้าสีส้มไร้เมฆรวมถึงการไล่ระดับสีซ้อนด้วยอาคารสีดำสนิทไร้แสงเงาตกกระทบดูไร้มิตินูนลึก
มันแตกต่างจากภายนอกอย่างชัดเจน ความสามารถของเหล่าภาคีในกลุ่มเงาคืออะไรกัน?! ในตอนที่ข้าได้สืบทอดมงกุฎก็ไม่เคยได้ใช้ความสามารถเช่นนี้เลย เดียโวลอสครุ่นคิดซ้ำด้วยกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่จากความใคร่สงสัย
จู่ๆ หางตาก็สะดุดเข้ากับอาคารที่ควรจะใหญ่โอ่อ่าตอนนี้กลับทลายไม่เหลือเป็นชิ้นดี เศษซากตึกหล่นสุมกันเป็นกองพะเนินรูปร่างบิดเบี้ยวยากจะเดาทรง
ตัวของเดียโวลอสยังคงสั่นตามจังหวะเท้าของเกรย์ที่วิ่งไปตามซากตึกหักพัง กลิ่นภายในนี้สรุปออกมาในคำเดียวได้เลย นั่นคือแปลก ว่าแล้วเดียโวลอสก็เปิดปากพูดกับองครักษ์ผู้อุ้มเขาไว้บนอ้อมแขน
“ที่นี่คือที่ที่กลุ่มเงาใช้เดินทางหรือ?”
แน่นอนว่านางเงียบและไม่ตอบอะไร กระทั่งเดียโวลอสทำหน้าไม่สบอารมณ์หนัก เมื่อเกรย์มองกลับพลันคิ้วกระตุกเหมือนโดนช็อตแล้วตอบคำถามเมื่อครู่กลับในทันที
“มันมีของมันอยู่แล้วเจ้าค่ะ หากท่านต้องการจะทราบมากกว่านี้ โปรดถามท่านผู้นำตระกูล”
เดียโวลอสถอนหายใจพลางเบือนสายตาของนาง “...จะเก็บไปคิดแล้วกัน...”
ในที่สุดก็ถึงปลายทาง เกรย์เปิดใช้ทักษะกลับไปยังโลกเดิมอีกครั้ง ปรากฏภาพคฤหาสน์สุดอลังการที่แสนจะคุ้นเคย แต่รอบนี้บรรยากาศมืดลงแล้วเต็มไปด้วยดวงไฟสีเหลืองสลัวอยู่รอบตัวอาคาร รวมทั้งข้างทางเดินซึ่งถูกแต่งเติมด้วยดอกไม้งดงามอันมีแสงวาบส่องจากเกสรใต้กลีบดอกเต็มสองข้างทางยาวไปจนถึงประตูของคฤหาสน์ตรงหน้า
เดียโวลอสสะกิดแขนนางเบาๆ บอกเป็นนัยว่าให้วางลง เมื่อเท้าน้อยๆ สัมผัสพื้นก็เกิดเสียงแน่นอย่างบางเบา พร้อมเดินหน้าพลางนำมือดึงวิกผมสีเงินและตาข่ายออกพร้อมโยนให้กับองครักษ์ที่เดิมตามหลังมา
วินาทีที่ก้าวผ่านธรณีประตู สิบเสียงได้ดังสนั่นด้วยความพร้อมเพรียงจนบ้านแทบสั่นจากฝีมือของเหล่าคนใช้ “สายัณห์สวัสดิ์เจ้าค่ะนายน้อย! / สายัณห์สวัสดิ์ขอรับนายน้อย!”
แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวเสียงพวกนั้นก็เงียบกริบพร้อมลูกตานับยี่สิบคู่แทบถลนออกจากเบ้า
“...อา...” คุณชายสองของบ้านตอบรับห้วนๆ เหมือนไม่เกรงใจชุดกระโปรงที่สวมอยู่