หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง) - บทที่ สี่ เริงระบำ โดย คุณเด้ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี

รายละเอียด

หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ผู้แต่ง

คุณเด้ง

เรื่องย่อ

*หากเจอคำผิดหรือชื่อตัวละครเขียนไม่เหมือนเดิม ติได้เลยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง


สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ





สารบัญ

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง การย้อนกลับครั้งที่สามสิบเจ็ด,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง ภูตเงา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง นามของทรราช,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย □□□...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง หมู่เมฆบดบัง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง ผ้าสีขาวย้อมแดง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม คล้ายว่า...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม จดหมาย 100 ปี,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ เริงระบำ

เนื้อหา

บทที่ สี่ เริงระบำ

ตามทางเดินที่ถูกถางจนเป็นดินแห้งมีคนในหมู่บ้านเดินผ่านไปผ่านมามากมาย บ้างก็ถือกะละมังพร้อมเสื้อผ้า บ้างก็เดินจู๋จี๋กันสองคนเป็นคู่ล่ำไป ส่วนทางนี้ก็ต้องเดินตามเด็กสาวเมจูนำสมุนไพรไปเก็บในบ้านหลังเล็กๆ


หน้าบ้านมีหลังคามุงไว้พร้อมเก้าอี้และโต๊ะอีกหนึ่งตัว กับข้างทางเข้าซึ่งเป็นราวจับพอดีมือ เดียโวลอสมองไปยังราวจับไม้นั้นด้วยความสงสัยก่อนเบี่ยงตามองไปยังประตูสีน้ำตาลบานใหญ่ที่กำลังถูกเปิดโดยเด็กสาวตัวเล็กผมสั้นสีเดียวกันด้วยใบหน้าหงุดหงิด


ทันทีที่ข้ามผ่านธรณีประตูไป ฮู้ดสีดำอันสกปรกก็ได้เผยเรือนผมสีเงินยาวเหยียดตรงสลวยซึ่งเคยถูกปิดบังโดยผ้าคลุมนั้น ใบหน้าขาวปานกระดาษเจือด้วยรอยแดงระเรื่อพร้อมปากสีแดงตุ๋นๆ นั้น ทำให้เมจูต้องอ้าปากหวออย่างตะลึง


นัยน์ตาสีดำได้จ้องมองไปที่นางแล้วถาม “มองอะไรขนาดนั้น”


เดียโวลอสทำให้เมจูต้องรู้สึกตัวเพียงประโยคเดียวก่อนที่นางจะเช็ดน้ำลายที่ไหลย้อยออกมาในทันทีก่อนมีเสียงสูดน้ำลายเข้าไปในปาก


บรรยากาศเงียบไป ทั้งคู่สบตากันพักหนึ่ง ขณะนั้นเองเมจูจำต้องเบือนหน้าหนีตามด้วยพูดขัดแก้เขินพร้อมใบหน้าแดงแจ๋ “ท่านก็เงียบๆ ด้วยล่ะ แม่ข้าต้องการพักผ่อน” เมื่อสิ้นคำบอกก็วางตะกร้าลงบริเวณประตูก่อนจะถอดเสื้อนอกที่เปื้อนหนักๆ ออก


“เสื้อคลุมท่านก็เปื้อนถอดมาให้ข้าสิเดี๋ยวข้าจะนำไปซักให้” เมจูยื่นมือไปทางเดียโวลอสหวังให้เขาทำเสื้อคลุมมาให้


ชายในคราบหญิงสาวได้ก้มมองผ้าสีดำซึ่งเปื้อนไปด้วยเศษดินเศษฝุ่นเต็มเขรอะขระไปยันชายผ้าเหนือตาตุ่มเล็กน้อย “เอาสิ” เขาจับคอเสื้อแล้วถอดออกพร้อมเผยให้เห็นชุดเดรสสีขาวลายปักลูกไม้แถบคอเสื้อและชายกระโปรง เมื่อเสร็จก็นำเสื้อคลุมนั้นให้เมจูที่ยื่นมือมา


“นี่ท่านเป็นขุนนางเหรอ?” นางมองชุดของเดียโวลอสก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยใบหน้าใสซื่อ


“ใช่ ทำไมล่ะเจ้ามีปัญหาอะไรงั้นรึ?” เดียโวลอสตอบพลางถามสวน


เด็กสาวเงยมองหน้าจึงตอบอย่างเรียบง่าย “เปล่าหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่สงสัย” น้ำเสียงสุภาพขึ้นของเมจูค่อยๆ จางลงตามด้วยหน้าซึม


“...แล้วแม่เจ้าล่ะ?” เดียโวลอสกวาดตามองทั่วบ้านแต่ก็ไม่พบใคร แต่สายตาก็จดจ้องไปยังผ้าม่านกั้นระหว่างห้องราวกับว่ารู้อยู่แล้ว


“คงจะหลังผ้าม่านนั้นนั่นแหละ ปกติท่านแม่จะไม่ค่อยออกมาจากห้องนอนเสียเท่าไหร่” นางอธิบายพลางเดินไปที่ตะกร้าอีกไปแล้วนำเสื้อผ้าสกปรกโยนใส่ลงไป


“เจ้าไม่แช่ในน้ำอุ่นหน่อยเหรอ?” เดียโวลอสมองแล้วสงสัยจึงพึมพำถาม


นางเงียบไปก่อนจะถามกลับอย่างประหลาดใจพลันขมวดคิ้วเป็นปมอีกคราว “ขุนนางรู้วิธีซักผ้าด้วยหรือเจ้าคะ?”


อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วแปลกใจเช่นกัน คงจะทำมีมากที่เหล่าขุนนางไม่ต้องซักผ้าเอง แต่ตัวของเดียโวลอสนั้นผ่านเรื่องนี้มาค่อยข้างจะโชกโชนทีเดียว “ก็ค่อนข้างน้อยถ้าเทียบกับขุนนางทั้งหมด หากเป็นขุนนางแต่อยู่ชั้นล่างก็ต้องฝืนทนหน่อยกับการซักผ้าเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ แต่ถ้าเป็นเลดี้ก็ค่อนข้างสบายทีเดียว มือสองข้างต้องทะนุถนอมเข้าไว้ หากมือเปื่อยหรือหรือลอกขึ้นมาก็แย่เลยล่ะ” เดียโวลอสอธิบายให้เด็กหญิงตรงหน้าฟังอย่างยาวเหยียด


“แล้วมือท่าน?”


“มือข้าค่อนข้างด้านแล้วน่ะ หากจับไปก็สากมืออีกฝ่ายเสียเปล่า...” เดียโวลอสยิ้มบางส่งไปพร้อมหน้าซึมเล็กน้อยพอสังเกต


ทั้งสองเงียบไปจนเสียงรอบข้างเข้ามากลบ กระทั่งเสียงเสียดสีของเก้าอี้ไม้ในห้องนอนก็ดังเอี๊ยดอาดแสบหู


เมจูที่ได้ยินก็รีบขอตัว “เดี๋ยวข้ามา” นางเดินเข้าไปในห้องที่มีผ้าม่านขึงกั้นแบ่งไว้ แล้วเสียงอีกเสียงก็ลอดออกมา


“ด้านนอกนั่นใคร?” มันเป็นคำถามที่บางเบาแต่เดียโวลอสก็พอจะจับใจความประโยคนั้นได้


งี้เองสินะ แม่ของนางคงไม่ได้รับใครเข้าบ้าน ไม่แปลกที่นางจะถามเมจูด้วยความสงสัย...ชักจะลำบากขึ้นซะแล้วสิ เดียโวลอสลูบคางคิดได้ แต่จำต้องขมวดคิ้วอย่างกังวลเมื่อรู้สิ่งที่จะตามมาภายหลัง


ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะวางกระเป๋าสะพายข้างหนังสีดำไว้บนตู้ไม้สูงเทียมเอว ซึ่งตั้งไว้ตรงกับหน้าต่างวัสดุเดียวกันที่สามารถออกออกไปด้านออกได้โดยที่ลมไม่ตีบานหน้าต่างกลับ


จู่ๆ เสียงไม้เคาะกับพื้นหินแข็งก็ดังขึ้นหลายครั้งเป็นจังหวะช้าๆ ผ้ามาที่กั้นไว้พลันถูกแหวกอีกครั้งแต่ เป็นฝั่งนั้นที่ดันผ้าออกมา


คนสองคนเดินมายังห้องพร้อมกัน เด็กสาวตัวเล็กเป็นเมจู ส่วนอีกคนคือผู้เป็นแม่ของเมจู


นางเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสวยแต่ไม่โดดเด่นขนาดนั้น นางอยู่ในชุดธรรมดาซึ่งทำจากวัสดุหยาบๆ ที่หาได้เกลือนกลาดตามหมู่บ้านหรือแถวชนบทที่อื่น เส้นผมสีเดียวกันกับบุตรสาว แม้กระทั่งดวงตาเองก็เช่นกัน หากมองกลับกันนางกลับมีสายตาที่เบื่อโลกเสียเกินกว่าจะเป็นแม่ของเด็กสาวเมจู


เดียโวลอสกลอกตามองขาของนางแล้วกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ไม่แปลกเลยที่เมจูต้องขึ้นไปเก็บสมุนไพรลำพัง


นางพิการขาหนึ่งข้าง ต้องใช้ไม้ค้ำตลอดเวลา เป็นอันแน่นอนว่าหากขึ้นไปเก็บสมุนไพรสภาพนี้ก็ไม่ต่างจากการเข็นครกขึ้นภูเขาเสียเท่าไร ขณะนั้นเองบรรยากาศในบ้านหลังเล็กก็วังเวงจนเงียบกริบ เงียบเสียจนเข็มหล่นยังได้ยิน แม้จะเงียบอยู่นานผู้ทำให้อารมณ์ทั้งคู่เปลี่ยนแปลงคือเด็กหญิงตัวน้อยนามเมจู


“ท่านเป็นใครงั้นหรือ?” น้ำเสียงของนางฟังแล้วเหมือนเป็นเสียงก้องกังวาลในวิหารอย่างไรอย่างนั้น กลับกันแล้วมันชวนรู้สึกว่างเปล่าไม่เหมือนน้ำเสียงของมนุษย์


อย่างไรก็ตาม เดียโวลอสก็ต้องตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มจากริมฝีปากสีแดงเข้ม “เดีย...เดีย เดอ ครูดาวา” เขาโน้มตัวเล็กน้อยอย่างนอบน้อมหวังให้หญิงตรงหน้าเปิดใจ


“มาจากนคร-” ไม่ทันที่แม่ของเมจูจะพูดจบ ก็ถูกขัดโดยตัวของเมจูเองเสียก่อน


“พี่หญิงเดีย หลังจากนี้ข้าขอเรียกแบบนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ?” เด็กสาวที่อยู่มุมห้องถามพร้อมใบหน้าจริงจังไม่อารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนตอนแรก นางคงจะเป็นคนประเภทโกรธง่ายหายเร็ว


“...อ่า ได้สิ...” เดียโวลอสตอบ


เมื่อชายในชุดกระโปรงสีขาวได้หันกลับมองหญิงผู้เป็นแม่ของเมจูผู้สดใสแล้ว ก็เห็นได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน นางจ้องมองมายังผมสีเงินยาวประบ่า ดูท่าแล้วคงมองอยู่นาน


เมื่อครู่นางอาจจะถามว่าข้ามาจากนครรัฐ...นางคงไม่ได้อยู่ที่นี่มาก่อน ภูเขาลูกนี้อยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนทางที่ใกล้กับนครรัฐที่สุดก็เป็นภูเขาแฝดดีโอซึ่งที่นั่นก็อยู่ฝั่งตะวันออกซ้ำยังเป็นที่คาบเกี่ยวของชายแดนระหว่างเมืองท่าฮาสตาจีเพียสกับอาณาจักรสเตลลา เดียโวลอสคิดวุ่น เมื่อรู้ตัวอีกทีก็เห็นนางไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ด้านข้างเสียแล้ว


สัมผัสข้าทื่อลงไปมากอีกเช่นเคย ชายหนุ่มตระหนักคิด เขารู้ดีว่าทุกครั้งที่ตายลงก็ต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง แม้แต่ประสาทสัมผัสในการรับรู้ก็เช่นเดียวกัน ต่อให้มีประสบการณ์มากแค่ไหนหากร่างกายตามไม่ทันก็ไร้ประโยชน์พอควร


“ทำไมท่านไม่นั่งก่อนล่ะ?”


“ขอบคุณเจ้าค่ะ...” เดียโวลอสรับทราบแล้วจึงลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ นาง


“ไม่จำเป็นต้องพูดสุภาพกับข้านักหรอก ขุนนางเช่นท่านจะแปดเปื้อนเสียเปล่า” นางกล่าวด้วยแววตาเซื่องซึม พลางหยิบของบางอย่างออกมาจากใต้ลิ้นชักบริเวณหน้าต่าง


“ข้าไม่ใส่ใจอะไรหรอกเจ้าค่ะ จะว่าไป...หากข้าขอค้างที่นี่จะได้ไหมเจ้าคะ เท่าไหร่ข้าก็ยอม”


หญิงตรงหน้าเงียบไป ไม่แปลกเลยที่จะต้องคิดตรึกตรองอยู่นาน คำพูดของเดียโวลอวทำนางหนักใจอยู่ไม่เบา หากปฏิเสธไปก็จะไม่ดีเพราะเขาเข้ามาแล้ว หากตอบตกลงแล้วขอมากไปก็จะถูกมองว่าโลภ หากไม่ขออะไรตอบแทนก็แปลกจนไม่น่าไว้ใจ


“ข้าคงต้องถามความเห็นของเมจู ที่นี่ไม่ได้มีข้าคนเดียวท่านก็รู้” นางพลันเสมองไปยังลูกสาว


เดียโวลอสแทบฉีกยิ้มกว้าง เขาไม่อยากเชื่อสายตา หญิงตรงหน้าไม่ใช่สามัญชนธรรมดาๆ อย่างแน่นอน มันกระตุ้นต่อมความใคร่รู้ของชายหนุ่มจนเกือบทำสีหน้าเสแสร้งหลุดไป


กระทั่งเดียโวลอสเริ่มเย็นลง แล้วกราดมองไปทั่วห้องก่อนเปิดปากออกไป “แล้วสามีท่าน...?” ครั้นชายหนุ่มได้พูดจบ ทั้งสองแม่ลูกก็หน้าเจื่อนอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะแม่ของเมจู ผู้คงสีหน้าไร้อารมณ์มาตั้งแต่แรกกลับต้องแสดงความเศร้าซึมบนหน้าจากเรื่องในอดีต


“เขาไม่อยู่แล้วล่ะ เราอยู่สองคนแม่ลูกมานานแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ใบหน้าของนางหมองเศร้า น้ำเสียงที่เอ่ยพร้อมอารมณ์ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์


อีกด้านหนึ่ง เมจูก็ได้เปิดประตูแล้วออกไปข้างนอก เดียโวลอสก็ไม่วายที่จะตามออกไป แต่ก่อนหน้านั้นต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้ได้ก่อน “ข้าเสียใจที่ได้ยินเช่นนั้น”


หญิงตรงหน้าเงียบไป ก่อนจะเชิญชวนเดียโวลอสเข้างานเลี้ยงในตอนดึก “...คืนนี้สนใจชมงานของหมู่บ้านไหมล่ะ...?”


ชายหนุ่มนำมือทั้งสองประกบเข้ากับมือคู่นั้นของนางแน่นแล้วจึงส่งยิ้มให้พร้อมพยักหน้าเบาๆ สองที มือของนางช่างหยาบกร้าน... จากนั้นก็ปล่อยออกแล้วไปข้างนอกตามเมจูที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่


แม่ของนางมองตามแผ่นหลังอย่างเคลือบแคลงพลางคิดในใจว่าแปลก พร้อมพยุงตัวขึ้นจากเก้าอี้ เกาะโต๊ะแล้วเดินเข้าไปยังห้องนอนตามเคย




ข้างนอกบ้านหลังนี้เริ่มมืดแล้ว เมื่อออกมาชมวิวนอกกันสาดก็พบว่าหลังต้นไม้หลายต้นฉายแสงสีส้มสว่างทั่วเมื่อมองขึ้นไปเรื่อยๆ เฉดสีเริ่มเปลี่ยนไป จากส้มไปม่วงสุดท้ายจบลงที่ท้องฟ้าสีครามอันเต็มไปด้วยหมู่ดาวพร้อมเมฆบางส่วนที่บดบัง


“เมจู...เมจู!” เดียโวลอสก้มกลับลงมาแล้วเริ่มเรียกหาเด็กสาว


“...ข้าอยู่นี่...” เสียงของเมจูแผ่วเบาแต่ก็พอได้ยิน


ชายหนุ่มตัดสินใจเดินไปทางหลังบ้านในทันทีก่อนจะพบนางนั่งกอดเขาข้างท่อนซุงปนด้วยขอนไม้หลายกอง หน้าตานางอึมครึมตั้งแต่เมื่อเดียโวลอสถามออกไปตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว


นางคงทำมาหากินแบบนี้นานแล้วสินะ ชายหนุ่มคิด สายตาเหล่มองไปยังเด็กสาวตัวน้อย ก่อนเดินเข้าไปใกล้ช้อนกระโปรงสีขาวให้ขึ้นมาแล้วนั่งลงด้านข้างนางอีกที


แต่แล้วเมจูก็หันขวับมาค้าน “ท่านพี่หญิงเดียหากมานั่งแบบนี้ชุดที่ใส่จะเปื้อนนะเจ้าคะ”


ทั้งคู่จ้องตาอยู่นานไม่ได้พูดอะไร กระทั่งเมจูกลับไปท่าเดิม


“...เมจู สายใยมันถูกตัดขาดยากจะตายไป แต่ชีวิตไม่ยั่งยืนหรอกนะ...ร้อยปีผ่านไปเจ้าอาจจำเขาได้ แต่ก็ไม่อาจพบเขาได้อีกแล้ว ชีวิตในตอนนี้สำคัญกว่าสิ่งใด” เขาลอบถอนหายใจแล้วพึมพำต่อท้าย “ข้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร สำหรับข้า ข้าไม่รู้แม้แต่สิ่งเดียว แต่พอกับคนอื่นข้ากลับรู้ดีหลายอย่าง”


“ข้าไม่เคยจำหน้าของท่านพ่อได้ตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าข้าจะทำด้วยวิธีใดก็ตาม” เมจูบอกพลางคลี่ยิ้มจางปลอบใจตัวเอง


เดียโวลอสมองหน้าเด็กสาวด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “เจ้าทำข้าไปต่อไม่ได้เลยล่ะเมจู” เขาแทบพูดไม่ออกเมื่อนางกล่าวเช่นนั้น


จู่ๆ เมจูก็เปิดปากบอกบางอย่างให้เดียโวลอสสงสัย “ข้าน่ะดูอดีตได้ ท่านจะเชื่อหรือเปล่า?”


เดียโวลอสเงียบไปก่อนหันมาถามด้วยสีหน้าฉงนงงงวยแลดูไม่เชื่อ “...เจ้าเป็นสาวกของทิมพัสเหรอ?”


“ข้าพูดจริงนะ!!!” เด้กสาวยันว่าคำพูดที่นางบอกไปเป็นความจริง


ก็ไม่แปลกที่เดียโวลอสจะไม่เชื่อเด็กสาวตัวน้อย แต่อีกทางก็อาจเป็นไปได้ เมื่อคิดดูแล้วเขาก็เหมือนคนที่มีพลังคล้ายคลึงกัน จึงตัดสิ้นใจถามต่อให้คลายข้อสงสัย ไหนๆ นางก็ยืนยันมาขนาดนนี้แล้ว


“ยังไงล่ะ?”


แล้วเมจูก็เริ่มเล่า “เมื่อครั้งที่ข้าเป็นเด็กตอนที่ข้ากำลังส่งสมุนไพรให้กัพวกพ่อค้า จู่ๆ ข้าก็เห็นพวกเขากลายเป็นเด็ก และสถานที่รอบข้างก็เหลือเพียงบ้านใหม่ๆ ไม่กี่หลัง คารวานที่ตามมาก็เป็นเด็กไม่ก็หายไป”


ในขณะเดียวกันเดียโวลอสก็หูผึ่งตั้งใจฟังอย่างเรียบร้อยไม่เปิดปากขัดขึ้นมาแม้แต่คำเดียว จนเมจูต้องถามด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง


“พี่หญิงเดียจะให้ข้าพูดอยู่คนเดียวเลยหรือไง?” นางหน้ามุ้ยคล้ายคนไม่สบอารมณ์ นางคงรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อต้องพูดอยู่คนเดียวในขณะที่เดียโวลอสผู้รับฟังเปรียบเสมือนเสาหิน


“ข้าก็อยากตั้งใจฟังในเมื่อเจ้าตั้งใจเล่า” ทั้งสอบมองหน้ากันครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปตามเดิมแล้วเมจูก็เล่าต่อเรื่อยๆ


“กระทั่งวันหนึ่ง ข้าลงไปแถวลำธาร ตอนที่มองลงไปตาทั้งคู่ของข้ามันเป็นสีฟ้า ทั้งๆ ที่มันควรเป็นสีน้ำตาลแท้ๆ จากนั้นบนผิวน้ำก็ปรากฏหน้าข้าตอนเด็กมากๆ มาให้เห็น ใบไม้ส่วนใหญ่ก็เขียวเข้มขึ้นจนเห็นได้ชัด”


ช่างคลับคล้ายคลับคลาแต่ข้าก็จำไม่ได้ เดียโวลอสขมวดคิ้วเป็นปมแล้วถอนหายใจลากยาวจนเด็กสาวเอะใจ


“ไหนท่านบอกจะเชื่อไง?” เมจูเสียงกระเส่าปานจะร่ำไห้


เดียโวลอสได้แต่ทำหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์ตอกกลับไปว่า “ข้าไม่เคยพูดว่าข้าจะเจ้าเชื่อนะเมจู” เขาแทบทำหน้าเหมือนกบทันทีที่มองไปยังเด็กสาวผู้กำลังจะปล่อยโฮได้ทุกเวลา


หนุ่มในชุดเดรสสูดหายใจฟอดใหญ่พร้อมยืนขึ้นพลางยื่นมือไปหาเด็กสาวที่นั่งกอดเขา สื่อว่าให้นางนั้นยืนขึ้นข้างๆ เมจูตอบรับโดยการแตะมือก่อนจะกำแน่น เดียโวลอสดึงตัวนางขึ้นขณะที่นางยันตัวลุกขึ้น


จู่ๆ เมจูก็นิ่งราวกับรูปปั้น สีหน้าราวกับลืมสิ่งสำคัญบางอย่างไป เมื่อชายผมเงินประบ่าสะกิดถามด้วยน้ำเสียงสตรีวัยรุ่นก็สะดุ้งเฮือก


“ข ข ข ข้าลืมไปตักน้ำมาใส่อ่าง เย็นขนาดนี้ คงอดแช่น้ำพอดี!” เมจูกล่าวด้วยความลนลาน


ท่าทางละลนละลานนั้นเองของนางทำให้เดียโวลอสต้องจับไหล่ให้หยุดอยู่กับที่เหมือนตอนนิ่งไป พร้อมบอก “ไม่เป็นไรน่า...ข้าใช้เวทมนตร์ได้”


เด็กสาวสิบขวบตะลึงงันพลันตาโตพลอยเป็นประกายระยิบระยับด้วยความหวังในใจซึ่งขัดกับปากที่อ้ากว้างแทนที่จะคลี่ยิ้มอย่างดีใจ “ถามจริงเถอะ...พี่หญิงเดีย”




ทั้งคู่กลับเข้าบ้านเช่นเดิมหลังออกมาสักพัก พร้อมเตร่ไปยังห้องเสื้อผ้าของบ้านในทันที


ภายในนั้นมีตู้ไม้สำหรับใส่เสื้อผ้าอยู่ด้านข้างฝั่งขวา ถาดไม้ใหญ่สำหรับรองเวลาล้างตัวทางด้านซ้าย ส่วนตรงกลางเป็นอ่างไม้สูงเทียมเอวของเดียโวลอส


เขาเดินไปข้างล่างแล้วตัดนิ้ววาดวงจรเวทมนตร์พร้อมเอ่ยปากเปิดใช้งานเวทย์ “วารี” น้ำจำนวนมากไหลจากสัญลักษณ์สีอำพันบนอากาศลงสู่อ่างไม้ไม่ช้าไม่เร็วนัก


เมื่อเวลาผ่านไปน้ำก็ได้ครึ่งถัง เดียโวลอสสั่งให้เมจูนั้นไปต้มน้ำเพื่อมาผสมใส่ในน้ำในอ่างอีกที เพราะช่วงนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว หากลงอาบทั้งๆ แบบนี้มีหวังไข้ขึ้นพอดี


เวลาผ่านไปสักพักน้ำร้อนในกาก็ถูกถือมาโดยเมจู ก่อนจะเทผสมรวมกับน้ำในอ่างที่มีปริมาณเลยครึ่งอ่างมาเล็กน้อย จากน้ำใสเย็นก็อุ่นพอที่จะอาบได้อย่างสบายตัว


แน่นอนว่าคนที่จะอาบเป็นคนแรกๆ ก็ต้องเป็นเจ้าของบ้าน


“พาแม่เจ้ามาอาบก่อนเถอะ ข้าใช้น้ำต่อได้” เดียโวลอสบอกด้วยใบหน้าแม่พระเหมือนละทิ้งความเป็นขุนนางแปรเปลี่ยนเป็นสตรีสุดแสนจะใจดี


“แต่ว่าท่านพี่หญิงเดียเป็นขุนนาง...” นางหางคิ้วตก ทำท่าคิดวิตกวุ่น


เดียโวลอสเลิกคิ้วแปลกใจ “เชิญตามสบาย ข้าไม่ได้เคืองอะไรพวกเจ้า” เด็กตรงหน้าเขาตอนแรกนั้น บ้างก็เกรงใจ บ้างก็ร้ายใส่ จนทำให้ชายหนุ่มต้องผ่อนหายใจเหนื่อยเป็นครั้งคราวกับการกระทำต่างๆ ของเธอ


“...จริงเหรอ...” เมจูออดอ้อนด้วยใบหน้าอันน่ารักจิ้มลิ้มพร้อมแก้มสองข้างที่เหมือนขนมปังก้อนฟู


“อืม” หญิงผมเงินประบ่าพยักหน้าตกลง


จากนั้นเด็กสาวตัวน้อยก็กระโดดโลดเต้น แล้ววิ่งออกไปตามผู้เป็นแม่ ทางด้านของเดียโวลอสจำต้องปลีกตัวจากสองแม่ลูกที่เพิ่งเข้าห้องอาบน้ำ เขาอ้าแขนรับลมหนาวอ่อนๆ ในค่ำคืน ลมเย็นบางเบาพัดลอดชุดเดรสขาวอันสง่ามีสกุล


งานประจำหมู่บ้านในค่ำคืนนี้...ข้าจะสนุกกับมันเหรอ?หญิงสาวหน้าเครียดพลางจิกเล็บไปมา ลิซเคยบอกข้าให้ปล่อยใจตามบรรยากาศ...ข้าอยากสนุกไปกับมัน ข้าหวังว่าข้าจะทำได้ เขานึกย้อนในวันวานก่อนเผยยิ้มจางแก่ตนเอง


เขานำก้นพิงกับราวจับใกล้ประตู แล้วเริ่มมองฟ้า ดวงจันทร์สีเหลืองอ่อนสะท้อนแสงกระทบเข้าม่านตาด้วยภาพอันงดงาม จันทร์เต็มดวงรอบด้วยเส้นแสงฟุ้งจนเกือบเห็นเป็นจันทร์อีกดวงซ้อน มาพร้อมเหล่าหมู่ดาวมากเกินคณานับบนฟ้ามืด


นายพราน...เดือนเดียวกันกับวันนั้นเลย เขาจ้องมองกลุ่มดาวนายพรานบนฟ้าก่อนลำพึงลำพัน


ผมสีเงินประบ่าส่ายสะบัดไปตามลมอย่างนั้นอยู่นานในท่าเดิม


กระทั่งเสียงนุ่มเล็กได้ดังขึ้นหลังประตู “พี่หญิงเดีย! ข้ากับท่านแม่อาบน้ำเสร็จแล้วนะเจ้าคะ!”


ทว่าเดียโวลอสยังคงนิ่งอยู่ เด็กสาวน่ารักอย่างเมจูจึงเปิดประตูแล้วโผล่หน้าออกมาพร้อมด้วยเสียงเย้าแหย่ “มัวทำอะไรอยู่คนสวย~”


เดียโวลอสหลุดจากภวังค์พลันหันตามเสียงเรียก สีหน้าดูตกใจเล็กน้อย ตนคอเหงื่อไหลหน่อยๆ จนทำให้ผ้าที่ปิดไว้พอเป็นรอยเปียกจางๆ


“ข้า...คิดมากนิดหน่อยน่ะ” เขาหน้าถอดสีพลันเบี่ยงสายตาหนี


“สตรีงดงามอย่างพี่หญิงเดียมีเรื่องให้ทุกข์ด้วยเหรอเจ้าคะ?” นางถามด้วยความใสซื่อ


หากเป็นคนอื่นคงหมั่นไส้ใบหน้ารูปนั้นแน่นอน ทว่าเดียโวลอสกลับยื่นมือไปแตะไหล่ของเด็กสาวพร้อมบอก “ข้าขอตัวไปล้างเหงื่อก่อน” เขายิ้มอย่างอ่อนโยนด้วยริมสีปากสีกุหลาบแห้ง


เดียโวลอสเดินกลับเข้าบ้านแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสีดำของตนที่ตั้งไว้บนตู้ไม้ ก่อนจะตรงเข้าไปยังห้องอาบน้ำที่สองแม่ลูกเพิ่งออกมาได้เมื่อครู่


ชุดเดรสสีขาวได้ถูกถอดออกจนเผยเรือนร่างผอมเพรียวเอวบาง ผิวพรรณที่ขาวจนดูไม่อบอุ่น วิกผมสีเงินได้ดึงออกพร้อมกับตาข่ายเก็บผม ผมสีดำขลับยาวสลวยทิ้งลงมาตามน้ำหนักมียุ่งบ้างแต่ก็ถูกสางโดยนิ้วมือทั้งสี่


เขายืนบนอ่างไม้ใบเล็ก ถอดกางเกงชั้นในออกตามด้วยการก้มหยิบขันตักน้ำแล้วราดล้างตัวหนึ่งครั้ง เขาตักอีกขันแล้วแคะเศษดินที่ติดในซอกเล็บก่อนจะนำน้ำขันนั้นล้างเท้าอีกที


ผมที่เปียกปรกลงปิดหน้าจนต้องเสยขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางบางๆ ก็ถูกชำระออกเมื่อหย่อนตัวลงในอ่างไม้ใบใหญ่ เขาถูแทบทุกส่วนของร่างกายเพื่อทำความสะอาด เริ่มจากหน้าแล้วต่ำลง เมื่อแช่จนพอใจก็ออกมาเช็ดหน้าเช็ดตัวจนเรียบร้อย


ตอนนี้เดียโวลอสต้องแต่งหน้าอีกครั้ง แต่รอบนี้อาจแต่งเติมเพียงแค่ปากแล้วแก้มจางๆ น้อยกว่าตอนแรก เขาเปิดกระเป๋าแล้วเริ่มควานหาจากนั้นก็แต่งใบหน้าตนเองให้มีชีวิตชีวาขึ้น ผมที่เปียกชุ่มก็แห้งสนิทด้วยเวทมนตร์ลมระดับหนึ่ง


เขาเดินไปที่กระเป๋าสะพายข้างอีกครั้งแล้วหยิบขวดแก้วลวดลายสวยงามขึ้นมา เปิดจุกแล้วยกดื่มไปหลายอึกจนเหลือน้อยกว่าครึ่ง น้ำยาสกัดมานานี่...รสชาติห่วยบรม เขาขมวดคิ้วกับรสชาติก่อนจะเก็บมันกลับ


เดียโวลอสเก็บผมที่แห้งแล้วด้วยตาข่ายพลันนำวิกสีเงินยาวประบ่านั้นมาสวมไว้ พร้อมกับกับผ้าปิดคอสีขาวที่ใส่คู่ชุดเดรส แต่เหมือนว่าเดรสขาวตัวนั้นจะไม่ได้ใส่ในคืนนี้ เพราะใกล้ประตูทางออกแขวนชุดกระโปรงไว้ตัวหนึ่งบนราวแขวน


เขาสวมมันแล้วออกไปด้วยกลิ่นหอมของดอกคาโมมายล์ที่บดผงแล้วใส่อาบในน้ำ ชุดสีน้ำตาลนี้ไม่เข้ากับข้าเลย แต่ถึงอย่างไรข้าก็จำต้องสวมมันอยู่ดี


ครั้นประตูได้เปิดออก เสียงหนึ่งก็ตรงเข้ามาพร้อมมืออันเล็กที่เอื้อมมาจับแขนเสื้อให้ออกไปอย่างเร่งรีบ “มาเร็วๆ พี่หญิงเดีย งานหมู่บ้านจะเริ่มแล้ว!!!” นางดูกระตือรือร้นด้วยใบหน้าอันมีความสุข


กลับกันเมื่อออกไปข้างนอก มารดาของนางกลับแสดงสีหน้าอมทุกข์อย่างเห็นได้ชัด นางไม่ได้มีความสุขเหมือนคนอื่นๆ ที่อยู่ในหมู่บ้าน


“ให้ข้าช่วยท่านเอง...” เดียโวลอสกล่าวพลันเดินไปประกบข้างช่วยพยุงตัวของนางเสริมไม้เท้าอีกทีหนึ่ง สายตาเหลือบมองท่าทีหญิงพิการ


แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าในดวงตาที่มองพื้นพร้อมคำขอบคุณสั้นๆ หนึ่งคำตอบกลับ “ขอบคุณ” น้ำเสียงนั้นเย็นยะเยือกไร้อารมณ์เหมือนกับหญิงผมที่เข้ามาช่วยไม่มีผิด


...คนที่เจ็บปวดมามากมักไม่บอกว่าตนเจ็บเพียงใด...หากถามไปก็ไร้ประโยชน์เสียงเปล่า นางอาจจะคล้ายกับข้า เพียงแค่ข้าผ่านมามากกว่าเท่านั้น เดียโวลอสยังคงเดินหน้าไปที่กลางหมู่บ้านในหัวก็นึกคิดอะไรไปทั่ว


เมื่อทั้งสามมาถึงใจกลางของหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว ก็กวาดตามองไปทั่ว คนในหมู่บ้านไม่ได้เยอะขนาดนั้น หากมองผ่านๆ คนที่ยืนอยู่ส่วนมากก็พบหน้าตั้งแต่เดินเข้ามาในหมู่บ้านตั้งแต่แรกแล้ว


กระทั่งหางตาก็บรรจบกับบางอย่างดูแวบไปมา จนเดียโวลอสขัดใจจึงหันมอง นางทำท่าหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาใครบางคน “เมจู สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน?” ไม่ทันที่เดียโวลอสจะชี้ถึง เมจูก็พรวดพราดพุ่งออกไปก่อน


คนรู้จักเองหรอกเหรอ...ไม่ใช่แค่ทักแต่พามาด้วย...


หญิงผู้นั้นมีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มมัดรวบพาดไหล่ เสื้อผ้าที่สวมใส่คลับคล้ายกับชุดที่เดียโวลอสและคนอื่นๆ สวมใส่


นางมายืนตรงหน้าของเดียโวลอสและแม่ของเมจูพร้อมโค้งตัวเคารพอย่างเงอะงะ แม้บุคลิกของนางจะดูงุ่มง่ามจนน่าขัดใจ แต่หน้าตาของนางนั้นขนาดที่ว่าแม่ของเมจูว่างามแล้วยังต้องชิดซ้ายให้แก่หน้าตาราวกับรูปปั้นเทพธิดาแกะสลักของหญิงผู้นี้


นางจูงหญิงผู้นั้นมาแล้วนำอีกมือมาจับแขนเสื้อของหญิงผมเงิน แล้วจึงแนะนำตัวของคนรู้จักนางให้ฟัง “พี่หญิงคาล์มน่ะ แต่นางหูหนวก...ท่านก็อย่าหงุดหงิดนะเจ้าคะ”


เดียโวลอสมองหน้าคาล์มก่อนพบสีหน้าเก้อเขินทำตัวไม่ถูก เมื่อเป็นดังนั้นเดียโวลอสจึงยิ้มส่งไปหวังผูกมิตร นางโน้มตัวลงตอบรับ


แล้วเสียงตะโกนป่าวประกาศก็ดังกึกก้อง “เอาล่ะ! เอาล่ะ! จะได้เวลางานแล้ว!!!” มันเป็นเสียงใหญ่ของชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วมมีหนวดเครา


“ท่านน้า...อากาศเย็นปานนี้ เหตุใดคนในหมู่บ้านถึงไม่สวมผ้าหน้ากันล่ะ” เดียโวลอสถามหญิงพิการผู้เป็นแม่ของเมจู


นางอ้ำอึ้งก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “งานยังไม่เริ่มเลย เจ้ารอดูก่อนสิ” เมื่อสิ้นสุดคำพูดนางก็หันหน้าหนีแล้วจึงมองไปยังเสียงตะโกนก้องเมื่อครู่


เดียโวลอสมองจ้องใบหน้าอึมครึมนั้นก็พบไฟแค้นที่ยังคงลุกอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นดังนั้นจึงตอบกลับไปเพียงคำเดียวแผ่วๆ “...เจ้าค่ะ...”


“พี่หญิงเดีย-”


ไม่ทันที่เมจูจะพูดจบ สายตาของหญิงผมเงินก็สะดุดเข้ากับการจ้องมองของชายร่างท้วมผู้นั้น แทนที่จะมองอย่างปกติ ทว่าแววตากลับน่าขยะแขยงจนขนลุกชันอย่างไม่รู้ตัว


เดียโวลอสหันขวับหาเด็กสาวในทันที “คนนั้นหัวหน้าหมู่บ้านเหรอ?” เขาขมวดคิ้วถามพลางมองค้อนใส่ชายวัยกลางคนซึ่งคาดว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน


เมจูลูบคางเบาๆ แล้วกล่าวเสียงนุ่ม “ใช่ ลุงอีริคเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่นี่ เท่าที่จำความได้ ตั้งแต่ข้าเกิดมาข้าก็รู้ว่าเขาได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว”


“ดูอาวุโสจริงนะ...” เขาเหลือบมองแม่ของนางด้วยหางตา หญิงผู้นั้นยังแผ่ความมืดมนออกมาตลอดเวลา ราวกับเคียดแค้นมาตั้งแต่ชาติปางก่อน


และเสียงดังกึกก้องของอีริคก็ดังอีกครั้ง ซึ่งทำให้ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “จุดไฟ!!!” สิ้นเสียงของอีริค ชายฉกรรย์คนหนึ่งในหมู่บ้านก็คว้าคบเพลิงที่จุดไว้รอข้างอีริคแล้วพุ่งเข้าจุดใส่กองฟืนที่ถูกราดด้วยน้ำมันจนเกิดไฟลุกโชนอย่างทันทีทันใด


ตามมาด้วยจังหวะกองตุบตับดังอยู่รอบข้าง เสียงดีดของเครื่องสายก็ตามมาจางๆ เหล่าผู้คนต่างโยกตัวไปพร้อมความบันเทิงเหล่านั้น บ้างหัวเราะสนุกสนาน บ้างก็โห่ร้องออกมา นับเป็นสีสันของงานในคืนนี้


“พี่หญิงเดีย พี่หญิงคาล์ม ดูนั่น!” เมจูตะโกนพร้อมชี้นิ้วตาสองข้างพลอยเป็นประกายอย่างตื่นเต้น


“...เริ่มอุ่นขึ้นมาแล้วสิ...” เดียโวลอสยังคงยืนพยุงแม่ของเมจูอยู่เหมือนเดิมไม่ได้เคลื่อนไหวหนักเหมือนคนอื่นๆ


จู่ๆ หญิงสาวร่างผอมเพรียวต่างเดินเข้ามาใกล้กองไฟด้วยเสื้อผ้าสีขาวบางติดเนื้อหนังแล้วเริงระบำออกท่าร่ายรำอย่างสวยงามตามจังหวะเครื่องดนตรีซึ่งดังเป็นเบื้องหลัง


แทบทุกสายตาถูกสะกดด้วยบั้นท้ายที่สวยงาม เนินอกนูนแน่นสั่นสะท้านด้วยสะบัดตัว ทั้งหลายพลางเดินลอบฝูงชนไป เหล่าชายต่างมองตามน้ำลายย้อยไม่เว้นแม้แต่สตรีบางคนที่อ้าปากหวอ เมจูที่อยู่ไม่นิ่งด้านข้างก็เช่นกัน


หญิงผมเงินที่ยืนแน่นิ่งหันหน้ามองผู้ถูกพยุง ทุกคนต่างมีความสุขกันแต่นางกลับทำหน้าเผยทุกข์เห็นออกมาชัดเจน




หลังจบงานเฉลิมฉลองของหมู่บ้านเดียโวลอสกลับมาในบ้านของเด็กสาว แน่นอนว่าเขาต้องนอนค้างในคืนนี้ อาหารบ้านๆ รสชาติอร่อยไม่น้อยเมื่อทานในบรรยากาศน่าผ่อนคลายแบบนั้น


เขาปูผ้าบนพื้นในห้องนอนของทั้งสองแล้วนำหมอนวางพร้อมลงนอนในห้องที่เพิ่งดับไฟ ทุกคนหลับกันหมดจนกระทั่งเสียงบางอย่างได้ใกล้เข้ามา