เด็กสาวผู้มาจากต่างแดน’ชิกิ’ ได้มุ่งหน้ามาอย่างดินแดนเรจัสเพื่อตามหาอาจารย์ของเธอผู้ที่ชุบเลี้ยงและดูแลเธอมาได้หายตัวไปและเบาะแสที่เธอได้รับก็มีเพียงแค่จดหมายที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ข้าอยู่ที่เรจัส‘

REGUS:Road of Dragon - บทที่ 1 ตอนที่ 2ดันเจี้ยนในถ่ำ โดย LazyBlue @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,เลือดสาด,ตะวันตก,อื่นๆ,ชาย-หญิง,พล็อตสร้างกระแส,Dungeon&Dragon,ดราม่า,ผจญภัย,DnD,รักวัยรุ่น,โรแมนซ์,คอมเมดี้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

REGUS:Road of Dragon

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,เลือดสาด,ตะวันตก,อื่นๆ,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,Dungeon&Dragon,ดราม่า,ผจญภัย,DnD,รักวัยรุ่น,โรแมนซ์,คอมเมดี้

รายละเอียด

เด็กสาวผู้มาจากต่างแดน’ชิกิ’ ได้มุ่งหน้ามาอย่างดินแดนเรจัสเพื่อตามหาอาจารย์ของเธอผู้ที่ชุบเลี้ยงและดูแลเธอมาได้หายตัวไปและเบาะแสที่เธอได้รับก็มีเพียงแค่จดหมายที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ข้าอยู่ที่เรจัส‘

ผู้แต่ง

LazyBlue

เรื่องย่อ

คำเตือน:เนื้อหาจะมีความรุนแรง ฉากของเลือดและอัวยะหลุดออก การโป๊เปลือย กับประเด็นอ่อนไหวต่างๆ กับคำหยาบคาย โปรดใช้วิจรณญาณในการอ่าน ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านะคะขอบคุณค่ะ




น้ำที่ท่านดื่ม ผืนไร่ที่ท่านปลูกพช ป่าไม้ที่งอกงามออกมาเป็นที่อาศัยของเหลล่าเอลฟ์ และสรรพสัตว์มากมายนั้นล้วนมาจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมังกร และเรากำลังยืนและอาศัยบนร่างมังกรที่สิ้นชีพไปแล้ว นั้นคือคำเล่าขานมาตลอดเกี่ยวกับดินแดนของ ‘เรจัส’




กะโหลก ดินแดนที่เต็มไปด้วยอากาศและหิมะที่หนาวเหน็บ ที่่เรียกว่ามีหิมะเกือบตลอดทั้งปี


ปีกซ้าย พื้นนี่ถึงจะแตกสลายจนกลายเป็นเกาะ แต่ก็มีความหลากหลายของเผ่าพันธ์


ปีกขวา พื้นที่ทะเลทรายที่แห้งแล้ง แต่ในขณะเดียวกันเหนือน่านฟ้าก็มีสถาบันโรงเรียนเป็นที่ตั้ง


หาง พื้นที่ติดชายหาดที่อุดมสมบูรณ์กับพิธีกรมร้อยกว่าปีที่อัญเชิญเทพธิดาแห่งดวงจันทร์มาพานพบได้


หัวใจ ดินแดนศูนย์กลางของทวีปที่มีการค้ามากมายแและความหลากหลายของเผ่าพันธ์ต่างๆ




“ชิกิ” เด็กสาวผู้มาจากต่างแดน เธอกก้าวเข้ามาในดินแดน “เรจัส” ดินแดนที่ถูกเล่าขานว่าดินแดนแห่งนันเคยเป็นร่างของมังกรในตำนาน ‘แพลตตินั่ม’ ชิกิผู้ที่ได้รับจดหมายสุดท้ายจากอาจารย์ของเธอที่มีเพียงประโยคเดียวที่เขียนเอาไว้ 


ข้าอยู่ที่เรจัส




สวัสดีค่ะนิยายเรื่องนี่เป็นเรื่องแรกที่เราเขียนอย่างจริงจังนะคะ เราได้รับแรงบันดาลใจมากจาก Dungeon&Dragon บอร์ดเกมโปรดของเรานะคะ ยังไงก็ขอฝากเอาไว้ด้วยนะค่าาา

สารบัญ

REGUS:Road of Dragon-บทที่ 1 ตอนที่ 1 ประโยคเดียว,REGUS:Road of Dragon-บทที่ 1 ตอนที่ 2ดันเจี้ยนในถ่ำ

เนื้อหา

บทที่ 1 ตอนที่ 2ดันเจี้ยนในถ่ำ

  หลังจากเหตุการณ์ที่แสนจะวุ่นวายเมื่อครั้งนั้นผ่านมาได้สองสามวัน ชิกิและเจสสิก้าก็ได้เดินทางออกมาจากตัวเมือง หญิงสาวมนุาย์ธรรมดากับเอลฟ์สาวที่ตอนนี้ได้ของชายชราผู้ใจดีที่ให้พวกเธอสองคนนั้นติดรถม้าบรรทุกฟางแห้งมาได้ ชิกิที่นั่งตรงข้ามเจสสิก้าที่กอดดาบของตัวเองเอาไว้ สองสามวันมานี้เธอแทบจะไม่พูดคุยกับชิกิเลย หรือเพียงแค่พูดคุยด้วยไม่กี่คำ ทำให้เจสสิก้ารู้สึกอึดอัดไม่ใช่น้อยเหมือนกันที่เจอสถานการณ์แบบนี้


“เอ่อ…คือว่า…” เจสสิก้าเองก็อ้ำอึ้งๆอยู่เล็กน้อยว่าจะพูดออกมาอย่างไรดี เพราะท่าทีที่สงบ นิ่ง เงียบของชิกินั้นแทบจะไม่สามารถทำให้เดาได้เลยว่า ตอนนี้ชิกิอยู่อารมณ์ไหนหรือรู้สึกอะไร หรือยังจะโกรธตัวของเจสสิก้ารึเปล่าแถมตอนนี้ชิกิเองหลับตาด้วยสำหรับเจสสิก้าตอนนี้คิดได้อย่างสองอย่าง ชิกิอาจจะพักสายตาหรือหลับก็ได้


“……..เหนื่อยแล้วเหรอ?” เจสสิก้าสะดุ้งทันทีกับคำพูดของชิกิ ทั้งๆที่เจสสิก้ายังไม่ได้เอ่ยอะไรสักอย่างเลย แต่ครั้งกลับมีคำถามออกมาจากชิกิที่ท่าทียังสงบและหลับตา


 “เปล่า!!! ไม่ใช่หรอก” เจสสิก้ายกมือสองข้างและส่ายหัวไปมาปฏิเสธ “แค่อยากจะถามน่ะว่า…เอิ่ม….เจ้าจะหาอาจารย์ของเธอยังไงละ?” เจสสิก้าพยายามถามชิกิด้วยคำพูดที่ไม่ทำให้ชิกิโกรธ เท่าที่จะเป็นได้


“…..ไม่รู้สิ…” ชิกิลืมตาข้างหนึ่งมองเจสสิก้าราวกับใช้ความคิดก่อนจะปิดลงไป และคำตอบของเธอนั้นทำเจสสิก้าอึ้งเล็กน้อย


“อะไรนะ! ให้ตายเถอะหนวดมังกร!!” เจสสิก้าอุทานออกมา “แล้วคือเจ้าจะหาแบบไร้จุดหมายแบบนี้ไปเลยเหรอ!”


“ก็จะให้ข้าทำอย่างไรละ?…” ชิกิยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อเบาะแสเดียวของอาจารย์ข้านั้นก็มีแค่จดหมายสำหรับข้าเตรียมใจมาอยู่แล้วว่าเรื่องนี้คงไม่ง่าย” ชิกิลืมตามองเจสสิก้าด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและไม่มีความลังเลเลยว่า เธอจะยอมแพ้ต่อเรื่องนี้ว่าต่อให้การเดินทางนี้จะยาวนาน 2 ปี หรืออาจจะ 10 ปีด้วยซ่ำ แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรค์เรื่องใหญ่เสียด้วยซ่ำ


“.......ถ้าอาจารย์ของเจ้าไม่อยู่แล้วล่ะ” เจสสิก้ารู้สึกลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามไปด้วยประโยคที่คิดว่าน่าจะทำร้ายจิตใจของเธอน้อยที่สุด


“........” ทุกอย่างอยู่ในความเงียบทันทีกลายเป็นความอึดอัดอีกครั้ง แต่ท่าทางของชิกิไม่ได้เปลี่ยนไปยังคงสงบเช่นเคย 

“ถ้าหากเป็นเช่นนนั้นจริงข้าขอเพียงได้พบร่างหรือของดูต่างหน้าอะไรก็ได้ที่ทำให้ข้า……นึกถึงเขา” ชิกิตอบกลับมา “ข้าไม่อยากจะนั่งเฉยๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกนะ” ชิกิบอกคำตอบและหยิบเนื้อแห้งจากแขนเสื้อโปร่งตัวเองมากิน 


“งั้นเหรอ….” เจสสิก้ามีสีหน้าอ่อนลงและนั่งเงียบต่อเพราะเธอเองก็คงรู้ได้เลยนะว่า ชิกิคงไม่อยากคุยอะไรแบบนี้ต่อแน่ๆ


กึก….กึก….


เสียงของรถม้ายังเคลื่อนข้างหน้าต่อไปท่ามกลางความเงียบครั้งนี้ จนมันหยุดลงที่ถนนทางเส้นทางแยกเป็น 3 ทาง 


“โทษทีนะข้าคงมาส่งได้” ชายชราพูดออกมา สองหญิงสาวก็หยิบสัมภาระและลงมาจากรถม้า “เดินตรงไปตามเส้นทางพวกเจ้าก็จะไปถึงหมู่บ้าน ‘มาฮูลู’ แล้วล่ะนะ”


“ไม่เป็นไรแค่นี้ก็มากพอแล้วล่ะค่ะ” เจสสิก้าเดินไปหาชายชราที่ใจดีมีน้ำใจ ที่อุสาต์มาส่งพวกเธอขนาดนี้ ถือว่าเป็นบุญคุณเจสสิก้าเลยให้เหรียญเงิน 7 เหรียญให้กับเขา


“โอ้ๆ ไม่เป็นไรๆ…ข้าเองปกติก้ผ่านมาทางนี้อยู่แล้วพวกเจ้าเก็บเงินเอาไว้เถิด” ชายชราพูดพร้อมดันมือเจสสิก้าออกเบาๆเป็นเชิงว่าให้เก็บเงินนั้นไว้


หลังจากบอกลากับชายชรา ชิกิและเจสสิก้าก็เดินมุ่งหน้ากันต่อไป ผ่านเส้นทางและป่าที่ปลอดโปร่งมาตลอดทาง แต่ขณะเดียวกันท้องฟ้าเองก็ปลอดโปร่งมากขึ้น จมูกของชิกิเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคยลอยมาตามลม กลิ่นของเกลือทะเลแต่พอมองไปที่เส้นทางนั้นก็แลดูไร้วี่แววเสียจริง


“นี่~ ชิกิ” เสียงที่เหนื่อยล้าของเจสสิก้าเอ่ยขึ้นมาสอดคล้องกับท่าทางที่เดินแล้วเริ่มลากขาไปกับพื้น กับเหงื่อที่ไหลตามหน้า ”ข้าเหนื่อยแล้ว” แต่กับชิกิที่เหมือนว่าจะฝึกฝนร่างกายมามากกว่าตัวของ เจสสิก้าเธอเลยสามารถที่จะเดินได้แม้จะสวมใส่ผ้าคลุมก็ตาม หรืออาจจะเป็นหมวกใบใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใดๆ ก็ตามแต่มันทำให้เจสสิก้าอิจฉาอยู่ดี


“โอ้…….” ชิกิหยุดเดินและมองเพื่อนร่วมทางของเธอ ก่อนจะมองไปรอบๆทิศทางแต่ก็ไม่ได้เห็นตัวเมืองหรือหมู่บ้านเลย ชิกิเลยถอดผ้าคลุมของเธอและเอาคลุมตัวของเจสสิก้าเอาไว้เพื่อป้องกันแสงแดด “แต่แถวนี้ก็ไม่มีเมืองหรือหมู่บ้านเลยแฮะ…” ชิกิพูดออกมา


“เราลองเดินต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน” ว่าแล้วชิกิก็เดินหน้าต่อโดยหวังเอาไว้ว่าจะมีหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆที่จะเป็นที่พัก


“แต่ข้าของข้าแถมจะไม่มีแรงแล้วนะ เจ้าแบกข้าไปได้มั้ยนะชิกิคนสวย~” เจสสิก้าเดินไปใกล้ๆชิกิน ก่อนจะส่งสายตา แต่ไม่ใช่สายตาธรรมดาแต่มันแฝงไปด้วยเวทมนต์ ‘มนต์เสน่ห์หา’ เพราะเจสสิก้ารู้ดีว่าชิกิต้องปฏิเสธเธอแน่ๆ เพราะงั้นนี่คือหนทางที่หายสุดๆ


ชิกิสะดุ้งเฮือกไปเล็กน้อยพอจ้องไปที่ดวงตาสีเขียวของเจสสิก้าว และสีหน้าจะเปลี่ยนไปโดยเบะปากยักคิ้วหนึ่งข้าง“ทำบ้าอะไรของเจ้าน่าขนลุก….” ชิกิพูดพร้อมดันหน้าเจสสิก้าออกอย่างรังเกียจ


“อะไร๊!!!! ทำไมใช้ไม่ได้ผลกับเจ้าอะ ข้าใช้เวทมนต์เสน่ห์หากับเจ้าเลยนะยะ!!” เจสสิก้าโวยวายออกมาพอเวทมนต์ที่ดันใช้ไม่ได้ผลแถมเจ้าตัวยังจะมารังเกียจอีก


“หนวกหูน่า….นักดาบแบบข้าและอาจารย์น่ะฝึกฝนให้ต่อสู้กับพวกไสยศาสตร์มานะ..”

ชิกิรีบเดินต่อเพราะไม่อยากจะเถียงกับตัวเจสสิก้า


“อะไรกับที่ไทโยก็มีพวกใช้เวทมนตืหรอกเหรอ…” เจสสิก้าพูดด้วยเสียงอุบอิบผสมกับท่าทางที่เซ็งของเธอ


“อ่า…….” ชิกิพยักหน้ารับ “พวกข้าจะเรียกพวกใช้ไสยศาสตร์กันว่า ‘องเมียวจิ’ ใช้พลังแห่งธรรมชาติและพลังจากดวงวิญญาณ” ชิกิอธิบายให้เจสสิก้าและหยิบถุงน้ำออกมาจากกระเป๋าสัมภาระอันเล็กของเธอ ยื่นให้เจสสิก้าเพราะเดาได้เลยว่าจากการโวยวายเมื่อกี้ต้องทำให้คอแห้งและหมดแรงแน่ๆ และแน่นอนว่าเจสสิก้ารับถุงน้ำมาดื่มทันที


“ฟู้วววว…….งั้นเหรอ ส่วนที่นี้การใช้เวทมนต์พวกเราใช้สิ่งที่เรียกว่าสายธารเวทมนต์ผ่าน อุปกรณ์การร่ายละนะ เช่นข้าร่ายผ่านลูท(Lute)ของข้า และอืมอุปกรณ์อื่นก็คงมีพวกไม้คทา คริสตัล? อ่า และก็ไม้เท้า หรืออะไรก็ได้ที่มีส่วนประกอบใช้ในการร่ายเวทย์ โอ้ๆ แต่ก็มีข้อกรณียกเว้นสำหรับพวก’จอมขมังเวท’ละนะเพราะพวกเขามีสายเลือดที่ทำให้ร่ายเวทได้โดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์เลยน่าอิจฉาชะมัด…” เจสสิก้าอธิบายออกมาอย่างคล่องแคล่ว เพราะตัวเธอเองก้นับว่าเป็นผู้ใช้เวทมนต์คนหนึ่งเหมือนกันและศึกษามาพอสมควร ก่อนจะกลอกตาเบาๆพอพูดถึงบุคคลบางจำพวกที่สามารถใช้เวทมนต์ได้เลยโดยที่ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ หรือพึ่งอุปกรณ์ใดๆเลยด้วยซ่ำ


“หืม……ที่นี้คงมีความหลากหลายกว่าบ้านเกิดข้าสินะ..” ชิกิที่ถึงแม้จะเป็นนักดาบที่ฝึกฝนเพลงดาบเป็นประจำ แต่พอได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวเอลฟืพูดมันก็ช่างน่าสนใจไม่ใช่น้อย


“หื้อ~อย่าบอกนะว่าเจ้าสนใจน่ะเรียนกับข้าก็ได้นะ เผ่าพันธ์เอลฟ์อย่างข้าเองก็ขึ้นชื่อเรื่องของการศึกษาเวทมนต์มาอย่างยาวนานด้วยน่า~” เจสสิก้าพูดพลางเอามือสะบัดผมสีบลอน์ดของตัวเอง และก็เอามือวางบนอกและยืดอกเบาๆโอ้อวดสรรพคุณ


“ไม่เอาอะ ข้าไปเรียนกับพวกโอนิยังดีเสียกว่า” ชิกิตอบปฏิเสธทันควันและเดินหนีอย่างว่องไว เรียกว่าต่อให้ชิกิกอยากเรียนแต่ก็คงไม่ใช่กับเอลฟ์ที่เคยหลอกเธอไปหาโจร ไม่น่าไว้ใจอย่างแรงเลยสำหรับชิกิ


“ไม่เอาน่าชิกิ ข้าพูดจริงน่าาาา” เสียงโวยวายดังอีกครั้งพร้อมเจสสิก้าที่วิ่งไปตามตื้อตัวของชิกิ


หลังจากเดินตื้อกับหยอกล้อ และการคุยแลกเปลี่ยนเป็นบางเรื่องเรียกว่ามันทำให้ความเหนื่อยล้านั้นถูกลืมไปในทันที ก่อนจะมาหยุดที่เหมือนจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ผ่านทางเส้นทางไป ‘มาฮูลู’ 


“ในที่สุด~ จะได้แล้ว~” เจสสิก้าวิ่งนำไปก่อนชิกิและก่อนจะเตลิดไปมากกว่านี้ชิกิจับคอเสื้อของเจสสิก้าเอาไว้ได้อย่างทัน


“ใจเย็นๆสิ….ยังไงก็ตามเดี๋ยวพวกเราพักที่นี้ก่อนก็แล้วกัน”


ชิกิเดินไปกับเจสสิก้าเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆที่ชาวเมืองนั้นแต่งตัวแตกต่าง จากเมืองที่พึ่งผ่านมาผู้คนที่แต่งตัวด้วยผ้าที่ดูโปร่งสบาย ที่มีสีสันสดใสกับลวดลายที่สวยงามบนชุด บางคนผิวก็ขาวนวลสะท้อนแสง บางคนก็ผิวเข้มจากการที่ทำงานท่ามกลางแสงแดดทำให้มีผิวแทนเล็กน้อย และรอยสักลายต่างๆตามร่างกาบไม่ว่าคนจะอายุเท่าใดก็ตาม ก่อนจะมาหยุดที่เป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆและเข้าไป


“โอโลฮ่า ยินดีต้อนรับนะคุรลูกค้า” เสียงชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับคนในหมู่บ้านแห่งนี้และร่างกายที่อสบเล็กน้อยกับนวดที่เป็นทรงตัดอย่างดีไม่รุงรังมากจนเกินไปผิวที่มีสีเข้มเล็กน้อยที่มีรอยสักเป็นรูปคลื่นทะเล ที่เป็นจุดเด่นคงจะเป็นคอของเขาที่เหมือนจะมีรอยเหงือกปลากับเกล็ดที่มีตามแขน กับคำทักทายที่เหมือนจะเป็นคำทักทายเฉพาะของพวกเขา บาร์ที่ดูเรียบง่ายและมีลูกค้าที่เป็นในหมู่บ้านที่ดื่มและหัวเราะกันในบนสนทนาของพวกเขา 


เจสสิก้าที่โบกรับคำกล่าวต้อนรับของเจ้าของร้าน ส่วนชิกิก็เอาหมวกสานไม้ไผ่สีดำของเธอลงและโค้งให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปที่โต๊ะว่าง อย่างแรกก่อนที่จะสั่งอะไรก็ตามก็ต้องนำเงินมาขึ้นมานับก่อนละนะ แต่ผลที่ได้มา


กริ๊ง..แกร็ก…


เสียงของเหรียญที่เทออกมาจากถถุงเงินของทั้งสองคน เจสสิก้าที่มีแค่เหรียญเงิน 7 เหรียญ กับทองแดง 2 เหรียญ ส่วนชิกิที่มี 1 เหรียญทอง ล้วนๆ


“เอะ….เรามีกันแค่นี้หรอกเรอะ?” เจสสิก้าที่ตกใจกับเงินที่เหลืออยู่น้อย


“แหงสิ…..ก็เราซื้อเสบียงและอุปกรณ์ต่างๆ….” ชิกิถอนหายใจ “แถมใครไม่รู้ยังอยากจะซื้อสบู่กับพวกน้ำหอมมาทั้งๆที่ก็รู้แท้ว่ามันแพง…..ยังขอให้ข้าช่วยจ่ายอีก…” ชิกิหันไปมองเจสสิก้าด้วยสายตาที่เรียกว่าอยากจะฆ่าเจสสิก้าไม่ก็ จะให้เธอไปชดใช้ยังไงก็ได้ที่ให้เงินที่เจสสิก้ายืมมันไปได้คืนมา


“ทำไงได้ของมันต้องมีนี่นา~” เจสสิก้าพูดออกมา “อีกอย่างผู้หญิงต้องรักสวยรักงามนะ ดูอย่างผมของเจ้านี่ออกจะยาวแท้ๆดูแลรักษาไว้ก็ดีนะใช้แต่น้ำเปล่าชำระมัน ผมก็เสียง่ายน่า” เจสสิก้าพูดอย่างหยอกล้อก่อนจะจับผมของชิกิ มาลูบเบาๆ


“อย่ามาจับผมข้านะ” ชิกิพูดพร้อมดึงผมของตัวเองออกมาใบหน้าของเธอบึ้งเล้กน้อยเมื่อเจสสิก้าพุดถึงการดูแลเส้นผม


ในขณะที่เจสสิก้าหยอกล้อชิกิต่อ ส่วนชิกิเองก็ทำท่ารำคาณสุดๆ เจ้าของร้านก็เดินมาที่โต๊ะของพวกเธอ                                                                                                                                   


“สวัสดีนะสาวๆ อยากจะสั่งอะไรดีละ” เจ้าของร้านเดินมาด้วยความเป็นมิตรและวางเมนูสองเล่มบนโต๊ะ


ชิกิและเจสสิก้าหยิบเมนูมาเปิดและพิจรณาราคาของแต่ละเมนู เพราะต้องคำนวนราคาต่างๆ แถมครั้งก่อนในการซื้อของเองเงินไม่พอซื้อพวกถุงนอนหรือของตั้งแคมป์อื่นๆซะด้วยซ่ำ ทำให้เรียกว่าต้องตัดสินใจอย่างถี่ถ่วนในการเลือกเมนู


“เอ่อ….พวกเจ้าทั้งสองคนไม่ค่อยมีเงินกันรึ?” เจ้าของร้านที่เห็นความลำบากใจของทั้งสองคนก็เอ่ยทักขึ้นมา ชิกิและเจสสิก้าเองก็เงยหน้าขึ้นมาในทันใด

“มีปัญหาในการใช้จ่ายนิดหน่อยน่ะ” ชิกิพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ก็มีท่าทางที่อับอายเล็กน้อย การที่ถูกมองออกว่าลำบากแค่ไหนมันทำให้ชิกิรูสึกหนักใจเบาๆเพราะเหมือนไปรบกวนเจ้าของร้าน ก่อนจะมองเจสสิก้าด้วยหางตาแน่นอนว่าชิกิยังเคืองๆเรื่องการใช้เงินของเจสสิก้าอยู่


เจ้าของร้านเอามือจับคางและลูบหนวดที่ตัดแต่งอย่างดีเป็นการครุ่นคิด พอเขาทำท่าหนึ่งออกก็รีบเดินไปที่บอร์ดคำขอร้องที่ดูว่างๆก่อนจะดึงกระดาษที่มีหนึ่งใบปักไว้และเดินกลับมา ก่อนจะวางใบกระดาษไว้บนโต๊ะ “นี้เป็นคำขอร้อง ‘ลาเบล’ หญิงแก่ประจำหมู่บ้านมาฮูลูล่ะนะ” เจ้าของร้านอธิบายออกมา “ยังไงพวกเธอลองไปรับคำขอร้องดูน่ะบ้านของอยู่ในมาฮูลูน่ะ เดินไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วล่ะนะ”


“ขอบคุณท่านมากๆเลยนะท่านใจดีมากๆเลยที่อุสาต์นำคำขอมาให้เรา~” เจสสิก้าพูดออกมาเอามือสองข้างขึ้นมากุมเอาไว้ด้วยท่าทางที่ซาบซึ้งแก่น้ำใจของเจ้าของร้าน ที่มาช่วยตอนที่พวกเธอกำลังลำบาก 


“เรื่องเล็กน้อยๆ ยังไงพวกเราก็คอยช่วยเหลือคนที่ลำบากอยู่แล้วล่ะนะ” เจ้าของร้านหัวเราะเบาๆ “โอ้อีกไม่กี่วันก็จะมีเทศกาลถวายดวงจันทร์ พวกเจ้าอย่าลืมไปเข้าร่วมละพวกเราไม่ได้ห้ามคนนอกเข้า” เจ้าของร้านพูดออกมาถึงเกี่ยวกับงานเทศกาลที่กำลังจะมาถึงที่เป็นประเพณี ประจำพื้นที่ของทางทิศหาง และแน่นอนว่าเจสสิก้าแสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับเทศกาลในครั้งนี้


“เทศกาล…ถวายดวงจันทร์?” ชิกิพุดคำซ่ำออกมาอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้แปลกใจเลยว่าทำไมจะไม่รู้เรื่องนี้เพราะตัวของเธอนั้นมาจากนอกดินแดนทำให้ชิกินั้นไม่รู้ประเพณีหรือวัฒนธรรม


“อ่อ ข้าลืมไปเลยว่าเจ้ามาจากต่างแดนเทศกาลถวายดวงจันทร์ รู้สึกว่าจะจัดสามวันมั้งและสิ่งพวกเขาทำจะมีสามอย่าง….อ่าอะไรบ้างน่า….” เจสสิก้าที่กำลังจะเริ่มอธิบายแต่ก็ต้องสะดุดเพราะว่าถึงเจสสิก้าจะเป็นคนของเรจัส แต่เธอก็ไม่ใช่คนแถบทิศของหางเลย


“พวกเราจะจัดสามวันกันน่ะ วันแรกจะเป็นการเต้นระบำโดยหัวหน้าหมู่บ้านจะเลือกหญิงสาวที่งดงามมาเต้นระบำ วันที่สองจะเป็นงานกินเลี้ยงโดยที่ทั้งหมุ้บ้านจะร่วมกันทำอาหารและนำมาวางไว้ที่โต๊ะกลางหมู่บ้านและทุกคนจะมาทานร่วมกัน ลแะวันสุดท้ายหัวหน้าหมู่บ้านจะนำจอกดวงจันทร์ที่เก็บเอาไว้และเริ่มการถวาย จากนั้นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์จะลงมาล่ะนะ” เจ้าของร้านที่เดินกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มสองแก้วกับอาหารที่มีขนมปังคนละหนึ่งก้อน สูตว์ทะเลที่มีปลากุ้ง หมึกในนั้นสองถ้วย ในถาดอาหาร พร้อมกับอธิบายความสำคัญของเทศกาลให้แก่นักเดินทางตรงหน้าทั้งสองคน “ข้าเลี้ยงสองแก้วนี้เองนะ” เขาพุดพร้อมด้วยรอยยิ้มและใบหน้าเป็นมิตร


“ขอบคุณท่านมากๆเลย” หัวของชิกิก้มเบาๆเป้นการขอบคุรความมีน้ำใจของเขา ก่อนจะยกแก้วขึ้นมาและจิบมันเป็นเอลล์น้ำผึ่งที่หอมหวานรสชาติของแอลกอฮอลล์ที่ลื่นคอ และรู้สึกดื่มง่าย


ส่วนเจสสิก้าที่เห็นอาหารตรงหน้าก็ทำท่าดีใจออกมา “ขอบคุณท่านเจ้าของร้านมากๆเลยนะ!!” เจสสิก้าเอ่ยออกมาและเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้าทันที พอเธอตักสตูว์เข้าปากก็สัมผัสได้เลยว่าเป็นรสชาติที่อร่อยมากอาหารทะเลที่ถูกดับคาวไว้ได้ด้วยสมุนไพรที่หอม แต่ก็ไม่ได้ทำให้รสชาติของทะเลไม่ด้อยลงไปเลย “นี่มันอร่อยๆสุดๆไปเลยนะท่าน!!!” เจสสิก้าชื่นชมออกมา เจ้าของร้านเองก้หัวเราะชอบใจของของการตอบสนงต่ออาหารทำให้เขาชอบใจสุดๆ


หลังจากการพักเติมพลังกับอาหารที่แสนจะอร่อยของที่ดรงเตี๊ยม ชิกิและเจสสิก้าเองก็เตรียมที่จะเดินทางไปหาผู้ที่ติดคำขอเพื่อรับงานจ้าง การเดินทางเท้านั้นก็ไม่ได้ไกลมากเท่าที่ควรไม่ถึงชั่วโมงหญิงสาวทั้งสองมาถึงหมู่บ้าน ‘มาฮูลู’ สิ่งแรกที่สัมผัสได้เป็นกลิ่นเกลือทะเลที่ชัดเจนมาตามสายลม กับทิวทัศนืที่ไม่เหมือนในเมืองที่ผ่านมา บ้านของหมู่บ้านนั้นเป็นบ้านที่ทำจากไม้ และหลังคาที่ทำด้วยหญ้าแห้งสีเหลือง ทรงกลมหน้ารักและปลอดโปร่งหน้าอยู่ เข้ากับเสียงสดใส และเจี้ยวจ้าวของคนในหมู่บ้านที่ ส่วนใหญ่จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ที่สีหลักๆนั้นเป้นสีน้ำเงินเขียวที่เหมือนกับทะเล ตัดกับผิวสีเข้มที่เฉดต่างกันพร้อมรอยสักที่เป็นรูปต่างๆแต่ที่เห็นส่วนใหญ่ ไม่ลายคลื่นทะเลก็ลายดวงจันทร์ 


“ที่นี่น่ะรึมาฮูลู” ชิกิพูดออกมาดวงตาเธอสดใสที่ต่างจากใบหน้าที่นิ่งๆของเธอ หัวใจก็เต้นระรัวเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น


“น่าจะใช่ละนะ” เจสสิก้าตอบก่อนจะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด “ฮ้า~ ที่นี่อากาศดีสุดๆไปเ

ลยล่ะ” เธอยิ้มออกมาก่อนจะโบกให้กับชาวบ้านที่ผ่านหน้าพวกเธออย่างเป็นมิตรและแน่นอนว่าชาวบ้านคนนั้นก็ดบกมือกลับด้วยเช่นกัน


“…..รีบไปหาผู้ว่าจ้างกันเถอะ” ชิกิที่มองเจสสิก้าที่ทำตัวเป็นมิตร นั้นไม่ใช่สิ่งที่ชิกิติดใจ แต่ที่กลัวคงจะเป็นการที่เอลฟ์สาวจะทำตัวเที่ยวเล่นเพลินจนลืมจุดประสงคืที่จะทำ


“อะไรกันรีบจังเลยข้าอยากจะเที่ยวก่อนแท้ๆ” เจสสิก้าทำปากเบ้เล้กน้อยด้วยความเซ็ง


“ไว้ตอนพวกเราทำงานเสร็จก่อนก็ได้อีกอย่างแค่พวกเรารีบทำภารกิจให้เสร้จ ก็ได้มาเที่ยวเทศกาลอยู่นี่…” ชิกิอธิบายในขณะเดินนำเจสสิก้า ตอนนี้เรียกว่าชิกิอยากจะรีบหาเงินเพื่อที่อย่างน้อยจะจะได้มีทุนในการเดินทางต่อไป


สองคนได้เดินตามบ้านหลังแล้วหลังเหล้าก่อนจะมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านที่ดูเล็กกว่าหลังอื่นๆเล็กน้อย ชิกิหยุดหน้าประตุก่อนจะเคาะมันเบาๆ


ก็อก ก็อก


สิ้นเสียงของการเคาะสองที ก็มีเสียงแกร็ก และ แอ็ด ของประตูที่เปิดออก เป็นหญิงชราที่เรียกว่าดุจากผมยาวที่เปลี่ยนสีขาวกับหนวดเคราที่ยาวและเปลี่ยนสีก็ทำให้เดาได้เลยว่าอายุไม่ใช่น้อยๆ แต่เพียงแค่ว่าเธอนั้นยังดูแข็งแรง


“มีธุระอะไรเหรอจ้ะ?” เสียงของหญิงชราถามด้วยรอบยิ้มที่เป็นมิตร


“พอดีว่าพวกเราทั้งสองคนมาตามคำของท่านน่ะ” ชิกิพูดพร้อมชูกระดาษที่มีการเขียนคำขอและจำนวนของเงินรางวัล “ท่านคงเป็นลาเบล สินะ” 


“อ่า…ใช่แล้วล่ะจ้ะเข้ามาก่อนสิข้าจะเตรียมชาเอาไว้ให้” ลาเบลที่เห็นกระดาษในมือชิกิก็ยิ้มออกมาทันทีและเบี่ยงตัวพลางผายมือในบ้านของเธอ เป็นการเชื้อเชิญ


“งั้นข้าขอรบกวนทีนะ—-” เจสสิก้าที่กำลังจะเข้าไป และก็เป็นอีกครั้งที่ชิกิจับหลังคอเสื้อเจสสิก้าเพื่อหยุดตัวของธอไว้ “โธ่เอ้ยอะไรกันเล่า!!!” และมันทำให้เจสสิก้าโวยวายออกมา


“ไม่เป็นอะไรหรอกท่านลาเบลพวกข้ามาแค่รับคำขอน่ะ แลขะพวกเราจะรีบทำมันให้เสร็จ” ชิกิที่รู้สึกเกรงใจก็พุดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง


ลาเบลหัวเราะเบาๆเอ็นดูความขี้เกรงใจไม่เข้าใบหน้าที่นิ่งๆของชิกิ “ไม่เป็นอะไรหรอกนะพวกเจ้ายังไงเข้ามาเถอะ พวกท่านคงเดินทางมาไกลกันมากพักกันก่อนก็ได้” 


“อ่า ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าขอรบกวนด้วย” ชิกิปล่อยหลังคอเสื้อของเจสสิก้าออก ก่อนจะโค้งก้มตัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุรความมีน้ำใจของหญิงชรา และถอดรองเท้าของเธอออก


“ขอบคุณท่านมากๆนะ!!” เจสสิก้าเดินเข้าไปก่อนจะมองดุห้องที่มีฟอนิเจอร์ที่ส่วนใหญ่ทำจากไม้และหินเจียระไนเป็นโต๊ะ คลุมด้วยผ้าสีส้มอ่อนๆ เป้นบรรยยากาศที่ชวนอบอุ่นมากๆ โดยมีชิกิที่เดินตามมา


“นั่งกันก่อนได้เลยนะพวกเจ้าข้าจะไปเอาชามาให้” ลาเบลพูดและเดินเข้าครัวไป ส่วนทั้งสองคนก็นั่งบนเก้าอี้ยาวที่เอาไว้รับแขก ชิกิเองก็มองไปรอบๆบ้านและรู้สึกว่าหลายๆอย่างช่างน่าแปลกตาตาสำหรับเธอ


ผ่านไปสักพักหญิงชราก็กลับมาหาพวกเธอทั้งสองคนพร้อมกับถาดไม้สีน้ำตาลอ่อนที่มีกาน้ำชาแบบเครื่องปั้นดินเผาสีน้ำตาลอมส้ม กับลวดลายของคลื่นทะเลที่ประณีต บรรจงในการทำมันขึ้นมา ลาเบลวางถาดและรินชาใส่ถ้วยดื่มชาก่อนจะเสริฟ์


“ขอบคุณค่ะ…”ชิกิโค้งเล็กน้อยและหยิบถ้วยชามาเป่าไอร้อนเบาๆก่อนจะจิบมันรสชาติที่มีความฝาดเล็กน้อย แต่ก็หอมละมุน


“อื้ม~ อร่อยจังเลย” แน่นอนว่าตัวของเจสสิก้าเองก็ลิ้มรสมันก็รู้สึกชอบมาทันทีและเอ่ยปากชมรสชาติของมัน


“ขอบใจนะจ้ะ” ลาเบลตอบด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและแสนจะใจดีให้แก่สาวๆทั้งสองคน และนั่งลงโดยตรงข้ามกับพวกเธอ “ภารกิจที่ฉันอยากให้พวกเธอ ช่วยไปหาสมบัติของสามีฉันที่ดันเจี้ยนหน่อยน่ะ”


“!!!” คำพูดของลาเบลทำให้ชิกิและตัวของเจสสิก้าเองก้ตกใจไม่แพ้กัน แต่ท่าทางของลาเบลยังคงสลบและใจเย็น


“สามีข้าและตัวของข้าในอดีตเขาเคยเป็นนักล่าสมบัติ พวกเราตามหาสมบัติและของอะไรหลายอย่างเลยล่ะ” ลาเบลกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่คะนึงหาหวนสู่ความทรงจำเก่าๆที่แสนหอมหวาน แต่ก็มีความโศกเศร้าที่ต้องพลัดพรากจากกันไป “แต่ว่าหลังจากที่สามีของข้าเสียไปเมื่อเดือนก่อน ตอนที่ข้ากำลังเก็บของที่เคยเป็นห้องทำงานของพวกเรา และข้าได้ไปเจอกับกระดาษแผ่นนี้” ลาเบลหยิบกระดาษที่สีของมันเป้นน้ำตาลเก่าๆ และส่วนของขอบเองมีรอยขาดที่แสดงถึงความเก่า


ชิกิและเจสิก้าเองก็ยื่นหน้าเล็กน้อยเพื่อที่จะดุสิ่งที่เขียนเอาไว้ เป็นภาพวาดที่วาดอย่างละเอียด เป็นภาพวาดที่รูปร่างเป็นอัญมณีรูปร่างทรงเหมือนกับไข่แต่ก็มีรอยเจียระไน เก็บรูปทรงเหมือนอัญมณีที่เห็นได้ในบนเครื่องประดับหรูหรา แต่ก็ตกแต่งด้วยขาตั้งสีทองถูกดัดและหลอมให้ครอบคลุมตามรอยเจียระไนของอัญมณี ทำให้เป็นของประดับที่เรียกว่าถ้าหากนำไปตกแต่งก็สามารถทำให้บ้านนั้นดูหรูหรามีราคาสุดๆ


ชิกิที่หรี่ตาอย่างสงสัยของมุมขวาล่างของกระดาษ และเหมือนว่าเธอพยายามที่จะอ่านมัน “เอ—— ไม่สิ….เอเกอ…..เอิ่ม..” ด้วยความที่เธอไม่ใช่คนของท้องถิ่นถุนเดิมทำให้เธออ่านไม่ออก


“ ‘Erinnerung’ ใช่รึเปล่านะ?” เจสสิก้าที่เอามือจับคางของเธอก่อนจะอ่านออกเสียงมา


“ใช่แล้วล่ะ เป็นสิ่งสุดท้ายที่สามีของข้าทิ้งเอาไว้น่ะ แต่น่าเสียดายที่มันไปอยู่ในถ้ำที่ไม่ได้มีใครเข้าไปสำรวจมากนักท เพราะเป็นดันเจี้ยนน่ะสิ” ลาเบลอธิบายและถอนหายใจเบาๆออกมาด้วยความกังวลที่มากับน้ำเสียงเธอด้วย “อายุของข้าก็ป่านนี้แล้วคงจะไม่สามารถลงไปได้หรอก”


“ยังงี้นี้เอง~” เจสสิก้าพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่ต้องห่วงนะท่าน พวกเราจะเป็นคนจัดการให้เอง!!!” เจสสิก้าพูดออกมาอย่างด้วยท่าทางที่เต็มเปี่ยมความมั่นใจ พร้อมชูนิ้วโป้งออกมา “ไว้วางใจได้เลย!!!”


‘…….ยังไม่ได้ถามความคิดเห็นจากข้าเลยแท้ๆ’ ชิกิที่มองเจสสิก้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย กับความคิดที่ดังอยู่ในใจของเธอ แต่ถึงกระนั้นชิกิเองก็รู้ดีว่าถึงจะห้ามไปก็คงไร้ประโยชน์ เธอเลยเลือกที่จะอยู่เงียบๆเสียดีกว่า


ลาเบลเองก็ทำหน้าตกใจเล็กน้อยกับการตอบรับที่รวดเร็วของเจสสิก้าว ก่อนจะเป็นรอยยิ้มที่ดีใจออกมา “ขอบคุณพวกเจ้ามากนะ และไม่ต้องห่วงเรื่องเวลาที่พวกเจ้าลงไปในถ่ำดันเจี้ยนเพราะข้าก็พอมีของที่จะช่วยพวกเจ้าอยู่ละนะรอสักประเดี๋ยวนะ” ลาเบลลุกขึ้นและกลับไปในห้องที่เป็นประตูบานไม้เก่าๆ ใช้เวลาสักพักกับมีเสียงกุกกักลอดออกมาบ้าง 


แกร๊ก…


เสียงของประตูไม้ที่เปิดออกมาในมือลาเบลเป็นกระเป๋าสัมภาระขนาดเล็กที่เป้นกระเป๋าสะพายไหล่ข้างเดียวสีน้ำตาลอ่อนๆกับรอยขาดเล็กน้อยที่มาจากการผ่านใช้งาน ก่อนจะวางตรงหน้าของพวกเธอพร้อมตะเกียงหนึ่งอัน 


“ข้างในของกระเป๋าจะมี ผ้าพันแผล อุปกรณ์จุดไฟ น้ำมันตะเกียง เนื้อแห้งและถุงเก็บน้ำดื่มคิดว่าน่าจะพอสำหรับในดันเจี้ยนละนะ” ลาเบลพูดออกมา ส่วนชิกิและเจสสิก้าก็เปิดกระเป๋าดูกันก่อนจะใส่กันคนละใบ “ข้ากับสามีเคยใช้พวกมันมาก่อน ดีใจเหมือนกันนะที่ได้เห็นมันถูกใช้งาน” ลาเบลยิ้มออกมาให้ทั้งคน “ระวังตัวกันด้วยนะ…”


จากนั้นชิกิและเจสสิก้าก็เดินมุ่งหน้าไปที่ถ้ำตามที่ลาเบลบอก มันผ่านป่าที่รกและร้อนชื้นหญิงสาวทั้งสองคนก็เดินไปตามทางก่อนจะมาหยุดที่หน้าถ้ำ ที่ส่วนปากทางเข้าก้มีตะไคร้น้ำขึ้นเต็มไปหมด กับกลิ่นอับชื้นที่โชยออกมาจากถ่ำ


“เรา…..มาถูกที่กันใช่มะ” เจสสิก้าหัวเราะแห้งๆออกมาและมันทำให้ทำให้ชิกิทำหน้าบึ้งเล็กน้อย


“รอบหน้าก็ถามรายละเอียดก่อนจะรับงานมาด้วยนะ” ชิกิมองหน้าเจสสิก้าด้วยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะก้มมองกระดาษในมือที่ลาเบลให้พวกเธอมา ก่อนจะมองมันและมีภาพวาดของถ่ำ ชิกิมองอย่างถี่ถ้วนและยกมันเทียบกับปากถ่ำ 


“….คงใช่” ชิกิพูดแล้วก่อนจะเดินเข้าไปเธอก็เปิดตัวของตะเกียงก่อนจะใช้อุปกรณืจุดไฟนั้นจุดมัน และประกอบกลับเข้าไปดวงไฟสีส้มอ่อนๆนั้นก็สว่างเบาๆ ชิกิและเจสสิก้าก็ก้าวเข้าไปในถ่ำทันทีแสงไฟจากตะเกียงนั้นก็เหมือนจะทำให้ในถ่ำสว่างมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีแสงสว่างแต่ก็ไม่ได้ทำให้เห็นทางได้ง่ายขึ้น


ติ้ง….ติ้ง..


เสียงของน้ำที่หยดในถ่ำก็ดังก้องกังวาน ระหว่างการเดินพวกเธอเองก็เดินกันมาได้สักพักแล้วและอาจจะด้วยความเก่าของตะเกียงทำให้ชิกิรู้สึกได้ว่าตัวของน้ำมันตะเกียงกำลังจะหมด 


“เจสสิก้าขอข้าน้ำมันตะเกียงหน่อยสิ…”ชิกิหยุดเดินและหันไปบอกกับเจสสิก้า 


“อืม…ข้าว่าใช้เวทแสงของข้าดีกว่านะ” เจสสิก้าออกความคิดและกุมมือที่อกของเธอ


วิ้ง!


หลังจากที่ท่องคาถาจบเธอก็แบมือออก มันเป็นพลังงานกลมๆสีเหลืองอ่อนๆไปทางขาวและมันเปล่งแสงออกมา แสงที่สว่างนั้น สว่างยิ่งเสียกว่าตะเกียงเสียอีก


“เวทมนต์มันสะดวกจริงๆแหละนะ” ชิกิพูดออกมาเป็นการชมกลายๆให้เห็นว่าเธอเองก็สนใจในด้านของเวทมนต์จริงๆ

“ใช่มั้ยละ~” เจสสิก้ายืดอกขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ “เวทมนต์แห่งแสงน่ะ เหล่าเอลฟ์อย่างพวกข้านั้นเรียนมันมาตั้งแต่เด็กๆเลยนะ”


ชิกิที่ไม่ได้พุดอะไรตอบนอกจากจะยื่นมือไปจับใบหูยาวๆของเจสสิก้าก่อนจะออกแรงดึงจนทำให้เจสสิก้าสะดุ้งขึ้นมาเพราะความเจ็บ 


“เจ็บๆๆๆๆๆๆ ข้าเจ็บนะ!!” เจสสิก้าโวยวายและดิ้นเล็กน้อยแต่ก็เหมือนว่าจะสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้เลย


“ถ้ารู้ว่าใช้ได้ทำไมไม่ใช้ตั้งแต่แรกละแบบนี้เราก็เปลืองน้ำมันตะเกียง” ชิกิพุดออกมาอย่างอารมณ์เสียก่อนจะปล่อยมือจากหูของเจสสิก้า“งั้นเราก็เดินกันต่อเถอะ” 


“เข้าใจแล้วน่า…ข้าขอโทษ..” เจสสิก้าพูดออกกมาอย่างสำนึกผิดและต้องเดินนำตัวของชิกิไปเพราะ เธอเป็นคนทคนที่ต้องฉายแสงตลอดเวลา


พวกเธอได้เดินเข้ามาอย่างลึกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเดินกันมาเกือบชั่วโมงกับเส้นทางของถ่ำที่ไม่ได้ทอดยาวลงไป ชิกิเองก็พอสัมผัสได้ว่ามันคือถ่ำที่ลงไปลึกมากขึ้น


“เดี๋ยวก่อน!”ชิกิที่รู้สึกเหมือนมีใครบางคน หรืออะไรบางอะไรบางอย่างฟังจากเสียงที่ดังก้องในถ่ำ ชิกิเดินขึ้นมานำหน้าเจสสิก้าและมือซ้ายของเธอก็จับด้ามของดาบเอาไว้เพื่อเตรียมพร้อมในการโจมตี


ชิ้ง!!!


แกร๊ง!!!


สัญชาตญาณของชิกิทำงานขึ้นมาในทันทีเมื่อเห็นสีเงินๆ และความคมของดาบเข้ามาในระยะดาบตา ชิกิก็ชักดาบออกมาและฟาดฟันเพื่อกันและปัดให้มันกระเด็นออกไป


เมื่อคนที่เริ่มโจมตีนั้นเข้ามาในระยะแสงไฟก็ทำให้เห็นใบหน้าและรูปร่าง เป็นชายที่อายุที่น่าจะราวๆ ยี่สิบปลายๆถึงสามสิบต้นๆ ใบหน้าที่โครงสันหน้าชัดเจนที่ถึงหน้าจะสั้น แต่โหนกแก้มก็ทำให้มีเสน่ห์ ดวงตาที่คมชัดสีทองสว่างในความมืด ที่มีหนวดเล็กน้อยประดับใบหน้าที่ทำให้ดูมีภูมิฐาน ทรงผมที่ถึงจะยาวแต่ก็มัดเอาไว้ด้วยผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำที่เข้ากับผิวสีแทนน้ำตาลของเขา พร้อมชุดเกราะที่แน่นกับสัญลักษณ์บนเกราะอก  


“อะไรกัน…มนุษย์หรอกเหรอ?” เสียงที่ทุ้มเข้มนั้นพูดออกมาอย่างแปลกประหลาดใจ ก่อนจะลดดาบในมือลงเล็กน้อย


“เจ้าเป็นใครกัน!” ชิกิที่ยังไม่ลดดาบมิหน่ำซ่ำยังเริ่มตั้งท่าเตรียมการโจมตีครั้งต่อไปอีก


เจสสิก้าเองที่ก็ค่อยๆเดินถอยไปเพื่อตั้งท่าตัวเธอเองก็สะดุดแบบไม่ทันระวังก็ล้มก้นจ้ำเบ้า “ว้าย!!— โอ๊ย..”


กึก….


ครึ่ก…..


จุดที่เจสสิก้าล้มนั้นก็เหมือนไปทำให้กลไกอะไรบางอย่างทำงานขึ้นพื้นดินที่อยู่ตรงเธอก็แตกลงและใต้พื้นนั้นก็ไม่มีอะไร ชิกิที่พึ่งจะสังเกตเห็นแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว


“อะ—- กรี๊ดดดดดดดดด!!!!!” เจสสิก้าที่กำลังพยายามคิดว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นก็ร่วงลงหลุมลึกไปพร้อมเสียงกรี๊ดที่ค่อยๆหายไปพร้อมแสงที่เธอร่ายมาก่อนหน้า


“เจสสิก้า!!!!” ชิกิที่ลงทุนสไลด์ตัวมาโดยหวังว่าจะถึงตัวนั้นก็ไม่เป็นผลเพราะเจสสิก้าร่วงไปก่อนที่จะจับไว้ได้ “บ้าเอ้ยัง…แล้วแบบนี้…”



ใครจะเป็นร่ายเวทแสงกันเล่าาาาาาา!!!!!!