หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง) - บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา โดย คุณเด้ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี

รายละเอียด

หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ผู้แต่ง

คุณเด้ง

เรื่องย่อ

*หากเจอคำผิดหรือชื่อตัวละครเขียนไม่เหมือนเดิม ติได้เลยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง


สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ





สารบัญ

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง การย้อนกลับครั้งที่สามสิบเจ็ด,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง ภูตเงา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง นามของทรราช,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย □□□...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง หมู่เมฆบดบัง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง ผ้าสีขาวย้อมแดง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม คล้ายว่า...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม จดหมาย 100 ปี,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ เริงระบำ

เนื้อหา

บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา

ราวหนึ่งสัปดาห์ที่ต้องเรียนตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก็ถึงเวลาพักสองวันสุดสัปดาห์เสียที


กระเป๋าเคียงสีดำคู่กาย วิกผมสีขาวยาวสลวย เดรสยาวลายลูกไม้สีเดียวกันคล้ายกับชุดที่เคยใส่เมื่อนานมาแล้วแต่เพียงตัวใหญ่กว่า ภายในกระเป๋าพบขวดแก้วสามถึงสีขวดซึ่งปิดด้วยจุกไม้หุ้มผ้าบาง


ตรงข้ามกระจกเงาเผยใบหน้าขาวซีดกับนัยน์ตาสีดำไร้แววตาปรากฏให้เห็น ขนตางอนยาวไม่เหมาะกับริมฝีปากซีดแตกเสียเท่าไหร่


ไม่นานนักริมฝีปากบนล่างคู่นั้นก็ถูกทาทับด้วยสีแดงตุ่นๆ คล้ายกุหลาบแดงแห้ง เขาเม้มปากก่อนจะเกลี่ยรอยสีให้เต็มปาก


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดูไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิม ว่าแล้วก็แต้มน้ำสีแดงลงบนแก้มสองฝั่งก่อนจะน้ำนิ้วถูกจนจางไป เพียงใบหน้าและสรีระใครต่อใครต่างมองว่าเขาเป็นหญิงสาวเป็นแน่


เหลือส่วนคอที่คงเหลือลูกกระเดือกไว้ เขาพยายามหาบางอย่างมาปิด เหมือนว่าสิ่งนั้นจะเป็นผ้าสีขาวที่เอาไปปิดส่วนลำคอสำหรับบุคคลมีรอยแผล


เนียนสนิท สายตาที่คมกริบดังใบมีดจ้องมองใบหน้าของตนเองอยู่นาน เมื่อพอใจจึงเก็บของต่อแล้วออกจากเขตวิทยาลัยไปเงียบๆ




ณ โรงเตี๊ยมตะวันแดง เดียโวลิสได้เดินเข้าไปข้างในพร้อมยื่นเหรียญเงินใต้ผ้าคลุมให้พนักงานไปสองเหรียญ


ก่อนจะได้รับกุญแจห้องมาอย่างง่ายดาย “ชั้นสามห้องหมายเลขสามเจ้าค่ะ”


บรรยากาศภายในห้องพักนั้นอุ่นสบายตัวแม้จะเริ่มช่วงฤดูหนาวที่ค่อนข้างหนาวจัดในเมืองหลวง


เขาไม่ได้ใช้ห้องนี้ในการพักผ่อนกลับกัน เขาต้องการสถานที่เงียบสงบซึ่งปราศจากการใช้เวทมนตร์ตรวจสอบในวิทยาลัยที่ค่อนข้างเข้มงวดในการใช้เวทมนตร์ขนาดใหญ่


เดียโวลอสตวัดนิ้ววาดวงจรเวทย์ด้วยมานา ครั้นชายหนุ่มวาดเสร็จก็เอ่ยปากเปิดใช้งาน “เวทปฐมภูมิ ประตูข้ามฟาก”


จากวงจรเวทย์ที่ซับซ้อนกลับแปรผันเป็นช่องว่างสีม่วงเข้มขนาดเท่าตัวเขาอยู่เบื้องหน้า ไม่วายที่ประตูมิติจะกางสมบูรณ์ เจ้าตัวผู้ร่ายก็เดินเข้าไปทันที


แน่นอนการใช้มานามหาศาลจะทำให้หัวใจมานาแห้งก็คงไม่แปลกใจเท่าไรนัก ยังดีที่เตรียมมานาสกัดไว้หลายขวด


เขายกดื่มจนหมดหนึ่งขวดเต็มๆ อย่างน้อยมานาที่หายไปก็พอถูกเติมเต็มขึ้นมาบ้าง


ขนาดข้ามีวงแหวนมานาถึงสามก็ต้องหมดเกลี้ยงกับเวทมนตร์ชนิดนี้ ไม่แปลกที่ต้องใช้นักเวทย์หลายคนในการเปิดใช้งานในครั้งเดียว มือพลันเก็บขวดแก้วนำใส่กลับที่เดิมในกระเป๋า


ทว่าอากาศจากเมืองหลวงได้หายไป กลับถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศหนาวแห้งของตีนเขาสีเขียวอันปกคลุมด้วยป่าทางเหนือของอาณาจักร เดียโวลอสตะเวนร่อนเร่ไปตามทางที่เต็มไปด้วยแมกไม้ใบหญ้าทั้งแห้งและสดปะปนกันไป


ทุกการก้าวเท้ามักจะมีเสียงกรอบแกรบของกิ่งไม้แห้งและใบเสมอต้นเสมอปลาย ยามเงยหน้ามองเหนือหัวก็ไม่พบดวงตะวันแต่กลับเห็นเพียงท้องฟ้าปนด้วยเมฆกลุ่มเกาะกันเป็นแผ่นและก้อนอย่างประปราย ซ้ำด้วยใบไม้นับไม่ถ้วยจากหลายกิ่งมาบดบังอีกชั้นจนกลายเป็นเส้นแสงส่องลงมาอย่างชัดเจนกระทบม่านตา


เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเศษได้ จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ต้องทำให้เดียโวลอสหันขวับ มันเป็นเสียงคล้ายกันกับจังหวะการย่ำเท้าของชายหนุ่ม เมื่อเดินไปอีกครู่หนึ่งก็พบเข้ากับสิ่งมีชีวิต


เด็กมนุษย์อายุราวเจ็ดถึงแปดปีกำลังด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนั้น เดียโวลอสทำหน้างงกับการกระทำของนาง หากคิดไปคิดมาไม่แน่ว่า นางจากจะตามใครสักคนอยู่ก็เป็นได้


ตะกร้าสาน?ครั้นเดียโวลอสกวาดตามองก็พบเข้ากับตะกร้าสานทรงก้นลึกวางไม่ไกลจากตำแหน่งของเด็กสาว กระนั้นแล้วเดียโวลอสไม่เลือกที่จะอยู่เฉยๆ ฝ่ามือหยิบไม้น้ำหนักพอดีมือบนพื้นมาหนึ่งแท่ง ก่อนจะโยนไปหาเด็กสาวจนอุทานลั่นป่า


“ว้ายยย!!!” สิ้นเสียงดังแสบหูนั้น นกสองตัวบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ได้บินหนีไปโดยไว “เจ้าอมยิ้มมม! เจ้าลูกอมมม!” จึงตามมาด้วยเสียงเรียกลากยาวทีหลังด้วยใจอาวรณ์


ทันใดนั้นเองผู้สวมชุดคลุมก็ได้ปรากฏตัวพร้อมเสียงกระแอมเรียกให้หันถึงสองครั้งในอิริยาบถที่กำมือไว้ป้องปาก “อะแฮ่ม อะแฮ่ม”


ก็ไม่วายที่เด็กสาวจะกลับหลังหันอย่างทันควัน ใบหน้าที่แสดงออกมานั้นบอกให้เห็นถึงความวิตกกังวลชัดเจนเด่นชัดแม้จะอยู่ใต้เงาร่มไม้ก็ตาม


“ใคร!?” นางงึมงำ


ในขณะเดียวกัน ชายในชุดคลุมทับเดรสขาวยังคงไว้ซึ่งใบหน้าเรียบเฉยพลางมองจ้องไปที่เด็กสาวในท่าทางลับๆ ล่อๆ


กระทั่งเด็กสาวตัวน้อยได้หันมาสบตา นางปรากฏใบหน้าเลิกลั่กอย่างทันควัน เท้าพลันถอยหลังพลางอย่างช้าๆ หวังไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว


นางทำท่าจะหนี ทว่าเสียงของเดียโวลอสก็ทำให้นางหยุดกึก “เจ้าน่ะ”


“จ เจ้าคะ!?” นางคิ้วขมวดปมแล้วจ้องมาอีกครั้งหลังหันไปแล้วกลับมา


“เจ้ามาเก็บสมุนไพรเหรอสาวน้อย” น้ำเสียงกับสาวตาคมกริบส่งตรงไปยังเด็กสาววัยสิบปี


“ใช่...ข้าขึ้นมาบนนี้เพราะข้าหาสมุนไพรแถวหมู่บ้านไม่ค่อยได้ แล้วท่าน?”


“... แล้วเจ้าจะว่าตะกร้าไว้ตรงนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ?” เดียโวลอสเริ่มเดินเข้าไปใกล้นางอย่างช้าๆ ไม่รีบให้นางระแวงหนัก


“ความจริงแล้ว...ข้าอยากส่องดูนกคู่นั้น” เด็กสาวกล่าว นิ้วมือก็ชี้ขึ้นไปยังต้นไม้กิ่งหนึ่งที่ว่างเปล่า


เดียโวลอสเงยหน้าขึ้นเงียบ ก่อนจะตอบกลับตามที่ตนเห็น “ก็ไม่เห็นอะไรเลยนะ”


“อย่าบอกนะว่าจะบินหนีไปแล้ว เพราะท่าน!” นางหน้ามุ้ยพร้อมน้ำเสียงฉุนเฉียวส่งมา แล้ววิ่งไปเก็บตะกร้าขึ้นสะพายหลังแล้วเดินไปสักทาง


เดียโวลอสตามต้อยไปจนแทบประชิดตัวอย่างเงียบเชียบก่อนจะกล่าวข้างหูนางเบาปานจะกระซิบ “ไม่ใช่เพราะเจ้ากรี๊ดเองมาเองหรือ?”


“ว้าย! อะไรของท่าน!?” นางอุทานพลางสะดุ้งโหยงทันควัน แน่นอนว่านางต้องถอยห่างด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลมหายใจถี่รัวไม่เป็นจังหวะเร็วบ้างช้าบ้าง


เดียโวลอสยิ้มเย้ยด้วยริมฝีปากสีแดงเข้มแล้วโต้ “เจ้าชื่ออะไรล่ะสาวน้อย” เขาถามชื่อของนางด้วยความลั้นลาไม่เหมือนปกติ


“ข้าชื่อเมจู...เมจู คริส หากท่านมีเรื่องแค่นี้ข้าขอตัวก่อน” เมจูเบือนหน้าหนีไปอีกทาง มือทั้งสองกระชับสายสะพายให้แน่นแล้วรีบวิ่งไปอีก ซึ่งทำให้เสียงกรอบแกรบของใบไม้ใบหญ้าแห้งดังแรงขึ้นเป็นเท่าตัว


“โอ้...เมจู แก้มเจ้านี่ เหมือนขนมปังเสียจริงแตกต่างจากร่างกายเจ้าที่ผอมเพรียวจังนะ” เดียโวลอสหัวเราะเบาๆ หลังจบพร้อมมือปิดปากจนเหลือเพียงสายตาสองข้องมองหลังหูที่หันให้ของนาง


เมจูหันขวับกลับมา คิ้วทั้งสองขมวดเป็นปมให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง “แก้มของข้ามันไปอยู่บนหน้าของท่านหรือไง ทำไมต้องมาจอแจกับข้าด้วย” นางเหมือนเหลืออดจึงบอกเช่นนั้นไปด้วยอารมณ์รุนแรง


เดียโวลอสเลิกคิ้วทันทีที่ได้ยินแล้วตอบกลับ “ข้าขอโทษๆ แล้วนี่เจ้าจะไปที่ไหนต่อเล่า?” เขาถามพลางหยุดอยู่ตรงนั้นปล่อยให้นางเดินต่อไป


“...หมู่บ้าน...”


ทว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีเพียงเสียงของเมจู กลับกันเดียโวลอสได้ยินบางเสียงลอดเข้าหู ทันใดนั้นเดียโวลอสต้องหูผึ่งเงี่ยฟังให้ชัดเจน แล้วจึงบอกกับเมจูให้หยุดด้วยการจิปากหลายครั้งและเรียก “หยุดก่อนและเงียบ”


ตอนแรกเงียบวังเวง กระทั่งเสียงเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จากทางฝั่งขวามือที่เป็นทางชันซึ่งปกคลุมด้วยใบหญ้าและพุ่มไม้ “...อู๊ด...” เป็นเสียงคล้ายเสียงร้องของหมูป่า


นั่นทำให้เดียโวลอสเบิกตากว้างเดาะลิ้นแล้วจึงจูงมือเมจูให้พุ่งลงทางฝั่งซ้ายซึ่งเป็นทางลงลาดชัน ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะลงโผล่แถวนี้ แต่ว่านางจะขึ้นเข้ามาสูงเกินไปแล้ว คงต้องพาลงด้านล่างอย่างด่วนพวกออร์คลาดตระเวนยิ่งจมูกดีอยู่ด้วย ชายหนุ่มคิดวิตก ขณะเดียวกับก็จับมือของเด็กสาวแน่นหวังไม่ให้ปล่อยโดยง่าย


“เดี๋ยว...” นางเรียก


“รีบลงไปด่วนๆ ไม่งั้นเจ้าได้ตายแน่”


ผ่านไปสักพักทั้งคู่ก็ลงมาได้พอสมควรแต่สภาพก็มอมแมมไม่น้อยไปกว่ากันเลยแต่ยังดีที่ตัวของเดียโวลอสนั้นมีเสื้อคลุมทับอีกชั้น เลยไม่ทำให้ชุดด้านในพลอยสกปรกไปด้วย


“พาข้าไปหมู่บ้านเจ้าที เมจู”