เอ ชายหนุ่มที่โชคร้าย เกิดอุบัติเหตุตายและเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ได้เกิดใหม่เป็นก็อบลินไปเสียแล้ว
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,ฮาเร็ม,พระเอกเก่ง,เกิดใหม่แต่ใจเดิม,NC+,ต่างโลก,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,NC,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพเอ ชายหนุ่มที่โชคร้าย เกิดอุบัติเหตุตายและเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ได้เกิดใหม่เป็นก็อบลินไปเสียแล้ว
เอ ชายหนุ่มผู้โชคร้าย ชีวิตรันทดก่อนจะตายลงจากโรคร้าย ก่อนจะรู้สึกตัวว่าตนเองได้เกิดใหม่เป็นก็อบลินไปเสียแล้ว
นี้คือเรื่องราวการผจญภัยและการเติบโตของเขา ที่จะฟันฝ่าชะตากรรมที่ต้องตาย ในฐานะก็อบลินและจะวิวัฒตนาการตนเอง ให้เป็นมอนเตอร์สุดแกร่งเพื่อครองโลกใบนี้ ชีวิตของเขาจะเป็นเช่นไร จะต้องเจอกับอะไรโปรดรับชม
หมายเหตุ: ตอนแรกว่าจะให้มีระบบ แต่โยนทิ้งไปครับ มันแบบ ขก.เขียนเว้ย!!!
เพราะงั้นนิยายเรื่องนี้กลุ่มของมอนเตอร์จะมีระบบเรื่องของ เลเวลเข้ามา เพื่อวิวัฒตนาการตนเองสู่เผ่าพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่า แต่ความสามารถก็ต้องศึกษาและฝึกฝนเองนั่นแหละ
หมายเหตุ 2: นิยายเรื่องนี้ ผมได้รับแรงบัลดาลใจอะไรไม่รู้ แต่ 1 เลยคือมี Re:Monster ละ 1 ทำไมหรอ? ออ นึกไปถึงสมัย 6-7 ปีก่อนเคยเล่นฉบับเกมมือถือ และก็ชอบไงก็เลย อยากจะหยิบยืมคอนเซ็ปการวิวัฒตนาการต่างๆอะไรทำนองนี้มา
อันนี้ขอแจ้งก่อนว่า ในนิยายเรื่องเนี่ย ผมคิดว่า มอนเตอร์เนี่ย ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายนะ ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหล่าทวยเทพก็ทรงรักและสร้างสรรค์ขึ้นมา คือเอาง่ายๆเลยก็ พระเจ้าทรงรักเหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
แต่ทำไม ก็อบลินถึงถูกจัดเป็นมอนเตอร์รังควาน เพราะมันแพร่พันธ์ไว และอ่อนแอ รวมถึงโดนมองเหยียดจากเผ่าพันธ์สูงส่งกว่าครับ
'อือ.... ที่นี้มัน... ที่ไหนกัน?'
เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา หลังจากที่หมดสติไปนาน ผมก็ตื่นขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนกันแน่ ดวงตามันมืดสลัวไปจนหมด ก่อนที่จะค่อยๆปรับตัวรับแสงได้อย่างช้าๆ
"อุแว้ๆ!!! อุแว้!!!"
ในขณะที่กำลังมองไปรอบๆ ก็ได้ยินเสียงของเด็กทารกหลายสิบ ไม่สิน่าจะมากกว่า 20 คนกำลังร้องไห้กันอยู่ ร่างกายของผมมันอ่อนนุ่มและปลวกเปียกอย่างมากเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่เมื่อเมื่อลองมองดูไปรอบๆ ผมก็มองเห็นร่างของหญิงสาวหลายเผ่านอนถ่างขาอ้าออกกว้างพร้อมกับสายรกเส้นหนึ่งที่เชื่อมต่อติดกับท้องน้อยของผม และมีอีก 2-3 เส้นที่ออกมาจากตรงนั่นของเธอ
นี้ผมเกิดใหม่อย่างงั้นหรอ?
มันเป็นคำถามที่ก้องอยู่ภายในหัวของตนทันทีและไม่มีท่าทีว่าจะสลัดออกไปได้ จนกระทั่งมีเสียงๆหนึ่งดังออกมาจากอีกทางหนึ่งของกลุ่มสาวๆที่ดูไร้สติ
"โฮๆ ดูเหมือนว่าพวกคอกใหม่จะเกิดออกมาแล้วสินะ มาๆเดี๋ยวข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง"
'นั่นมัน... เสียงใครกัน? เอ๊ะ...? ก็อบลินงั้นหรอ?'
เสียงของชายชราคนหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกทางหนึ่งของเหล่ามนุษย์สาวที่เหมือนจะพึ่งคลอดลูกออกมา ก่อนที่ร่างขนาดเล็ก ร่างหนึ่งจะเดินเข้ามาในระยะสายตาของผม
ร่างนั่นมีผิวกายสีเขียว อ่อนชราตามกาลเวลาและมีเปลือกตาสีขาวและม่านตาดำ เจ้านี้เดินเข้ามาหาผม จนต้องตกตลึงในทันที เมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น
เจ้าก็อบลินแก่เคราขาวเฟิ้ม เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับมีดทู่ๆเล่มหนึ่ง ทำการตัดสายรกออก และเอาผ้ามาห่มร่างกายของผมเอาไว้อย่างชำนาญการ ราวกับว่าทำเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว
เฒ่าก็อบลินทำการ ตัดสายรกและห่อผ้าให้กับเหล่าก็อบลินทุกๆตัวที่พึ่งเกิดมา ก่อนที่จะเริ่มตั้งชื่อให้้ก็อบลินแต่ละตัว
"เจ้าชื่อ นอ ก็อบนอ ส่วนเจ้าชื่อ รอ ก็อบรอ ส่วนเจ้าชื่อ...."
ก็อบลินเฒ่าเริ่มตั้งชื่อ ก็อบลินเกิดใหม่ไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนกระทั่งมาจนถึงตัวของผม ในระหว่างที่โดนอุ้มนั่นเอง ดวงตาของก็อบลินเฒ่าตรงหน้าก็สบสายตาประสานเข้าหาผมในทันที
ดวงตาคู่นี้จ้องมองก็อบลินเฒ่าแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เพราะไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะเกิดมาเป็นก็อบลินแบบนี้เลยรู้สึกไม่สบอารมณ์เสียเท่าไหร่ หลังจากที่ตายมาแล้วแบบนี้.....
"เจ้า... ชื่อของเจ้าคือ... เอล ก็อบเอล...."
เจ้าเฒ่าเอ่ยตั้งชื่อให้ผมว่า เอล ก็อบเอล มันเป็นชื่อที่ดูมีพลังแปลกๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเสียเท่าไหร่นัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีชื่อหล่ะนะ
หลังจากที่ได้รับการตั้งชื่อเรียบร้อย ก็อบลินเฒ่าก็ได้ออกจากห้องตัวอ่อน ที่ผมเรียกเพราะมีมนุษย์เพศหญิงกับก็อบลินแรกเกิดเท่านั่น ก่อนที่เจ้านั่นจะกลับมาใหม่พร้อมกับอาหารที่มันน่าจะหามาได้เท่าที่ทำได้
จากสภาพร่างกายที่แก่ชรานั่นคงหาของดีๆมาไม่ได้อย่างที่คิดเอาไว้
ผมจ้องมองก็อบลินเฒ่าตัวนั่นสักพัก มองการป้อนหนอนขนาดเล็ก ที่พอดีมือให้กับก็อบลินทารกได้ทาน ก่อนที่ผมจะได้ทานหนอนนั่นเช่นเดียวกันกับก็อบลินตนอื่นๆ
รสชาติหนอนนั่น ค่อนข้างธรรมดาไม่อร่อยและไม่ขยะแขยงจนเกินไป ซึ่งผมก็พอยอมรับได้กับอาหารนั่น แต่ก็ไม่ได้ดีใจเท่าไหร่ที่ต้องมากินอะไรแบบนี้ รู้สึกไม่สบอารมณ์เสียเท่าไหร่ หลังจากที่ผมได้กินหนอนนั่นเสร็จ เจ้าก็อบลินเฒ่านั่นก็ปล่อยให้ผมและก็อบลินเด็กตัวอื่นๆได้พักผ่อนกัน
หลังจากตื่นขึ้นมาในวันใหม่ ผมก็พบว่าร่างกายของตนเองมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ราวกับว่าได้เติบโตเป็นเด็กตัวเต็มวัย หรือก็คือระยะเวลาการเติบโตของก็อบลินนั่นไวกว่ามนุษย์อย่างมาก
"ที่นี้รังก็อบลินสินะ?"
ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆหลังจากรู้สึกตัวขึ้นมา และสัมผัสได้ว่าร่างของตนนั่นมีการเจริญเติบโตขึ้นมาพอสมควร เรียกได้ว่าตอนนี้ร่างกายของผมโตขึ้นเป็นเด็กโตเต็มวัยแล้ว
ถ้าก็อบลินอายุ 2 วัน มีร่างกายเท่ากับ 12-13 หล่ะก็นี้คงจะเรียกได้ว่า วัฐจักรการเติบโตอันรวดเร็วของก็อบลิน เพราะเป็นเผ่าพันธ์ที่อ่อนแอที่สุด ในวัฐจักรห่วงโซ่อาหารนั่นแหละ
หลังจากที่โตพอสมควรแล้ว ผมก็เดินออกมาจากภายในห้องตัวอ่อน ก่อนจะเดินมาเจอห้องโถงที่มีก็อบลินเฒ่านั่งอยู่บนก้อนหิน ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆเจ้าเฒ่านั่นก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"นี้ปู่ แถวนี้คือที่ไหนหรอครับ?"
"โห้ๆ ก็อบเอลนี้เจ้า โตแล้วก็ถามก่อนเลยนะ ฉลาดดีนิ น้อยครั้งนะเนี่ยที่จะมีก็อบลินฉลาดเกิดมาบ้าง"
"อย่าพูดอะไรแบบนั่นสิปู่ เอาหล่ะเล่ามาได้แล้ว"
เมื่อเจอกับก็อบลินเฒ่าผมก็เรียก เจ้าก็อบลินตัวนี้ว่าปู่ทันที เพราะไม่รู้จะเรียกอะไรดี และคิดว่าเจ้านี้ก็คงจะเป็นพ่อพันธ์มานานพอสมควรแล้วหล่ะ ก็เลยคิดว่าควรเรียกว่าปู่หล่ะนะ
พอผมถามคำถามไป ปู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนภาคภูมิใจก่อนจะเอ่ยเชยชมผมด้วยรอยยิ้ม ก็ไม่ค่อยจะดีใจเท่าไหร่ ผมก็เลยรีบตัดบทก่อนที่จะบอกให้เจ้าปู่ก็อบลินเล่าพื้นที่โดยรอบมาทันที
"ที่นี้คือป่าอลันดา เป็นป่าที่มีความอันตรายมากลึกเข้าไปภายในนั่น โดยที่รอบๆถ้ำของพวกเรามีพวกออร์คกับพวกโคบอร์ลอยู่มาก พวกมันอันตรายมากเลยเข้าใจใช่ไหม?"
"เห.... งั้นหรอครับ? แล้วก็อย่างอื่นหล่ะ?"
"ก็นอกจากพวกนั่นแล้ว ก็มีพวกสัตว์ป่าอีกหลายชนิดที่มีความอันตรายพอสมควรเลยหล่ะ ถ้าไม่ระวังก็เป็นเหมือนเจ้านั่นน่ะ..."
ปู่ก็อบลินเริ่มอธิบายสถานที่ๆตั้งของถ้ำก็อบลินที่ผมอยู่ตอนนี้ให้ฟังแบบคร่าวๆ ว่ามันคือป่าอลันดา เป็นป่าที่มีความอันตรายมากๆ ลึกเข้าไปภายในนั่น คงเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ และพวกสัตว์ป่าอันตรายมากมายหล่ะนะ
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในที่อันตรายแบบนี้ด้วย
ก่อนที่ปู่ก็อบลินจะชี้นิ้วไปที่ก็อบลินตัวหนึ่งที่เดินออกไปนอกถ้ำ ที่มีกระต่ายตัวหนึ่งราวกับว่าจะล่ามันมาเป็นอาหาร
แต่ไม่ระวังเจ้าก็อบลินนั่นก็โดนกระต่ายมีเขาตัวนั่นกระโดดแทงเขาใส่จนตายในทันที เห้อ.... ช่างเป็นอะไรที่งี่เง่าจริงๆ
"ให้ตายสิ ถ้างั้นขอจัดการมันก่อนแล้วกัน อันตรายใช่ย่อยเลยนะนั่น..."
เสียงถอนหายใจดังออกมาเบาๆ ก่อนที่ผมจะหยิบก้อนหินแหลมๆก้อนหนึ่งมาไว้ในมือและเข้าไปจัดการกับเจ้ากระต่ายมีเขานั่นทันที
กระต่ายมีเขา เมื่อเห็นผมเข้ามันก็ตั้งท่าและกระโจนแทงเขาเข้ามาหาผมอย่างว่องไว แต่การโจมตีเส้นตรงแบบนี้มันเดาทางได้ง่ายเลยหล่ะ
ผมเบี่ยงตัวหลบไม่ให้โดนแทงอย่างหวุดหวิด เพราะร่างกายยังไม่ได้รับการฝึกฝน ก่อนจะใช้ก้อนหินในมือฟาดหัวของเจ้ากระต่ายนั่นอย่างรุนแรง
ป๊าบ!!!
เสียงของก้อนหินแข็งๆในมือฟาดเข้าศรีษะของเข้ากระต่ายที่เปิดช่องโหว่หลังโจมตีอย่างรุนแรง ก่อนที่มันจะล้มลงไปนอนเจ็บกับพื้นดิน ก่อนที่ผมจะทำการซ้ำศรีษะของมันอย่างเลือดเย็น
ป๊าบ!!!
ก้อนหินในมือทุบเข้าหัวของเจ้ากระต่ายนั่นอย่างรุนแรง จนมันแน่นิ่งไป ใครเห็นก็ว่าตายแล้วเรียบร้อย ผมเลยจับเขาของมันและลากเจ้ากระต่ายนี้เข้ามาภายในถ้ำ
"โอ้ ก็อบเอลเจ้าเก่งจริงๆ!! ฉลาดมากๆ!!"
"แทนที่จะโอ้ ทำไมปู่ไม่เอามีดกับกองไม้มาให้ผมหน่อยหล่ะ?"
"ได้สิ จะกินสินะ ดีจริงๆน้อ มีก็อบลินเก่งๆเกิดมานี้สบายจริงๆ"
ปู่ก็อบลินที่เห็นผมจัดการกระต่ายมีเขามาได้ตัวหนึ่งก็กล่าวชมด้วยความดีใจ แต่ผมไม่ได้ดีใจซักหน่อย ควรทำตัวให้มีประโยชน์มากกว่านี้ ผมก็เลยสั่งให้ปู่ไปเอาของมาให้ผม
หลังจากโดนสั่ง ปู่ก็ยิ้มและเดินไปหยิบของมาให้ในทันที มันคือมีดสภาพกลางๆเล่มหนึ่งและไม้จำนวนหนึ่ง
เมื่อได้ของมาเรียบร้อย ผมก็ทำการใช้มีดแทงตาของกระต่ายอีกทีหนึ่ง แทงให้ไปถึงสมองของมัน เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้ากระต่ายนี้มันตายแล้วจริงๆ ก่อนที่ผมจะค่อยๆบรรจงถลกและตัดเนื้อของมันออกมา จนได้หนังกระต่าย 1 อันและเนื้อกระต่ายขนาดเล็ก ปริมาณพอกินได้
หลังจากที่ถลกหนังและแร่เนื้อเรียบร้อย ผมก็ทำการเอาไม้ที่ปู่เอามาให้ มาก่อกองไฟ และหาก้อนหินมาวางล้อมเป็นวงกลมก่อนจะทำการจุดไฟขึ้นมา
ฟึบ!! เปี๊ยะๆ... ฟุบ!!
เสียงของเปลวไฟขนาดย่อมถูกจุดขึ้นมาอย่างง่ายดาย หลังจากที่ผมพยายามที่จะจุดไฟด้วยวิธีถูไม้จนเกิดประกายไฟขึ้นมา ถึงมันจะเหนื่อยสักหน่อย แต่เพราะไม้มันไม่เปียกเลยจุดไฟได้ง่ายพอควร
"โอ้!! เจ้าจุดไฟเป็นด้วยงั้นรึ? ฉลาดจริงๆ"
"นี้ปู่... ถ้าจะชมกันแบบนั่น มันมีอะไรง่ายๆในการจุดไฟบ้างไหมเนี่ย?"
"ห๊ะๆ.... ก็มีอยู่แหละ แต่เจ้ายังใช้ไม่ได้หรอก ต้องวิวัฒตนาการก่อน"
"เอ๊ะ? วิวัฒตนาการงั้นหรอ?"
พอเห็นว่าผมทำการจุดไฟขึ้นมาเองได้ ปู่ก็อบลินก็อุทานออกมาด้วยความประทับใจ ผมก็ไม่รู้ว่าปู่แกจะดีใจทำไม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจาก ขออะไรก็ได้ที่มันจุดไฟง่ายๆขึ้นมาบ้าง และคีเวิร์ดสำคัญที่ทำให้ผมหูผึ่งนั่นคือวิวัฒตนาการ
มันหันเหความสนใจของผมไปยังปู่ทันทีด้วยความสนใจ ก่อนจะทำการหั่นเนื้อกระต่ายออกเป็นจำนวนหลายๆชิ้นและเอาไม้มาเสียบปิ้งเนื้อไปด้วย เพื่อที่จะเอามาทานเป็นอาหาร ให้กับก็อบลินตัวอื่นๆ
"เอ๊ะ? นายย่างเนื้อหรอก็อบเอล?"
"โอ๊ะ ไงก็อบเซล คนอื่นๆทำอะไรกันอยู่หรอ?"
"เล่นกันอยู่น่ะ แต่นายเนี่ย พึ่งเกิดได้ 2 วันก็ล่าสัตว์ได้แล้วหรอเนี่ย?"
"ออ ก็อบตะ มันออกไปนอกถ้ำแล้วโดนต่ายแทงตายน่ะ ก็เลยจัดการให้น่ะ"
"เจ้านั่นโง่ด้วยอ่านะ ตายไปก็ถือว่าดีแล้วหล่ะ"
"ก็นะ ถ้าล่าไม่ดีก็ตายนั่นแหละ"
ในขณะที่ผมกำลังปิ้งเนื้อกระต่ายอยู่นั่น จู่ๆก็อบเซล ก็อบลินเพศผู้ที่เกิดมาจากแม่คนเดียวกันกับผมก็เดินมาหาและเอ่ยถามด้วยความสนใจในเนื้อกระต่าย ที่ผมกำลังย่างอยู่ เจ้านี้น้ำลายสอออกมาเลยทีเดียว
ก่อนที่ผมจะถามเรื่องของตนอื่นๆที่เกิดมาพร้อมกัน ก็ได้ความว่ากำลังเล่นกันอยู่ ซึ่งก็ไม่ได้แปลกใจอะไร กว่าจะออกล่ากันน่าจะโตเต็มวัยในวันที่ 3 หล่ะมั้งนะ
นอกจากนั่นแล้วผมกับก็อบเซลก็คุยกันต่อเล็กน้อย เกี่ยวกับกระต่ายที่ผมไปล่ามา แน่นอนว่าเพราะเจ้าก็อบตะมันเป็นก็อบลินโง่ ก็เลยออกไปตายเรียบร้อยแล้ว ผมกับเซลไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยเท่าไหร่ เพราะเหมือนสัญชาตญานของก็อบลินที่มองตัวที่ตายโง่ไม่มีความสำคัญกับเผ่าพันธ์หล่ะมั้งนะ
ถือว่าธรรมชาติของก็อบลินน่ากลัวไม่ใช่น้อยเลยหล่ะ ผมเองถึงชาติก่อนจะเป็นมนุษย์ แต่ธรรมชาติกับสัญชาตญานของก็อบลินมันก็แรงไม่ใช่น้อยหล่ะนะ แต่เพราะชาติก่อนเป็นมนุษย์เลย เป็นก็อบลินที่ดูมีความฉลาดพอควร
"อีกสัก 20 นาทีน่าจะสุกแล้ว เรียกตัวอื่นๆมาทานด้วยสิ"
"จะซื้อใจตนอื่นด้วยเนื้อกระต่ายย่างหรอ? หึๆฉันว่าในอีกไม่นานนายน่าจะเป็นหัวหน้าพวกเราแน่ๆ"
"ก็ถ้าเพื่อความอยู่รอด เกาะกลุ่มกันไว้ดีกว่าอยู่สันโดษนี้นา"
"แตกต่างจริงๆน้า นายถึงดูฉลาดกว่าตัวอื่นน่ะ"
"..... เพื่อพวกเราเองทั้งนั่นแหละ"
เนื้อกระต่ายย่างที่กำลังถูกไฟอ่อนๆย่างเนื้อให้มันมีความสุกและนุ่มพอกินได้ ผมก็บอกก็อบเซลให้เรียกตัวอื่นๆมาทานเนื้อกระต่ายย่างด้วยกันในอีก 20 นาที และพอได้ฟังที่ผมพูดก็อบเซลก็บอกว่าผมหลอกล้อเพื่อซื้อใจตนอื่นๆ เพื่อที่จะเป็นหัวหน้าของก็อบลินคอกนี้
เอาจริงๆมันก็คงจะประมาณนั่น ถ้าหากระดับเท่ากัน มันก็มีแต่ต้องมีอะไรทำให้เจ้าพวกนี้เคารพตัวผมนั่นแหละนะ แต่สิ่งที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อความอยู่รอดของตัวเองและทุกๆตนนั่นแหละ
"ออ ก็อบเอล เอานี้ไปสิ"
"อะไรหรอครับ?"
"หนังสือเวทยมนต์ธาตุไฟน่ะ เป็นของมนุษย์ตัวเมียที่อยู่ในรังตัวอ่อน"
"ขอบใจนะปู่ เดี๋ยวจะเอาไปอ่านทีหลังแล้วกัน"
ในขณะที่กำลังย่างเนื้อกระต่ายอยู่นั่นเอง ปู่ก็อบลินก็เดินเอาหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผม มันคือหนังสือเวทยมนต์ธาตุไฟ เป็นหนังสือที่ผมต้องการถ้าจะเรียนเวทยมนต์ แต่เพราะเงื่อนไขอะไรบางอย่างที่ปู่ก็อบลินพูดทำให้ผมตงิดใจไม่ใช่น้อย
บอกว่าต้องวิวัฒตนาการก่อนถึงจะสามารถใช้เวทยมนต์ได้มันคืออะไรกัน?
คำพูดนี้มันตงิดอยู่ภายในใจ ก่อนจะเอ่ยปากถามปู่ก็อบลินไป
"จะว่าไป วิวัฒตนาการนี้มันเกี่ยวอะไรกับการใช้เวทยมนต์หรอปู่?"
"หืม...? แน่นอน เพราะก็อบลินใช้เวทย์ได้ไม่ค่อยเป็น การวิวัฒตนาการเป็นฮ็อบก็อบลินเลยสำคัญไง"
"เอ๊ะ? ยังไงหรอปู่?"
"อืม ถ้าเอาตามที่ เจ้าฮ็อบลูเคยบอกข้าไว้ ถ้าอ่านหนังสือเวทมนต์มากๆ จะวิวัฒตนาการเป็น ฮ็อบก็อบลินเมจ น่ะ แถมใช้เวทมนต์ได้คล่องเปร๋อเลย"
"ฮ็อบก็อบลินเมจงั้นหรอ? อืมชักน่าสนใจแล้วสิ"
เมื่อเอ่ยถามเรื่องของการวิวัฒตนาการแล้ว ปู่ก็อบลินก็อธิบายถึงความสำคัญของการวิวัฒตนาการให้ผมได้ฟังแบบคร่าวๆ ถ้าหากอยากใช้เวทยมนตร์ พอได้ฟังแล้วมันก็หูผึ่งทันที
ผมรู้สึกสนใจการวิวัฒตนาการนั่นมากๆ จนกระทั่งยิ้มออกมาและเปิดหนังสือเวทยมนต์อ่านดู และภาษาที่เขียนไว้ก็ไม่ได้เข้าใจยากด้วย ราวกับว่าเผ่าพันธ์ก็อบลินเข้าใจภาษาของพวกมนุษย์เช่นไรเช่นนั้น
"น่าสนใจแหะ ชักจะน่าสนุกขึ้นมาแล้วสิ"