หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง) - บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า โดย คุณเด้ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี

รายละเอียด

หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ผู้แต่ง

คุณเด้ง

เรื่องย่อ

*หากเจอคำผิดหรือชื่อตัวละครเขียนไม่เหมือนเดิม ติได้เลยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง


สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ





สารบัญ

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง การย้อนกลับครั้งที่สามสิบเจ็ด,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง ภูตเงา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง นามของทรราช,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย □□□...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง หมู่เมฆบดบัง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง ผ้าสีขาวย้อมแดง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม คล้ายว่า...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม จดหมาย 100 ปี,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ เริงระบำ

เนื้อหา

บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า

ในคืนหนึ่งที่ฝนกระหน่ำลงมาเสมือนว่าค่ำนี้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตข้าที่ได้เปิดตามองเม็ดฝนหลายล้านเม็ดตกกระทบพื้นทางเดินตรงหน้าห้องชุดของหิ่งห้อยจนเป็นแอ่งน้ำขังมากมาย


ในขณะเดียวกันนั้นเอง ข้าที่มองพื้นกลับสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่คุ้นเคยจากทางด้านหลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบร่มสีดำเงางามที่บังสายฝนที่สาดมาตามด้วยใบหน้าสว่างสดใสของชายคนหนึ่ง


เขามีใบหน้ารูปไข่ผิวเนียนเสียจนผู้หญิงหลายรายยังอิจฉาในตัวเขา บริเวณจมูกมีกระประดับ ยามมองเหนือขึ้นมาก็จะพบกับนัยน์ตาสีเขียวดังมรกตคู่กับเรือนผมสีบลอนด์หม่นแสกกลางยาวจรดปลายหู ภายในมือข้างขวาถือกระเป๋าหนังแบนไว้เหมือนว่าเขาเพิ่งจะทำธุระเสร็จไม่นาน


แล้วเขาก็เอ่ยปากพอดิบพอดีกันกับที่ข้าจะพูดออกไป “คริส...วันนี้ฝนตกหนักขนาดนี้ไหงเจ้าถึงมายืนหน้าร้านเสื้อผ้านี้เล่า?” เมื่อกล่าวจบคิ้วของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อยแสดงความสงสัยอย่างเป็นมิตรซึ่งมากพร้อมน้ำเสียงอันฟังแล้วอบอุ่น


“ข้าจะมาเอาชุดที่สั่งซ่อมแต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่เสร็จดี ก็เลยมาเสียเที่ยวนี่สิ” ข้าตอบกลับด้วยความเซ็งที่ไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือไป


“คริสผู้น่าสงสารช่วงนี้ร้านนี้คงยุ่งสักพักตอนข้าขึ้นไปคุยก็ได้ยินเรื่องที่น่าตกใจเข้าล่ะ เกี่ยวกับการตัดชุดขององค์หญิงรัชทายาทสปิเนลวันราชาภิเษก หากจำไม่ผิดคงจะทั้งออกแบบ ตัดชุด แล้วก็คัดเลือก เท่าที่ได้ยินมาคือเพิ่งเริ่มตัดชุดที่สามที่จะเข้าคัดเลือก” เขาล้อฉันอยู่เดี๋ยวเดียวแล้วก็ลูบคางพลางเล่าเรื่องสำคัญซึ่งประกาศให้รับรู้เพียงแค่ร้านตัดชุดเท่านั้นแก่ข้าที่ยืนรับข้อมูลพวกนั้นด้วยความประหลาดใจ มันเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเรื่องแบบนี้หลังจากขอหยุดประจำฤดูได้สักพักใหญ่


“แล้วชุดของข้าเมื่อไหร่จะได้เล่าทีนี้?” ข้าบ่นออกไปพร้อมด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ


“ฮ่ะฮ่าฮ่า!” จู่ๆ เขาก็หัวเราะกับคำพร่ำบ่นของข้าแล้วมองมาพลางกลั้นขำยกใหญ่


ข้ามองกลับหน้ามุ่ย “อะไรของเจ้าจะหัวเราะเยาะข้าก็เชิญ แม้ว่าเจ้าจะขำออกมามากมายเพียงไรข้าก็ไม่โกรธเจ้าหรอก” มันก็จริงที่ข้าไม่ได้โกรธเขาเลยแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านั้นมันกลับทำให้ข้าผ่อนคลายเสมือนว่าได้ยกภูเขาออกจากอกในทันทีทันใดที่เปิดปากตอบโต้


เขาแสดงรอยยิ้มยียวนให้เห็นบนใบหน้าตามด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกสะท้อนความขี้เล่นในตัวของฟลาทัส “จริงด้วยหรือ? วันนั้นทหารหญิงเช่นเจ้ากระทืบยูเทอร์เสียจนเกือบตายเชียวนะ”


ข้านำมือทุบอกเขาอย่างบางเบาไม่ให้เจ็บที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะชายตรงหน้านั้นมีรูปร่างบอบบางแต่ก็สูงกว่าข้าเล็กน้อย แม้ว่าอีกเพียงหนึ่งคืบข้าก็จะสูงเท่าประตูของบ้านทั่วไปแล้วก็ตาม


เราสองสบตากันชั่วขณะ นัยน์ตาคู่ที่จ้องเข้าไปราวกับพาข้าเข้าสู่ภวังค์ ตอนนี้ข้าทำสีหน้าอะไรอยู่ข้าก็ไม่อาจทราบ กระทั่งฟลาทัสยื่นมือมาหยิกแก้มข้าจนแทบยืดออกจนอุทานออกมา “โอ๊ย! อะไรของเจ้า?!” ข้าแทบหลุดออกจากภวังค์ที่ไร้ซึ่งเสียงฝนรอบข้างเหมือนภาพตรงหน้าได้ตัดไป


“ปกติเจ้าไม่เคยออมแรงนะคริส เหตุใดเจ้าถึงเป็นเช่นนี้เล่า?” เขายังทำหน้าเหมือนเดิมหากข้าไม่ทุบเขาจนสุดแรงคงไม่เข็ดหลาบ


ข้าแทบถลึงตาจ้องมองใส่เมื่อได้ยินเช่นนั้น เพียงไม่นานฟลาทัสก็ถอนคำพูดอย่างเร็ว “ถือว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้กล่าวคำใดออกไปแล้วกัน ฮ่าฮ่า” เขาเบือนหน้าหนีด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ


“เฮ้อออ~” ข้าทำได้แค่ถอนหายใจลากยาวอย่างช่วยไม่ได้ ใจก็รู้ดีว่าเขาชอบหยอกข้าด้วยกริยาเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร


แล้วคิ้วเขาก็กระตุกดูท่าว่าจะนึกบางอย่างออกขึ้นมา มือซ้ายที่ถือร่มอยู่ก็ยื่นมาพร้อมบอกให้ข้าถือสักพัก ข้าก็รับไว้แล้วดูท่าทีต่อไป ทว่าสายตาก็ไปสะดุดกับเครื่องประดับในมือข้างที่ยื่นมาให้


ไม่ทันไรเขาก็นำมือข้างนั้นควานหาสิ่งของในกระเป๋าโดยมีมือข้างขวาคอยยกกระเป๋าขึ้น


“มันคือ?” ปากของข้าเอ่ยถามในทันทีที่เห็นสิ่งของตรงหน้าซึ่งบดบังเครื่องประดับที่ผ่านตาลางๆ บริเวณมือซ้าย


มันคือซองจดหมายที่ประทับตราของเบลลัมไว้บนจ่าหน้าซอง “ของข้า?” ณ ตอนนี้ข้าคงทำได้งึมงำถามเขาไปอย่างงุนงง เพียงเพราะซองจดหมายนี้ที่ดูเหมือนสำคัญ


เมื่อรับไว้ศีรษะของข้าก็เงยขึ้นกระพริบตาปริบๆ ใส่เขาในขณะที่บรรยากาศปกคลุมด้วยเสียงซ่าของสายฝนอันไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ รอบบริเวณ


“......” ข้าไม่ได้รับคำใดกลับมาได้เพียงแค่การยิ้มตาหยีตอบสวน หากเป็นเช่นนั้นตัวข้าเองก็เงยหน้าผากกัดฟันถามอีกครั้ง “พอบอกเนื้อความคร่าวๆ ได้หรือไม่ฟลาทัส? อย่างน้อยก็ให้ทำใจไว้หน่อยก็ดี” ข้าต้องการรู้เนื้อความในจดหมายก่อนที่จะเปิดอ่าน หลายคนที่แกะซองออกแล้วลุ้นอ่านตามตัวอักษรภายในก่อนรับข้อมูลเบื้องต้นแล้วทำการปฏิเสธผ่านจดหมายหลังอ่านไป ต่างจบไม่ดีนักกับตระกูลเบลลัมแห่งสเตลลา


“มันเกี่ยวกับ—”


ชายตรงหน้าของข้ายังพูดได้ไม่เต็มประโยคเสียงของชายแก่ก็ดังขึ้นเบื้องหลังอย่างแหบแห้งชัดเจน


“ลอร์ดเบลลัมขอรับ!!!”


ข้าหันหลังกลับไปด้วยความสงสัย ชายแก่ร่างสูงกับร่มสองคัน คันที่ถืออยู่นั้นสีดำแทบกลืนไปกับบรรยากาศโดยรอบแต่ก็สวยงามเนื่องด้วยแสงไฟที่ตกกระทบกับหยดน้ำบนร่มในมือ อีกคันที่กำไว้แน่นเป็นสีขาวสะดุดตาประดับประดาด้วยลายลูกไม้อันอ่อนช้อยแทบทุกรายละเอียดถูกทำด้วยใจที่ปรานีต


รองเท้าหนังที่เปียกแฉะ ขากางเกงก็ชุ่มไม่ต่างกันมากแสดงให้เห็นว่าเขาฝ่าฝนมาได้ยากลำบากเพียงใด ชายแก่มีผมหงอกแทบทั้งหัว ชุดที่ใส่ก็ยุ่งเล็กน้อยซึ่งมาพร้อมกับหัวไหล่ที่เปียกแต่ไม่มากนัก แววตาที่จ้องมองมาทางนี้บอกความเป็นห่วงอย่างแจ่มแจ้ง


เหมือนว่าข้าจะจำได้ว่าเขาคือใคร ‘พ่อบ้านดัส’ ชายผู้ทุ่มเทให้แก่ตระกูลเบลลัมมารุ่นต่อรุ่น เป็นผู้ที่เลี้ยงดูฟลาทัสมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยถึงเราจะเจอกันไม่บ่อยมากแต่ก็บอกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่อ่อนโยนอย่างถึงที่สุด มากเสียจนข้าคิดว่าเขาเป็นผู้ให้กำเนิดฟลาทัสออกมาเอง


“พ่อบ้านดัสเหตุใดท่านถึงออกมาเล่า? ข้าเดินกลับเองได้จากตรงนี้ไปที่คฤหาสน์มันไม่ไกลกันเลยสักนิด เนื้อตัวเปียกไปหมดเช่นนี้เดี๋ยวท่านอาจจะไม่สบายเอาได้นะ” ฟลาทัสมองลงขณะเดียวกันก็หยิบร่มสีขาวจากพ่อบ้านดัส


พ่อบ้านหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งก่อนกล่าว มือพลางลูบหัวของชายหนุ่มตรงหน้าของเขา “ท่านลอร์ดไม่คิดถึงนายหญิงกับท่านผู้นำตระกูลหรือขอรับ? หากท่านเป็นอะไรไป ไม่เพียงแค่พวกเขาแต่อาจจะรวมถึงข้าที่พลอยเป็นกังวลไปด้วย”


ข้าทำได้เพียงยืนมองพวกเขาอยู่อย่างนั้นแล้วอมยิ้ม หากข้ามีสถานที่อบอุ่นเช่นนี้บ้างก็คงดี


“ชายแก่ขอขอบคุณท่านอีแกรนด์ที่คอยอยู่กับท่านลอร์ดของข้า” จู่ๆ พ่อบ้านดัสก็หันมาแล้วโน้มตัวขอบคุณอย่างสุภาพจนทำให้ข้ารู้สึกเกรงใจแน่นเต็มอก


ข้าพยายามยกตัวเขากลับอย่างเดิม “ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้พ่อบ้านดัส” ข้าคงทำได้เพียงจับหลังคอจากความละอาย ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาก้มหัวให้ทหารสาวแบบข้า


......


และแล้วพวกเขาก็กางร่มเดินจากไปหลังคุยกันได้สักพัก


ก่อนจะไปฟลาทัสก็หันหน้ากลับมาเป็นครั้งสุดท้ายและบอกเกี่ยวกับจดหมายเพียงครั้งเดียวแล้วเผยยิ้มระรื่นพร้อมหันกลับดังเดิม “อย่าลืมมางานแต่งข้าด้วยเล่า”


ข้าพยักหน้าตอบรับไปโดยไม่ได้ตั้งหลัก หลังตรึกตรองสมองกลับขาวโพลนอย่างไม่คาดคิด มือที่รับร่มมารู้สึกอ่อนแรงจนแทบร่วง ข้าอาจได้ยินผิดไป ข้าคิดแบบนั้นเพื่อปลอบใจตัวเอง เมื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ก็ช่วยข้าได้มาก ภายในใจก็ร้อนรุ่มแต่ก็เงยหน้าเดินตามทางกลับไปยังที่พักของตนเอง


ขวามือเป็นพื้นทางเดินหินที่เปียกแฉะประปรายไปด้วยแอ่งน้ำเล็กใหญ่ ฝั่งซ้ายเป็นร้านของหวานเล็กๆ เค้กขาวเนียนที่มองผ่านได้จากกระจก ข้างบนประดับด้วยเบอร์รี่แปดลูกในแต่ละจุด ก้อนครีมอันมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ทำให้หน้าตาของเค้กปอนด์นี้น่าทานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว


จู่ๆ แสงของฟ้าแลบก็มาพร้อมเสียงกระหึ่ม แสงที่ฉายมาครู่เดียวสะท้อนให้เห็นใบหน้าของข้าที่ฝืนยิ้ม จนข้าเบือนหน้าหนีจากจุดนั้นแล้วเดินหน้าต่อไปกับร่มสีดำคันที่เขาให้มา




ภายในห้องพักที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้นอันเกิดจากบานหน้าต่างที่ปิดตลอดเวลาก็ได้ยินเสียงฝนตกคลอมาตามลมอย่างแผ่วเบาแม้ไม่ดังแต่ก็ยังชัดเจน


ข้าตรวจดูซองจดหมายที่ได้รับว่ามีส่วนใดเปียกหรือเสียหายหรือไม่ เมื่อครบแล้วก็นำมีดกรีดออกอย่างใจเย็น กระดาษที่พับมาสี่ทบถูกยัดใส่เอาไว้ ข้าหยิบมันแยกจากตัวซองแล้วกางออก จากนั้นก็อ่านตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินสว่างช้าๆ จนกระทั่งถึงบรรทัดสุดท้ายแล้วข้าก็ได้ปิดมันไป


เหล่าเนื้อความในจดหมายบอกถึงช่วงเวลาและสถานที่จัดงานวิวาห์ของ ฟลาทัส ฟอน เบลลัม และคู่หมั้น นอริเอล ลองชิพ เจ้าของห้องชุดของหิ่งห้อยที่ข้าเพิ่งจะไปเยือน


สุดท้ายแล้วตัวข้าก็เหนื่อยเกินไปจนหลับใหลไปทั้งอย่างนั้นบนโต๊ะหนังสือ






เมื่อถึงงานวันแต่งงานของฟลาทัสมันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วที่ข้าต้องไปเข้าร่วมอย่างเลี่ยงไม่ได้ และก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ชุดที่ข้าสั่งซ่อมไปก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย มันเป็นชุดที่ข้าหวงแหนมากจึงอยากให้มันอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เพียงเพราะได้มาจากท่านแม่ทัพที่ดูแลข้าราวกับลูกของตน


ถึงจะได้ชุดนี้มาแต่จำนวนครั้งที่ใส่กลับน้อยจนน่าเหลือเชื่อ ข้าเป็นทหารการใส่ชุดกระโปรงทรงยาวอาจไม่ถนัดเสียเท่าไร


เมื่อก้าวเดินเข้าไปในโถงจัดงานต่างมีผู้คนมากหน้าหลายตารวมตัวกันจิบไวน์ตั้งวงสนทนากัน สำหรับข้าแล้วบอกได้เต็มปากเลยว่าข้าไม่อาจเข้าถึงบทสนทนาของพวกเขาได้ ทั้งการค้าและเรื่องต่างๆ มากมายจนมีหัวข้อนับไม่ถ้วน ประหนึ่งว่าภายในนี้เป็นห้องคุยธุรกิจเสียมากกว่า


กระทั่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจได้เงียบไปทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบสงัดก่อนจะตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของมวลประชา พวกเขาร่วมกันแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาว โดยมีเพียงข้าเท่านั้นที่ยืนมองด้วยสายตาที่หมองเศร้า บรรยากาศครื้นเครงดูจืดในมุมมองข้ายามพวกเขาสวมแหวนให้กัน


ข้าถอนหายใจสั้นๆ ห้วนๆ เดินกลับไปยังจุดบริการของงานเลี้ยง มือหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นแล้วยกดื่มปล่อยกายไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หวังให้รสของไวน์กลบสิ่งที่ครุ่นคิดจนหนักหัวออกให้หมด


ทว่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “คริส” มันเป็นเสียงสดใสและอบอุ่น จนแมงเม่าแบบข้าบินหาแสงเข้าเสียแล้ว เขาดึงดูดข้าให้เข้าไปหาได้ตลอดเวลา


แต่ข้าก็ชะงักไป สุดท้ายก็เงยหน้าแล้วกล่าวยินดีพร้อมคลี่ยิ้มออก “ข้ายินดีด้วย หวังว่าเจ้าจะพาหลานมาให้ข้าอุ้มได้นะ” สายตาของข้าไม่อาจสู้หน้าเขาได้แม้แต่น้อยกลับกันปากของข้าก็เอ่ยถ้อยคำไปอีกครั้ง “สนใจไปคุยกันที่ในจุดเงียบกว่านี้ไหม?” คำถามของข้าทำเขาตาโตแล้วหัวเราะออกมา


ซึ่งแน่นอนว่าเขาตอบตกลง


เราสองคนเดินออกมาภายนอกของอาคารแล้วยืนข้างกันบริเวณระเบียงกั้น นัยน์ตากวาดมองรอบโถงในปราดเดียว ข้าเพิ่งทราบด้วยสายตาว่าคนที่เข้าร่วมงานไม่ได้เยอะขนาดนั้น


“เจ้าไม่ทานอาหารในงานหน่อยหรือ?” เขาถามขณะที่หยิบขนมเข้าปากไปด้วย หน้าตาของเขาแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย เพราะวันนี้เป็นวันดีของชีวิตเขา จึงจำเป็นที่ตัวเองต้องแต่งหน้าทำผมเป็นพิเศษ


ปกติแล้วเขาจะปล่อยผมให้แสกแต่ในวันพิธีเช่นนี้เรือนผมของเขาเสยขึ้นแทบถึงหลังศีรษะ กระบนใบหน้าจางลงไป หากให้พูดข้าคงชอบเขาในรูปแบบเดิมมากกว่า แต่โดยรวมแล้วได้มองเขาแบบนี้ก็ไม่ได้แย่นัก


“ไม่ล่ะ ข้าไม่ค่อยหิวสักเท่าไร” ข้าปฏิเสธไปด้วยรอยยิ้มเพื่อไม่ให้รูปประโยคดูรุนแรงเพียงเพราะเสียงห้าวห้วนของข้า


“พ่อครัวที่จ้างมาออกจะทำอาหารอร่อยแม้จะเป็นขนมหวานที่ไม่ถนัดก็ทำออกมาได้เยี่ยม หากเจ้าไม่ทานครั้งนี้กว่าจะได้ทานอีกครั้งคงนานโข” เขาเสริมพร้อมด้วยปากที่มีหนึ่งเดียวบนใบหน้าแทบยัดขนมเข้าไปทั้งชิ้น


“ช่างเถอะ...ว่าแต่เจ้ายังชอบทานขนมพวกนี้อยู่อีกเหรอ?” ข้าถามกลับไปแล้วนึกบางอย่างขึ้นได้


ฟลาทัสวางจานในมือลงนิ้วมือขวาลูบคางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็มองจ้องมาจนทำให้ข้าแปลกใจ


“เจ้าก็เห็นข้าทานแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ เจ้าถามทำไมเล่า หรือเจ้าจะทำขนมให้ข้าได้ทาน?” เขายิ้มกริ่ม น้ำเสียงของเขาสดใสเสียยิ่งกว่าใครแม้เขาจะเป็นลูกขุนนางแต่ก็ยังคบกับข้าที่ถูกเรียกว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้า บางครั้งบางคราวข้าก็คิดว่าตระกูลเบลลัมคือที่พักใจสำหรับข้า แต่หลังจากนี้...


“หากข้าทำ เจ้าจะทานหรือไม่ล่ะ? หากเจ้าไม่ทานข้าก็ไม่ทำให้เจ้าหรอกนะ” ข้าสลัดความคิดไปแล้วถามต่ออีกหนึ่ง


“จะจริงเหรอๆ?” เขาพึมพำคำคะยั้นคะยอหวังให้ข้าตอบว่าใช่ให้ได้


จนในที่สุดข้าก็ต้องยืนยันออกไป “ข้าหวังว่าเจ้าจะได้ชิม” ข้ากล่าวแล้วยิ้มส่งพร้อมด้วยสายตาของสองเราที่บรรจบกัน มันทำให้ข้าเขินอยู่ไม่น้อยแต่ก็ฝืนรอคำตอบจากเขา


เขาเงียบไป จู่ๆ เจ้าตัวก็เขยิบเข้ามาใกล้ “ข้าจะรอ” คำพูดของเขาชวนให้นึกถึงสมัยเด็กที่ข้าตั้งฝันไว้ว่าจะเป็นผู้ปกป้องราชอาณาจักร จนในที่สุดข้าก็ได้เป็นดั่งหวัง


......


และแล้วงานแต่งงานนี้ก็สิ้นสุด แต่ข้ายังคงเฝ้ามองดูบริเวณรอบอีกสักพักใหญ่จึงทำให้กว่าจะกลับถึงที่พักมันก็ดึกมากแล้ว หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้อีกคราวหน้าข้าต้องรีบกลับมาให้ไวก่อนย่ำค่ำจะมาถึง


เมื่อเปิดประตูเข้าไปยังห้องรับรองโรงแรม หญิงสาวที่ดูท่าจะเป็นพนักงานก็เตร่เข้ามาทักทาย “สวัสดีเจ้าค่ะ”


ถึงว่าเหตุใดภาพที่เงียบเหงาในหลายวันก่อน ณ ห้องรับรองแห่งนี้ถึงได้เงียบสงัดนัก ต่างจากคืนนี้ที่ครื้นเครง น้ำเสียงนุ่มละมุนของนางนั้นราวนักร้องสวรรค์ประทาน ข้าเงยหน้าทอดมอดรอบห้องที่เดิมไปด้วยผู้คนทั้งชายหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บ้างก็เหลือบมองมาที่ข้า บ้างก็มองมาด้วยสายตาเคลือบแคลงเสมือนไม่พอใจบางคนก็แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน


“ท่านพักอยู่ที่ห้องหนึ่งหนึ่งห้าใช่ไหมเจ้าคะ? พอดีว่ามีชายผู้หนึ่งฝากจดหมายมาให้ท่าน พร้อมย้ำว่าส่งให้ถึงมือด้วยตนเอง” หญิงตรงหน้ายื่นซองจดหมายมาให้


มือข้าก็รับมาแต่โดยดี เมื่อสังเกตดูแล้วตรงขอบซองจดหมายมีรอยยับและเปื้อนสิ่งสกปรกคล้ายโคลนเล็กน้อย


ข้าชำเลืองมองสาวตรงหน้าอีกเป็นครั้งสุดท้าย พยักหน้ากล่าวขอบคุณแล้วเดินขึ้นห้องพักไป


พร้อมพาตัวเดินไปยังโต๊ะหนังสือ มือยกขึ้นหยิบมีดกรีดซองให้เปิดออกแล้วกางกระดาษออกมาอ่าน


[มีคำสั่งด่วนให้เจ้าเข้าประจำการในอีกสามวันข้างหน้า]


เมื่ออ่านจบตัวข้าก็รู้ด้วยตัวเองในทันที เหมือนว่าชายแดนจะประสบปัญหาเข้าเสียแล้ว ข้าคงต้องเดินทางในรุ่งเช้าเพื่อลงไปยังเขตเนบิวลา จากที่นี่ไปยังเนบิลาคงไม่ถึงสามวัน


......




ระยะเวลาผ่านไปไวเสียยิ่งกว่ากะพริบตา ข้ารู้สึกเหมือนว่าค่ำคืนในแต่ละวันที่ยาวนานกว่าสองปีถูกย่อให้เหลือเพียงฝันตื่นเดียว


ตั้งแต่เข้าประจำการก็มีการรุกรานชายแดนอย่างไม่หยุดหย่อนในทุกๆ เดือน ฝั่งจักรวรรดิสามารถส่งทหารมาได้ทุกเมื่อว่าด้วยเรื่องจำนวนประชากรที่มีมากกว่าอาณาจักรเราถึงสองเท่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยทักษะการโจมตีที่ต่ำลงไปมาก


ชายแดนของเนบิวลามีภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำพร้อมด้วยกำแพงกั้นตั้งสูงตระหง่านไม่ไกลจากธารที่ไหลเชี่ยว


ช่างมันเถิด...ข้าควรหยุดคิดแล้วฝึกฝนทักษะทำขนมให้มากขึ้นกว่าเดิม


ผ่านไปไม่นานก็เสร็จ ข้าเดินออกจากห้องครัวตรงไปหาผู้มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในที่ดินแห่งนี้ ‘สเติร์น วาน เนบิวลา’ ผู้มีตำแหน่งเป็นมาร์ควิสและแม่ทัพดาบศิลา


...เขาชิมไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วเงียบไป “มันหวานเกินไป” ลุงแม่ทัพที่ข้ารักกลับพูดออกมาอย่างไม่แยแส


“เมื่อวานนี้ท่านก็บอกว่าจืดเกินไปทั้งทั้งที่ข้าใส่น้ำตาลมากกว่านี้หนึ่งช้อน สมองท่านตอนนี้มันกลับตาลปัตรไปแล้วหรืออย่างไร?!” ข้าเถียงสวนกลับไปและนั่นทำให้เขาชะงักในทีเดียว


“เอ่อ...เมื่อวานข้าเป็นหวัด” ข้าเอือมระอายิ่งที่ได้รับคำตอบเช่นนี้เขาช่างเป็นแม่ทัพที่หนังหน้าลอกได้อีกพักชั้น


แต่แล้วกาลเวลาที่สุขสงบก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ตลอด เสียงฝีเท้าดังกระหึ่มแต่ไกลทำให้เหล่าจอมเวทจากหอสังเกตการณ์ส่งสัญญาณฉุกเฉินให้เรียกรวมพลด้วยความรนราน


อีกฟากของแม่น้ำปรากฏกองทัพขนาดใหญ่ซึ่งจัดรูปขบวนเป็นแถวตอนเรียงสิบ หน้าตับเป็นโล่ใหญ่โดยมีแถวที่สองคอยแบกช่วยไว้ กลีบข้างของแถวทั้งซ้ายขวาเป็นพลโล่เล็กที่มีทวนยาว เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับเครื่องทะลวงประตูเมืองซึ่งถูกเข็นลากมาอย่างทุลักทุเล ส่วนที่เหลือจะเป็นจอมเวทและทหารราบพร้อมทวนยาวเป็นอาวุธข้างกาย


เป็นอันที่แน่นอนว่าหน่วยรบของเราเหนือกว่าด้านความสามารถแต่ก็บาดเจ็บล้มตายกันไปไม่น้อย ส่วนตัวข้าเองก็บาดเจ็บหนักที่ต้นแขนข้างซ้าย ยังคงดีที่ข้านั้นยืนหยัดจนสุดความสามารถแล้วพบกับชัยชนะก่อนสลบไป


ข้าตื่นขึ้นในสภาพหิวกระหายในอีกสองวันให้หลัง เหล่าทหารที่ตายในสงครามถูกฝังอย่างมีเกียรติในพื้นดินของเนบิวลา ผู้คนต่างหวังว่ามาคาลัมจะรับตัวพวกเขาไปรวมข้าด้วยเช่นกันที่คิด


กระทั่งสาส์นจากเขตเบลลัมได้แพร่สะพัด จอมเวทสงครามผู้นำชัยได้สิ้นลมในสงคราม ว่ากันว่าเขาต้านข้าศึกกว่าหมื่นนายที่เหลือด้วยตัวคนเดียวจนหัวใจมานาแห้งเหือดแทบสลาย


แล้วข้าก็ได้รู้...ทัพที่มาบุกเนบิวลาเป็นเพียงหนึ่งในสองของกองทัพที่บุกไปยังเบลลัม หากมีการนำทัพขนาดใหญ่เช่นนี้เหล่านพอสูรไม่ควรนิ่งดูดายแต่ควรออกมาให้การช่วยเหลือสิ


แต่ท้ายที่สุดเขาก็ตาย ข้าได้แต่เพียงพร่ำบ่นตัวเองปล่อยโฮไม่เป็นอันกินอันนอนอยู่สองวันสองคืน ซ้ำร่างกายข้าเริ่มซูบผอม กระทั่งข่าวโคมลอยอีกข่าวได้ตามมา


เจ้าของกิจการห้องชุดของหิ่งห้อยได้ตรอมใจตายตามหลังจากนั้น และกิจการต่างๆ ก็ถูกโยกย้ายภายใต้ชื่อของเลดี้ตัวน้อยแห่งตระกูลเบลลัมตามคำสั่งเสียของพินัยกรรม


และเขาก็ได้ทิ้งลูกสาวของเขาในวัยสองขวบไว้ ความปรารถนาของข้าที่จางหายไปได้กลับมาอีกครั้ง


“ข้าหวังว่าเจ้าจะได้ทานสิ่งที่ข้าทุ่มเท”