หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง) - บทที่ สี่ ไม่อยากรำลึก โดย คุณเด้ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด,แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์ค,เลือดสาด

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดาร์กแฟนตาซี

รายละเอียด

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง) โดย คุณเด้ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หนทางสู่นิรันดร์คือแห่งหนใด ชีวิตที่แล้วแล้วมาต่างไม่ได้ให้คำตอบข้าแม้แต่น้อย สิ้นชีพเยี่ยงวีรบุรุษก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทน ตายอย่างวายร้ายก็ไร้ซึ่งคำบอกใบ้ คราวนี้ข้าควรทำเช่นไร?

ผู้แต่ง

คุณเด้ง

เรื่องย่อ

*หากเจอคำผิดหรือชื่อตัวละครเขียนไม่เหมือนเดิม ติได้เลยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง


สวัสดีนะครับ ผม เด้ง นะครับ เป็นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ติดค้างอยู่ต้นบทที่ 6 อยากจะกลับมาเขียนต่อแต่เวลาว่างที่มีตอนนี้เหลือน้อยสุดๆ ไปเลยล่ะครับ เพราะกำลังเตรียมสะสมผลงานวาดภาพให้ได้เยอะๆ อยู่ แหะๆ ก็เลยดองนิยายเรื่องนี้ไว้ซะนานเลย จึงอยากจะใช้แพลตฟอร์มนี้ในการทดลองลงนิยายดู หากมีเรื่องพูดคุยก็คอมเมนต์ได้เลยนะครับ จะชื่นใจมากๆ ผมหวังไว้ว่าทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจะมีความสุขในการใช้ชีวิตนะครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีเรื่อยไปครับ





สารบัญ

ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-อารัมภบท นับหนึ่งอีกครา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง การย้อนกลับครั้งที่สามสิบเจ็ด,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง ภูตเงา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ หนึ่ง นามของทรราช,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย □□□...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง หมู่เมฆบดบัง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง ผ้าสีขาวย้อมแดง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สอง มือของข้าถูกกุมไว้,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม คล้ายว่า...,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สาม จดหมาย 100 ปี,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ขาดหาย มีไว้ให้เจ้า,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ หมู่บ้านตีนเขา,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ เริงระบำ,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ สะเก็ดเพลิงสัมผัสฟาง,ใต้เงาทลาย (ทดลองลง)-บทที่ สี่ ไม่อยากรำลึก

เนื้อหา

บทที่ สี่ ไม่อยากรำลึก

นิ้วชี้ลูบจมูกไปมาพร้อมเสียงสูดน้ำมูก จมูกของเดียโวลอสแดงเล็กน้อยเมื่อปะทะเข้ากับกลุ่มควัน รอบข้างถูกล้อมรอบด้วยเหล่าชวนบ้านที่โห่ร้องกันระงม หลายคนสวดส่งให้แก่อีริคหวังให้เข้าไปสู่อ้อมกอดของมาคาลัม


ในขณะเดียวกันบุตรสาวซึ่งตั้งครรภ์ได้เดือนของเขายังคงนั่งร่ำไห้กอดผู้เป็นมารดาไม่ไกลจากโลงที่มอดไหม้ จากที่ตาจะได้อุ้มหลานกล่าเป็นว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้พบ


“แม่เจ้าไปไหนอีกเสียล่ะเมจู” เดียโวลอสถามเด็กสาวอย่างนุ่มนวล พลางกวาดสายตามองหารอบๆ


“อืม...” เมจูลูบคางครุ่นคิดก่อนตอบ “เห็นว่าหาที่นั่งอยู่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านแม่อยู่ที่ใด พี่หญิงเดียลองหาดูสิ”


เดียโวลอสนิ่งไปพลับลอบถอนหายใจจนหมดลม “ก็ได้...เดี๋ยวข้าจะไปหาเองส่วนเจ้าก็อยู่แถวนี้ไปก่อน ไม่นานข้าจะกลับมา” เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินหายออกไปจากฝูงชนที่ชุกชมจนแออัด


ยังดีที่หน้าหนาวช่วงปีนี้แดดแรงไม่เท่าปีก่อนๆ หากยังเป็นแบบปีที่แล้วมามีหวังเดียโวลอสได้ลอกผิวใหม่เป็นแน่แท้ หญิงผมเงินร่างบางหอบกายที่คลุมด้วยเสื้อแขนยาวหนาไปตามหมู่บ้านเพื่อหาจูลี่ แม่ของเด็กสาวตวัน้อยน่ารักน่าชังนามเมจู


เมจูมองภาพที่เดียโวลอสเดินจากไปก่อนเผยภาพของหมู่บ้านที่ลุกเป็นไฟ บ้านหลายหลังถูกมอดไหม้ ทันใดนั้นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกลับแปรผันเป็นสีฟ้าคล้ายมณีไพลิน จนเมจูต้องเขาทรุดแล้วจบลงด้วยสีตาที่ปกติกับภาพเบื้องหน้าที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนกลับมาเหมือนเดิม อดีต...ใช่ไหม...อดีต...


“เอ้า เมจูเจ้าลุกไหวไหมล่ะเนี่ย ไหงเจ้าถึงล้มไปได้” หนึ่งในฝูงชนเอ่ยถามพร้อมมือที่ยื่นมาด้วยความเป็นห่วง


“อ เออ...ข ข้า” เมจูอ้ำอึ้งสุดท้ายก็ไม่พูดแต่เพียงยื่นมือกลับไปแล้วลุกขึ้นยืน


เดียโวลอสมองหาตามบ้านหลังแล้วหลังเล่า จนแล้วจนรอดก็พบนางนั่งอยู่บนชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่ในหมู่บ้าน เดียโวลอสเข้าไปใกล้แล้วถามหวังให้นางเปิดใจ “ผู้ใหญ่บ้านอีริคเป็นญาติท่านเหรอเจ้าคะ?”


“...เปล่าเลย...” นางตอบเสียงแผ่วแต่มือกลับกำเชือกแน่น


“ดูจากเมจูแล้ว เหมือนว่านางจะมีความทรงจำดีๆ กับเขาเยอะเหมือนกันนะเจ้าคะ...แต่ท่านแลดูไม่ชอบเขาเลย เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ?” เดียโวลอสพยายามเค้น แต่ก็เท่านั้น นางไม่ได้ตอบอะไรมีเพียงการสวนเพียงประโยคสั้นๆ


“เด็กเช่นเจ้าไม่รู้จะดีกว่า” นางเหมือนคนที่ว่างเปล่า ไม่ใช่กาย แต่เป็นจิตใจ


เดียโวลอสยืนนิ่งมองไปที่จูลี่และขาที่มีเพียงครึ่งเดียวของนาง แล้วจึงหันกลับไปที่กองไฟลูกใหญ่ ผู้คนที่ล้อมรอบกองไฟนั้น สวดภาวนาให้แก่หัวหน้าหมู่บ้านที่จากไป แต่หญิงบางคนกลับหลบมุมยืนนิ่งในท่าสงบ แต่แววตากลับไม่สงบเช่นเดียวกัน


“ข้าขอตัวนะเจ้าคะ...” เดียโวลอสกล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินกลับไปหาเมจูที่รออยู่ที่เดิม


“นี่ เมจู...หัวหน้าหมู่บ้านอีริคเป็นคนยังไงเหรอ?” เขาถามด้วยใบหน้านิ่งเรียบ


เมจูก็พร้อมเล่า “ท่านแม่เล่าว่า เขาเป็นคนช่วยแม่ไว้ตอนที่นางหลบหนีมาที่หมู่บ้าน บ้านหลังนี้แท้จริงแล้วก็ได้ลุงอีริคนี่แหละที่มาช่วย บอกวันเขาก็จะนำอาหารมาให้ท่านแม่บ้างเพราะเห็นว่าท่านแม่ไปไหนลำบาก...ข้าเสียใจนะที่ลุงอีริคต้องจากไป ฮึก...” เมจูดึงเสื้อของเดียโวลอสแล้วโผเข้าประชิดพร้อมปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นมานานให้ไหลออกมา


เดียโวลอสก็ลูบหัวปลอบประโลม “ร้องออกมาเลย...ร้องออกมา” น้ำเสียงนุ่มนวล แต่ใบหน้าที่แสดงออกมานั้นไม่ใช่เลย


 


เมื่อไฟดับมอดก็ปล่อยเลยมาจนบ่ายเสียแล้ว ทั้งสามกลับเข้าบ้านโดยมีเดียโวลอสในชุดหญิงชาวบ้านพยุงจูลี่เข้าไปข้างในหลังทานอาหารเที่ยงที่จัดเลี้ยงโดยคนในหมู่บ้าน บรรยายกาศเงียบเชียบและอึมครึมแทรกเข้ามาในหมู่บ้านนี้ งานเลี้ยงเมื่อคืนแทบถูกลืมเลือนไปจากความโศรกเศร้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในตอนเช้าและลดลงมาในยามบ่ายแสนเงียบสงัดนี้


“พ พี่หญิง…” เมจูอ้ำอึ้งพลางน้ำนิ้วจิกแขนเสื้อของเดียโวลอสให้รู้สึกตัว


“ว่าไง?” เดียโวลอสเลิกคิ้วแล้วถามไป


“ค คือว่า…ท่านแม่ นางนิ่งเงียบมาตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าจะทำยังไงดีท่านพี่หญิงเดีย?” นางพูดติดขัดทั้งพยายามหลบสายตาจากจูลี่ที่ปล่อยความมืดมนออกมาเรื่อยๆ


“ช่วงเย็นทานอะไรดีล่ะ? อย่าลืมไปถามแม่ของเจ้าด้วย” หญิงผมเงินยิ้มส่ง อย่างอ่อนโยนด้วยริมฝีปากแดงเข้ม


“แต่ข้า…” เมจูพยายามค้านแต่ต้องเจอกับรอยยิ้มเรียบง่ายแต่ดูน่าสยองของเดียโวลอส ก่อนจะกลับใจแล้วตอบกลับไปแต่โดยดี “ข้าอยากทานซุปเออร์ซอลสีส้มร้อนๆ เจ้าค่ะ” นางก้มหน้ากล่าวท่าทางเหมือนกระต่ายหงอย


เดียโวลอสถอนหายใจตามด้วยเท้าเอวเอ่ยปากสวน “ไปถามแม่เจ้าด้วยสิเมจู”


“เจ้าค่ะ…” ขณะที่นางตอบอย่างแผ่วเบาสายตาของเดียโวลอสราวกับเห็นหูกระต่ายที่ตกลงมา


เดียโวลอสเดินออกไปด้วยนอกก็พบกับเมฆเต็มฟ้า ละอองสีขาวเริ่มตกลงมาเบาๆ สู่พื้นดินอันเต็มไปด้วยหญ้าเขียว บนใบของต้นไม่ใหญ่ก็มีเช่นกัน


เดียโวลอสรัลรู้ได้ทันทีว่าเวลานี้เข้าสู่กลางฤดูหนาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


เขาพาร่างกายอันเต็มไปด้วยชุดหนาออกไปรับอากาศและหิมะภายนอกกันสาดพลันฉุกคิดขึ้น ข้าควรเตรียมของขวัญวันเกิดให้นาง เขาเผลอยิ้มออกมาเบาๆ อย่างพอใจ


แล้วเสียงนุ่มใสกังวาลก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “ท่านพี่หญิงเดีย! ท่านจุดไฟให้ข้าหน่อยได้ไหมเจ้าคะ!”


เมื่อได้ยิน เดียโวลอสหันขวับกลับไปหาต้นเสียง พร้อมสีหน้างุนงง สุดท้ายเขาก็ตอบแต่โดยดี “...รอข้าสักครู่…” ก่อนจะมุ่งเข้าบ้านหลังเดิม


ทั้งคู่อยู่ในครัวเล็กๆ เดียโวลอสนั่งยองกวัดกวาดวาดนิ้วไปมาบนอากาศ ก่อนมีวงจรเวทสีทองอร่ามส่องสว่างวาบเป็นลายเส้นสวยงาม ตามด้วยคำเอ่ยร่ายใช้งาน “เพลิง”


ลายเส้นสีทองควบแน่นเป็นเปลวไฟดวงน้อย พร้อมปรากฏบนกองฟืน


ทันใดนั้นเมจูก็สะดุ้งโหยงด้วยใบหน้าตกใจปนหวาดกลัวที่แสดงออกมาชัดเจน ซึ่งมากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว


เดียโวลอสจ้องเขม่นแล้วเปิดปากถาม “เจ้า…เป็นอะไรไหม?”


เด็กสาวหายใจถี่รัวไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะตั้งสติดึงตัวเองกลับมาได้ นางปาดเหงื่อที่ไหลออกตามหน้าผากและลำคอ “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” เมจูกล่าวกลบเกลื่อน


หญิงผมเงินยาวประบ่ามองหน้า สุดท้ายก็หันกลับไปยังกองฟืนที่จุดไฟค้างไว้ ในสภาพรียงซ้อนกันสามชั้นสลับแนวตั้งแนวนอน มันคุมไฟได้ค่อนข้างดีเวลาทำซุป


เมจูหยิบหม้อดินเผาขึ้นมาแล้ววางลงไปบนหินที่ทำรูไว้ ใส่เนยสดลงไปผัดพร้อมเห็ดพอตโตเบลโล เมื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล กระเทียมและหอมแดงที่หมู่บ้านปลูกไว้ได้ตามลงไปด้วย แป้งสาลีสวยงามซึ่งแลกเปลี่ยนกับเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือพร้อมลงที่จะเทลงไปผสมกับส่วนที่เหลือ


ทว่าหม้อใบนั้นก็ต้องยกขึ้นมาพัก เพื่อให้เวลาเมจูเดินหาสมุนไพรอย่างเออร์ซอลสีส้ม แล้วก็เจอมันไปถุงผ้าบางสีน้ำตาลอ่อน มันเหลือเพียง ใบเรียวเล็กผ่านการต่างแห้งจนเป็นสีน้ำตาลส้ม


ว่ากันแม่มดพ่อมดมักใช้ สมุนไพรนี้ในการทำยาประเภทการดูดซับมานา หลังจากศึกษามานาน ก็ถูกนำมาใช้ในการประกอบอาหารเช่นกัน เออร์ซอลสีส้มจะดูดซับความร้อนได้ดีจนน่าเหลือเชื่อ มันสามารถมีอุณหภูมิเท่ามนุษย์คนหนึ่งได้ในอากาศที่เย็นเยือก เมื่อเออร์ซอลสีส้มถูกย่อยก็จะคลายสิ่งที่ดูดซับมาตามระยะเวลา


ว่าแล้วหม้อก็ตั้งไฟอีกครั้งพร้อมด้วยใบเออร์ซอลสี่ห้าใบลงหม้อดินเผา


ตามด้วยการเทน้ำสะอาดจากเวทมนตร์ เมื่อน้ำเริ่มร้อน ใบเออร์ซอลก็เริ่มคลายรสชาติของมันออกมา พริกไทยดำป่นจากเมืองร้อนชื้นอย่างเบลลัมถูกเติมลงไป


ผลึกเกลืออิสต์ลาสซึ่งใช้กันแพร่หลายทางภาคเหนือของอาณาจักร ถูกจีบขึ้นมา แล้วปล่อยลงหม้อจากปลายนิ้วเรียวสวยของเดียโวลอส มันมีลักษณะเป็นก้อนคล้ายผลึกคริสตัลแต่มีรสชาติเค็มไม่มากเมื่อเทียบกับเกลือสมุทรทางใต้ของอาณาจักร ละลายน้ำได้ดีแม้จะเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ


เหมือนว่าถังเหล็กใส่นมก็ได้วางตึงบนหินซึ่งเป็นโต๊ะภายในตัวทั้งที่เป็นเตาเช่นเดียวกัน เดียโวลอสเปิดออกแล้วตักนมเทไปสองแก้วครึ่ง ทั้งสองเคี่ยวไปเรื่อยๆ จนซุปเริ่มเหนียวข้น


อาหารจานนี้แม้จะปล่อยไว้นานทั้งวันความร้อนก็ยังไม่หายไป ถือว่าเป็นอาหารที่ทำให้อยู่รอดในหน้าหนาวแบบนี้สบาย


ท้องฟ้าเริ่มลับขอบฟ้า ท้องที่หิวโซถูกเติมเต็มด้วยซุปครีมอุ่นๆ ทั้งสามต่างหลบอยู่ในบ้านคืนวันที่หิมะตกครั้งแรกของปี ตะวันเริ่มลับขอบฟ้าเบื้องหลังเมฆหลายก้อนที่บดบัง ท้องที่หิวโซถูกเติมเต็มด้วยซุปครีมอุ่นๆ ทั้งสามต้องอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันในวันคืนที่หิมะตกลงครั้งแรกของปี


จู่ๆ เมจูก็กรีดร้องดังลั่น อีกสองคนในบ้านต่างหันขวับจับจ้องมาที่นางในทันทีทันใด


“เมจู?!” เดียโวลอสขมวดคิ้วแล้วขานชื่อของนางให้ได้สติ ก่อนจะเดินไปปลอบประโลมร่างของเมจูที่สั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว “ไม่เป็นอะไร ข้าอยู่นี่…ข้าอยู่นี่”


“ข้ากลัว…ข้ากลัวเหลือเกิน…” เด็กสาวตัวสั่นระริก นัยน์ตาสีฟ้าวูบไหวปานจะร้องไห้ น้ำเสียงก็ไปตามร่างกายที่สั่นเครือขณะที่เดียโวลอสโอบกอดไว้


จูลี่ที่เฝ้ามองอยู่พลางจ้องเขม็ง


กระทั่งเสียงกรีดร้องจากด้วยนอกดังระงมและเริ่มดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วหมู่บ้านบนตีนเขาแห่งนี้


เมนูกุมศีรษะแล้วหดหัวทันที เดียโวลอสปล่อยมือแล้วพุ่งออกไปข้างนอกในทันที


ภาพเบื้องหน้าทำให้เดียโวลอสต้องตะลึง ออร์คราวห้าสิบตัวพากันไล่สังหารคนในหมู่บ้าน ส่วนสตรีนั้นจำต้องเป็นแม่พันธุ์ให้แก่พวกมัน


ทำไมมันมาไวขนาดนี้กัน?! มันจะอาทิตย์ให้หลังจากที่ข้ามาที่นี่สิ ผิดแผนไปหมด เขาขมวดคิ้วอย่างอารมณ์เสีย ก่อนกลับเข้าไปในบ้าน แล้วเริ่มบอกสถานการณ์แก่ทั้งสองแม่ลูกในบ้าน


“ตอนนี้…ออร์คบุกแล้ว” สิ้นสุดคำพูด ทั้งเมจูและจูลี่ก็นิ่ง แต่ตัวของเดียโวลอสเริ่มไปเก็บของแล้ว


“พี่หญิงเดีย…ท่านจะทิ้งพวกเราเหรอ?” เด็กสาวเอ่ยถามพร้อมน้ำตาที่อาบแก้ม


เดียโวลอสชะงักไป ครู่หนึ่งก็ตอบกลับอย่างลังเล “ข้า…ข้าไม่ทิ้งเจ้า เมจู”


เดียโวลอสนำมืดทำครัวเล่มหนึ่งให้แก่จูลี่ที่อยู่บนเตียง ซึ่งนางก็รับแต่โดยดี ก่อนจะเก็บไว้ใต้หมอน


เดียโวลอสสวมเสื้อคลุมดำพร้อมกระเป๋าสะพายข้างสีเดียวกันออกตัวไปข้างนอก “ข้าจะกลับมารับเจ้า”


“ท่าน-!” ไม่ทันที่จะกล่าวจบ ประตูก็ปิดสนิท


หิมะยังคงตก พื้นหญ้าที่เขียวชอุ่มเต็มไปด้วยหิมะสีขาวที่หนาราวหนึ่งนิ้ว เดียโวลอสหอบร่างของตนวิ่งไปทางบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านที่เขาไปเยือนมาเมื่อคืนนี้


ระหว่างทางก็พบกับออร์คที่กำลังลากคาล์มหญิงหูหนวกออกมาข้างนอกบ้าน ก่อนจะฉีกกระชากเสื้อผ้าทั้งหมดนั้นออก แล้วเริ่มกระทำอย่างหื่นกระหาย


แต่เดียโวลอสไม่ได้มีเวลาสนใจสิ่งรอบข้างขนาดนั้น สิ่งสำคัญที่เขาต้องทำในอีกหลายวันกลับร่นระยะเวลาเหลือเพียงไม่กี่นาทีก่อนหมู่บ้านจะล่มสลาย


เดียโวลอสยังคงวิ่งต่อไปจวบจนสายตาพบเข้ากับสตรีมีครรภ์ในบ้านใหญ่หลังนั้น เขายิ้มอย่างพอใจ ปลายนิ้วตวัดใช้เวทโจมตี “เวทปฐมภูมิ หอกเงิน” จบคำร่าย หอกสีเงินขนาดเล็กยาวราวสี่ฟุตพุ่งออกไปทำลาวหน้าตาจนพังเละแล้วหอกนั้นก็หายไป


คนข้างในกรีดร้อง ด้านในห้องนี้มีเพียงสี่คน ชายวัยรุ่นหนึ่งและหญิงอีกสามคละวัยกันไป


เดียโวลอสใช้มือซ้ายวาดวงจรเวทอย่างรวดเร็วและร่ายในทันที “เวทปฐมภูมิ อำนาจไร้ล้าง” เหล็กเส้นปลายแหลมยาวหนึ่งศอกสองเล่มถูกปาไปข้างหน้า


หญิงแก่และสาววัยรุ่นร่างท้วมสิ้นใจทันทีในสภาพเหล็กเสียบทะลุศีรษะ ปัสสาวะของทั้งสองไหลนองก่อนล้มคว่ำหน้าลงไปกันพื้นไม้สีน้ำตาล


ชายอีกคนพยายามหาทางรอดอย่างตระหนก แต่แล้วก็ต้องตายจากหอกสีเงินที่เพิ่งร่ายใช้งานเสร็จ “เวทปฐมภูมิ หอกเงิน”


ศีรษะแตกกระจุยไปทั่วห้อง หยาดน้ำสีแดงสดกระจายเต็มพื้นที่ปิด กลิ่มเลือกคละคลุ้งจนแสบจมูก เศษซากของสมองและกระโหลกส่วนบนประปรายตามแผ่นไม้ ในทิศทางที่หอกพุ่งไป


เวทอีกหนึ่งชนิดถูกใช้งานเพื่อยกร่างนั้นมาไว้หน้าหญิงอีกคนที่ตั้งครรภ์ นางคือลูกสาวสุดที่รักของหัวหน้าหมู่บ้านทั้งยังเป็นภรรยาของชายที่เดียโวลอสระเบิดสมองไป


ร่างที่แข็งค้างถูกยกโดยมือไร้รูปร่าง ฟันล่างสีเหลืองอ่อนทั้งสิบหกแสดงภาพให้เห็นพร้อมลิ้นละห้อยพวกมันเหล่านั้นถูกชโลมด้วยน้ำสีแดง เหนือกรามไม่พบสิ่งใดให้เห็นแม้แต่น้อย


บรรยากาศมืดมนปรกคลุมไปทั่วหมู่บ้าน เสียวโหยหวนของผู้คนราวกับเสียงเครื่องดนตรีที่พังไปแล้ว


หญิงตรงหน้าครางตัวสั่นเพราะหวาดกลัว นางแทบสลบแต่ก็ถูกเรียกสติโดยหญิงผมเงินตรงหน้า


เส้นสีทองบนอากาศปรากฏอีกครั้งหลังถูกขีดเขียนโดยปลายนิ้ว “เวทปฐมภูมิ ตรึงกระดูก” เข็มสีทองเล่มเล็กสี่เล่มปักลงทะลุฝ่ามือและเท้าอย่างละสองข้าง


นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด นิ้วเท้านิ้วมือกระตุกเหมือนโดนลนไฟ


มือทำครัวในกระเป๋าสะพายข้างถูกหยิบออกมา ก่อนจะบรรจงกรีดตามแนวกลางลำตัว นางครวญครางแทบขาดใจพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบทั่วหน้า น้ำลายฟูมปากจนย้อยออกมาเต็มคอ ตานางเหลือกบนเผยเห็นเพียงเศษเสี้ยวของตาดำ


เมื่อลงมีดกรีดจนพอนำมือล้วงเข้าไปได้ ก็แหวกกลางท้องกลมนั้นไปแล้วหยิบทารกตัวน้อยที่ตอนนี้ถูกฉาบด้วยเลือดสีแดงฉานขึ้นบนอ้อมกอด หญิงผู้นั้นสลบไปในสภาพที่สายสะดือยังคงเชื่อมมารดาและบุตรเข้าด้วยกัน


เด็กตัวน้อยคนนี้ช่างน่ารักน่าชัง เดียโวลอสลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนนำมีดเปื้อนเลือดปาดขวางกลางคอของทารก ทันใดที่มีดปาดไปทางขวา มันราวกับมีน้ำพุพุ่งออกมา


หน้าอกและเสื้อคลุมของเขาต้องเปียกชุ่มด้วยโลหิต เขาวางทารกไร้วิญญาณลงพื้น มีดเล่มเดิมวางกลางอกพร้อมกระทุ้งลงไปอย่างแรงจนซี่โครงแตกเสมือนการฟันซี่โครงวัวในโรงครัว มือทั้งสองพยายามแหวกแหกดึงซี้โครงที่กั้นหัวใจออก มือทั้งคู่อันเต็มไปด้วยเลือดคว้าหัวใจแล้วกระชากออกมา


ปากสีแดงเข้มที่หุบไว้ของเดียโวลอสอ้ากว้างแล้วหย่อน หัวใจที่ยังบีบตัวและคลายออกอย่างนั้นลงไปบนลิ้น แล้วฝืนกลืนลงไป


มือข้างซ้ายใช้งานเวทน้ำระดับแรกเพื่อชะล้างกายที่สกปรก “วารี”


ตามด้วยน้ำยาสกัดมานาในกระเป๋า มือพลันยกกระดกอย่างกระหายหวังให้รสชาติของเลือดถูกกลบด้วยรสขมของน้ำยา


ทว่า รสที่ควรจะขมกลับเปลี่ยนเป็นหวานละมุนอย่างเหลือเชื่อ เขาขมวดคิ้วเป็นปมก่อนส่ายหน้าตั้งสติ


เขาออกจากบ้านหลังนั้นทางเดิมก่อนวิ่งไปยังบ้านของสองแม่ลูก “เมจู! ออกไปจากที่นี่กับข้า!”


ตอนแรกที่เดียโวลอสเปิดประตูเข้าไป เด็กดูมีความหวัง ทว่าเมื่อตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง นางจึงเปลี่ยนใจที่จะไปด้วย


“แล้วท่านแม่ข้าล่ะ ท่านจะปล่อยให้นางอยู่คนเดียวงั้นเหรอ?!”


เดียโวลอสนิ่ง บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ


“ตอบข้าสิ! ตอบข้า” เด็กสาวพยายามเค้นคำตอบ ก่อนหันไปทางมารดาแล้วถาม “ท่านแม่…ท่านจะไปกับข้าใช่ไหม?” น้ำเสียงนางสั่นกลัวคำตอบที่จะได้รับ


“...ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามีข้าคงไม่ตาย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าข้าคงไม่มีสภาพเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าข้าคงมีความสุขกว่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า! …” คำพูดของนางรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยแววตาที่ว่างเปล่า สุดท้ายก็แผ่วลงจนทุกคนเงียบ


ตอนนี้เมจูนั้น แน่นิ่งไปราวกับไปหมดสติ สมองของนางขาวโพลนไร้การตอบสนองของความคิด


เดียโวลอสใช้จังหวะนี้ลากตัวนางออกไปข้างนอก แต่ขาของเมจูอ่อนแรงเกินกว่าจะเคลื่อนตัวไหว เดียโวลอสนั่งยองโอบกอดพร้อมลูบหัวนางเบาๆ


“ข้าจะอยู่กับเจ้าเอง…ไปกับข้าเมจู พี่หญิงเดียของเจ้าไง” เขากล่าวพลางคิด ยังไงนางก็เป็นแค่เด็กเก้าขวบ…


เมจูหลุดจากภวังค์ก่อนลุกตามเดียโวลอสแล้วให้เขานำทางไป หมู่บ้านลุกไหม้เป็นทะเลดั่งนิมิตก่อนหน้า นางปิดตาปล่อยตัวไหลไปตามจังหวะเดินของหญิงผมเงินตรงหน้าบนผืนหิมะ


เหมือนว่าเดียโวลอสจะหันหน้ากลับไป ริมฝีปากคู่นั้นอ่านได้ว่า “แม่รักลูกนะ”


เดียโวลอสหันกลับดังเดิมแล้วมุ่งหน้าลงจากตีนเข้า ซึ่งด้านล่างเป็นป่าและมีลำธารไหลผ่าน


ตะวันได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้วแต่ท้องฟ้ายังคงฉาบสีแสดส่องสว่างอยู่ ทว่ามันไม่ใช่แสงของอาทิตย์ แท้จริงแล้วเป็นจริงที่มอดหมู่บ้านที่เพิ่งจากมา


ขณะวิ่งเสียงขวดแก้วก็ดังกุกกัก ทั้งสองหอบหายใจแรง โดยเฉพาะเดียโวลอสที่ใช้กำลังมานาน


ชั่วอึดใจเดียวที่จะเข้าไปไหนป่า เสียงร้องของหมู่ป่าก็ดังขึ้นทางฝั่งซ้ายที่มืดทึบ เป็นเสียงของออร์คป่าฝูงเดียวกันที่หลงกับกลุ่ม เมื่อมันเห็นดังนั้น ก็พุ่งเข้าหาทันที


“บัดซบ!” เดียโวลอสสบถ กระทั่งนึกแผนหนึ่งมาได้ มือขวาที่ว่างอยู่พลันควานหาขวดน้ำยาที่เหลือ สองขวดสุดท้าย มานาก็แทบไม่เหลือ กว่ายาจะออกฤทธิ์ก็อีกพักหนึ่ง


ถึงพวกเขาจะวิ่งได้เร็วกว่าออร์ค ยังไงก็ตาม ออร์คพวกนั้นสามารถได้กลิ่นฟีโรโมนของเพศหญิงได้แม้จะเจือจางก็ตาม เมื่อพ้นระยะสายตาของหลุดฝูง ขวดน้ำยาขวดแรกถูกราดบนศีรษะของเมจูจนหมด อีกขวดก็ตามมาแต่รอบนี้ราดใต้รักแร้ เท้า หน้าอกและจุดใต้สะดือ โดยมีมือของเดียโวลอสคอยชโลมลูบไล้ไปทั่ว


เขานำมือปิดปากเมจูหวังให้เงียบ ยามมองไปทางออกตัวนั้น มันก็ต้องสับสนเมื่อกลิ่นที่ความจะเป็นกลิ่นของสตรีกกลับเปลี่ยนเป็นกลิ่นบางอย่างที่รุนแรง


แล้วมันก็หันกลับไปที่เดิม ที่ที่แสงสว่างของกองเพลิงยังคงลุกโชนหลังต้นไม้หลายต้น


เขาพาเมจูเดินหาโพรงไม้ที่พักผ่อนได้หลังหลุดพ้นออร์คตนนั้น ทั้งสองหายใจอย่างถี่รัวใต้โพรงไม้ใหญ่ไม่ไกลจากลำธาร


เดียโวลอสโอบไหล่เมจูไว้แน่น ก่อนจะถามบางอย่าง “ข้าจะกล่อมเจ้าด้วยแกะสามตัว”


 


เจ้าหนึ่งร้องส่งน้องให้นอนหลับ


เจ้าสองรับกล่อมน้องสู่นิทรา


สามสดับจงนอนบนเตียงเถิดหนา


เจ้าสุดาปล่อยเวลาให้ล่วงเลย


...


เจ้าสองพักหวังพึ่งให้ตนหลับ


สองจงตรับปิดตาอย่าให้เผย


แล้วจะพรรณาจันทร์ลับเอย


ดังคุ้นเคยตะวันเอ๋ยเผยแทนจันทร์


 


“เพียงได้ยินข้าก็อยากหลับแล้ว บ่าของท่านกว้างเหมือนหมอนที่บ้านเสียจริง พี่หญิงเดีย…” เมจูกล่าวรำพึงถึงบ้าน


“...ข้าเสียดาย ที่ข้าไม่อาจได้พักมากกว่านี้” เขาโต้พลางลอบถอนหายใจด้วยใบหน้าซึม


“ข้า…เป็นแบบนั้นจริงเหรอ ท่านพี่หญิงเดีย?” เด็กสาวเริ่มบีบน้ำตานึกถึงประโยคเหล่านั้นที่มารดาเอ่ย


เดียโวลอสขยับมานั่งด้านหน้าตรงข้ามกับเมจูแล้วให้พิงรากไม้ใหญ่แทน “ไม่เลย เจ้าน่ะเป็นเด็กดี ที่แม่เจ้าทำแบบนั้นเพราะรักเจ้า”


“แต่…” ไม่ทันจะเอ่ยคำถัดไปเดียโวลอสก็ขัดก่อน


“จงหลับเถอะนะเมจู ข้าจะกล่อมเจ้าอีกครั้งเอง…” เขายิ้ม ภายใต้เงามืดที่เริ่มมีแสงส่องมาบ้าง


“เจ้าค่ะ” นางตอบอย่างแผ่วเบา


ปลายนิ้วชี้ซ้ายของหญิงผมเงินตัววาดวงจรเวทอย่างบรรจง “เวทปฐมภูมิ อำนาจไร้ล้าง” ทันทีที่จบคำร่ายมีดในกระเป๋าใบเดิมได้ถูกนำออกมาพร้อมเฉือนคอของเด็กสาวจนขาดออกจากกันไม่เว้นแม้แต่กระดูกสันหลัง


เด็กสาวพลันลืมตาคิดว่าตนเผลอนอนหลับ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายเป็นสีฟ้าส่องสว่าง เห็นแต่เพียงผมสีดำขลับยาวบดบังจันทร์ ก่อนจะหลับตาลงสู่ห้วงนิทราแห่งการหลับไหล


มือทั้งสองจับไหล่สองข้างที่ไร้หัววางบนบ่า จุ่มริมฝีปากประทับลงบนรอยตัดอันเต็มไปด้วยโลหิต ดื่มด่ำรสหวานของเลือดผ่านลิ้นที่สากของตน


หัวใจมานาเริ่มบีบตัวแรง วงแหวนหมุนวงอย่างไว ก่อนเพิ่มมาอีกหนึ่งวง แสดงหลักฐานการเข้าสู่ วงแหวนมานาวงที่สี่


เขานำตัวของเมจูเขยิบไปทางขวาอีกนิด เดียโวลอสลงมือขุดหลุมด้วยปลายนิ้วทั้งสองจากมือทั้งสองข้าง เมื่อผ่านไปอยู่นาน จนเล็บมือเริ่มมีเลือดซิบหลุมก็มีขนาดพอดี


เขาวางศีรษะอันงามราวรูปปั้นของช่างฝีมือนี้ลงในหลุม แล้วกลบกลับตามเดิม


นิ้วชี้ซ้ายรวบรวมมานาไว้พร้อมสลักลงบนรากไม้เหนือหลุมนั้น [เมจู]


สุดท้ายก็เดินห่างจากจุดนั้นไป ยามเมื่อหยุดตรงลำธาร ใจก็หวนนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา …หากมีโอกาสข้าจะพาเจ้าไปดูนกนะเมจู…


แล้วก้าวขาเดินหน้าต่อไป “แต่ข้าไม่อยากนึกถึงเรื่องราวนี้อีกเลย”