เรื่องสั้นแยกตอนของความธรรมดาสามัญของชีวิตคนที่มีความรัก โลภ โกรธ หลงเป็นตัวผลักดันชีวิต ให้พวกเขาไปพบกับเหตุการณ์ลึกลับเหนือจินตนาการ

เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย - เรื่องที่ 4 หนังสือ โดย ณ เสียงฝน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,อาชญากรรม,ผจญภัย,ลึกลับ,ดราม่า,ลึกลับ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,อาชญากรรม,ผจญภัย,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,ลึกลับ

รายละเอียด

เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย โดย ณ เสียงฝน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เรื่องสั้นแยกตอนของความธรรมดาสามัญของชีวิตคนที่มีความรัก โลภ โกรธ หลงเป็นตัวผลักดันชีวิต ให้พวกเขาไปพบกับเหตุการณ์ลึกลับเหนือจินตนาการ

ผู้แต่ง

ณ เสียงฝน

เรื่องย่อ

สารบัญ

เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 1 เจน,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 2 ลุงเอก,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 3 ข้าว 5 โลกับนม 2 ลิตร,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 4 หนังสือ,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 5 หวาดระแวง,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 6 รักแท้,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 7 ความโลภกับสัญญามาร,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 8 เล่นชู้,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 9 คู่กัด,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 10 อาสาสมัคร,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 11 คู่รักพักร้อน,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 12 ซ่อน,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 13 ชื่อของยาย,เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย-เรื่องที่ 14 หมอดู

เนื้อหา

เรื่องที่ 4 หนังสือ

แอนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสอง ‘ต้น’ กับ ‘ต้อง’ ลูกชายทั้งสองของเธออายุห่างกันแค่ปีเดียว ต้นอายุเจ็ดขวบและต้องอายุแปดขวบ


แอนทำงานเป็นผู้จัดการประจำร้านสะดวกซื้อกะกลางคืน เธอต้องเข้างานตั้งแต่หนึ่งทุ่มยาวไปจนถึงตีสามทำให้ต้องนอนเอาแรงช่วงกลางวัน เธอจ้างพี่เลี้ยงเพื่อคอยจัดเตรียมอาหารเช้าให้ลูกๆ , ดูแลความเรียบร้อยทั่วไป, และไปรับต้นและต้องที่โรงเรียนกลับมาส่งที่บ้าน


ต้นและต้องเป็นเด็กเรียนดีและรักการอ่าน ทุกคืนวันศุกร์ แอนจะพาลูกๆ ออกไปทานข้าวมื้อเย็นด้วยกันข้างนอกก่อนพากันไปห้องสมุดใกล้บ้านทันเวลาก่อนห้องสมุดปิด เพื่อให้ต้นและต้องยืมหนังสือมาอ่านที่บ้านคนละสองเล่มในยามว่างวันเสาร์-อาทิตย์ โดยเธอจะเป็นคนตรวจดูอีกทีก่อนยืม ว่าหนังสือที่ลูกๆ เลือกนั้นเหมาะสมกับช่วงวัยและไม่มีพิษภัยต่อจิตใจที่ยังเยาว์วัยของพวกเขา


สุดสัปดาห์นี้ พวกเขาพากันไปร้านสเต๊กสุดโปรดใกล้บ้าน เด็กๆ สั่งสเต๊กหมูพอร์คชอปสุกๆ ส่วนแอนสั่งสเต๊กเนื้อราดซอสไวน์แดงไม่ใส่กระเทียม ระดับความสุกแบบบลูแรร์


หลังมื้ออาหารแสนอร่อย สามแม่ลูกพากันไปห้องสมุดที่คุ้นเคย “แม่ฮะ นี่หนังสือที่ผมอยากอ่าน” ต้นกับต้องพูดพร้อมกัน พวกเขาวางกองหนังสือที่กอดไว้กับอกลงบนโต๊ะใกล้ๆ แอนตรวจดูปกหนังสือทั้งสี่เล่ม ‘ความลับของเด็กเกเร’, ‘ปราสาทไร้หลังคา’, ‘วิทยาศาสตร์แสนสนุก’, และ ‘บทสัมภาษณ์ของแวมไพร์’


แอนมองหน้าปกหนังสือเล่มสุดท้ายแล้วนิ่งคิด พวกเขายังเด็กเกินไปหรือเปล่านะกับหนังสือเล่มนี้? แต่มาคิดดูอีกที พ่อแม่เดี๋ยวนี้ปล่อยให้เด็กเจ็ดแปดขวบดูอะไรน่ากลัวเยอะแยะเวลาไถมือถือหรือเล่นแท็บเล็ต เธอรู้สึกดีที่อย่างน้อยลูกๆ ของเธอ ก็รักการอ่านมากกว่าการเล่นเกมไร้สาระบนคอมจนติดจองอมแงม


“โอเค เอาไปให้พี่บรรณารักษ์ที่เคาน์เตอร์จัดการได้เลย” เธอบอกลูกๆ “แม่ไปรอที่รถนะ”

ต้นกับต้องที่ถูกสอนมาให้รู้จักจัดแจงเรื่องของตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็กประสานเสียงตอบรับอย่างร่าเริง “ครับแม่!”

--


สามวันผ่านไป แอนเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของต้นและต้อง จากที่เคยร่าเริง ทั้งสองเริ่มฝันร้ายแทบทุกคืนและเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องเธอคิดโทษตัวเองที่ปล่อยให้ลูกอ่านหนังสือน่ากลัวเกี่ยวกับแวมไพร์


“อาหารไม่ถูกปากเหรอลูก?” แอนถามต้นและต้อง ตามองจานอาหารของลูกๆ ที่ดูเหมือนแทบไม่ได้ถูกแตะต้องเลย ก่อนยกไวน์แดงขึ้นดื่ม


“ผมไม่หิวเท่าไหร่ฮะ” ต้นพูดเบาๆ


“ผมด้วย” ต้องเสริม


“งั้นเดี๋ยวแม่ไปชงไมโลให้ พอแป้บนะ” แอนพูดก่อนลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าครัวไปต้มน้ำ


“เดี๋ยวนี้เป็นอะไร แม่เห็นซึมๆ” แอนถามตอนเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมไมโลสองแก้วในมือ ก่อนวางมันลงตรงหน้าลูกรักทั้งสอง

ต้นและต้องยิ้มน้อยๆ ก่อนต้องพูดขึ้น “ไม่มีอะไรฮะแม่ สงสัยเล่นเหนื่อยแหละ”




แอนหรี่ตา “นี่เป็นเพราะหนังสือเรื่องผีดูดเลือดอะไรนั่นใช่มั้ย? ถ้ามันน่ากลัวก็อย่าไปอ่านมันเลย ที่บ้านมีหนังสือกองเป็นภูเขา หาเล่มอื่นอ่านเถอะ”


ต้นกับต้องมองหน้ากัน “เอ่อ.. แม่ฮะ แม่รู้มั้ยว่าทำยังไงถึงจะรู้ว่าคนๆ หนึ่งเป็นผีดูดเลือด?” ต้นถามเสียงแผ่ว

“ไร้สาระใหญ่แล้ว ไปๆ ได้เวลานอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน” แอนตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญที่ลูกๆ คุ้นเคยดี ต้นกับต้องถอนใจ ก่อนลุกจากโต๊ะพากันเดินไปทางห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวเข้านอน

--


แอนนั่งดื่มไวน์ต่ออีกสักพัก เงยมองนาฬิกาบนผนังก่อนถอนใจ สองทุ่มครึ่งเป็นเวลาที่เธอต้องเดินไปพาลูกเข้านอนทุกคืน เธอกระดกแก้วไวน์เข้าปากแบบรวดเดียวหมด ก่อนลุกเดินไปทางห้องนอนของลูกๆ


ทางเดินไปทางห้องต้นและต่อมืด มีเพียงแสงสลัวสีส้มของไฟถนนส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาจากด้านนอกตัวบ้าน แอนเดินมาถึงประตูห้องนอนของต้นและต้อง เธอบิดลูกบิดแล้วเปิดประตู


ตอนกำลังก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไป เธอรู้สึกเหมือนถูกกระแทกรุนแรงแล้วผงะล้มลงกับพื้น ตอนแรกเธอนึกว่าลูกอาจจะปิดประตูกระแทกหน้าเธอด้วยความบังเอิญ แต่พอตั้งสติได้ เธอมองไปที่ประตูและเห็นว่าประตูยังเปิดอ้าอยู่ ไม่ได้ถูกปิดอย่างที่คิดไว้


ในห้อง ทั้งต้นและต้องในชุดนอนกำลังยืนจังก้ามองเธอด้วยสีหน้าหวาดกลัว


“โอ้ ฉลาดนักนะเราน่ะ!” แอนพูดขณะกวาดตามองพวงกระเทียมร้อยเป็นสายยาวห้อยตามกรอบประตูด้านบน และเกลือขาวๆ โรยเป็นแถวยาวบนพื้นกั้นธรณีประตูเอาไว้


“ฉันไม่น่าปล่อยให้พวกแกอ่านไอ้หนังสือบ้านั่นเลย!”



– จบ --

#เรื่องสั้นอ่านเพลิน #เรื่องสั้น