ฉันเคยชอบคุณมาตลอด แต่ฉันจะไม่ยอมให้คุณเอาเปรียบอีก
ชาย-หญิง,อาชญากรรม,ดราม่า,รัก,สะท้อนปัญหาสังคม,สะท้อนสังคม,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Revenge เจ้านายคะ อย่ามาจับ!ฉันเคยชอบคุณมาตลอด แต่ฉันจะไม่ยอมให้คุณเอาเปรียบอีก
‘แชมเปญ’ ได้งานแรกหลังเรียนจบเป็นเลขานุการผู้บริหารบริษัทกวินธาดามีเดีย ต้องใกล้ชิดและขึ้นตรงกับ ‘ฮาล’ ประธานบริษัทสุดหล่อเท่แต่ยิ่งทำงานไปด้วยกันเรื่อย ๆ ก็เซนส์ได้ถึงความลับดำมืดของเขา
ตลอดระยะทดลองงาน 3 เดือน แชมเปญได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานสุดหิน ท้าทายศักยภาพเด็กกิจกรรมและหลายพฤติกรรมไม่น่าอภัยของฮาล ทำให้อดีตที่เคยชื่นชมเขาดั่งไอดอลให้กลายเป็นความกลัวและเกลียดชัง แชมเปญได้ยินเรื่องซุบซิบในกลุ่มเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับเรื่องแปลกในบริษัท รวมถึงการหายตัวไปของจูลี่ เลขาคนก่อนหน้าเธอด้วย
ทีนี้แชมเปญจะไว้ใจใครในกวินธาดามีเดียได้บ้างนะ ?
แล้วความลับของฮาลคืออะไรกันแน่ ?
Aespa & Tokimonsta - Die Trying
Champagne's POV:
วันศุกร์เวียนกลับมาถึงอีกครั้ง ฉันเรียกประชุมเลขานุการผู้บริหารรวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลเพื่อระดมสมองในห้องประชุมชั้น 4 ตั้งแต่เวลาเก้าโมงครึ่ง คุณฮาลไม่พอใจเอามาก ๆ ที่ฉันทำอะไรตามใจแต่เขายังจำความรู้สึกเจ็บจากเย็นวันศุกร์ได้ จึงไม่ทำอะไร ปล่อยให้เลขานุการคุยกัน
ห้องประชุมถูกดึงม่านปิดทั้งสี่มุมเพื่อไม่ให้ภายนอกมองเข้ามาได้รวมถึงแสงแดดยามเช้าด้วย
"ก่อนอื่นต้องขอโทษพี่ ๆ ที่เรียกประชุมกะทันหันนะคะ แต่ไม่เกินชั่วโมงแน่ค่ะ หัวข้อการประชุมก็ตามที่หนูแจ้งเลย คือ มาตรการ Whistleblower"
ฉันแตะหน้าจอแท็บเลตฉายภาพขึ้นจอโปรเจคเตอร์ ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรเพิ่มเติมเพื่อขยายความหัวข้อ คุณทิมก็รีบเปิดประตูเข้ามาร่วมประชุมด้วย
"ต่อไป ถ้าประชุมเฉพาะกลุ่มเลขาฯ พี่ต้องรับรู้ด้วยนะ"
"รับทราบค่ะ... หนูขอโทษค่ะที่ลืมเชิญพี่ทิมด้วย"
"ไม่เป็นไร อย่าให้มีอีกแล้วกัน ว่าแต่ Whistleblower นี่มัน... อะไรอะ แชมเปญ"
ภายนอกคุณทิมคือชายวัยกลางคนหน้าตาใจดี เป็นมิตรคนหนึ่ง ดูเป็นรุ่นพี่ที่ไม่มีอะไรให้ระแวงในการทำงานร่วมกัน นั่นคือความประทับใจแรกหลังจากสัมภาษณ์กับเขา ทว่าในตอนนี้ ฉันมองเขาไม่เหมือนเดิมหลังจากได้รับข่าวจากแอรันเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของสามผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกรย์คาสิโน
"มาตรการนี้ หนูคิดขึ้นได้หลังจากได้เข้าชมนิทรรศการภาพยนตร์สั้นกับคุณฮาลค่ะ ในเมื่อปีนี้หลายหน่วยงานทั้งเอกชนกับรัฐบาลให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตพนักงานมากขึ้น ไหน ๆ เราก็เพิ่งปล่อยรายการอบรมให้ความรู้ด้านสุขภาพจิตด้วย ดังนั้นตัวองค์กรก็ควรเริ่มก้าวแรกเหมือนกัน ในการรับเรื่องร้องเรียน ให้ความช่วยเหลือพนักงานที่เป็นเหยื่อความรุนแรง การคุกคามค่ะ"
ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความคิดของฉันคนเดียว แต่เป็นการระดมสมองกับแอชและแอรัน เพราะในเมื่อฉันสามารถโต้กลับแอมเบอร์ได้ นั่นก็แค่ศึกย่อยครั้งเดียว เช่นเดียวกับคุณนอร์ทที่จะหายไปชั่วคราว ฉันควรทำอะไรสักอย่างเพื่อหาแนวร่วม ดังนั้นกลุ่มเลขานุการจึงเป็นเป้าหมายของฉัน ถึงแม้จะมีความเสี่ยงมากก็ตาม
"หืม? ความรุนแรง การคุกคามเหรอ แชมเปญ หนูไปรู้อะไรมาจากไหน" พี่ทศแสดงออกทางน้ำเสียงและสีหน้าด้วยความกังวลอย่างชัดเจน เขาเป็นอีกคนที่อยู่ในห้องสัมภาษณ์ตำแหน่งเลขานุการซีอีโอ และพี่ทศดูเป็นคนจริงใจที่สุดในห้องนี้ เขาเป็นคนแสดงออกชัดเหมือนหนังสือที่เปิดไว้ "หรือใครทำอะไรหนู"
"ความจริงเป็นสิ่งน่ากลัวค่ะพี่ทศ พี่ทิม มันเป็นประสบการณ์ที่จูลี่ถูกกระทำก่อนที่เธอจะหายตัวไปและขาดการติดต่อ" ฉันเปิดสไลด์ให้ทุกคนดูไดอารี่ซึ่งบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ของเลขานุการ มีวันที่และเวลาระบุชัดเจน พี่หลิน พี่โยนา พี่แอนน์รวมถึงพี่ทศตกใจที่ได้เห็นใจความไดอารี่ ต่างจากคุณทิมที่ตกใจอีกแบบ ดูเหมือนความกลัวมากกว่า "ไม่ใช่แค่จูลี่ค่ะ หนูเองก็ด้วย คลิปหลังจากนี้อาจจะสะเทือนใจนะคะ"
ภาพจากกล้องจิ๋วที่ซ่อนไว้หลังชั้นหนังสือแสดงให้เห็นว่าฮาลทำอะไรฉันหลังประตูห้องทำงานบ้าง เขาเข้าใกล้และลอบสัมผัสด้วยมือและปากเพื่อไม่ให้ทิ้งร่องรอยบนร่างกาย เขาเป็นผู้ล่าที่สร้างแผลในจิตใจของใครก็ตามที่อยู่ในระยะของเขา "หนูยังจำความเจ็บใจตอนที่คุณฮาลขู่จะไม่ให้ผ่านทดลองงาน ถ้าดื้อหรือขัดขืนเขาได้ค่ะ แต่ก็อดทนจนผ่านมาได้ ถึงจะไม่คุ้มเท่าไหร่ หนูคาดหวังเยอะมากกับการทำงานที่กวินธาดา... ร่วมกับคุณฮาล"
พี่แอนน์กุมมือของฉันแน่น
"เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว แชมเปญ"
"น้องเล่าให้โยนาฟังว่า ตั้งแต่เดือนที่แล้วที่ไปนิทรรศการหนังสั้นนั่นแหละค่ะ ตอนนี้ก็ประมาณสองเดือนได้" พี่โยนาช่วยตอบ ขณะที่ฉันรู้สึกอึดอัดที่ต้องเห็นภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอและเปลี่ยนหน้าสไลด์เป็นหัวข้อย่อยถัดไป นั่นคือ แนวทางป้องกันและแก้ไข แต่ยังไม่พูดต่อจนกว่าบทสนทนาคั่นครั้งนี้จะจบลง "พี่ไม่รู้เลยว่าแชมเปญเจออะไรบ้างจนได้เห็นคลิปด้วยกันเมื่อกี้"
"แต่ทำแบบนี้เท่ากับเธอตั้งใจทำให้คุณฮาลเสียชื่อเสียงรึเปล่า" คุณทิมพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
"แชมเปญแสดงออกชัดว่าไม่สมยอมนะครับ การมาแจ้งพวกเราแบบนี้ ทำให้คุณฮาลเสียชื่อเสียงแน่ครับเพราะภาพมันไม่งามเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแชมเปญจะไม่มีชื่อเสียงตัวเองต้องรักษานี่ คุณทิม" พี่ทศโต้กลับเสียงแข็งหนักแน่น แววตามั่นคงคู่นั้นทำให้นึกถึงพี่ยินตอนเขาเผชิญหน้ากับพวกบุลลี่ที่โรงเรียน บรรยากาศในห้องประชุมร้อนรุ่มทั้งที่เปิดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ "ผมพูดถูกมั้ย คุณฮาลกำลังจะแต่งงาน ส่วนแชมเปญก็เพิ่งหมั้นกับเจ"
"แต่เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีคนเริ่มก่อนนี่" คุณทิมยังคงดึงดันเถียงต่อ
"แน่นอน มันต้องมีฝ่ายเริ่มก่อนอยู่แล้วล่ะ"
"แชมเปญขัดขืนขนาดนั้น มองยังไงก็ไม่ใช่การอ่อยหรอก คุณทิม" พี่แอนน์ช่วยหนุนหลังอีกแรงหนึ่ง
"เรื่องแบบนี้ต้องให้กฎหมายเป็นตัวตัดสิน ยังไงความจริงก็เป็นสิ่งไม่ตาย" หลินออกความเห็นสุดท้ายอย่างเป็นกลาง แม้ตัวเองกุมมือกลางอกเหมือนใจสลายไปแล้ว "ใช่มั้ย แชมเปญ"
"เรื่องนั้นหนูก็คงจัดการตามกฎหมายค่ะ" ฉันเลื่อนสไลด์ไปหน้าถัดไปที่บอกขั้นตอนการทำงานของมาตรการ Whistleblower ทีละข้อโดยเริ่มจากการร้องเรียนแจ้งเหตุ "แต่พอมีเหตุการณ์แบบนี้ในบริษัท หนูเลยอยากให้องค์กรมีการป้องกัน ช่วยกันระวังไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก รวมถึงการเยียวยาเหยื่อด้วยค่ะ"
โลโก้มูลนิธิวอดช์ด็อกแผ่หราบนจอโปรเจคเตอร์พร้อมกับผลงานที่ผ่านมาที่ทางมูลนิธิให้ความช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรง ฉันยืนอธิบายเกี่ยวกับมูลนิธิ หลังจากนั้นจึงบอกขั้นตอนมาตรการข้อแรกคือการกรอกข้อมูลร้องเรียนส่งให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคลพิจารณา ซึ่งฉันได้ทำแบบร่างแบบฟอร์มไว้เช่นกัน โดยที่ก่อนนำส่งให้ฝ่ายบุคคล ผู้ร้องเรียนควรเซ็นกำกับด้วย หลังจากนั้นจึงเป็นขั้นตอนการประสานงานกับทางมูลนิธิวอดช์ด๊อกเพื่อสืบหาความจริงและลงโทษผู้ก่อเหตุคุกคามตามความเหมาะสม เช่น ย้ายแผนกหรือระงับสัญญาว่าจ้าง เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างการกระทำอันตรายกับใคร หลังจากนั้นทางวอดช์ด๊อกจะคอยให้คำแนะนำ วิธีการรับมือกับเหยื่อจนมีสภาพจิตใจพร้อมทำงานต่อได้ แต่แผนข้อนี้อาจเปลี่ยนเป็นการว่าจ้างฮาร์ทสมิธประจำบริษัท ซึ่งฉันยกให้เป็นการตัดสินใจของพี่ทศ
"พี่คิดว่ามาตรการนี้ดีนะ แต่การร่วมงานกับมูลนิธิด้านกฎหมายแบบนี้ เราควรมีการจัดประชุมใหญ่ภายในบริษัทด้วย เพื่อให้พนักงานทุกคนได้รับรู้ทั่วกันว่า ต่อไปจีมีเดียจะปรับใช้มาตรการนี้เมื่อไหร่ ยังไงบ้าง" พี่ทศออกความเห็นหลังจากจบการนำเสนอของฉัน เขาแสดงออกอย่างเคร่งขรึม จริงจังเพราะมันคือเรื่องใหญ่มากภายในองค์กร
"แสดงว่าอนุมัติให้จัดทำมาตรการนี้ใช่มั้ยคะ" พี่แอนน์ถามพี่ทศที่กำลังลูบเคราตัวเอง
"ในมุมมองของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ความเป็นอยู่ของพนักงานภายในบริษัทสำคัญที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะต้องเพิ่มงบบางส่วนของบริษัทก็ตาม พี่ลงความเห็นอนุมัติอย่างไม่มีข้อสงสัยเลยล่ะ แต่เรื่องการเงินอะไรก็ตาม สุดท้ายเราก็ต้องได้รับลายเซ็นอนุมัติจากประธานบริษัทอยู่ดี แล้วถึงประชุมใหญ่ภายในบริษัทร่วมกับมูลนิธิวอดช์ด็อก"
"ยังไม่รวมเรื่องประชุมผู้ถือหุ้นอีกนะ เพราะจีมีเดียเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว การตั้งมาตรการใหม่ในบริษัทไม่ได้ส่งผลแค่พนักงานแต่ยังมีผู้ถือหุ้นก็ต้องรับรู้ด้วย" คุณทิมออกความเห็นบ้างแต่น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนการบ่นรำคาญมากกว่า เพราะการจัดตั้งประชุมผู้ถือหุ้นใช้งบค่อนข้างเยอะและต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน
"แบบนั้นก็ฟังดูดีนะคะ ถึงการตามคณะกรรมการเข้าประชุมจะยาก แต่มองผลลัพธ์ในอนาคตก็มีแต่ข้อดี" พี่โยนาพูดบ้าง เธอยังคงน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเดิม ไม่แสดงอารมณ์อะไร ไม่สั่นคลอนต่อประเด็นที่คุณทิมแย้งขึ้นมา "จีมีเดียจะเป็นแบรนด์ที่ยืนหยัดข้างพนักงาน เป็นเซฟโซนซึ่งในระยะยาว พนักงานก็จะมีแรงจูงใจในการอยากตั้งใจทำงานตอบแทนบริษัทของพวกเขาด้วย สินค้าของจีมีเดียก็จะขายได้มากขึ้น เผลอ ๆ หุ้นอาจจะขึ้นด้วยซ้ำนะคะ"
"ถ้างั้นพี่ว่าร่างเอกสารขออนุมัติมาตรการเลยดีกว่า ยิ่งเร็วยิ่งดี ส่วนที่ประชุมวันนี้ พี่จะส่งสรุปเข้าไปให้ แขมเปญจะได้โฟกัสเรื่องร่างเอกสาร เนอะ" พี่แอนน์มองนาฬิกาข้อมือซึ่งบอกเวลาสิบโมงครึ่งพอดีแล้วกล่าวปิดการประชุม ม่านถูกเปิดกลับดังเดิมคืนความสว่างให้กับห้องประชุมสี่เหลี่ยม ฉันกล่าวขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมประชุมพร้อมกับเก็บอุปกรณ์กลับเข้าห้องทำงาน ทุกคนเดินแยกย้ายโซนทำงานของตัวเองยกเว้นคนหนึ่งที่ดูมีประเด็นกับฉันอย่างไม่ต้องสงสัย
คุณทิมขวางประตูห้องประชุมอ้างว่า ขอคุยด้วยส่วนตัว ฉันจึงถอยหลังกลับเข้าห้องประชุมที่ไม่เหลือใครแล้วแต่ก็ไม่ได้ปิดม่านไว้ ฉันคิดว่าเขาไม่มีเรื่องคุยนานหรอก อีกอย่างฉันจะได้คอยส่งสายตามองแอรันจากข้างนอกได้ด้วย
"คะ พี่ทิม..."
"คิดจะทำอะไรของเธอน่ะ เพิ่งผ่านทดลองงานแท้ ๆ อยากหางานใหม่แล้วเหรอ" แววตาแข็งกร้าวไม่พึงพอใจแสดงออกอย่างเต็มประดาหลังจากพยายามซ่อนมันไว้ตลอดการประชุมด่วนเมื่อครู่ เขาคงคิดว่าหากข่มพนักงานตัวเล็ก ๆ คนเดียวคงง่ายกว่าเพราะตอนนี้ฉันอยู่เพียงลำพังกับเขา
"จะว่างั้นก็ได้ค่ะ แต่ระหว่างที่หนูยังหางานใหม่ไม่ได้ก็อยากลองทำอะไรเพื่อพัฒนาองค์กรดูบ้าง นอกจากเป็นหน้าตาของคุณฮาล"
"หึ!" เสียงแค่นหัวเราะในลำคอของเขาน่าจะมีความคิดภายในนั้นเป็นล้านคำพูด "ที่พูดมาก็ไม่ผิด แต่อยากให้คิดดี ๆ หน่อยก่อนทำอะไร เพราะเธออาจเสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบนะ อย่าเสียเวลาเลย แค่ตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตัวเองก็พอ ส่วนเรื่องมือปลาหมึกของคุณฮาล พี่ก็ขอโทษแทนเขาด้วยนะ"
"หึ!" หลังจากได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่คนนี้พล่าม ฉันไม่สามารถเก็บอาการสมเพชสิ่งที่เขาพูดได้เลย "ทำไมต้องขอโทษแทนเขาด้วยล่ะคะ ในเมื่อตัวคนทำไม่มีแม้แต่จิตใต้สำนึกที่จะให้เกียรติลูกจ้าง เพื่อนร่วมงานด้วยซ้ำ มันน่าตลกนะคะ ที่สำคัญคือหนูไม่สนด้วยซ้ำว่าตัวเองจะแพ้หรือชนะ ความจริงมันใหญ่โตขนาดนี้ ใช้เงินปิดเท่าไหร่ก็ไม่มิดหรอกค่ะ" เสียงของฉันดังขึ้นจนได้ยินคำพูดย้อนกระซิบข้างหูสิ่งที่ตอบโต้กลับไปและฉันไม่รู้สึกผิดที่ตรงไปตรงมากับพนักงานอาวุโสอย่างคุณทิม "พี่ทิมมีลูกใช่มั้ยคะ"
"มี แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย"
"ตอบมาเถอะค่ะ"
"พี่มีลูกชาย ชื่ออะตอม" น้ำเสียงแผ่วเบาของคุณทิมบ่งบอกว่าตอนนี้เขากำลังสั่นคลอน ไม่ใช่ความกลัวหรอกแต่ดูเหมือนศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเขาไว้กำลังถูกฉันบดขยี้ในไม่ช้า
"พี่ทิมลองแทนภาพน้องอะตอมในคลิปที่หนูเปิดให้ดูก่อนหน้านี้ก็ได้ค่ะ หรือจะเป็นไดอารี่ของจูลี่... หนูเป็นลูกมีพ่อแม่ค่ะพี่ทิม ไม่ต่างจากลูกของพี่หรอก แล้วเป็นพี่ยังจะกล้าอยู่เฉยเหรอคะ ถ้ามีคนกล้าแตะต้องลูกของพี่แบบนั้นอะ" ฉันกำลังคาดเค้นคำพูดความรู้สึกจากเขาในห้องประชุมที่มีเพียงพวกเราลำพัง บรรยากาศตึงเครียดและเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศกับเข็มบนหน้าปัดนาฬิกาของเราทั้งคู่ แม่เคยบอกฉันว่า แม่เจ็บใจที่สุดเมื่อเห็นลูกเจ็บตัวหรือเสียใจ แม่จึงเป็นมาตรฐานการเลี้ยงดูที่ดีสำหรับฉัน และฉันกำลังทดสอบข้อนั้นกับคุณทิมที่กำลังนั่งกัดฟันเงียบอยู่ตรงข้ามฉัน "หรือในทางกลับกัน... พี่จะสอนน้องอะตอมให้เป็นแบบคุณฮาลหรือจะปล่อยให้ลูกพี่อยู่เฉย ๆ เวลาโดนเอาเปรียบเหรอคะ"
"..."
"ถ้าพี่ตอบ 'ใช่' ที่จะปล่อยผ่าน หรือ 'ใช่' ที่จะสอนลูกให้ไม่ต้องสำนึกอะไรเวลาทำผิดเพราะพ่อขอโทษแทน ความผิดของลูกก็จะน้อยลง หนูว่าพี่ควรถามตัวเองว่าเป็นพ่อคนแบบไหน และเป็นพนักงานอาวุโสแบบไหนที่ปล่อยผ่านเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไปได้" ฉันโน้มตัวพูดเน้นอย่างชัดทุกถ้อยคำเพราะหลังจากนี้คงไม่อยากนั่งคุยแบบนี้กับเขาอีก "หนูไม่ใช่คนลืมง่ายค่ะ และพี่ต่างหากที่ควรคิดดี ๆ เวลาเลือกข้าง"
ฉันเดินออกจากห้องประชุมโดยไม่หันหลังกลับไปมองคุณทิมว่าเขาจะเป็นยังไง แอรันในบทบาทน้องกันต์ยกนิ้วโป้งสองนิ้วให้กับฉันแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ ฉันพูดทุกอย่างที่อยากพูดไปแล้ว มันฟังดูไม่มืออาชีพเท่าไหร่ที่ยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของเขา แต่มันดูเป็นวิธีดีที่สุดในการประกาศจุดยืนของตัวเองในสถานการณ์แบบนี้และฉันไม่ควรรู้สึกผิดด้วย ทว่ากลับรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกราวกับยังมีอะไรอัดอั้นอยู่ ความรู้สึกที่ถาโถมจากความกลัว ประหม่าและตื่นเต้นเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเลย มันไม่เหมือนการรายงานหน้าห้องสมัยเรียนมัธยมที่ใช้แค่ความจำและความมั่นใจ
ฉันฝืนเดินขึ้นห้องทำงานชั้นบนสุดแล้วเข้าห้องน้ำไปเปิดกระปุกยาเทลงบนมือ กลั้นใจกลืนเม็ดยาขมปร่าลงคอ แล้วค่อย ๆ หายใจเข้าออกอย่างที่คุณสองสอนเอาไว้ ครั้งนี้ใช้เวลาประมาณเกือบสิบนาทีถึงกลับมาหายใจตามปกติได้ ฮาลมองฉันด้วยสายตาประหลาดใจและเคลือบแคลงหลังจากฉันออกมาจากห้องน้ำ
JAY: แอรันบอกว่าเธอเพิ่งนัดประชุมกับพวกเลขา เก่งมากเลยนะ เที่ยงนี้ออกไปกินอะไรอร่อย ๆ กัน
"เรียกประชุมอะไรกัน" ฮาลถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมโดยที่สายตาจ้องมองโทรศัพท์ของตัวเอง "ทำไมผมที่เป็นถึงประธานบริษัทถึงรับรู้คนสุดท้ายว่าพนักงานบริษัทประชุมอะไร... แชมเปญ"
"เพราะมันคือหัวข้อการประชุมที่พนักงานต้องการปรึกษากันเอง ก่อนขอคำอนุมัติจากประธานบริษัทค่ะ"
"แล้วมันคือเรื่องอะไรล่ะ" เขาตบโต๊ะเสียงดังสนั่น เลือดขึ้นหน้าจนแก้มและลำคอเปลี่ยนเป็นสีแดงฝาด เขาตะเบ็งเสียงแข็งกร้าว แววตาเบิกโตอย่างหมดความอดทน
"มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาเหยื่อความรุนแรงในที่ทำงานค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างเรียบนิ่งและมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อเสียงตะคอกของเขา ฉันเปิดแท็บเล็ตให้เขาดูพรีเซนเทชั่นที่เตรียมเอาไว้ ให้เขามองมันจากโต๊ะทำงานของตัวเอง ขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองเห็นว่าพี่แอนน์ส่งไฟล์สรุปการประชุมเข้ากลุ่มผู้บริหารเรียบร้อย "ใช่ค่ะ... ตอนนี้ในกลุ่มเลขานุการรู้กันหมดแล้วว่า คุณทำอะไรฉันกับจูลี่บ้าง ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ ฉันกับเลขาคนอื่น ๆ จะเตรียมเอกสารเพื่อขออนุมัติมาตรการกับคุณอีกทีค่ะ และเราก็วางแผนที่จะนัดประชุมใหญ่ในบริษัทเพื่อแจ้งให้ทราบทั่วกัน ตามด้วยการประชุมผู้ถือหุ้นด้วย"
ผลของการกระตุกหนวดเสือ คือ การถูกเสือขย้ำโดยเฉพาะเสือที่มีความอดทนต่ำ เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีจนไม่อาจทนเห็นกวางตัวน้อยวิ่งเยาะเย้ยเขา ฮาลกระโจนเข้ามาคว้าคอเสื้อของฉันดันเข้ากำแพงแล้วตะโกนใส่หน้า แรงจากนิ้วโป้งสองมือทำให้หายใจไม่ออก สิ่งที่ฉันทำคือการชี้นิ้วไปยังชั้นวางหนังสือหลังโต๊ะทำงานของเขา ขณะที่ยังตะเกียกตะกายหาอากาศหายใจ เขาหันคอมองตามทิศทางของฉันและได้เห็นกับไฟสีแดงดวงเล็กกำลังกะพริบ แววตาของเขาเบิกโพลงและปล่อยมือจากฉันไปยังกล้องจิ๋วตัวนั้นแล้วโยนทิ้งลงกับพื้นจนเหลือเพียงเลนส์ที่ยังทำงานกะพริบไฟสีแดงอยู่ ฮาลกระทืบเท้าซ้ำจนกล้องหยุดทำงาน เขากำลังกลัว...
"ตั้งแต่เมื่อไหร่..."
"แค่ก! แค่ก! เดือนนึงมั้งคะ..."
"เธอไม่ได้ทำคนเดียวแน่"
"แน่นอนค่ะ แต่ไม่ว่าฉันจะมีใครเป็นแนวร่วมก็ไม่สำคัญแล้ว" ฉันลูบคอระหว่างสำลักจากแรงบีบมหาศาลของเขา และยิ่งฉันให้คำตอบ เขายิ่งโมโห เท่าที่ฉันอ่านจังหวะการกระแทกเท้าเดินของเขามาหาฉัน เขาอาจจะบีบคอซ้ำอีกหรือทำอะไรที่แย่กว่า ฉันเงยหน้ามองเขา พยายามดันตัวยืนขึ้นก่อนฮาลเข้ามาประชิดตัว ก้าวขาข้างหนึ่งไว้ข้างหน้า ตั้งการ์ดพร้อมป้องกันตัว "เข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันจะกรี๊ดจนคอแตกให้พนักงานทุกคนได้ยินเลย..." ฉันเค้นเสียงพูดขู่ นั่นทำให้ชะงักหัวเราะเยาะครู่หนึ่ง ฉันได้แต่สงสัยว่าฉันเคยชื่นชมคนประเภทนี้ได้ยังไง
"หึ คุณไม่มีเสียงด้วยซ้ำ แชมเปญ"
"ท้าเหรอคะ"
ฮาลขยับเท้าเข้ามาหนึ่งก้าว ฉันเค้นเสียงกรีดร้องขณะที่จิ้มลูกตาของเขาทั้งสองจนร้องโอดโอย แล้วเก็บชิ้นส่วนของกล้องใส่กระเป๋า ฉันรีบเก็บอุปกรณ์ทำงานออกจากห้องแล้วขับรถไปยังสตูดิโอโปรดักชั่นจนลืมตัวไปเลยว่าตัวเองสวมรองเท้าส้นสูงสี่นิ้วมาทำงานวันนี้ โชคดีที่ขาไม่พลิกหรือล้มตกบันไดเสียเองขณะหนีจากเงื้อมมือของฮาล แม้แต่พี่ม่อน แม่บ้านประจำตึกสำนักงานใหญ่ยังตกใจแต่ฉันไม่มีเวลาอธิบาย
Amber's POV:
ฉันนั่งทำงานห้องเดียวกับพ่อในห้องซีอีโอเพื่อวิเคราะห์เทรนด์การตลาดปัจจุบันว่ามีแคมเปญไหนน่าทำร่วมกับแบรนด์อื่น ๆ บ้างเพราะแคนดี้ฮาร์ทควรมีผลงานของตัวเองอย่างอื่นนอกจากส่งออกนักแสดง อินฟลูเอ็นเซอร์ KOL ร่วมงานกับกวินธาดามีเดียตลอดทั้งไตรมาส ความจริงแล้วในปีนี้ยังมีเอเจนซี่อีกมากที่งอกขึ้นเป็นดอกเห็ด รวมถึงสตูดิโอโปรดักชั่นอื่น ๆ เพื่อรองรับความต้องการอันหลากหลาย ไม่ใช่แค่ทำโฆษณา รวมถึงหนังสั้น สารคดีหรือภาพยนตร์
สิ่งที่ฉันกำลังคิดในหัวคือสารคดีสั้นยี่สิบนาทีไม่ก็โฆษณาสองนาทีเพื่อเป็นการแสดงออกทางจุดยืนของแคนดี้ฮาร์ทเกี่ยวกับการให้ความสำคัญด้านสุขภาพจิต เพียงแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรบ้าง ฉันขีดเขียนบนแท็บเลตอย่างล่องลอยโดยที่กาแฟร้อนในถ้วยกำลังจะเย็นชืด
"ลูกกับฮาลเป็นไงบ้าง" อัลเบิร์ต บราวน์ ผู้เป็นประธานบริษัทและพ่อของฉันถามโดยที่ไม่สบตามอง เขายังจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเองเพื่อดูยอดความเคลื่อนไหวในบัญชีบริษัทซึ่งมีรายได้จำนวนมากจากการดำเนินการ ให้บริการด้านที่ปรึกษาการตลาด แบรนดิ้ง การจับมือพาร์ทเนอร์กับกวินธาดาได้ผล วิสัยทัศน์กว้างไกลของพ่อมองไว้ไม่ผิดเลย... "รักกันดีรึเปล่า"
"ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ แต่หนูว่าจะให้ฮาลเข้ามาอยู่กับเราด้วยในเดือนหน้า" ฉันถอนหายใจเซ็งแซ่เพราะฉันยังไม่กล้าบอกความลับดำมืดของฮาลให้พ่อได้รับรู้ จังหวะเวลาตอนนี้ฮาลควรจะชะล่าใจว่าความลับของเขายังปลอดภัยและพ่อเชื่อว่าฉันกับฮาลแค่ประสบปัญหาคู่รักทางไกล "จริง ๆ นะพ่อ คือหนูคบทางไกลกับใครก็ไม่เคยรอดเลย หนูก็ไม่ใช่คนขี้หึงอะไรหรอก แต่พ่อก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าฮาลเป็นคนยังไง"
"ถ้างั้นระหว่างลูกอยู่กับฮาล พ่อก็สบายใจได้แล้วสิ... ใช่มั้ย"
"ไม่รู้สิ ถ้าหนูควบคุมพฤติกรรมน่าเป็นห่วงของเขาได้ พ่อก็คงสบายใจได้ค่ะ แต่ความจริงเดือนนี้พ่อยังไม่ต้องย้ายกลับบอสตันก็ได้นะคะ" ความน่าเป็นห่วงไม่ใช่แค่นิสัยเจ้าชู้ ไม่อยู่กับร่องกับรอย มันรวมถึงพฤติกรรมโมโหร้าย รุนแรงของเขาด้วย การที่พ่ออยู่ด้วยคงจะพอเป็นตะกร้อครอบปากของสุนัขก้าวร้าวได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย
"พ่อนัดประชุมผู้บริหารที่บอสตันไว้แล้วน่ะสิ เตรียมปรับ Roadmap หลังเปลี่ยนผ่านตำแหน่ง พ่อไปสองวีคก็กลับแล้ว แต่ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้ตลอดนั่นแหละ ถามจริง ฮาลจะน่าเป็นห่วงขนาดนั้นเลยเหรอ ฮึ?"
"ขนาดนั้นแหละค่ะ อยู่ต่อหน้าหนูก็แบบหนึ่ง อยู่ต่อหน้าพ่อก็อีกแบบหนึ่ง คิดว่ากิ้งก่า หึ! อยากให้พ่อได้เห็นนะคะ"
"อื้ม โอเค ลูกเจอฮาลบ่อยมั้ย"
"หนูปรับตารางจากทุกสองวีคเป็นทุกวันศุกร์ค่ะ พ่ออยาก join ด้วยมั้ย"
"แน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องบอกฮาลนะ ตอนนี้มีอะไรที่พ่อควรรู้บ้างจากมุมมองของลูกที่มีต่อฮาล"
"ถึงเขาจะหมั้นกับหนู มันก็ไม่ได้หยุดความหน้าม่อของเขานะคะ ล่าสุดเขาเกินเลยกับแชมเปญ เลขาส่วนตัวของเขา ฉาวใช่มั้ยล่ะคะ"
ฉันเปิดไฟล์ภาพจากนักสืบส่วนตัวให้ดูความสัมพันธ์ระหว่างฮาลกับแชมเปญให้พ่อเห็น เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะภาพถ่ายมันชัดมาก นอกจากนี้ฉันก็เปิดคลิปวิดิโอที่ได้รับจากแชมเปญให้พ่อดูด้วย สิ่งหนึ่งที่พ่อสามารถรับรู้ได้ตอนนี้คือความเจ้าชู้ของฮาล แม้มันไม่ใช่เนื้อแท้ของเขาเท่ากับความชั่วร้ายที่ทำธุรกิจดำมืดลับหลัง แต่มันก็มากพอที่พ่อจะลงมือทำอะไรสักอย่าง คนรักครอบครัวอย่างอัลเบิร์ต บราวน์ไม่ปล่อยให้คู่หมั้นลูกสาวทำลายชื่อเสียงบริษัทหรอก ฉันเชื่อว่าพ่อมีแผนที่ดีกว่าเสมอ
"มีใครรู้อีกบ้าง" พ่อส่งรูปและแท็บเลตกลับคืนมาพร้อมกับคำถามสั้นกระชับแฝงด้วยความกดดัน เสียงของเขาแหบพร่าเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ใบหน้าที่เคยขาวอมชมพูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับหม้อน้ำที่เดือดพล่าน เส้นเลือดบนขมับปูดโปน กำปั้นของเขาบีบแน่นจนสั่นเทาราวกับพยายามกลั้นความโกรธที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ภายใน
"มีแค่หนูกับแฟนของเลขาส่วนตัวเขาค่ะ พ่อรู้รึเปล่าว่าสิ่งที่ฉาวกว่านั้นคืออะไร"
"อะไร"
"ถ้าพ่อสังเกตในคลิปดี ๆ น้องคนนั้นก็ไม่ได้สมยอมต่อฮาลด้วย"
"งั้นดินเนอร์ศุกร์นี้ พ่อจะลงดาบใส่เขาสักหน่อยเผื่อจะตั้งสติได้บ้าง กล้าดียังไงมาทำลายความเชื่อใจกันได้ขนาดนี้" น้ำเสียงของพ่อคงเต็มไปด้วยความโกรธและผิดหวัง เขารู้สึกถูกหักหลังและเสียใจกับสิ่งที่ฮาลทำ... คนที่แตกสลายที่สุดในสมการนี้ไม่ใช่ฉันแต่เป็นพ่อต่างหาก
#เจ้านายคะอย่ามาจับ
#แชมเปญไม่ยอม