เด็กสาวผู้มาจากต่างแดน’ชิกิ’ ได้มุ่งหน้ามาอย่างดินแดนเรจัสเพื่อตามหาอาจารย์ของเธอผู้ที่ชุบเลี้ยงและดูแลเธอมาได้หายตัวไปและเบาะแสที่เธอได้รับก็มีเพียงแค่จดหมายที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ข้าอยู่ที่เรจัส‘
แฟนตาซี,เลือดสาด,ตะวันตก,อื่นๆ,ชาย-หญิง,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,Dungeon&Dragon,ดราม่า,ผจญภัย,DnD,รักวัยรุ่น,โรแมนซ์,คอมเมดี้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
REGUS:Road of Dragonเด็กสาวผู้มาจากต่างแดน’ชิกิ’ ได้มุ่งหน้ามาอย่างดินแดนเรจัสเพื่อตามหาอาจารย์ของเธอผู้ที่ชุบเลี้ยงและดูแลเธอมาได้หายตัวไปและเบาะแสที่เธอได้รับก็มีเพียงแค่จดหมายที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ข้าอยู่ที่เรจัส‘
คำเตือน:เนื้อหาจะมีความรุนแรง ฉากของเลือดและอัวยะหลุดออก การโป๊เปลือย กับประเด็นอ่อนไหวต่างๆ กับคำหยาบคาย โปรดใช้วิจรณญาณในการอ่าน ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านะคะขอบคุณค่ะ
น้ำที่ท่านดื่ม ผืนไร่ที่ท่านปลูกพช ป่าไม้ที่งอกงามออกมาเป็นที่อาศัยของเหลล่าเอลฟ์ และสรรพสัตว์มากมายนั้นล้วนมาจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมังกร และเรากำลังยืนและอาศัยบนร่างมังกรที่สิ้นชีพไปแล้ว นั้นคือคำเล่าขานมาตลอดเกี่ยวกับดินแดนของ ‘เรจัส’
กะโหลก ดินแดนที่เต็มไปด้วยอากาศและหิมะที่หนาวเหน็บ ที่่เรียกว่ามีหิมะเกือบตลอดทั้งปี
ปีกซ้าย พื้นนี่ถึงจะแตกสลายจนกลายเป็นเกาะ แต่ก็มีความหลากหลายของเผ่าพันธ์
ปีกขวา พื้นที่ทะเลทรายที่แห้งแล้ง แต่ในขณะเดียวกันเหนือน่านฟ้าก็มีสถาบันโรงเรียนเป็นที่ตั้ง
หาง พื้นที่ติดชายหาดที่อุดมสมบูรณ์กับพิธีกรมร้อยกว่าปีที่อัญเชิญเทพธิดาแห่งดวงจันทร์มาพานพบได้
หัวใจ ดินแดนศูนย์กลางของทวีปที่มีการค้ามากมายแและความหลากหลายของเผ่าพันธ์ต่างๆ
“ชิกิ” เด็กสาวผู้มาจากต่างแดน เธอกก้าวเข้ามาในดินแดน “เรจัส” ดินแดนที่ถูกเล่าขานว่าดินแดนแห่งนันเคยเป็นร่างของมังกรในตำนาน ‘แพลตตินั่ม’ ชิกิผู้ที่ได้รับจดหมายสุดท้ายจากอาจารย์ของเธอที่มีเพียงประโยคเดียวที่เขียนเอาไว้
ข้าอยู่ที่เรจัส
สวัสดีค่ะนิยายเรื่องนี่เป็นเรื่องแรกที่เราเขียนอย่างจริงจังนะคะ เราได้รับแรงบันดาลใจมากจาก Dungeon&Dragon บอร์ดเกมโปรดของเรานะคะ ยังไงก็ขอฝากเอาไว้ด้วยนะค่าาา
หลังจากเกิดเหตุการณ์ชลมุนที่ไม่ถึง 5 นาที ที่มีคนมาโจมตีพวกของชิกิ เป็นชายที่สวมชุดเกราะแดงและมีสัญลักษณ์ รูปคล้ายๆกับนกที่ล้อมรอบไปด้วยเปลซเพลิงแต่ที่น่าสนใจคือสัญลักษณ์กลับถูกขีดฆ่าเอาไว้ ดวงตาสีทองของชายผู้นั้นจ้องมองไปที่ชิกิที่พึ่งจะโวยวายหลังจากเพื่อนของเธอได้ตกลงไปในหลุมลึก
“…คือว่า…เจ้าโอเคมั้ย”
ชายผู้นั้นได้เดินมาหาชิกิแบบระมัดระวัง และเขาเองก็ไม่สามารถคิดคำพูดได้ออกมา เพราะเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำเรื่องเลยเถิด
ชิ้ง!!!!
”อย่าเข้ามาใกล้ข้ามากกว่านี่นะ!”
ชิกิที่รีบลุกขึ้นและยกดาบชี้หน้าของเขาอย่างระแวง เพราะว่าเขานั้นก็เข้ามาโจมตีพวกเธอก่อน สายตาของเธอนั้นก็เรียกว่าเธอจะไม่ปราณีแก่เขา อย่างแท้แน่นนอน
“……….”
กริ๊ก…..
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรนอกจากจะเป็นยสีหน้าที่นิ่งสงบและ มุมปากของเขายิ้มขึ้นมาเล็กน้อย และวางดาบในมือของเขาเป็นการแสดงให้เห็นว่า เขาไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับเธอ
“ใจเย็นๆ ควิชิต้า ข้าไม่อยากที่จะสู้กับเจ้าหรอกและขอโทษด้วยสำหรับการที่ข้าเข้าไปโจมตี”
ชายผู้นั้นพูดด้วยเสียงที่เข้ม แต่ก็นุ่มนวลโดยเฉพาะคำที่เรียกกับชิกิ ดูแพรวพราวเป็นพิเศษพร้อมกับมือสองข้างที่ยกขึ้นให้เห็นว่าเขาไม่มีอาวุธหรือถืออาวุธอะไรเอาไว้
“…งั้นแกเป็นใคร?”
ชิกิลดดาบในมือลงเล็กน้อยถึงจะเห้นว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีท่าทีจะโจมตีเข้ามาหาเธอเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไว้วางใจลงทีเดียว
“ข้าเป็นอัศวินมีนามว่า เออร์กุน เจ้าล่ะควิชิต้า?”
เออร์กุนพูดและยิ้มเป็นมิตรให้กับเธอ และแน่นอนว่าเขานั้นนั้นยังยกมือขึ้นทั้งสองข้าง เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตัวของเขานั้นไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอแน่นอน
“ชิกิ……”
เธอตอบโดยที่ยังไม่วางตาที่จะมองหน้าของเออร์กุน บรรยากาศโดยรอบนั้นช่างตึงเครียดเหงื่อบนหน้าของเธอก็ผุดเล็กน้อยและไหลออกมาเบาๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตเธอที่ไม่รู้เลยล่ะว่า จะสามารถโจมตีชายตรงหน้าเข้าหรือไม่ ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝักและหยิบตะเกียงขึ้นมาเพื่อให้พื้นที่รอบๆสว่างมากขึ้น ก่อนจะเดินไปใกล้เขาเล็กน้อยเพื่อให้เห็นหน้าเขา
“งั้นเจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะ…”
ชิกิถามเขาอีกครั้งและพยายามให้ท่าทานั้นเริ่มผ่อนคลายเสียสักหน่อย เพื่อที่จะไม่ให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา
“…ข้ามาเพราะข้าได้ยินมาว่าในถ่ำนี่ มีสมบัติข้าเลยออกมาตามหา”
เขาตอบจุดประสงค์ออกมา โดยที่ใบหน้าของชิกิก็ยังคงจ้องมองเขาอย่างไม่ลดละแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะเริ่มสู้กับเขา
“งั้นเหรอ….เราคงมีเป้าหมายคล้ายกันล่ะนะ”
ชิกิพูดและก็ถือตะเกียงเดินผ่านเขาไป เพราะตอนนี้เธอก็ไม่ได้อยากจะถามเขาเพิ่มเติมรู้เพียงแค่นี้ก็เพียงพอ แต่รอยยิ้มเออร์กุนนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเสียเท่าไรกับชายผู้นี้
“คล้ายกัน? คงจะเป็นเรื่องที่บังเอิญสินะ”
เออร์กุนพูดพร้อมกับเดินตามหลังชิกิแต่ก็เว้นระยะห่าง กับชิกิไว้เพราะรู้ว่าเธอจะไม่สบายใจ
“เห็นเจ้าตะโกนบอกว่าใครจะร่ายเวทย์แสงให้น่ะ”
เออร์กุนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย จากการที่เขานั้นได้ยินเสียงตะโกนชิกิที่ลั่นออกมาถึงจะชวนให้เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมาในชีวิตของเขา
“อึก…..ก–ก็ข้าพูดเพราะยัยนั้นร่ายเวทย์แสงได้ มันประหยัดน้ำมันตะเกียงดีนี่นา ใครจะไปรู้ล่ะว่าเราจะต้องเดินในดันเจี้ยนนี้นานแค่ไหน”
ชิกิที่ถูกทักก็เริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมา ทำให้เธอแอบคิดในใจเลยว่าอยากจะย้อนเวลาไปห้ามตัวเองไม่ให้ตะโกนอะไรไร้สาระชวนขำขันออกไป แน่นอนว่าเธอก็หันไปตอบเขาเป็นความจริงถึงแม้จะต้องรู้สึกอายก็ตามเสีย
“แล้วเจ้ามีปัญหารึไงล่ะ?”
เธอถามเขาากลับด้วยเสียงหงุดหงิดกับหน้าบึดเล็กน้อย ก่อนจะชะงักเพราะเขายื่นมือข้ามไหล่ซ้ายของเธอมา
เป๊าะ!
วิ้ง…
เมื่อมือของเขานั้นดีดนิ้วออกมา ก่อนจะมีก้อนกลมๆส่องแสงตรงแสงฝ่ามือของเขาด้วยความตกใจและสัญชาตญาณทำให้เธอหมุนตัวเหวี่ยงตะเกียงจะฟาดเขา แต่เออร์กุนเองก็ถอยเล็กน้อย ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีทท่าทางจะตอบโต้แต่หัวเราะเล็กน้อยเพราะรู้สึกสนุกสนานกับปฏิกิริยาของสาวน้อยตรงหน้า
“ใจเย็นๆ….ข้าก็แค่ร่ายเวทย์แสงให้เอง อยากประหยัดใช่มั้ยละ? น้ำมันตะเกียง”
เออร์กุนยิ้มมุมปากและยกมือข้างที่ร่ายเวทแสงขึ้นลงเบาๆ
“...ฮึ….อยากทำอะไรก็ตามใจ…”
ชิกิที่ถึงอยากจะขอบคุณ แต่ทั้งความไม่ไว้ใจ อีโก้ รวมถึงความหมั่นไส้เล็กน้อยกับผู้ชายคนนี้มันช่างชวนยียวนเธอทำให้ เด็กสาวก็สะบัดหน้าหนีและเดินนำหน้าต่อ
‘น่ารักดีนี่…’
เออร์กุนที่พยายามกลั้นขำกับท่าทางที่ชิกิจะพยายามนิ่งสงบ แต่ก็มีปฏิกิริยาเหมือนเด็กสาวทั่วๆไป สำหรับเขามันก็ช่างน่ารักไม่ใช่น้อย ก่อนจะค่อยๆเดินไปอยู่ข้างๆชิกิ โดยไม่ให้เธอรู้ตัว ด้วยการเขยิบไปใกล้เธอทีละนิดจนได้ไปอยู่ข้างๆเธอ
แต่ชิกิเองก็ไม่ได้พูดหรือไล่เขาไปเลยอาจจะเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอ เธอเหลือบมองเขาเล็กน้อยพอเขามองเธอกลับก็รีบหันหน้ามาทองทางเหมือนเดิม
บรรยากาสการทั้งสองที่เงียบสงบ มีเพียงแค่เสียงฝีเท้าของร้องเท้าสานและชุดเกราะที่ดังกึงก้องประสานไปกับเสียงของน้ำที่ หยดลงมาตามหินย้อยจนเป็นเสียงติ๊งๆ
“เหมือนทางข้างหน้าจะเป็นทางลึกลงแล้วละนะ…..”
เออร์กุนพูดและรู้สึกได้เลยว่าทางเดินนั้นก็ลาดลงไปและพอเขาเดินนำหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือให้ชิกิเป็นการยื่นความช่วยเหลือให้เด็กสาวเดินลงมาง่ายๆ
“…….ไม่เป็นข้าเดินลงเองได้…..”
ชิกิที่มองมือของเขาก่อนจะค่อยๆเดินลงตามทางลาดลงไปอย่างไม่มีปัญหา ก่อนจะมองหน้าของเขาและหันหนีเล็กน้อย
“แต่ก็……..ขอบคุณ….”
ชิกิพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาแต่เพราะความเงียบงันที่ทำให้เสียงชิกิเองก็ดังขึ้นมามากกว่าปกติ ใบหน้าที่หันหนีนั้นเองก็แดงเล็กน้อย ทำให้เออร์ที่เห็นก็หัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะมุ่งหน้าเดินกันต่อ
ระหว่างทางนั้นเออร์กุนเองก็แอบคอยมองชิกิตลอดเวลาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าตัวของชิกินั้นก็รู้ตัวว่าตัวของเธอกำลังโดนมองก็หยุดเดินก่อนหันไปทำหน้าบึ้งไม่พอใจเล็กน้อย
“นี่!! หน้าของข้ามีอะไรติดรึยังไรถึงมองหน้าของข้า”
ชิกิถามเขาพร้อมกับยักคิ้วและกอดอกอย่างไม่พอใจ แน่นอนว่าต่อให้เธอจะเป็นคนที่นิ่งสงบ แต่เจอสถานการณ์แบบนี้เธอเองก็ไม่ชอบมากนัก
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกแค่……”
เออร์กุนที่ปฏิเสธออกไปก่อนจะเว้นคำพูดเพราะสายตาที่เขามองจริงๆนั้นไม่ใช่ทั้งใบหน้าของเธอ แต่เจาะจงไปที่รอยแผลเป็นไฟไหม้ด้านซ้ายของเธอชิกิที่รู้ตัวก็รีบหันหน้าหนี
“….มันน่าเกลียดมากใช่มั้ยละ….”
ชิกิคิ้วขมวดเล็กน้อยและพูดออกมา มือข้างขวาที่ไม่ได้ถือตะเกียงก็กำหมัดแน่นและสั่นเทา ใช่การมีรอยแผลบนหน้าของผู้หญิงยังไงก็ตามมันคงเป็นสัญลักษณ์ที่แสนน่ารังเกียจและลดทอนความงามลงไป ยิ่งแผลเป็นไฟไหม้ขนาดใหญ่ที่สังเกตได้ง่ายก็คงยิ่งน่าเกลียดมากขึ้นไปอีก
“ไม่เลย….ข้าคิดว่านั้นกล้าหาญมากๆเลยล่ะ…”
“ฮะ?”
ชิกิที่ได้ฟังคำตอบของเออร์กุนก็ส่งเสียงแปลกประหลาดใจออกมา และหันไปมองใบหน้าที่ยิ้มอ่อนโยนให้เธอ อย่างแปลกใจ
“เจ้าไม่คิดเช่นนั้นรึ…ผู้คนส่วนใหญ่มักจะปกปิดรอยแผลเป็น แต่เจ้านั้นกลับกล้าที่จะเปิดเผยมันนั้น…เป็นเรื่องที่กล้าหาญมากๆเลยละ”
น้ำเสียง สายตา ท่าทาง ที่แสนจะอ่อนโยนกับคำพูดที่จริงใจนั้น ดวงตาของชิกินั้นเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ ดีใจ ซาบซึ้งไปพร้อมๆกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ จนใบหน้าหวานๆนั้นแดงขึ้นมา ชิกิที่รู้ตัวก็จับขอบหมวกสานดึงลงมาเพื่อบังใบหน้าและหันหนีเล็กน้อย
“ถึงเจ้าจะมาชมข้าก็ไม่ดีใจหรอก!!”
“เห~ จริงรึงั้นมาคุยกันหน่อยสิชิกิต้า~”
เออร์กุนเอียงตัวเล็กน้อยและพึดหยอกล้ออีกฝ่ายอย่างสนุกสนานที่ได้แกล้งเด็กสาวให้เขินอายออกมาได้
“หยุดเลยนะ…ถ้าเจ้าไม่หยุดละก็ข้าจะฟันหน้าหล่อๆของเจ้าให้เละซะเลย…”
ชิกิพูดและขบฟันเบาๆอย่างไม่พอใจ จากการที่ถูกชายหนุ่มพูดจาหวานๆชมเชยตัวเธอ ขนาดอาจารย์ที่เธออยู่ด้วยกันมา 10 ปีก็ยังไม่พูดจาหวานๆให้สมกับที่เธอเป็นผู้หญิงเลยเพราะอาจารย์ที่เธอรู้จัก ถึงจะกล้าแกร่งในวิชาดาบทาชิ แต่กลับเป็นพวกที่ชอบดื่มสาเกและเมาหัวราน้ำกับหาเรื่องผู้
“...แปลว่าเจ้าคิดว่าข้าหล่อใช่มั้ยละชิคิต้า~~”
แต่ดูเหมือนกลายเป็นเออร์กุนแลจะชอบกับคำพูดของชิกิโดยเฉพาะการที่บอกว่า'เขามีหน้าหล่อๆ’ราวกับเป็นคำชมแสนหวานจากเด็กสาวที่น่ารัก
“อึ่ก!!...ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเจ้าน่ารำคาณเป็นบ้าเลย!!”
ชิกิที่พยายามสงบจิตสงบใจก็เดินหนีเขาในพอรู้สึกว่าตัวเองกำลังตะบะแตก ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทั้งความน่ารำคาญ ความเจ้าตื้อของเขายิ่งทำให้เธออารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก
“งั้นเหรอๆ ข้าน่ารำคาณขนาดนั้นเลยงั้นหรือ~”
เออร์กุนที่เริ่มจะสนุกกับการได้หยอกล้อตัวของชิกิก็หัวเราะออกมา ก่อนจะหยุดชะงักเพราะรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล แม้แต่กับชิกิด้วยเธอก็ชักดาบที่เอวของเธอเพื่อเตรียมพร้อมอะไรบางอย่างที่กำลังจะเข้ามา
แก๊ก….แก๊ก…
เสียงกระทบของรองเท้าบูทผสมกับเสียงชุดเกราะที่กระทบกัน แต่เสียงบางอย่างที่ไม่คุ้น เมื่อมันเข้ามาในระยะของแสงสว่างตะเกียง ที่เป็นรูปร่างของมนุษย์ที่สวมชุดเกราะที่ผ้านั้นขาดวิ่น แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขานั้นไม่มีเนื้อหนังอะไรเลยหรือ อาจจะมีเนื้อบางแต่ก็เป็นเนื้อหนังที่ติดกระดูกที่เน่าเสียติดกระดูก ที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาจนทำให้ชิกินั้นจมูกยู่ในทันที
“พวกโครงกระดูกงั้นเหรอ?” ชิกิกขมวดคิ้วพูดขึ้นมา ถึงภาพตรงหน้าจะทำให้เห็นคำตอบก็ตามแต่สำหรับเธอที่เห็นว่าการที่โครงกระดูกมนุษย์เดินได้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะเห้นได้บ่อยมากนัก จะสงสัยหรือประหลาดใจแค่ไหนชิกิก็ยังไม่ลดการ์ดลงมา
“ไม่ต้องเปลืองแรงหรอกนะ ชิคิต้า” เออร์กุนที่เห็นสิ่งตรงหน้าก็ทำหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยราวกับว่าการต่อสู้ของครั้งนี้แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย
“หมายความวว่าไงน่ะ ที่ไม่ต้องเปลืองแรง?” ชิกิเลิกคิ้วอย่างเล็กน้อย และอ้าปากค้างหน่อยๆ เพราะศัตรูข้างหน้าก็มีถึง สี่ถึงห้าตัวมันลำบากอย่างแท้แน่นอน
เออร์กุนไม่ได้ตอบออกอะไรก็ทำเพียงแค่เอียงหน้า ยิ้มที่มีนัยยะบางอย่างเพียงเท่านั้น มุมปากที่โค้งขึ้นนั้นทำให้ชิกิขนลุกไม่ใช่น้อย
“ได้โปรดเถิด พ่อผู้ที่เป็นดั่งแสงสว่าง โปรดชี้นำข้า โปรดจงฉายแสงให้แกสิ่งที่โสมมด้วยเสีย!” เออร์ที่หยิบบางอย่างที่ติดกับเข็มขัดของเขา เป็นเหมือนสัญลักษณ์บางอย่างที่รูปร่างราวกับดวงอาทิตย์สีแดงและเหลืองที่กลมกลืน ชวนอบอุ่น
กึก….
เขาเริ่มคุกเข่าลงไปและพึมพัมออกมา ในขณะที่เขานั้นกำลังพึมพัมอยู่นั่นเอง แสงสว่างก็เริ่มเปล่งประกายออกมาจากตัวของเขา ยิ่งเขาภาวนามันจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ชิกิที่อยู่ใกล้เขานั้นก็ต้องยกแขนขึ้นมาเพื่อบังแสงสว่างที่ประกายนั้นก็เหมือนจะทำให้เจ้าพวกโครงกระดูกนั้นเริ่มจะล้าถอยออกไป ท่าทีของพวกมันก็เหมือนกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง จนพากันถอยหนีกันไป
เมื่อเออร์กุนหยุดภาวนาแสงสว่างก็ค่อยๆลดลงไปจากที่เขาคุกเข่าก็ลุกยืนขึ้นมา ก่อนจะปัดฝุ่นตามขาและตัว ราวกับว่าเรื่องที่นี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับตัวของเขา
“งั้น….นี่คือวิธีที่เจ้าบอกว่าไม่ต้องเปลืองงั้นรึ?” ชิกิถามเขาพร้อมกับเก็บดาบของเธอเข้าฝักดาบของตัวเธอเอง
“ก็เหมือนที่ข้าบอกชิคิต้า ไม่ต้องเปลืองแรง” เออร์กุนพูดด้วยเสียงที่ทุ้มพอเห็นปอยผมที่ร่วงมาตรงหน้าผากของเธอ มือใหญ่ของเขาที่จะเอื้อมไปปัดผมจัดเรียบร้อย ชิกิเองก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะถอยหนี
“ใช่ๆไม่เปลืองแรง งั้นเดินหน้าต่อกันได้แล้ว” ชิกิจ้องพินิจเขา ถึงพลังของเขานั้นจะสามารถขับไล่เหล่าโครงกระดูกไปได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเธอจะยังเชื่อใจเขา ก่อนจะเดินนำหน้าไป
เออร์กุนก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากจะยิ้มออกมาเบาๆ และเดินตามเธอไป
พวกเขาทั้งสองสัมผัสได้ขึ้นเรื่อยๆเลยว่าทางเดินนั้นลึกลงไปเรื่อยๆ ลึกลงไป ถึงจะไม่รู้ว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้าก็ตาม
ในขณะเดียวกัน
ตึกๆๆๆๆๆ
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบจากการวิ่งของเจสสิก้าที่ปะปนไปกับการหอบของเธอ หญิงสาวที่ตอนนี้หน้าซีดเผือก ดวงตาที่สั่นเพราะความกลัว ก่อนจะหยุดวิ่งและเจอมุมอับที่ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวเป็นกำแพงดินไว้เป็นจุดหลบ โดยเธอรีบคลานเข้าไปซ่อนตัวในทันที
“เฮือก!!”
เธอสะดุ้งหายใจเมื่อได้ยินเสียงของฝีเท้า ที่หนักหน่วงกับเสียงคำรามในคอราวกับนักล่า เสียงฟุดฟิดที่ดมหากลิ่นเหยื่อของมัน เจสสิก้าที่ตอนนี้ได้แต่นั่งสั่นและหวาดกลัวเอามือปิดปากแน่น
‘เจ้าอยู่ไหน….’
‘
เจ้าอยู่ไหนชิกิ!!!!!