หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง) - บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง โดย คุณเด้ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี

รายละเอียด

หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ผู้แต่ง

คุณเด้ง

เรื่องย่อ

*หากเจอคำผิดหรือชื่อตัวละครเขียนไม่เหมือนเดิม ติได้เลยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง


สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ





สารบัญ

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง การย้อนกลับครั้งที่สามสิบเจ็ด,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง ภูตเงา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง นามของทรราช,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย □□□...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง หมู่เมฆบดบัง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง ผ้าสีขาวย้อมแดง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม คล้ายว่า...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม จดหมาย 100 ปี,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ เริงระบำ

เนื้อหา

บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง

ครั้นอายุย่างสิบสามชายหนุ่มต้องออกจากบ้านเข้าสู่รั้ววิทยาลัยหลวง ในเช้ามืดที่ฟ้าไม่สร่างดี ในนามบุตรชาย ของ ดีครีเทีย วาน เนบิวลา บุตรสาวคนโตจากบ้านตระกูลมาร์ควิสเนบิวลา


[หลังจากนี้เจ้าจะต้องใช้นาม “เดียโวลอส วาน เนบิวลา” แทนชื่อเดิม ชื่อที่ถูกเขียนไปช่วงสอบไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ข้าจัดการให้หมดแล้ว] จดหมายที่เดียโวลอสได้รับถูกเขียนด้วยหมึกสีดำ อักษรที่เขียนมีเส้นหนาบางที่ชัดเจน การเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษรก็ทำให้จดหมายดูมีระเบียบเช่นกัน และจดหมายนี้ก็มาจากเจ้าตระกูลทไวไลท์ส่งตรงมายังมือของเดียโวลอส


เดียโวลอสนั้นนับว่าออกจากบ้านช้ามากนักเมื่อเทียบกับลูกขุนนางที่เริ่มเรียนตั้งแต่อายุเก้าขวบ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเรื่องที่ว่าจะเรียนข้ามชั้นไม่ได้ เขาสามารถสอบภาคทฤษฎีของทั้งสามแผนกได้คะแนนมากกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบห้าคะแนนเต็มหนึ่งร้อยห้าสิบจึงมีการมอบทุนการศึกษาให้ส่วนหนึ่งรวมทั้งสิทธิ์ข้ามชั้นเรียน


ชีวิตนี้ข้าออกจากตระกูลค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับตอนชีวิตที่แล้วๆ มา คงจะไม่มีผลเสียอะไรมากนอกจาก สายตาที่จับจ้องของเหล่าอาจารย์ในวิทยาลัย เดียโวลอสกอดอกลูบคางแล้วครุ่นคิด


กระทั่งเสียงหวานใสจากด้านนอกห้องนอนส่วนตัวก็ดังขึ้น “นายน้อยของเตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เหมือนว่าจะเป็นเสียงของฮันนาหนึ่งในห้าสาวใช้ปกติของทไวไลท์


เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าตัวผู้ถูกเรียกก็กำชับกระเป๋าเคียงแน่นพร้อมเตร่ออกจากห้องไปด้วยความใจเย็น ไม่นานนักเดียโวลอสก็ขึ้นรถม้าไปคนเดียวตามด้วยการกล่าวาลาจากเหล่าคนรับใช้ที่หนาหู รวมถึงเกรย์ที่ออกมาคำนับชั่วครู่หนึ่งพลันหายไปในแวบเดียว


จากทไวไลท์ไปยังเมืองหลวงก็ผ่านแค่มณฑลโรส นอนสักตื่นคงถึงจุดพัก ม้าพวกนี้คงไม่ไหวหากเล่นฝ่าไปทีเดียว เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่เผยทิวทัศน์ของบ้านเมือง ผู้คน รั้วและกำแพงก่อนผล็อยหลับไป




“ไวส์เคานต์ วาน เนบิวลาถึงมณฑลโรสแล้วขอรับ” ประโยคเรียกมาพร้อมการเคาะสองครั้งตรงหน้าหน้าต่างอย่างแผ่วเบา


เพียงเสียงเคาะเบาๆ ก็ทำให้ชายผมดำผู้อ่อนไหวลืมตาตื่นขึ้นในทันทีแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบตามเคย “เข้าใจแล้ว ตอนนี้เวลาใดแล้ว?”


และชายขับรถม้าข้างนอกก็โต้หลังมองตำแหน่งดวงอาทิตย์ภายนอก “คาดว่า...ใกล้จะเที่ยงแล้วขอรับ”


“ขอบคุณ” เดียโวลอสก็เก็บสัมภาระให้เข้าที่พลางหยิบกระเป๋าสพายข้างประจำตัวออกไปด้วย


เมื่อเดียโวลอสเดินลงจากรถม้าชายผู้เป็นคนบังคับก็โน้มตัวคำนับเล็กน้อยแก่หลานชายของมาร์ควิส วาน เนบิวลา “เป็นเกียรติของข้าน้อยแล้วขอรับ”


พวกเขาทั้งสองเดินออกจากจุดจอดพักรถม้าของมณฑลที่แพงเอาเรื่อง ถนนเบื้องหน้าเป็นก้อนหินชิ้นใหญ่เรียงยาวแล้วอุดร่องด้วยดินสีเข้มพร้อมด้วยหญ้าที่ขึ้นเป็นหย่อมๆ ด้านหน้ามีผู้คนเดินสวนไปมาไม่น้อยระหว่างข้ามสะพานหินซึ่งทอดผ่านทางน้ำของมณฑลในลักษณะโค้งเป็นรูปร่างชัดเจน


เสียงอื้ออึงของคนในระแวกเริ่มทำให้เดียโวลอสอยากหาที่นั่งพักผ่อนแต่โดยไว สักพักหลังเดินมานานก็เข้าไปในร้านเบเกอรี่เล็กๆ พร้อมกับคนขับรถม้า


เดียโวลอสลากเก้าอี้ออกหย่อนก้นลงนั่งด้วยท่าไขว่ห้างแล้วบรรยากาศก็เงียบไปพกใหญ่โดยมีชายที่เดินมาด้วยยืนเฝ้าข้างๆ


“...นั่งซะสิ...” เดียโวลอสกล่าว


ซึ่งตามมาด้วยเสียงตอบรับอย่างดังในสภาพที่นั่งกับพื้นหินสีเทาเข้มเดี๋ยวนั้นจนเกิดเสียงเข่ากระแทกดังแน่น “ขอรับ!!!” และคงไม่พ้นสายตาที่จับจ้องมาจากทุกทิศทางอย่างแน่นอน แม้กระทั่งบาริสต้ายังรินกาแฟจนหกล้นแก้ว


ขณะนั้นเองทางด้านของเดียโวลอสก็ถอนหายใจแรง “ลุกขึ้นมานั่งตรงข้ามข้า” พลันนำกระเป๋าวาง


“อะไรนะขอรับ?!” ชายคนนั้นทวนถามอีกครั้งด้วยหน้าฉงนงุนงงไปครู่หนึ่ง


“ข้าบอกให้มานั่งตรงข้ามข้า” เขาแทบจะไม่หันไปมองได้แต่นั่งรอพร้อมเปล่งเสียงสุดเย็นยะเยือกจนเสียงยันกระดูกสันหลังออกมา


แล้วคนขับรถม้าก็มานั่งเก้าอี้ตรงข้ามแต่โดยดี บรรยากาศรอบโต๊ะเริ่มเงียบสงัดอีกครั้ง จากเดิมโต๊ะข้างๆ นั่งกันจนเต็มสี่มุมแต่ตอนนี้กลับขยับหนีด้วยความหวั่นเกรง


กระทั่งพนักงานในชุดผ้ากันเปื้อนสีเทาเข้มทับชุดสีขาวได้เดินเข้ามาทัก “ไม่ท่านว่านายน้อยต้องกาอะไรหรือเจ้าคะ?” น้ำเสียงนุ่มนวลกับริมฝีปากที่คลี่ยิ้มส่งความเป็นมิตรให้ทั้งสอง


ครั้นเดียโวลอสเผยยิ้มออกมาจางๆ ชายคนบังคับม้าก็ได้เริ่มเปิดปากถามแก่พนักงานสาวสุดแจ่มใสตรงหน้า “เจ้าพอจะมีแนะนำไหมล่ะ?”


“ก็จะมี—”


ไม่ทันที่หญิงคนนั้นจะแนะนำจบ เดียโวลอสที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ก็ได้แทรกขึ้นด้วยสิ่งที่เขาอยากทาน “ลาเต้หนึ่งแก้วกับขนมหวานที่รสชาติอ่อนๆ อีกหนึ่ง”


“ส่วนอีกท่าน?” พนักงานผู้นั้นเมื่อโดนแทรกไปก็หน้าเจื่อนเล็กน้อยแต่ก็ฝืนบริการต่อ


“แค่กาแฟดำก็พอแล้วน่ะ ...น้ำตาลช้อนเดียวนะแม่หนู” เขาดูเหมือนจะเกรงใจเลยเลือกสั่งเครื่องดื่มที่เข้าปากมากที่สุด


หญิงสาวจดรายการที่พวกเขาต้องการแล้วโน้มตัวหนึ่งครั้งก่อนเดินไปทางเคาน์เตอร์ของร้าน พร้อมบอกพนักงานคนอื่นให้ทราบถึงรายการอาหารที่ต้องทำ




เวลาผ่านไปพักใหญ่ทั้งคู่ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง แต่การเดินทางอีกครึ่งทางเดียโวลอสกลับเปิดหน้าต่างรถม้ารับลมที่พัดผ่านหน้า ทว่ากลิ่นของกาแฟแก้วที่ผ่านมาจะค้างอยู่ที่จะจมูกไม่หายเลยทำให้ชายหนุ่มต้องยกกระเป๋าน้ำขึ้นมากระดก


เมื่อผ่านประตูและตรวจสอบยืนยันตัวตนหน่วยตรวจคนเข้าเมืองหลวงก็ทำสีหน้าแปลกๆ ใส่ซึ่งแสดงออกถึงความเคลือบแคลงใจอย่างเด่นชัด จนแล้วจนรอดก็เข้ามาเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย


ด่านแรกแลดูเหมือนย่านชุกชุมของชุมชนแออัดอาคารใกล้ทางเข้าดูสวยงามแลสง่ามีราศี ครั้นเจ้าตัวมองลึกไปตามตอกซอกซอยก็พบเด็กและคนแก่ในสภาพชุดที่ขาดวิ่นไม่เป็นชิ้นเดียว


ถึงอย่างนั้นเดียโวลอสก็ทำได้เพียงเข้าไปยังใจกลางเมืองหลวงเพื่อเข้าเรียน เข้าไม่มีควรเอาใจไปสงสารใครในเขตสลัมให้เสียเวลา รวมทั้งเหนื่อยใจไปเปล่าๆ


ตึกรามบ้านช่องในเมืองหลวงดูมีรูปแบบคล้ายคลึงกันไปเสียหมดเมื่อเทียบกับเมืองที่อยู่มาตลอดแล้ว บรรยากาศมันช่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ว่ากันว่าคนยากจนในเมืองหลวงนั้นมีมากกว่าเขตปกครองของทไวไลท์เสียอีก


อย่างน้อยในเมืองหลวงก็มีความเข้าถึงง่ายในเรื่องของวัตถุดิบและการสังคม ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างดีในทีเดียว เดียโวลอสยิ้มมุมปากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมากก่อนที่รถม้าจะจอดลงตรงหน้ารั้วของเขตวิทยาลัยหลวงสเตลลาในช่วงบ่ายของวัน


ตอนนี้เลยวันเปิดภาคเรียนได้เกือบอาทิตย์ ไม่แปลกที่จะมีนักเรียนพลุกพล่านตามน้ำพลุ ใต้ต้นไม้และสนามหญ้า เขากวาดตามมองไปทั่วพื้นที่และเป็นธรรมดาที่จะมีสายตามองกลับมา


“เดี๋ยวสัมภาระข้าจะเป็นคนยกไปเอง” เมื่อชายบังคับมาผู้เดินทางมาด้วยได้ยินดังนั้นก็หยุดกึก ทั้งๆ ที่มือกำลังจะแบกของเดินตามเข้าไป


ตามมาด้วยเสียงตะกุกตะกักฟังดูกระวนกระวาย “ต แต่ว่า...” ถึงอย่างนั้นวางกระเป๋าลงหลังสงบ “ไว้เจอกันอีกครั้งนะขอรับท่านไวส์เคานต์” จากนั้นเขาก็บังคับม้าออกจากเขตวิทยาลัย


มือกระชับกระเป๋าใหญ่และกระเป๋าสะพายข้างแน่นพร้อมหน้าเดินไปตามทางยาวสามสี ดำ พีช ขาว ของวิทยาลัย สายตาเช่นเดิมแสดงออกมาให้เห็นเรื่อยๆ กระนั้นแล้วก็มีเสียงกระซิบกระซาบตามมาตลอดทางเดิน


เขาไม่ค่อยชอบเสียงพวกนี้เท่าไรนัก มันน่ารำคาญและน่าปวดหัวกับคนเหล่านี้ เมื่อเท้าก้าวเข้าหอพักสูงตระหง่านสีพีชอ่อนตัดด้วยการมุงหลังคาและกันสาดสีแดงอิฐ ประตูไม้สีเดียวกันไร้ซึ่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดเสมือนว่าได้รับการดูแลตลอดเวลาถูกดันเข้าไปอย่างนุ่มนวล


ทางยาวด้านขวามือประดับประดาด้วยหน้าต่างที่แสงเข้าถึงพร้อมด้วยเสาแกะสลักรูปนกกาสารพัดอย่างสมส่วนสบายตากับช่องไฟที่เหมาะสม บันไดทางขึ้นใกล้ประตูบานแรกค่อนข้างธรรมดาแต่ดูมั่นคง ถัดไปเป็นประตูสีแดงเรียบๆ สลักเลขห้องเรียงกันห้าบานอยู่ไกลออกไป


ห้องรับรองที่อยู่ตอนนี้มีบุคลากรของวิทยาลัยนั่งสัปหงกสภาพดูไม่ค่อยไหวตรงเคาน์เตอร์ไม้ยาวซึ่งเป็นที่ตั้งของแจกันดอกไม้และเอกสารหนึ่งปึก


เดียโวลอสหอบกระเป๋าเดินตรงเข้าไปหานางผู้นั้น นางค่อนข้างมีอายุเลยทีเดียว เหมือนว่านางจะถอดสูทออกแล้วเหลือแต่กระโปรงทรงกระบอกสีเลือดหมูออกไปทางสีน้ำตาลตัดกับเสื้อเชิ้ตขาวเปิดกระดุมเม็ดบนสุดจนเผยให้เห็นไหปลาร้า


ชุดสีเลือดหมู...อาจารย์ฝ่ายสนับสนุน หน้าตาไม่น่าเกินเลขสี่แต่ผมขาวขนาดนี้เลยเหรอ?เดียโวลอสแทบจะมองทุกส่วนตั้งแต่เท้าจรดหัวพรางคิดขณะวางกระเป๋าหน้าเคาน์เตอร์ แล้วกระแอมออกมาเบาๆ ให้เจ้าตัวที่สัปหงกอยู่รู้สึกตัว


“อ๊ะ!?” นางอุทานออกมาด้วยท่าทางสะลึมสะลือแล้วสูดหายใจเข้าแล้วปล่อยออกลากยาวจนสุดลม ก่อนจะหยิบแว่นมาสวมทับดวงตาสีคล้ายข้าวบาร์เลย์ พร้อมจ้องมองเดียโวลอสก่อนจะหยิบของอีกอย่างขึ้นมา


เดียวกันนั้นเองชายหนุ่มผมดำขลับปล่อยยาวได้เปิดกระเป๋าเคียง มือพลันความหาปากกาและหมึกเฉพาะ เมื่อพบก็วางไว้บนเคาน์เตอร์เดี๋ยวนั้น


“โปรดแจ้งหมายเลขห้องพร้อมลงลายมือชื่อบนเอกสารแผ่นนี้ได้เลย” เมื่อกระดาษแผ่นที่ยื่นมาได้ถึงมือของเดียโวลอสเจ้าตัวก็ได้ตอบกลับ


“ห้องหมายเลขเจ็ด”


“ห้องหมายเลยเจ็ดไม่ใช่ว่ามีคนอยู่แล้วหรอกเหรอ...? สักครู่แล้วกัน” นางดูแปลกใจทั้งๆ ที่เป็นผู้ดูแลของหอพักหอนี้ ตามด้วยการหยิบบัญชีรายชื่อของหอพักขึ้นมาตรวจสอบให้แน่ใจ


และก็ไม่วายที่เดียโวลอสจะตอบกลับไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเดิม “ไม่เป็นไรขอรับ” ระหว่างนั้นเขาก็เติมน้ำหมึกเขาปากกาไปพลางไม่รีบเร่ง


นางคิ้วขมวดอยู่พักหนึ่งจึงปิดหนังสือไปแล้วบ่อพึมพำกับตัวเอง “ย้ายออกไปตอนไหนกัน?”


ชายหนุ่มเริ่มลงปากกาในช่องลายมือชื่อด้วยอักษรอันวิจิตร [เดียโวลอส วาน เนบิวลา] เสร็จแล้วก็ยื่นกลับพร้อมนำผ้าเช็ดหัวปากกาที่เลอะออกจนสะอาดเงางามเป็นประกายของทองคำ


ระหว่างนั้นก็มีนักเรียนเดินเข้ามาแต่ก็ไม่พูดอะไร สีหน้าแสดงความหวาดกลัวเล็กน้อยออกมาพร้อมตีตัวเดินห่างจากนั้นก็เข้าห้องพักอย่างเงียบเชียบ สายตาครู่นี้ที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้เดียโวลอสหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย มันทำให้รู้สึกสงบเสียมากกว่า ซึ่งค่อนข้างน่าพอใจเมื่อเทียบกับเสียงนกเสียงกาที่พากันซุบซิบ


อาจารย์หญิงอ่านรายละเอียดพักหนึ่งเพื่อความแน่ใจ จากนั้นมือของนางก็หยิบกุญแจห้องหมายเลขเจ็ดมอบให้ ตามด้วยการแนะนำตัวและรอยยิ้มแลดูเป็นกันเองด้วยใบหน้าของหญิงรุ่นแม่วัยสี่สิบ “ข้า เฮเลน ลองชิพ หากเดือนร้อนอะไรก็มาแจ้งได้ ถ้าไม่เจอก็ไปที่ธุรการไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก”


“เป็นญาติกับท่าน นอริเอล ลองชิพ งั้นหรือขอรับ?” เดียโวลอสลองถามไป


“อ่า...ก็ใช่” เห็นได้ชัดว่านางนั้นหลบสายตาที่มองมาของเดียโวลอสอย่างชัดเจน


“ข้าชอบงานเสื้อผ้าของที่นั่นมากแต่น่าเสียดายที่นางไม่อยู่แล้ว ข้าของแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง” เดียโวลอสโน้มตัวลงในทันทีที่กล่าวจบเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์กับนาง


“นางเสียตอนเจ้าเกิดได้ไม่นานล่ะมั้ง...ช่างเถอะ หากเด็กรุ่นเจ้าชอบจริงน้องของข้าคงดีใจไม่น้อย” นางยักไหล่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแล้วเงยหน้าสบตา


“เป็นชุดสืบทอดจากคนสำคัญน่ะขอรับ” ผู้พูดน้ำเสียงปนเศร้าก่อนหยิบกระเป๋าเดินออกจากจุดนั้นไป


บันได้ทางขึ้นขั้นที่หนึ่งได้ผ่านไปแล้วพบจุดเลี้ยว ห้องหมายเลขเจ็ดของตึกนี้นั้นไม่ห่างไกลจากทางลงเสียเท่าไรนัก จึงไปมาไม่เหนื่อยมากระหว่างชั้นหนึ่งและสอง


กุญแจดอกเล็กได้ทำการคลายล็อกพร้อมกันกับแรงดันเข้าไปเผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมอันมีเตียงอยู่มุมซ้ายซึ่งข้างเตียงก็วางโต๊ะทำงานขนาดเล็กไว้ตรงกับหน้าต่างพอดี ฝั่งข้างเป็นตู้เสื้อผ้าเรียบง่ายกับทางเข้าห้องอาบน้ำ ชายหนุ่มเดินเข้ามาแล้ววางกระเป๋าอันหนักอึ้ง ถอนหายใจพร้อมทิ้งตัวลงนอนไปทั้งอย่างนั้น