เอ ชายหนุ่มที่โชคร้าย เกิดอุบัติเหตุตายและเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ได้เกิดใหม่เป็นก็อบลินไปเสียแล้ว
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,ฮาเร็ม,พระเอกเก่ง,เกิดใหม่แต่ใจเดิม,NC+,ต่างโลก,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,NC,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพเอ ชายหนุ่มที่โชคร้าย เกิดอุบัติเหตุตายและเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ได้เกิดใหม่เป็นก็อบลินไปเสียแล้ว
เอ ชายหนุ่มผู้โชคร้าย ชีวิตรันทดก่อนจะตายลงจากโรคร้าย ก่อนจะรู้สึกตัวว่าตนเองได้เกิดใหม่เป็นก็อบลินไปเสียแล้ว
นี้คือเรื่องราวการผจญภัยและการเติบโตของเขา ที่จะฟันฝ่าชะตากรรมที่ต้องตาย ในฐานะก็อบลินและจะวิวัฒตนาการตนเอง ให้เป็นมอนเตอร์สุดแกร่งเพื่อครองโลกใบนี้ ชีวิตของเขาจะเป็นเช่นไร จะต้องเจอกับอะไรโปรดรับชม
หมายเหตุ: ตอนแรกว่าจะให้มีระบบ แต่โยนทิ้งไปครับ มันแบบ ขก.เขียนเว้ย!!!
เพราะงั้นนิยายเรื่องนี้กลุ่มของมอนเตอร์จะมีระบบเรื่องของ เลเวลเข้ามา เพื่อวิวัฒตนาการตนเองสู่เผ่าพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่า แต่ความสามารถก็ต้องศึกษาและฝึกฝนเองนั่นแหละ
หมายเหตุ 2: นิยายเรื่องนี้ ผมได้รับแรงบัลดาลใจอะไรไม่รู้ แต่ 1 เลยคือมี Re:Monster ละ 1 ทำไมหรอ? ออ นึกไปถึงสมัย 6-7 ปีก่อนเคยเล่นฉบับเกมมือถือ และก็ชอบไงก็เลย อยากจะหยิบยืมคอนเซ็ปการวิวัฒตนาการต่างๆอะไรทำนองนี้มา
อันนี้ขอแจ้งก่อนว่า ในนิยายเรื่องเนี่ย ผมคิดว่า มอนเตอร์เนี่ย ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายนะ ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหล่าทวยเทพก็ทรงรักและสร้างสรรค์ขึ้นมา คือเอาง่ายๆเลยก็ พระเจ้าทรงรักเหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
แต่ทำไม ก็อบลินถึงถูกจัดเป็นมอนเตอร์รังควาน เพราะมันแพร่พันธ์ไว และอ่อนแอ รวมถึงโดนมองเหยียดจากเผ่าพันธ์สูงส่งกว่าครับ
หลังจากเมื่อวานที่ผมได้ปิ้งเนื้อกระต่ายย่างให้กับก็อบลินตัวอื่นๆกิน ผมก็ทำการฝึกฝนร่างกายให้สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว ราวกับว่าฝึกกล้ามเนื้อให้สามารถขยับได้ตามใจต้องการไม่ขยับเชื่องช้าและเงอะงะจนเกินไปจนกระทั่ง
ในวันที่ 3 นี้เอง เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ร่างกายของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ร่างกายมีขนาดตัวที่ใหญ่มากกว่าเดิมประมาณหนึ่ง กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นและคล่องตัวมากกว่าเดิม ราวกับว่าตอนนี้ได้เข้าสู่ช่วงโตเต็มวัยของก็อบลินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตามคำบอกเล่าของปู่ก็อบลิน ที่บอกว่าเผ่าพันธ์เราเติบโตเร็วจึงมีอายุที่สั้นมากๆ และเห็นปู่แบบนั่นก็อายุได้ 12 ปีแล้ว เหลืออายุขัยอีกราวๆ 3 ปีถึงจะตาย ถือได้ว่าเป็นก็อบลินที่อยู่มานานเอามากๆ หรือก็คือเอาตัวรอดมาได้นานมาก เพราะปกติทั่วไปในนิยายหรือมังงะแนวแฟนตาซีทั่วไป อยู่ได้ 1 ปีก็เต็มกลืนแล้ว
แต่นี้ล่ออยุ่ยันอายุได้ 12 ปีต้องทรหดอดทนและหลบซ่อนมานานแค่ไหนแล้วนะ?
หลังจากที่สำรวจร่างกายของตนเองที่เติบโตเต็มที่และร่างกายคล่องแคล่วกว่าก็อบลินตัวอื่น ผมก็หยิบเอาเขาของกระต่ายมีเขามาทำมีด ด้วยคุณสมบัติของเขานี้ที่มีความแหลมปลายอย่างมาก ผมเลยคิดว่าคงจะดีไม่ใช่น้อยที่จะใช้เป็นอาวุธช่วงต้น
เหตุที่ต้องเอาสิ่งนี้มาใช้เป็นอาวุธ เพราะภายในถ้ำนั่นมีแต่อาวุธที่ค่อนข้างจะกลางๆค่อนไปทางเก่าพังแล้ว ผมไม่อยากจะใช้งานของไม่ได้คุณภาพถ้าหากต้องใช้อุปกรณ์ไม่ได้คุณภาพ
"โอ้ จะออกไปล่ามอนเตอร์งั้นรึเอล?"
"ใช่แล้วปู่ เบลก็ไปกับผมด้วยนะ จะล่ามาเยอะๆเลย"
"ใช่แล้วครับปู่ พวกเราจะออกไปล่ากัน ตั้งตารอได้เลย!!"
"ห๊ะๆ พวกเจ้านี้นะ เอาเถอะ ระวังตัวเอาไว้หล่ะ ในป่านี้มันไม่ได้ปลอดภัยนักหรอกนะ"
ในตอนที่กำลังเตรียมของเตรียมออกไปล่าสัตว์นั่นเอง จู่ๆปู่ก็อบลินก็เดินเข้ามาทักทายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ผมกับเบลที่กำลังเตรียมของอยู่ก็เอ่ยตอบไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็โดนปู่ก็อบลินเตือนไว้ทันที เพราะไม่อยากให้พวกผมออกไปตายเปล่า ยังมีก็อบลินอีกหลายตัวที่ยังไม่กล้าที่จะออกไปล่าสัตว์ และเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ภายในถ้ำ
เจ้าพวกนี้คิดแต่ว่า อยากกินอะไรอร่อยๆ แต่ก็ไม่คิดจะลงมือเองสักนิด เล่นเอาผมเซ็งๆเล็กน้อย แต่ก็มีก็อบลินอีก 2-3 ตนที่มาให้กำลังใจผมกับเบลนั่นคือ ก็อบซิล ก็อบรีน และก็อบเรน
ทั้ง 3 คนถือได้ว่าเป็นก็อบลินแม่เดียวกันกับผมและเบล เลยรู้สึกสนิทชิดเชื้อกันมากกว่าตนอื่นๆ ทั้ง 3 ตนต่างก็เสียดายที่ไม่ได้ไปออกล่าพร้อมกับผมและเบล เพราะยังฝึกกล้ามเนื้อได้ไม่ดีเท่าไหร่ กลัวว่าจะไปเป็นภาระให้ผมกับเบลแทน
ผมไม่ได้มีความใจร้ายกับทั้ง 3 ตนหรอก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะปลอบใจทั้ง 3 ตนนั้นและออกจากถ้ำไปกับเบล 2 ตน
หลังจากออกมาจากถ้ำได้ประมาณหนึ่ง พื้นที่รอบๆนั่นปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า พุ่มไม้และโขดหินมากมาย เป็นสถานที่ๆเรียกได้ว่าเหมาะแก่การซ่อนตัวและทำรังของพวกก็อบลินเป็นอย่างมาก
ในขณะที่สำรวจพื้นที่นั่นเอง ผมก็ไปเรื่อยๆ ผ่านต้นไม้ใบหน้าและพุ่มไม้หลายๆที่ แต่ก็ไม่มีวี่แววของมอนเตอร์เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าพื้นที่ล่าของพวกมันยังไม่เข้ามาถึงยังพื้นที่แถวรังก็อบลินที่ผมอยู่ ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดีอยู่ที่สามารถออกล่าได้อย่างปลอดภัย
"เอล ดูนั่นฮอร์นแรบบิท"
"หืม..? จำนวน 3-4 ตัวหรอ... ดูท่าน่าจะลำบากหน่อยแหะ..."
"เดี๋ยวฉันสังเกตุให้ นายจัดการเลยนะ"
"อืม.... ไว้เป็นมือฉันเอง"
เบลเข้าไปหลบภายในพุ่มไม้ทันที หลังจากเห็นเป้าหมายที่พวกเรากำลังจะล่ากัน ผมจึงรีบเข้าไปหลบภายในพุ่มไม้ด้วยเพื่อความปลอดภัย
ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีฮอร์นแรบบิท หรือกระต่ายมีเขาอยู่จำนวนมากกว่า 4 ตัว การที่จะเดินดุ่มๆเข้าไปภายในฝูงกระต่ายพวกนั่นก็เหมือนกับฆ่าตัวตายดีๆนั่นเอง ผมจึงต้องหาอะไรมาจัดการกับพวกมัน
ในขณะเดียวกันก็อบเบลก็บอกว่าจะสำรวจพื้นที่อื่นๆไปก่อน ผมก็เออ ออไปตามความสมัครใจของก็อบเบลก่อนจะหยิบก้อนหินจำนวนหนึ่งมาไว้ในมือและทำการปาใส่เจ้าพวกกระต่ายนั้นทันที
ก้อนหินหลายก้อนปาเข้าใส่กระต่ายพวกนั่นอย่างรวดเร็วจนมันล้มลงไปนอนสลบกับพื้นอย่างว่องไว แต่ด้วยเพราะการกระทำนั่นทำให้พวกฮอร์นแรบบิทตื่นตัวกับอันตรายที่เข้ามาหาตน จึงหันหน้ามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่ทันการอยู่ดี พวกกระต่ายจำนวน 12 ตัวที่ออกจากที่ซ่อนก็ถูกผมปาหินจนสลบไปในที่สุด
หลังจากจัดการพวกมันจนสลบเรียบร้อย ผมก็เดินออกจากพุ่มไม้และใช้มีดเขาฮอร์นแรบบิทออกมาแทงหัวของมันให้ตายในทันที และทำแบบนี้กับอีกหลายๆตัวจนแน่ใจแล้วว่าตายสนิทจนหมด
[เลเวล 20]
"หืม? เสียงนั้นมันอะไรกัน?"
ในขณะที่กำลังสังหารฮอร์นแรบบิทนั่นเองจู่ๆก็มีเสียงๆหนึ่งดังเข้ามาภายในหัวของตนเอง ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเสียงของอะไร แต่ในโลกแฟนตาซีแบบนี้คงไม่มีอะไรแปลกๆแบบ ระบบ อยู่หรอกมั้งนะ
เขาของพวกฮอร์นแรทบิทถูกมีดเก่าๆตัดออกจากส่วนศรีษะของพวกมัน เพื่อไม่ให้เป็นอันตราย และเก็บเข้ากระเป๋าใส่ของ ส่วนพวกกระต่ายที่ล่าได้ในวันนี้คือ 16 ตัว 4 ตัวที่ออกมากินหญ้า ส่วนอีก 12 ตัวคือพวกที่ออกมาจากภายในรังของพวกมัน แถวนี้คงเป็นรังของพวกฮอร์นแรทบิทหล่ะมั้งนะ คงไม่ได้ทำลายรังของพวกมันหรอกนะ....
แถวๆนี้มีพวกก้านไม้แข็งแรงอันหนึ่งพอดี ผมเลยจับพวกฮอร์นแรบบิทผูกขาของพวกมันไว้กับก้่านไม้และเตรียมตัวจะเอากลับรัง แต่ก็ต้องรอให้เบลกลับมาก่อนอยู่ดี แต่ทว่าในขณะที่กำลังรอเบลนั่นเองจู่ๆเสียงตะโกนของเจ้านั่นก็ดังขึ้นมาทันที
"ว๊าก!!! ช่วยด้วยๆ!! เอลช่วยด้วย!!"
"ห๊ะ? เกิดอะไรขึ้นน่ะเบล!?"
"มีกวางวิ่งไล่ตามหลังฉันมาน่ะสิ!!"
"เอ๊ะ!? กวางงั้นหรอ?"
เบลรีบวิ่งแจ้นมาหาผมด้วยความรีบร้อนในทันที ในขณะที่ผมก็ตกใจว่าทำไมเจ้านั่นถึงวิ่งมาหาผม แทนที่จะหลบซ่อนตัวและสอดแนม แต่ทว่าก็ต้องตลึงกับสิ่งที่วิ่งไล่ตามเจ้านั่นมาในทันที
กวางตัวใหญ่ ที่มีขนาดสูงมากเหมือนจะเป็นกวางมูสและเขาของมันทั้งสองข้างนั่นมีความแหลมคม ราวกับกามฟัน แต่แหลมคมเอามากๆ เบลดมูสงั้นหรอ? เจ้าตัวนี้มันจะอันตรายขนาดไหนกันนะ?
ตอนที่เจ้ากวางนั่นกำลังวิ่งไล่เบลมานั่นเอง ผมก็ใช้ก้อนหินจำนวนหนึ่งปาเข้าใส่มันในทันทีด้วยความรวดเร็ว
ปัก!!!
"สำเร็จ ตอนนี้แหละ!!!"
ในตอนที่ก้อนหินปาเข้าใส่ศรีษะของเจ้ากวางมูสตัวใหญ่นั่น ผมก็รีบออกวิ่งในทันที ร่างกายขนาดตัวเล็กเกินไปทำให้การวิ่งนั่นค่อนข้างช้า แต่ผมก็ใช้โอกาสในตอนที่มันสตั้นจากการโดนปาหินแสกหน้า
หยิบเอาเขากระต่ายที่ตัดออกมา ปาใส่มันในทันที ด้วยความแหลมของเขากระต่าย ทำให้ปักเข้าใส่ส่วนกระโหลกของเจ้ากวางมูสนั่นแน่นพอสมควร
"ตอนนี้แหละเบล!!"
"ห๊ะ!! ตอนนี้เลยหรอ ก็ได้ ฆ่าให้ได้นะเอล!!"
"เออ!! แน่นอนอยู่แล้ว นายเองก็เข้ามาสบทบด้วย!"
ในตอนที่เจ้ากวางมูสสตั้นอีกเป็นครั้งที่ 2 จากการโดนเขากระต่ายปักใส่กระโหลกผมก็วิ่งเข้าหาเบลในทันที ก่อนที่จะใช้เจ้านั่นเป็นฐานดีดตัว
เมื่อโดนสั่งให้ทำตามที่เคยคุยเอาไว้ ตอนที่ต้องจัดการกับมอนเตอร์หรือสัตว์ที่ใหญ่กว่า เบลก็รีบเข้ามาขวางผมและประสานมือเป็นที่รองเท้าในทันที และในตอนที่เท้าของผมเหยียบฝ่ามือของเบลแล้ว
ร่างกายก็ถูกโยนให้ลอยขึ้นเหนือพื้นทันทีด้วยความรวดเร็วและกระโยนของเบล ผมใช้แรงเหวี่ยงจากการโยนของเบล พุ่งตัวเข้าไปหาเจ้ากวางนั่นอย่างว่องไว และใช้เขากระต่ายที่ทำเป็นอาวุธแทงใส่ศรีษะย้ำจุดที่มีเขากระต่ายแทงอยู่ในทันที
เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมา แต่แค่นี้มันคงยังไม่พอ ผมเลยใช้มีดที่พกมาด้วยแทงเข้าไปที่ตาของมันอย่างรุนแรงอีกรอบหนึ่งและเสริมกับที่ก็อบเบลเข้ามาช่วยด้วยนั่นเอง
"ตายซะเจ้าตัวใหญ่!!"
"เอาหล่ะ ทำดีมาก แทงย้ำๆเลยเบล!!"
ก็อบเบลวิ่งเข้ามาและใช้มีดที่ติดตัวมาด้วยแทงใส่ดวงตาอีกข้างของเจ้ากวางมูสนี้อย่างรุนแรง จนมันร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด และเมื่อได้โอกาสผมกับเบลก็ลงมือแทงมีดย้ำๆใส่ส่วนโสตประสาทของมันย้ำๆ ไม่ให้มันตอบโต้ได้แม้แต่น้อย
ฮู้!!!!!!!!! ปึง!!!
จนในที่สุดเจ้ากวางมูสก็ร้องออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะล้มลงไปนอนตายกับพื้น เป็นผลสำเร็จในที่สุด แต่ด้วยความอึดของมันก็ทำเอาเหนื่อยไม่ใช่เล่นซะทีเดียว
พร้อมกันนั่นผมก็ได้ยินเสียงนั่นอีกครั้ง เสียงบางอย่างบอกเลเวล 30 แปลว่าเจ้านี้มันแข็งแกร่งขนาดนั่นเลยงั้นหรอ?
ถึงจะไม่เข้าใจเสียงที่ได้ยินเท่าไหร่ และควรจะเอาเรื่องนี้ไปถามปู่ก็อบลินเอาน่าจะง่ายกว่า และก็เสียดายที่จะทิ้งเจ้ากวางมูสนี้ไปด้วยก็เลยต้องลำบากเสียหน่อย
"เห้อ... เหนื่อยชะมัด แต่จะปล่อยเจ้านี้ไปก็ไม่ได้ด้วยสิ..."
"แล้วจะเอายังไงดีหล่ะ? เนื้อก็ดูจะเยอะด้วย คงเลี้ยงทุกคนได้เป็นอาทิตย์แน่ๆ"
"ก็จริงหล่ะนะ งั้นเอางี้ไม้ ทำลากเลื่อนกันเบล"
"ลากเลื่อนหรอ? น่าสนใจดีนะ ทำกันเลยดีกว่า!"
หลังจากที่ใช้แรงไปกับการล่าเจ้ากวางนี้จนมันตายเรียบร้อย ผมกับเบลก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้าทันที และเนื้อของมันคงจะเลี้ยงปากท้องคนในถ้ำได้อีกนานพอสมควร ผมไม่อยากที่จะทิ้งเนื้อมีค่าชิ้นนี้ไปเท่าไหร่นัก
ผมกับเบลเลยช่วยกันทำการลากเลื่อนขึ้นมาจากก้านไม้และเถาวัลที่พอจะหาได้ ก่อนจะเอากวางนี้ขึ้นลากลื่นและช่วยกันเอามันกลับไปที่รังในทันที
เมื่อกลับมาถึงยังรังก็อบลินที่เป็นบ้านเรียบร้อยแล้ว พวกก็อบลินตัวอื่นๆก็เข้ามาดูและต้อนรับในทันที ก่อนจะร้องเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันด้วยความดีใจ เมื่อผมกับเบลล่ากระต่ายและกวางที่มีขนาดใหญ่มาได้เป็นจำนวนเยอะพอตัวที่จะเลี้ยงปากท้องให้กับก็อบลินตัวอื่นๆได้นานหลายวัน
"ยินต้อนรับกลับนะ เอล เบล ดูเหมือนพวกเจ้าจะล่าของชิ้นใหญ่มาได้เยอะเลยนะ"
"ก็ไม่ได้โชคดีอะไรขนาดนั่นหรอก เรียกว่าโชคร้ายมากกว่า"
"แต่ก็นั่นแหละนะ พวกก็อบลินตนอื่นๆก็ฝึกฝนเริ่มดีขึ้นแล้ว อีกหน่อยก็คงออกล่ากันเป็นกลุ่มๆได้แล้วหล่ะ"
"พี่เอลกับพี่เบลบาดเจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ?"
"ก็ไม่อะไรมากหรอก ขอบใจนะเรน"
ปู่ก็อบลินเดินมากล่าวแสดงความยินดีที่ผมกับเบลกลับมาได้อย่างปลอดภัย ก่อนจะมองไปที่สัตว์ที่ผมกับเบลล่ามาได้ และคิดว่าคงจะมีอาหารให้กินไปอีกสักพักแน่นอน แต่สำหรับผมแล้วมันไม่ได้โชคดีอะไรขนาดนั่นหรอก เรียกว่าจับพัดจับพลูเสียมากกว่า
แต่ไหนๆในสายตาของคนเฒ่าคนแก่มองว่าโชคดีก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งก็อบเรน น้องเล็กสุดในคอกเดียวกันก็เดินเข้ามาหาผมและเบลก่อนจะเอาผ้ามาลูบหัวกับร่างของพวกผมสองคน
เรนเป็นเด็กดีจิตใจอ่อนโยนที่คอยดูแลเอาใจใส่พวกเราเสมอ ผมเลยรักเจ้าน้องคนนี้เป็นพิเศษ ฝ่ามือหนาเอื้อมไปลูบศรีษะของก็อบเรนอย่างอ่อนโยนและเจ้านี้เองก็ยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ
พอกลับมาพักให้หายเหนื่อยเรียบร้อยแล้ว ผมกับเบล รวมถึง ซิล รีน เรน ก็มาช่วยกันแร่เนื้อและถลกหนังของฮอร์นแรบบิทและเบลดมูสออก ก่อนจะหั่นเนื้อของพวกมันส่วนใหญ่ไปเก็บไว้ในคลังอาหารของถ้ำและเหลือเนื้อจำนวนหนึ่งเอาไว้สำหรับทำอาหารกินกันตนอื่นๆ
"เบล ซิล รีน เรนย่างกันเองได้ใช่ไหม?"
"เอ๊ะ? เอลจะไปไหนหรอ?"
"นั่นสิคะ พี่เอลน่าจะรอกินตนแรกก่อน"
"ฉันอยากจะอ่านหนังสือนิดหน่อยน่ะ ขอตัวก่อนนะ"
"อ่า ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะเอาเนื้อย่างไปให้พี่เองนะครับ"
"จ้าๆ ขอบใจนะเรน"
ในตอนที่กำลังจุดไฟย่างเนื้อกระต่ายและกวางกินกันนั่นเอง ผมก็นึกขึ้นได้ว่าต้องหาเวลาอ่านหนังสือเวทยมนต์เสียหน่อย ก็เลยกะว่าจะปลีกตัวออกไปเพื่ออ่านหนังสือ แต่เพราะเป็นคนที่ล่ามาได้ รีนก็เลยถามด้วยความสงสัยและอยากให้ผมทานเป็นคนแรก
แต่ผมก็ได้ให้เหตุผลไปว่าต้องการอ่านหนังสือ ทำให้เรนเข้าใจดีเพราะสายวิวัฒตนาการที่เลือกจะเป็นมันจำเป็นต้องอ่านหนังสือ ทำให้เรนอาสาที่จะเอาเนื้อย่างที่สุกแล้วไปให้ผมเอง
พอได้ยินแบบนี้ก็แอบๆดีใจเล็กน้อยกับความอ่อนโยนของเจ้าเรนผมก็เลยลูบหัวของเจ้าน้องชายตนนี้เล็กน้อยก่อนจะปลีกตัวออกไปหาพื้นที่อ่านหนังสือเวทยมนตร์ ในที่ๆคิดว่าน่าจะเงียบได้บ้าง นั่นคือภายในถ้ำที่เก็บน้ำสะอาดเอาไว้ใช้ดื่มกินกันนั่นเอง
เมื่อผมเดินเข้ามา ภายในโถงห้องนั่นก็มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ตั้งไว้ตรงส่วนขอบมุม และกินพื้นที่ถึง 2 ใน 3 ของห้องนี้ ถือว่าเป็นบ่อเก็บน้ำที่ใหญ่พอที่จะใช้ดื่มได้หลายสัปดาห์ทีเดียว ก่อนที่ผมจะหาที่นั่งลงและเปิดหนังสือเวทยมนต์ธาตุไฟที่ได้รับมาจากปู่ก็อบลินอ่านดู
ภายในหนังสือนั่นได้เขียนอธิบายทฤษฏีของเวทยมนต์ไว้เป็นบทแรกของตัวหนังสือ เรื่องที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีพลังมานาไหลเวียนอยู่ภายในร่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าก็อบลินนั่นหรือมอนเตอร์ตัวอื่นๆจะมีด้วยหรือเปล่า
"ให้จินตนาการถึงสายธารไหลเวียนในร่างกาย เพื่อสัมผัสมานาในร่าง หมายความว่าไงนะ?"
ในขณะที่อ่านไปเรื่อยๆเพื่อให้เข้าใจทฤษฏีเวทยมนต์ของโลกใบนี้ ผมก็อ่านไปพรางสงสัยว่ามันต้องทำอะไรยังไงกันแน่ ก่อนที่ผมจะถอนหายใจแบบเซ็งๆ เพราะตอนนี้ในหัวมันมีคำจำกัดความว่า 'ก็อบลินไม่มีมานา' อย่างแน่นอน
แต่ในใจกับคิดว่า สิ่งมีชีวิตทุกตนล้วนมีมานามากน้อยลดหลันกันไปอยู่ ทำให้ผมฉุดคิดขึ้นมาว่า บางทีก็อบลินอาจจะมีมานาอยู่บ้างแต่อาจจะน้อยนิดก็ได้
พอคิดเช่นนั้นผมก็ลองทำตามที่หนังสือนี้เขียนดู นั่นคือหลับตาและจิตตนาการถึงสายธารไหลเวียนในร่างกายเพื่อสัมผัสมานาดู
เมื่อผมค่อยๆหลับตาลงและเริ่มจินตนาการถึงสายธารน้ำเพื่อสัมผัสมานาภายในร่างกายนั่นเอง ผมก็ค่อยๆเพ่งสมาธิไปกับมันเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นานนักเมื่อสมองเริ่มที่จะจินตนาการถึง ผมก็ได้มองเห็นสายธารน้ำขนาดเล็กกำลังไหลเวียนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
นี้คือพลังมานาของผม มันทั้งเล็กและไหลเอื่อยเฉื่อยราวกับว่าปริมาณของมันช่างน้อยนิด ถ้าเปรียบเปรยเป็นแก้วน้ำ ก็คงเป็นน้ำปริมาณก้นแก้วได้ ถึงจะดูไม่มากแต่เมื่อคิดว่า ก็อบลินมีมานาเท่านี้ก็รู้สึกว่า ถ้าเดินสายนักเวทย์คงจะพัฒนาการไปได้ไกลกว่านี้แน่ๆ
"ปริมาณมานาน้อยจัง แต่เอาหล่ะ... ไหนๆก็สัมผัสได้ถึงปริมาณมานาของตัวเองแล้ว ขั้นต่อไปก็...."
หลังประสบผลในการสัมผัสมานาเรียบร้อย ผมก็เร่งรุดไปในขั้นตอนต่อไปในทันทีโดยไม่อ่านข้อระวังเรื่องของการใช้มานาเกินกำลังเลยแม้แต่สักนิด อ่านผ่านๆไป เหมือนบอกว่า ถ้าใช้มากอาจจะสลบก็ได้แค่นั่น
พอเปิดหน้ากระดาษไปหน้าต่อไป ผมก็อ่านสิ่งที่เขียนไว้ในนั่นต่อ มันคือบทของการใช้มานา ซึ่งเป็นบทขั้นฝึกสอน ก่อนจะถึงหมวดหมู่เวทยมนต์ต่างๆในจำพวกธาตุไฟ
ภายในหน้ากระดาษแผ่นนั่นได้เขียนเอาไว้ว่า 'เมื่อสัมผัสมานาได้แล้ว ต่อไปคือการรีดมานาเหล่านั่นมาใช้' หน้าหัวข้อเขียนไว้เช่นนั่น ก่อนที่จะเขียนต่อไปว่า เมื่อสัมผัสมานาภายในร่างกายได้แล้ว จงยื่นมือออกไปข้างหน้าและร่ายบทการใช้เวทย์ขึ้นมา
เมื่ออ่านจนถึงจุดนี้แล้ว ผมก็ลุกยืนขึ้น พร้อมกับถือหนังสือเวทยมนต์ไว้ในมือซ้ายและยื่นมือขวาของตนออกไปด้านหน้า เล็งไปที่บ่อน้ำพร้อมกับเริ่มอ่านหนังสือต่อไป นั่นคือเมื่อยื่นมือออกไปด้านหน้าแล้ว จงจินตนาการถึงสายธารน้ำให้ไหลเวียนไปที่จุดที่จะปล่อยพลังเวทย์ออกมา
ผมทำตามนั่นพรางจินตนาการและเคลื่อนย้ายมานาภายในร่างจำนวนหนึ่งไปที่ฝ่ามือขวา สัมผัสได้เลยว่าสายธารมานาไหลเวียนไปตรงจุดนั่นจริงๆก่อนที่ผมจะเริ่มกล่าวบทพูดหนึ่งขึ้นมา
"ด้วยนามของเทพีแห่งเปลวเพลิง ขอพลังของท่านเป็นดาบให้แก่ข้า จงเผาผลาญศัตรูของข้าให้สิ้น ไฟบอล!"
คำพูดที่ร่ายยาวและน่าอายนั่นถูกพ่นออกมาจากปากของผมในทันที ถึงมันจะดูน่าอายไปหน่อย แต่มันคือคำวิงวอนของเทพีแห่งธาตุไฟเพื่อหยิบยืมพลังมาใช้ และเมื่อกล่าวจบ เปลวไฟก็ค่อยๆถูกหลอมรวมขึ้นมาจากอากาศก่อนจะมีลูกบอลไฟขนาดเล็ก ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยถูกสร้างขึ้นมาที่ฝ่ามือของผม
เมื่อการร่ายเวทย์ใช้เวทยมนต์สำเร็จ ผมก็ตาเบิกโพรงด้วยความดีใจ ในความสำเร็จของตน ผมก็พยายามจะยกเลิกเวทย์นี้ทันที แต่เพราะว่ามันใช้มานาและยกเลิกไม่ได้ ผมจึงต้องปล่อยบอลไฟออกไป
"โธ่เอ๊ย!! สลายไม่ได้ ถ้างั้นก็ ขอโทษด้วยนะปู่!"
ฟิ้ว!!
ผมที่ไม่มีทางเลือก ก็ต้องจำใจปล่อยยิงบอลไฟในมือ ออกไปด้านหน้าตรงจุดที่เป็นบ่อเก็บน้ำทันที ก่อนที่บอลไฟนั่นจะพุ่งผ่านอากาศด้วยความเร็วและไประเบิดใส่กำแพงถ้ำแบบไม่ได้ตั้งใจ และขนาดของระเบิดนั่นก็ใหญ่มากกว่าบอลไฟที่ผมสร้าง 2-3 เท่าด้วย
นี้หรือคืออนุภาคของเวทยมนต์และมานา? มันช่างวิเศษไปเลย
เมื่อได้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ที่ตัวเองได้ลงมือไป ผมก็ตาเป็นประกายในทันที แต่เพราะมานาในร่างกายนั่นมีน้อยเกินไป ผลข้างเคียงในการใช้เวทยมนต์ก็ปรากฏขึ้นมาในไม่ช้าหลังจากนั่น
"อึก!! อะไรกัน.... ทำไมร่างกายมัน... อึก..."
ด้วยการฝืนใช้เวทยมนต์เกินตัว เพราะมานามีน้อย ถึงจะแค่บทเดียวแต่ก็ทำให้ร่างกายหนักอึ้งและวิงเวียนศรีษะ ในไม่ช้านอนนักผมก็ล้มลงกับพื้นและสติค่อยๆขาดหายไปอย่างช้าๆ
ให้ตายสิ... เวทยมนต์ ใช้ไม่ได้ในร่างก็อบลินจริงๆด้วยสินะ....
"ให้ตายสิ ก็บอกแล้วว่าก็อบลินยังใช้เวทยมนต์ไม่ได้ แกก็ยังฝืนน้อเอล"
เสียงของปู่ก็อบลินดังขึ้นมาพึมพำด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนที่ผมจะสัมผัสได้ถึงร่างที่กำลังถูกแบกอยู่ สติของผมจำได้แค่นั่นก่อนจะสลบเหมือดไปในไม่กี่วินาที