หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง) - บทที่ สาม คล้ายว่า... โดย คุณเด้ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี

รายละเอียด

หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ผู้แต่ง

คุณเด้ง

เรื่องย่อ

*หากเจอคำผิดหรือชื่อตัวละครเขียนไม่เหมือนเดิม ติได้เลยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง


สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ





สารบัญ

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง การย้อนกลับครั้งที่สามสิบเจ็ด,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง ภูตเงา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง นามของทรราช,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย □□□...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง หมู่เมฆบดบัง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง ผ้าสีขาวย้อมแดง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม คล้ายว่า...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม จดหมาย 100 ปี,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ เริงระบำ

เนื้อหา

บทที่ สาม คล้ายว่า...

เจ้าของร่างผอมเพรียวฝืนยันตัวที่หนักอึ้ง แน่นอนว่าเขาหลับไปนาน จากฟ้าสว่างจ้าตอนนี้แทบเริ่มวันใหม่ นอกหน้าต่างฉายภาพตะวันกำลังโผล่จากเส้นขอบฟ้าฝั่งตะวันออกจนย้อมตึกและอาคารตะวันออกเป็นสีแสดแต่ไม่จัดมากนัก


เขาถอดหายใจลากยาวหวังผ่อนคลายก่อนจะบิดขี้เกียจเป็นอันเสร็จพิธีตื่นนอนยามเช้าของเจ้าตัว จากนั้นก็ควานหานาฬิกาพกซึ่งประดิษฐ์จากช่างมากฝีมือจากกระเป๋าเคียงประจำตัวขึ้นมาดูให้แน่ชัด


เมื่อเห็นว่าเวลานี้เพิ่งจะเข้าหัวรุ่งตีห้าของวัน เดียโวลอสก็จัดการภาระที่ยังทำไม่เสร็จของเมื่อวานจนเรียบร้อยในไม่นาน


ระหว่างนั้นเดียโวลอสพลันเข้าไปยังห้องน้ำเพื่อตะเตรียมอ่างน้ำไว้ชำระกาย กว่าน้ำจะเต็มอ่างเล่นนานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ทว่าเมื่อหย่อนกายลงไปกลับรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วตัว จากที่ความคิดชุมนุมกันในหัวเวลานี้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง แน่นอนว่าการแช่น้ำโดยไม่ต้องกังวลสายตาของข้ารับใช้มันช่างดีกว่าอย่างแน่แท้


เขาปล่อยใจให้อิสระคล้ายว่าช่วงนี้เป็นช่วงผ่อนความเครียดที่สั่งสมนับปี เสียดายที่เวลาภายในห้องอาบน้าช่างสั้นเสียกระไร กระทั่งว่ายามนี้ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีฟ้าสดใสเสียแล้ว เดียโวลอสคิดไว้ว่าอย่างมากคงไม่นานเกินชั่วโมง


ซึ่งผิดถนัด ชั่วโมงที่ปล่อยให้ไหลไปหายวับนับแล้วเกินสองชั่วโมงเห็นจะได้ ซึ่งนั่นทำเอาชายหนุ่มชะงักนิ่งพลางกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ด้วยหน้าเรียบตามเคยแต่ความมั่นใจที่มีเมื่อครู่ก็แตกไปมิอาจต่อได้โดยง่าย


“อึกกก!” เดียโวลอสคิ้วกระตุกร่างกายสั่นเทาจากความเจ็บปวดในกระดูก ความเย็นยะเยือกกัดเซาะตามกระดูกของเขาอีกครั้งแล้ว นี่อาจเป็นผลจากการแช่น้ำอุ่นเป็นเวลานานจึงปรับตัวไม่ทันกับความหนาวเย็นจนปวดหนักกระทันหันแบบนี้


เมื่อกัดฟันทนสักพักจนชินเจ้าตัวเริ่มใช้นิ้วติดกระดุมอีกครั้งทีละเม็ดอย่างปราณีตแต่ก็ไม่วายที่จะบ่นในใจอย่างแปลกใจ เครื่องแบบนักเรียนนี่ช่างใส่ยุ่งยากเสียจริงหรือข้าเคยตัวกับการที่มีสาวใช้มาสวมให้ตลอดกัน?


ถึงอย่างนั้นแต่หน้าก็แดงระเรื่อ ยังดีที่ลมหายใจก็ค่อยๆ ถี่ลงจนคงที่ แน่นอนว่าเขานั้นก็ต้องฉุกคิดขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย การสร้างโลหิตพิษมันช่างเจ็บปวด เป็นอันแน่นอนว่าโลหิตพิษที่สร้างขึ้นนี้หนทางการชำระล้างไม่ได้ทำได้อย่างง่ายดายแน่นอน หรือครั้งนี้ข้าจะเรื่องทางผิด?


ความคิดของเขาเผยความสงสัยเรื่อยๆ กระทั่งหนึ่งความทรงจำเลวร้ายได้ผุดขึ้นมาหักล้างความคิดเมื่อครู่ไป อยากน้อยมันก็ดีกว่าการเป็นทาสของจักรวรรดิ


สุดท้ายปกคอเสื้อก็ถูกพับลงทับเนกไทเป็นอันเสร็จขั้นตอนการแต่งตัว ผมที่เปียกปอนก็แห้งเรียบร้อยจนถูกมัดรวบเหลือแต่เพียงข้างหน้าข้างแก้มซ้ายขวา






ตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังตัวอาคารเรียน ปรากฏร่างสูงเรียวบางของชายหนุ่มผมสีดำขลับสะบัดไปมาตามจังหวะก้าวขาซ้ายขวา นักเรียนบริเวณนั้นเริ่มจับกลุ่มกันแล้วตีออกห่างเมื่อพบเขา บ้างก็ซุบซิบ บ้างก็จ้องมอง บ้างก็นินทา ท้ายที่สุดก็มาจากความแปลกใจของหลายคนที่มีแก่เดียโวลอสผู้หล่อกว่าชายสง่ากว่าหญิง


สายตาของเขาที่อยู่ใต้ขนตางอนได้มองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่แย่แสพร้อมกระเป๋าสะพายข้างภายในมือที่กระชับแน่น


เมื่อเดินไปสักพักจนใกล้ถึงประตูทางเข้าของอาคารแสงสว่างจากดวงตะวันก็สาดส่องจนเห็นผิวที่ซีดขาวเกือบกลืนไปกับสีเครื่องแบบที่สวมอยู่จนน่าตกใจ เหลือเพียงริมฝีปากที่แดงฉ่ำจากรอยแตกเมื่อไม่นาน


เมื่อเท้าก้าวเข้าห้องเรียนก็พบโต๊ะยาวจัดวางแนวพัดเป็นชั้นขึ้นไปถึงสามขั้น เดียโวลอสกราดมองรอบด้วยสายตาเบื่อหน่าย กลับกันปฏิกริยาที่ได้รับเป็นเพียงการหลบหน้าเหมือนหวาดกลัว ตอนนี้ที่นั่งด้านหน้าได้โล่งไร้คนนั่งราวกับว่าเตรียมมาไว้ให้ใครบางคนโดยเฉพาะ


เมื่อเป็นเช่นนั้นเดียโวลอสก็หายใจกระแทกก่อนจะเดินไปนั่งยังแถวหน้าสุดรวมทั้งกลางสุด แต่แล้วในเวลาไม่นานเจ้าของที่ตัวจริงเหมือนจะมา นางไม่ได้พูดอะไรกระทั่งเย่อหยิ่งได้ปริปากสั่ง


“ขยับไป” นางมองต่ำในท่ากอดอก ดูท่าแล้วนางจะมีฐานะมากที่สุดในห้องนี้จนนักเรียนหลายคนต่างหวาดกลัว


ว่าแล้วชายหนุ่มก็เขยิบก้นให้นั่งแทนเขาแต่ก็เพียงหน่อยเดียว นางผู้นั้นคิดขมวดลงคล้ายอารมณ์เสียพลางจิปากดังขึ้นมา


ทันใดนั้นกระเป๋าใส่เครื่องเขียนถูกวางลงบนโต๊ะไม้อย่างแรงเป็นเสียงดังลั่นสนั่นทั่วห้อง ตามมาด้วยการหย่อนก้นลงนั่งข้างเดียโวลอสพร้อมกันกับคำถามหนึ่งประโยค “เจ้าเป็นใคร?”


“นักเรียนใหม่เพิ่งสอบเข้า” เขาตอบไปตามตรงห้วนๆ ไร้ซึ่งคำโกหก


“อย่ามาตอแหล วิทยาลัยไม่รับพวกข้ามชั้น...ซ้ำวันสอบก็เลยมาสามเดือนแล้วเจ้าคิดว่าข้าโง่รึไง?!” นางพยายามล้วงลึกจากเดียโวลอส


หากนางต้องการเช่นนั้นเขาก็ต้องจัดตามปรารถนา “แน่นอนว่าวิทยาลัยไม่รับพวกข้ามชั้น แต่ข้าค่อนข้างพิเศษจึงได้เข้ามาเป็นกรณีพิเศษ” เดียโวลอสตอบมือพลางหาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ภายใต้กระเป๋าสีดำด้วยความใจเย็น


สิ้นถ้อยคำของเดียโวลอส หญิงสาวก็กล่าวต่อนิ้วมือพลันลูกกันไปมา “เจ้าดูน่าสนใจ หากข้าพบเจ้าตั้งแต่วันแรกเจ้าอาจได้เป็นสหายข้าก็ได้”


แน่นอนว่าเดียโวลอสเหลือบมองด้วยหางตาก่อนจะยิ้มมุมปากจางๆ “นั่นสิ แล้วตอนนี้เราไม่มาเป็นสหายกันเลยล่ะ? หรือข้าควรแนะนำตัวก่อนดี?”


นิ้วที่ลูบได้นำเล็บจิกลงบนผิวอย่างแรงแล้วตัวก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยชื่อของตน “โนบิลิส ฟอน เบลลัม แล้วเจ้าล่ะ?” ท่าว่านางจะมองมาด้วยใบหน้าใคร่รู้อย่างเจ้าเล่ห์


“เดียโวลอส วาน เนบิวลา นี่ล่ะคือชื่อของข้า...”


โนบิลิสชะงักอีกหนด้วยคิ้วที่ขมวดปมจากที่คลายไปแล้ว แน่นอนว่านางต้องระแวงไม่มากก็น้อย คนจากตระกูลรักษาชายแดนระดับนั้นกำลังนั่งข้างตนโดยที่ไม่เคยโผล่ในงานสังคมมาก่อน นับว่าน่าสงสัยจนอยากล้วงเข้าไปอีก “บุตรของใครในเนบิวลาล่ะ?”


“ข้าเพิ่งออกจากดราโกเดลไม่นาน เจ้าคงรู้นะว่าข้าเป็นใคร” เดียโวลอสลองหยั่งเชิงดู


เหมือนว่าจะได้ผล “องค์หญิงดีครีเทีย?!” นางหลุดปากดังลั่น


“หืมมม...” เดียโวลอสลูบคางก่อนจะหันมาพบหน้าหญิงด้านข้าง


ปรากฏผิวหน้าเรียบเนียนประดับด้วยกระบริเวณจมูกเล็กน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มแลเป็นสีชมพูอ่อนๆ พร้อมเผยภาพนัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมองตรงเข้ามาสบตา ซึ่งเข้ากันได้ดีกับผมสั้นเทียมคางสีบลอนด์หม่นอันเป็นลอนจางๆ บนปลายผม พ่วงด้วยเครื่องประดับซึ่งเป็นกิ๊บคอยทัดผมฝั่งซ้ายให้อยู่


“ที่ประดับผมอยู่เป็นดอกลิลลี่สีเหลืองเหรอ”


นางเลิกคิ้วแปลกใจที่เขาทักเช่นนั้น พลันยกมือขึ้นจับกิ๊บติดผมรูปดอกลิลลี่นั้นอย่างไว “ใช่ ได้มาจากใครสักคนน่ะ” นางเผยยิ้มอ่อนจนทำให้เดียโวลอยพลอยยิ้มตาม


“เก็บไว้ให้ดีซะล่ะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางลอบถอบถอนหายใจ


นางยักไหล่บ่งบอกว่าหายห่วง “แน่นอนว่าข้าต้องเก็บไว้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องได้คำเตือนจากเจ้าหรอก”


กระทั่งเสียงกระซิบกระซาบเบื้องหลังจะเงียบไป และนั่นทำให้แทบจะทุกคนหันหน้าไปทางประตูทางเข้าห้องเรียนในทันทีที่เสียงเท้าหนักแน่นเข้าแทรกแทน เท้าที่ก้าวผ่านทางเข้าปรากฏขาที่สูงยาวภายใต้กางเกงยาวสีน้ำตาคลุมเกือบถึงตาตุ่ม เมื่อสายตาเลื่อนขึ้นก็พบฝักดาบสีขาวนวลซึ่งสวมดาบเล็บหนึ่งไว้อยู่ รู้เพียงแค่ว่าดาบเล่มนั้นคือเล่มเดียวกันกับเล่มที่อาร์ชอนเทียเคยถือครอง


เดียโวลอสที่เห็นดังนั้นก็กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ หลังพบว่าใบหน้าที่ไม่เรียบแต่ไม่ถึงกับหยาบกร้านนั้นมองจ้องมาเหมือนจะเอาชีวิต สายตาของนางเปรียบดั่งสัตว์ร้ายที่หิวกระหาย คราวนี้เดียโวลอสทำได้เพียงเหงื่อแตกพลั่กอย่างหนูจนตรอก ผิวที่แขนเผยเม็ดเล็กๆ ขึ้นเต็มพร้อมกันกับขนที่ตั้งชัน


หญิงร่างสูงผู้นั้นมัดรวบผมโทนส้มแดงไว้พลางเอ่ยปาก “ข้าเป็นครูใหม่ที่จะเข้าสอนวิชาดาบตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มาแทนอาจารย์วาลิเอลที่ไปสอนชั้นปีที่สอง”


แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้นจากนักเรียนที่ตะลึงงัน เพื่อไม่ให้บรรยายกาศเช่นนี้คงอยู่นางจึงกระแอมเรียกนักเรียนเหล่านั้นให้หลุดจากภวังค์ก่อนจะตามด้วยการแนะนำตัว “ฟลามา ดี อิกนิส อดีตอาจารย์ดาบประจำราชสำนัก”


ขณะเดียกันเดียโวลอสก็ตัวสั่นเทาหัวคิดวิตกจนปล่อยความสงสัยออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน นางมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน ...หรือเพราะข้ามาเข้าเรียนช้า ไม่น่าจะเป็นไปได้ต่อให้ข้ามาเรียนเร็วแค่ไหนนางก็ไม่ได้สอบในวิทยาลัยอยู่แล้วนี่


ครั้นโนบิลิสผู้ที่เป็นคนรู้จักคนแรกในวิทยาลัยของเดียโวลอสก็ได้สะกิดไหล่จนปลดชายหนุ่มให้หลุดจากห้วงความคิด “หากข้าจำไม่ผิด...นั่นมันอสูรเพลิงขาวไม่ใช่รึไง?”


เดียโวลอสเหมือนเพิ่งขึ้นจากน้ำ เขาหายใจหอบหนักจนได้ยินเสียงหายใจชัดเจนแล่นเข้าหูของหญิงสาวข้างๆ โสตประสาทของเดียโวลอสรับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นถี่รัวราวจะหลุดจากอกได้เด่นชัดพลันนำมือกุมอกแล้วจึงหมอบไปกับโต๊ะไม่ยาว “...แน่นอนว่าเป็นนาง...”


เดียโวลอสเหมือนเพิ่งขึ้นจากน้ำ เขาหายใจหอบหนักจนได้ยินเสียงหายใจชัดเจนแล่นเข้าหูของหญิงสาวข้างๆ โสตประสาทของเดียโวลอสรับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นถี่รัวราวจะหลุดจากอกได้เด่นชัดพลันนำมือกุมอกแล้วจึงวางหูหมอบไปกับโต๊ะไม่ยาว “...แน่นอนว่าเป็นนาง...”


“เป็นอะไรไป?!” โนบิลิสเลิกคิ้วถามทั้งเป็นห่วงทั้งแปลกใจ


“เปล่า”


เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นก็ต้องจิปากเบือนหน้าหนีอย่างไว ด้วยความหมั่นไส้โนบิลิสจึงแก้เผ็ดด้วยการผลักกระเป๋าเคียงของเดียโวลอสลงจากตกหวังให้เจ้าตัวเดินไปเก็บเพื่อเป็นจุดสนใจของอาจารย์หน้าชั้นเรียน


ทว่ากระเป๋าใบนั้นก็ถูกรับไว้ได้ก่อนจะตกโดยเจ้าของของมันเองและนั่น ทำให้เป้าหมายที่อาจารย์จับจ้องต้องเปลี่ยนไป


“นี่ เลดี้ตรงนั้น หากไม่อยากก็ออกไปซะ” นางชี้นิ้วพร้อมแผดเสียงปานจะฆ่าแกง


โนบิลิสจำต้องแก้เรื่องนี้ “ข้าจะเรียนเจ้าค่ะ” สีหน้าที่แสดงออกมานั้นเหมือนสุนัขป่วยไม่มีผิด จากที่แผงฤทธิ์กลับต้องก้มหน้าก้มตายอมรับผิด


แต่ก็ไม่วายที่เดียโวลอสจะติดร่างแหไปด้วย “ชายที่นั่งด้านข้าง หากจะหลับก็ไปหลับที่อื่น เกะกะขวางลูกตา” ฟลามาค่อนข้างตรงไปตรงมากับเรื่องการศึกษาแต่การกระทำเช่นนี้ออกจะรุนแรงไปนิดสำหรับลูกคุณหนูผู้กินหรูอยู่สบายเหล่านั้น


ไม่แปลกเลยที่จะเกินการลุกฮือขึ้นในวันถัดมา






โนบิลิสเริ่มจิปากด้วยความเอือมระอา “เดียโวลอสข้าชักจะรำคาญพวกด้านหลังแล้วสิทำเสียงดังแว้ดๆ อยู่ได้” ระหว่างนั้นก็จ้องลงบนกระดาษของสมุดบันทึกเล่มสำคัญปกหนังสีดำของเดียโวลอส


“หากจักจั่นอยู่ในป่า ข้าคงเลือกเผาทั้งป่าหากเป็นป่าของข้าเอง” เดียโวลอสโต้ตอบเพียงไม่กี่ประโยคให้คิดก่อนเงียบไปอีกครั้ง


เมื่อเสียงฝ่าเท้าหนักแน่นกระทบพื้นจากนอกห้องเกิดขึ้นจนเริ่มใกล้เข้ามา โนบิลิสก็งึมงำ “เหมือนนางจะมาแล้วนะ” เมื่อจบก็ต้องกลับเข้าที่แต่โดยดี


กระทั่งอาจารย์ประจำคาบวิชาการต่อสู้ได้เข้ามาภายในห้องด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวคล้ายว่ามีใครทำให้นางขัดใจ


ทว่าสีหน้าหงุดหงิดได้คลายไปทันทีที่นางป่าวประกาศแก่นักเรียนในชั้น “เดี๋ยวเราจะไปเรียนต่อที่สนามฝึกซ้อมที่สามของวิทยาลัย ต่อไปนี้นักเรียนที่ถูกขานชื่อให้เดินมาหน้าชั้น”


แล้วเธอก็เริ่มขานชื่อทีละคน “จินเบล”


“ขอรับ!” ชายคนแรกที่ถูกเรียกก็ตะโกนตอบทันควัน


“วีเคลียน , คาน่อน , อีลีแกนด์ , โนบิลิส , เดียโวลอส …… โจมอง , เกนต้า”


ครั้นสิ้นคำพูดของอาจารย์ดาบ นักเรียนหญิงชายเกือบครึ่งก็ได้ก้าวไปข้างหน้าชั้นเรียนแล้วรับเข็มกลัดบางอย่างมาหนึ่งชิ้น


รูปร่างเรียบง่ายผนวกด้วยพื้นผิวเนียนราบลื่นและสีขาวแวววาว แต่เมื่อเดียโวลอสได้รับเข็มกลัดชิ้นนั้นก็ต้องถอนหายใจแรงเหมือนไม่ถูกโฉลกนัก แล้วเบือนหน้าหนีก่อนจะติดเข้ากับปกคอเสื้อ


“ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ ภายในห้อง ก็รออาจารย์ภาควิชาการอีกคนเข้ามา” ฟลามาบอกแกนักเรียนทุกคนจนพยักหน้าตอบรับ


จู่ๆ โนบิลิสก็จิปากพลันหันหน้าเข้าหาชายหนุ่มผมดำผู้นิ่งเงียบ “ไม่ยักรู้ว่าเจ้าเขาเรียนภาควิชาการต่อสู้” แววตาของนางแลดูดูถูกเขาไม่น้อย ไม่น่าแปลกอะไรเพราะตัวของเดียโวลอสตอนนีัไม่ค่อยตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อเขามากเท่าไร


“งั้นเหรอ…จะว่าไป เจ้าก็คล้ายใครสักคนที่ข้ารู้จักนะ” เดียโวลอสยิ้มมุมปาก


“แบบไหนกันล่ะ?” นางถามก่อนจะยิ้มเย้ย


“...พวกไม่รู้จักโต…”