หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง) - บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้ โดย คุณเด้ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี

รายละเอียด

หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ผู้แต่ง

คุณเด้ง

เรื่องย่อ

*หากเจอคำผิดหรือชื่อตัวละครเขียนไม่เหมือนเดิม ติได้เลยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง


สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ





สารบัญ

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง การย้อนกลับครั้งที่สามสิบเจ็ด,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง ภูตเงา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง นามของทรราช,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย □□□...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง หมู่เมฆบดบัง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง ผ้าสีขาวย้อมแดง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม คล้ายว่า...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม จดหมาย 100 ปี,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ เริงระบำ

เนื้อหา

บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้

พิษเย็น พิษร้อน เจ้าศาสตร์แห่งพิษผู้ปลีกวิเวกตนเพื่อค้นคว้าสรรค์สร้างตำราพิษเคยจำแนกไว้ แม้ข้อมูลเกี่ยวกับตำราพิษที่เขาค้นคว้าจะมีไม่มากนัก


แต่ส่วนหนึ่งในนั้นอยู่กับเดียโวลอสเรียบร้อยตั้งแต่ชาติก่อนหน้านี้หลายสิบชาติแล้ว แม้จะไม่อยู่ในรูปของวัตถุแต่ก็อยู่ในรูปของความทรงจำที่ไม่เสื่อมคลาย


ครั้นเดียโวลอสนึกย้อนกลับไป ตัวอักษรนานานับประการได้ปรากฏให้เห็นคล้ายภาพถ่ายภายในหัว เดียโวลอสนึกพลางจดพลางลงบนสมุดหนาหลายร้อยหน้า เขามักจรดปากกาเขียนความรู้ที่ต้องการนำมาใช้จากชีวิตก่อนๆ ลงในสมุดเล่มนี้


ซึ่งนับครั้งไม่ได้แล้วที่ตัวเขาทำเช่นนี้ ภายใต้กระเป๋าสะพายข้างสีดำแทบไม่แบกหนังสือเรียนเล่มใดเลย เว้นเสียแต่สมุดปกหนังเล่มนี้กับปากกาหมึกรุ่นทำพิเศษสีเขียวเข้ม


ยามลมโชยโพยพัดมา หน้ากระดาษก็ถูกพลิก เด็กชายที่จับปากกาเซ็งอยู่ไม่น้อย จึงปิดสมุดไปพร้อมถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ฟู่ววว...”


เงาเข้มบดบังแสงเคลื่อนมาจากด้านหลังช้าๆ ตามมาด้วยเสียงทุ้มของหญิงสาว “ท่านผู้นำตระกูลเรียกให้พบเจ้าค่ะนายน้อย”


“ทราบแล้ว...ไปบอกท่านผู้นำตระกูลด้วยล่ะว่าอีกสักพักข้าจะเข้าไป” เขาปัดเรื่องนี้ไปให้แก่องครักษ์หญิงเป็นคนจัดการเหมือนที่เคยทำ มือพลางเก็บของเข้ากระเป๋าพร้อมพยายามจัดเรียงให้เรียบร้อย


เกรย์ไร้ข้อกังขาตอบรับคำขอนั่นมา เจ้าตัวคำนับหนึ่งครั้งแล้วหายไปใต้แสงอาทิตย์


ครั้นเด็กชายเดินผ่าน เหล่าคนรับใช้ต่างคำนับ สีหน้าท่าทางที่เย็นชายามสบตาเสมือนถูกเข็มนับร้อยเสียดแทงเข้ากระดูก ตอนที่กำลังเดินข้ามผ่านธรณีประตู


หลังมือยกขึ้นแล้วเคาะกับแผ่นไม้แข็งตรงหน้า ทำให้เกิดเสียงดังแน่นตามมาถึงสามครั้งเท่ากับจังหวะเคาะ


“เข้ามา” เสียงนิ่งเรียบเอ่ยให้ได้ยินอย่างแผ่วเบาผ่านประตูหนาสีน้ำตาลเข้มแทบเป็นสีดำ ทันทีที่เสียงนั้นถูกพูดขึ้น ประตูบานตรงหน้าก็ถูกดันเข้าไป เมื่อตัวรอดหมดก็ปิดไว้ดังเดิม


“ทักทายท่านผู้นำตระกูล”


ไม่มีคำตอบใดกล่าวออกมา บทสนทนาได้ถูกแช่ไว้ กระทั่งเดียโวลอสนั้นนั่งลงกับโซฟาหนังสีเทาหรู สายตาเคลือบแคลงได้เคลื่อนตามองมาทางเดียโวลอส


บรรยากาศนิ่งสงัด นัยน์ตาทั้งคู่สะท้อนภาพของกันและกันในม่านตาของอีกฝ่าย ในยามที่อีกฝ่ายเท้าคางกับโต๊ะก็เริ่มเกริ่นบางอย่าง “เจ้าอยากรู้เรื่องนี้อยู่อีกเหรอ?”


เดียโวลอสเงียบไป แม้จิเนียออสจะเท้าคางเปิดเผยใบหน้าเด่นชัดราวกับว่าพร้อมตอบทุกอย่างอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวผู้ถูกถามกลับครุ่นคิดอยู่ไม่ตก


แน่นอนว่าจิเนียออสจะตอบคำถามข้าแน่ๆ แต่ข้าไม่รู้ขอบเขตของเรื่องที่ข้าสามารถถามได้เลย เดียโวลอสตรึกตรองอยู่นานจนเหงื่อซก


จิเนียออสถอนหายใจ แล้วบอกกับบุตรผมดำของตนที่จ้องจนตัวแข็ง “ไม่ต้องเกร็ง”


เมื่อเดียโวลอสได้ยินเช่นนั้นก็หลบตา แล้วลอบถอนหายใจยาว พอรวบรวมสติได้ จึงหันกลับพร้อมถามอย่างไม่ลังเล “ทำไมทายาทแห่งเงาถึงไม่ถูกสอนให้เข้าไปในโลกแห่งนั้นกัน?” แน่นอนว่าจิเนียออสต้องตกใจกับคำถาม


เขากลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอด้วยความหนักใจ มันเกินคาดไปมากกับสิ่งที่จิเนียออสคิด ข้าคิดไว้ว่าเดียจะถามที่แห่งนั้นคือที่ไหนหรือใครเป็นเจ้าของอะไรทำนองนั้น เห็นได้ชัดในตอนแรกที่หลบตาไปว่ากำลังประหม่า หรือข้าคิดผิดที่ไปหยั่งเชิงเดาอารมณ์ของเด็กครึ่งๆ กลางๆ กัน


จิเนียออสเริ่มนำมือขึ้นบังปากอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นก็เข้าทางเดียโวลอสเต็มเปา


“หากท่านผู้นำตระกูลหนักใจ ข้าขอตัวลา” เด็กชายผุดลุก ไม่ทันที่ขาจะได้เหยียดตรงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจึงจำใจต้องหยุดแล้วอยู่ต่อ


“...เดี๋ยว...” ดูท่าเจ้าของเสียงจะรู้ตัวแล้วเช่นกัน ว่าตนเผลอแสดงท่าทีอ่อนแอแบบนั้นออกไป


“ขอรับ” น้ำเสียงนุ่มใสแต่ไร้อารมณ์ตอบรับอ่อนๆ


“ที่ทายาทไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะได้รับการฝึก มันจะอันตรายหากเข้าไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า” เขาอธิบายเหตุผลอันเป็นคำตอบของข้อสงสัยแก่เจ้าของคำถามตัวน้อยตรงหน้า


เดียโวลอสมองลึกเข้าไปในตาสีน้ำทะเลอย่างขุ่นเคืองใจ เขาพยายามเลี่ยงคำตอบด้วยคำโกหกที่ฟังดูสมเหตุสมผล เมื่อตอนที่ข้าสามารถใช้มงกุฎเงาได้ครั้งนั้น ไม่ว่าจะทั้งจิเนียออสหรือกลุ่มเงา ต่างไม่สอนวิธีการเข้าไปในโลกแห่งนั้นให้ข้าเลยแม้แต่น้อย ในระหว่างที่ตกอยู่ในห้วงความคิดเจ้าตัวก็กัดฟันเบาๆหากข้ามีพลังนี้ในตอนนั้น ข้าจะเอาชนะอาร์เลธได้หรือไม่กัน...


บทสนทนาเงียบไปอีกครั้งก่อนแทรกด้วยเสียงกระแอมแผ่วๆ จากโต๊ะทำงานอันโดดเด่น นั่นทำให้เจ้าตัวน้อยหลุดจากภวังค์ พร้อมลุกขึ้นโน้มตัวคำนับแล้วเดินออกไป


จู่ๆ เขาก็หยุดกึก ศีรษะหันขวับกลับมาตามด้วยประโยคหนึ่งประโยค “ต้นกล้าหากรดน้ำมากไป ระวังจะตายจากไปก่อนนะขอรับ” จบแล้วก็ตัดสินใจเปิดประตูออกจากห้องไป


ทางจิเนียออสเองก็นำคำพูดนั้นกลับมาทวนถามตัวเองอีกครั้ง ...หรือข้าคิดผิดที่ไปหยั่งเชิงเด็กที่มีอารมณ์ครึ่งๆ กลางๆ กัน ข้าคงต้องเรียกเกรย์ให้เข้าพบอีกรอบนึงเสียแล้ว




ย่ำค่ำของวัน หลังตะวันได้ลาลับขอบฟ้าไปพักใหญ่ ประตูห้องส่วนตัวได้ปิดลง พร้อมคำสั่งขั้นเด็ดขาดของเดียโวลอสแก่องครักษ์ประจำตัว


“หลังจากนี้ห้ามเข้ามา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ข้าจะออกไปเอง” เขาเงยมองด้วยนัยน์ตาที่ว่างเปล่าส่งตรงไปยังดวงเนตรของอีกฝ่ายจนขนลุกตั้งชัน


แม้แววตาคู่นั้นจะไม่แผ่ไอสังหารแต่เหงื่อก็แทบไหลท่วมแผ่นหลัง “เจ้าค่ะ” นางโน้มตัวตามปกติอีกครั้ง แล้วหายไปหลังประตูปิดสนิท


กลางห้องถูกกวาดออกเหลือเพียงพื้นเรียบๆ และวัตถุดิบที่จำเป็นในการใช้งานศาสตร์ของเจ้าแห่งพิษ ใบวอลล์ห้าใบ น้ำผึ้งหนึ่งขวด เลือดอารัคชูวาหนึ่งขวด เข็มฉีดยาขนาดกลาง ชามอีกสามใบ ได้ถูกวางไว้ตรงกึ่งกลางของห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า


เดียโวลอสนำใบวอลล์ทั้งห้าใบใส่ชามแล้วตามด้วยน้ำผึ้ง พร้อมขยี้ให้ใบให้แตกออกจนน้ำสีเขียวเข้มจากใบผสมเข้ากับน้ำผึ้ง จากนั้นกลืนเข้าไปอย่างเร็วไว มันมีรสขมปนหวานรวมทั้งฝาดคอจนอยากสำรอก


หลังผ่านไปนานจนปลายเท้าเริ่มเกิดอาการเหน็บชา แขนขวาเอื้อมมือไปจับขวดสีขาวนวลด้านหน้า แล้วเปิดออกพลางรินลงชามอีกใบช้าๆ พลันนำเข็มฉีดยาที่แพงหูฉี่ดูดเลือดของอารัคชูวาอันมีสีน้ำเงินข้นซึ่งเตรียมไว้ก่อนหน้า


เขากลืนน้ำลายหนึ่งเฮือกใหญ่ หวังจะแทงเข็มนี้เข้าไปในหลอดเลือดดำบริเวณข้อพับแขน ในใจก็หวั่นเกรงว่าตนจะพลาดเช่นกัน ทันทีที่ฉีดเลือดของอารัคชูวาเข้าไป ก็ไม่รู้สึกถึงความเย็นเยือกได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนว่าผลของใบวอลล์และน้ำผึ้งจะออกฤทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว


หากทำตามตำรา ตัวของเดียโวลอสต้องควบคุมลมหายใจเข้าออกเพื่อเร่งการโคจรวงแหวนมานาภายในร่างกาย ถ้าการหายใจนี้ไม่ติดขัดหรือเกิดเหตุขัดข้องขึ้นการเปลี่ยนโลหิตของตนให้เป็นพิษก็ไม่มีความยากแม้แต่น้อย


วงแหวนที่หนึ่งโคจรได้เร็วกว่าเดิมมาก เมื่อเทียบกับวงแหวนที่สองซึ่งอยู่วงนอก มานาที่หล่อเลี้ยงหัวใจเริ่มต้านทานพิษเล็กน้อยแล้ว อีกเพียงนิด... เดียโวลอสคิดภาพตามผ่านการตรวจจับมานาภายในร่างกาย


จมูกข้าเปียก...เลือดกำเดางั้นเหรอ?เจ้าตัวเลิกคิ้วสงสัยขณะปิดตาทำสมาธิ แล้วจึงเปิดปากออกมา “การสร้างโลหิตพิษสำเร็จไปด้วยดี” นำมือเช็ดเลือดจากรูจมูกที่กำลังไหลลงกำลังจะหยดถึงชุดกระโปรงสีขาว


เขาผุดลุกขึ้นอย่างไวจนเกือบหน้ามืดล้มลงไป ความรู้สึกโหวงเหวงกับความมึนหัวที่ทวีคูณทำให้ต้องรนหาที่จับก่อนจะล้มร่วงลงไปกับพื้น และนั่นคือกลอนประตูห้องของเขาเอง กระทั่งมือก็ได้บิดกลอนแล้วดันออกจนล้มเสียงดังฟังชัด พลันทำให้สาวใช้ร่างสูงผู้เดินผ่านต้องหันกลับมองด้วยความสงสัย


และแน่นอนเมื่อเห็นดังนั้น สาวใช้ผู้นั้นต้องมีหน้าเครียดกลุ้มใจเป็นธรรมดา นางตะเบงเสียงเรียกเหล่าเงาให้เข้าช่วยเหลือในทันควัน




...


เปลือกตาที่หนักอึ้งได้เปิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ก็กระทบเข้ากับแสงไฟภายในห้องเสียก่อนจึงยกมือซ้ายขึ้นบัง ภาพของเพดานไม่คุ้นตาได้แสดงลวดลายอันวิจิตรงดงามให้เขาเห็น พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนเพดานกับลายสีน้ำเงินครามจรดดำปรากฏเป็นภาพศิลปะโมเสกจากแก้วผลึก


ข้าสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากมือข้างขวา ใครกันที่จับมือข้าไว้?เดียโวลอสสงสัยจึงตัดสินใจวางมือลงแล้วหันไปทางขวาด้วยสีหน้าราบเรียบ


เรือนผมสีน้ำตาลซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปแต่ยาวสลวยเป็นพิเศษกับรูปใบหน้าสตรีสูงศักดิ์อันเรียบเนียนสว่างสไวเสริมด้วยริมฝีปากอวบอิ่มอมแดงรูปทรงเป็นกระจับน่ามองน่าค้นหา ซึ่งอยู่ในสภาพงีบหลับด้วยท่าเท้าคางกับแขนเก้าอี้เบาหนังข้างเตียงที่เหมือนจะไม่เข้ากันสักเท่าไร


ดัชเชสทไวไลท์...นางคงพาข้ามาไว้ที่ห้องของนางสินะ เดียโวลอสคิดอย่างไม่แน่ใจ พลางนำมือออกช้าๆ ทว่านั่นทำให้อีฟเนสผู้เป็นมารดารู้สึกตัว ถึงกระนั้นเดียโวลอสก็พยายามดึงออกอย่างนุ่มนวล ก่อนจะชะงักด้วยคำพูดของนาง


“ลูกตื่นแล้วเหรอ? ลูกรู้ไหมว่าคนทั้งคฤหาสน์เป็นห่วงลูกมากเพียงใด?” น้ำเสียงเย็นชาได้พร่ำบ่นปนความห่วงใย แต่เจ้าตัวผู้ฟังไม่ยักจะรู้สึก


“ข้าขอโทษท่านดัชเชสคราวหน้าคราวหลัง ข้าจะระวังไม่ให้เกิดปัญหาแก่ท่าน” เด็กชายย่างเจ็ดขวบได้โน้มตัวลงสำนึกผิดด้วยคำพูดห่างเหิน


อีฟเนสนิ่งไป แล้วตามมาด้วยเสียงหัวเราะจางๆ กลบ ก่อนผ่อนมือที่กุมออกด้วยสีหน้าที่แสดงออกอย่างปกติดังเดิม จากนั้นก็อธิบายบางอย่างแก่เด็กชายฟัง “หากมีอะไรที่ต้องการ เนบิวลาสามารถช่วยเจ้าได้” นางลุกขึ้นหันหลังแล้วเดินออกไปข้างนอกโดยที่ไร้การหันกลับมามอง


นางยังคงอยากใช้ข้าให้เป็นเครื่องมือไม่ต่างจากทไวไลท์... เดียโวลอสทอดมองแผ่นหลังเปล่าที่เดินออกไป ก่อนข่มตาหลับอีกครั้งบนเตียงอุ่น


ภายนอกห้องนอนของอีฟเนสได้มีองครักษ์เงาอย่างเกรย์มายืนรอหน้าประตูอยู่แล้ว ด้วยสายตาของเกรย์ มองออกได้ทันทีเลยว่าในริมฝีปากสีแดงนั้นบางส่วนไม่ใช่รอยสีจากลิปสติก


“หากเขาตื่นอีกครั้ง อย่าลืมนำยาที่เตรียมไว้มาให้เขาทานด้วยล่ะ” อีฟเนสถ่ายทอดคำสั่งทันทีหลังออกจากห้องพักชั่วคราวของบุตรชายของตน


แน่นอนว่าอยู่หน่วยสูงสุดของกลุ่มเงา แม้เป็นภาคีที่หนึ่งของกลุ่มเงาอย่างเกรย์ก็ต้องจำใจต้องเชื่อฟังคำสั่งหัวหน้าครัวเรือนนามอีฟเนสนี้อย่างเด็ดขาด “รับคำสั่งเจ้าค่ะ”


กระทั่งนางได้นำเท้าสวมส้นสูงเดินผ่านไปจนเกิดเสียงดังแน่นตอกกับพื้นตลอดโถงทางเดินยาว เกรย์ที่เงยหน้าก็หันขวับกลับมองแผ่นหลังขาวเนียนนั้นพร้อมเข้าท่าทางเดิมแล้วนึกสงสาร น่าเป็นห่วงเสียจริง




การพักฟื้นหลายวันนี้กับยาสมุนไพรระดับสูงจากแม่มด พอบรรเทาอาการหนาวยะเยือกเข้ากระดูกของเดียโวลอสได้หลายขุม อาการเช่นนี้ไม่ค่อยต่างจากความเจ็บปวดหลายๆ ชีวิตที่เขาผ่านมาเสียเท่าไร จึงมีแรงใจในการต้านทานมันมากขึ้นจนตอนนี้แทบไม่แสดงอาการออกมาแม้แต่น้อย


สมุดจดเล่มสำคัญได้ปิดลง ก่อนที่เดียโวลอสจะลุกขึ้นจากม้านั่งในสวนใกล้คฤหาสน์ แล้วเอ่ยปากเรียกองครักษ์ประจำตัวให้ออกมารับฟังบางอย่าง “เกรย์เมื่อข้าอายุเก้าปีช่วยสอนทักษะที่มีให้ข้าที”


เกรย์นิ่งไปก่อนจะผงกหัวรับแล้วตอบ “มันเป็นหน้าที่ของเงาอยู่แล้วเจ้าค่ะ”


“เหรอ? ข้าเพิ่งรู้เมื่อตอนที่เจ้าบอกเลย...” เขามององครักษ์ด้านหลังจากหางตา การพูดของเขาฟังแลดูเหมือนประชดเสียอย่างนั้น


แน่นอนว่าเจ้าตัวผู้พูดเองพอรู้ต้นเหตุที่เขาไม่สามารถเรียนทักษะการใช้มีดเฉพาะตัวจากนางได้เมื่อชีวิตก่อนหน้าคร่าวๆ แล้ว ซึ่งมันก็เกิดจากการแทรกแซงของจิเนียออส แต่เหตุผลนั้นไม่แน่ชัดจึงไม่กล้าฟันธงลึกลงไปมากกว่านี้


“ช่างเถอะข้าเองก็มีเรื่องแค่นี้ อีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปรอรับเคาน์เตสเมลติมาร์แล้ว” สิ้นสุดคำพูดเผยอารมณ์เซ็งของเดียโวลอส เกรย์ก็หายไปอีกตามเคย จากนั้นเดียโวลอสก็เก็บสมุดพร้อมเครื่องเขียนเข้ากระเป๋า แล้วเดินไปรอผู้มาเยือนหน้าประตูรั้วใหญ่ของบ้านหลักทไวไลท์


ไม่นานนักรถม้าสีน้ำเงินเข้มตัดกับโครงไม้สีน้ำตาลได้เทียบท่าใกล้กับกำแพงล้อมรอบของคฤหาสน์โอ่อ่า สัญลักษณ์สีทองสง่ารูปขนนกโค้งงอจนเกือบจะบรรจบกันระหว่างหัวและปลายขนเป็นทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวดูสะดุดตาทั้งยังเป็นเอกลักษณ์ของเมลติมาร์


ทันใดนั้นเองคนบังคับรถม้าได้เดินลงแล้วเปิดประตูรอรับหญิงผู้หนึ่งซึ่งบนนั้น ผมสีน้ำเงินเข้มมัดเกล้าต่ำเครื่องประดับมุกข้างหลังปรากฏให้เด็กชายเห็น รอยยิ้มที่คลี่ออกจนตาสีเดียวกันเกือบเป็นรูปสระอิทำให้นางดูเป็นมิตรขึ้นมาในสายตาผู้อื่น ชายชุดแซกสีขาวซ้อนด้วยสีน้ำเงินแซมขอบทองถูกยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้รองเท้ายกส้นของนางเหยียบ เมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่าปอยผมข้างหูด้านขวาถูกถักเป็นเปียในสภาพไม่เรียบร้อยเท่าไรนัก


แม้ว่าครูสอนมารยาทชั้นสูงส่วนตัวของเดียโวลอสจะลงมาแล้ว แต่ประตูรถม้าก็ยังไม่ปิด คงมีทางเป็นไปได้อีกหนึ่งว่ามีใครสักคนอาศัยรถม้ามาด้วย กระทั่งเด็กสาวผู้ครองรูปลักษณ์สำคัญเดียวกันกับเคาน์เตสเมลติมาร์ได้เผยตัวให้เห็นอย่างเขินอาย


ว่าแล้ว เสียงของคนขับรถม้าก็ดังขึ้นบอกแก่เด็กหญิงข้างบน “เชิญลงมาเถอะขอรับคุณหนู”


“ข้าว่ามันสูง...” เด็กสาวประหม่าที่จะเดินลงตามขั้นบันไดลงมา ไม่แปลกที่จะไม่กล้า เพราะขนาดตัวของเด็กตรงหน้ากับพวกผู้ใหญ่นั้นต่างกันเกินไปเมื่อมองลงมา ขั้นบันไดเล็กๆ อาจเป็นตึกสูงสำหรับเด็กรุ่นนี้


ชักช้าเสียจริง เดียโวลอสเหลืออดจึงพุ่งตัวเข้าประกบพร้อมกระชากมือเด็กสาวลงมาพร้อมโอบเอาไว้ข้างกาย


แต่นั้นทำให้ขาขวาทั้งขาจรดเท้าเปื้อนปัสสาวะของนางไปเต็มๆ แม้แต่เคาน์เตสและคนบังคับม้ายังหน้าเจื่อน เมื่อเป็นเช่นนั้นคงมีแต่ต้องพาไปล้างเนื้อล้างตัวทั้งสองคนแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทั้งชุด




ภายในห้องกว้างสำหรับเรียนรู้ของทไวไลท์ ทั้งสามได้นั่งประชันหน้ากันหลังเกิดเหตุไม่คาดคิด ไม่อยากนึกเลยว่าความเงียบสงัดเป็นเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งฝ่ายเคาน์เตสเริ่มเปิดปากพูด


“ทางเราขออภัยจริงๆ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหวังว่าลอร์ดเดียจะไม่ถือโทษโกรธกันนะเจ้าคะ สำหรับค่าเสียหายต่างๆ เรายินดีจะชดใช้ให้” แน่นอนว่านางต้องก้มหัวให้เดียโวลอสด้วยนิสัยของนาง นางค่อนข้างซื่อตรงเมื่อเทียบกับสามีของนางที่เจ้าอารมณ์และโมโหร้าย รวมถึงคนอื่นๆ ในตระกูล


“ข้าไม่ถือสาอยู่แล้ว ว่าแต่ลูกของท่านเถอะ เหตุใดยังกลั้นน้ำตาไว้อยู่กัน” เขาพลางเสมองไปทางเด็กสาวระหว่างสนทนากับอาจารย์ของตน


เคาน์เตสพยายามกระซิบแก่บุตรสาวผู้เต็มไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า “โซเฟียขอโทษลอร์ดเดียเสียก่อนที่เขาจะโมโหเจ้าขึ้นมา”


“แต่ท่านแม่...” นางเสียงสั่นจนแทบจะปล่อยโฮอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นดังนั้นเดียโวลอสจึงขัดขึ้นมา


“พอพอ...มาเริ่มบทเรียนวันนี้เถอะท่านเคาน์เตส” เดียโวลอสเริ่มเอือมจึงตัดไว้แค่นี้ และเริ่มเร่งเข้าสู่บทเรียนของวันในช่วงบ่าย เหมือนว่าโซเฟีย จิล เมลติมาร์ จะสนใจที่จะเรียนเช่นกัน