เอ ชายหนุ่มที่โชคร้าย เกิดอุบัติเหตุตายและเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ได้เกิดใหม่เป็นก็อบลินไปเสียแล้ว

ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ - ตอนที่ 3 เลเวล 100 และการวิวัฒตนาการ โดย Seria @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,ฮาเร็ม,พระเอกเก่ง,เกิดใหม่แต่ใจเดิม,NC+,ต่างโลก,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,NC,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ฮาเร็ม,พระเอกเก่ง,เกิดใหม่แต่ใจเดิม,NC+,ต่างโลก,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,NC

รายละเอียด

เอ ชายหนุ่มที่โชคร้าย เกิดอุบัติเหตุตายและเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ได้เกิดใหม่เป็นก็อบลินไปเสียแล้ว

ผู้แต่ง

Seria

เรื่องย่อ

เอ ชายหนุ่มผู้โชคร้าย ชีวิตรันทดก่อนจะตายลงจากโรคร้าย ก่อนจะรู้สึกตัวว่าตนเองได้เกิดใหม่เป็นก็อบลินไปเสียแล้ว

นี้คือเรื่องราวการผจญภัยและการเติบโตของเขา ที่จะฟันฝ่าชะตากรรมที่ต้องตาย ในฐานะก็อบลินและจะวิวัฒตนาการตนเอง ให้เป็นมอนเตอร์สุดแกร่งเพื่อครองโลกใบนี้ ชีวิตของเขาจะเป็นเช่นไร จะต้องเจอกับอะไรโปรดรับชม

 

หมายเหตุ: ตอนแรกว่าจะให้มีระบบ แต่โยนทิ้งไปครับ มันแบบ ขก.เขียนเว้ย!!!

เพราะงั้นนิยายเรื่องนี้กลุ่มของมอนเตอร์จะมีระบบเรื่องของ เลเวลเข้ามา เพื่อวิวัฒตนาการตนเองสู่เผ่าพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่า แต่ความสามารถก็ต้องศึกษาและฝึกฝนเองนั่นแหละ

หมายเหตุ 2: นิยายเรื่องนี้ ผมได้รับแรงบัลดาลใจอะไรไม่รู้ แต่ 1 เลยคือมี Re:Monster ละ 1 ทำไมหรอ? ออ นึกไปถึงสมัย 6-7 ปีก่อนเคยเล่นฉบับเกมมือถือ และก็ชอบไงก็เลย อยากจะหยิบยืมคอนเซ็ปการวิวัฒตนาการต่างๆอะไรทำนองนี้มา

 

อันนี้ขอแจ้งก่อนว่า ในนิยายเรื่องเนี่ย ผมคิดว่า มอนเตอร์เนี่ย ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายนะ ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหล่าทวยเทพก็ทรงรักและสร้างสรรค์ขึ้นมา คือเอาง่ายๆเลยก็ พระเจ้าทรงรักเหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง

แต่ทำไม ก็อบลินถึงถูกจัดเป็นมอนเตอร์รังควาน เพราะมันแพร่พันธ์ไว และอ่อนแอ รวมถึงโดนมองเหยียดจากเผ่าพันธ์สูงส่งกว่าครับ

สารบัญ

ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 1 เกิดใหม่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุด,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 2 เวทยมนตร์ และการออกล่าครั้งแรก,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 3 เลเวล 100 และการวิวัฒตนาการ,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 4 ออร์คและโคบอร์ล,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 5 ฮ็อบก็อบลินรุ่นพี่,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 6 เป้าหมายที่แม้จะต้องฆ่าพวกเดียวกัน,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 7 กวาดล้างพวกออร์ค,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 8 ครั้งแรกกับพี่สาว [NC 20+],ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 9 ตามสัญญา [NC 20+],ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 10 ปัญหาเรื่องทาส,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 11 ออกเดินทางสู่โลกอันกว้างใหญ่,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 12 ชนบทในอาณาจักรอลันเทียร์,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 13 งานในฐานะทหารรับจ้าง,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 14 อัศวินเซนทอร์สาว และการต่อสู้กับ Half-Fire Lord,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 15 Half Lord ปะทะ Half Lord,ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 16 ฉลองชัยชนะ และค่ำคืนสุดพิเศษ [NC 20+],ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 17 ดัสเชสร่านสวาทกับคุณหนูขี้อาย [NC 25+],ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 18 ตลาดค้าทาส [NC18+],ถึงเกิดใหม่เป็นก็อบลิน แล้วยังไงข้าก็เทพ-ตอนที่ 19 ข้อเสนอทำซ่อง [NC18+]

เนื้อหา

ตอนที่ 3 เลเวล 100 และการวิวัฒตนาการ

หลังจากผมเกิดใหม่เป็นก็อบลิน ช่วงเวลาในตอนนี้ก็ผ่านมาแล้ว 10 วัน

ผม เบล ซิล รีน เรน ออกล่าด้วยกันจนในตอนนี้เลเวลอยู่ที่ 98 กันแล้วอีกไม่นานนักก็จะได้วิวัฒตนาการกันแล้วหล่ะ เหลืออีกแค่ต้องล่ามอนเตอร์อีกไม่กี่ตัวหล่ะนะ

 

ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาบ่ายๆของวัน หลังจากที่พวกเราออกล่ากันมาตั้งแต่ช่วงเช้าก็ได้พักผ่อนกันอยู่ริมธารน้ำและนั่งก่อกองไฟทานอาหารกลางวันกันอย่างเอร็ดอร่อย

ควันไฟจากกองไฟ ลอยฟุ้งขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่เพราะมอนเตอร์รอบๆนี้โดนล่าจนปลอดภัยแล้ว พวกเราเลยไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าคงอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้วเรียบร้อย

 

เนื้อปลาย่างค่อยๆถูกกัดอย่างช้าๆพรางเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย เนื้อของมันทั้งนุ่มและหอมฉุน สมกับเป็นปลาแซลม่อน แต่มันคือปลา ออเรนเกร็ดแข็ง กว่าจะงัดเอาเกล็ดมันออกมาได้ก็เล่นเอาลำบากอยู่พอควร จากปลาจำนวน 10 กว่าตัวที่ตกได้ ผมเลาะเกร็ดของมันออกมาได้เยอะพอสมควร หากนำไปทำเกราะหัวใจคงจะดีไม่ใช่น้อย เพราะความแข็งของมันราวกับเพชรเลยก็ว่าได้

แต่เอาจริงๆ กับโลกแฟนตาซีแบบนี้ เพชรก็ไม่มีทางทำลายไม่ได้หรอกนะ

 

"เห้อ อร่อยจังเลยน้า~"

"นั่นสิ ไม่คิดว่าปลาเกล็ดแข็งแบบนี้จะอร่อยแบบนี้"

"มันอร่อยมากๆเลยหล่ะครับ"

"นี้พวกนายกินกันไปเยอะแล้วนะย่ะ!!"

"นั่นสิ ต้องให้ผู้หญิงกินมากกว่าสิ~"

ในขณะที่กำลังนั่งทานปลากันอยู่นั่นเอง เบลที่กินจนอิ่มก็โน้มตัวลงนอนกับพื้นพรางลูบท้องของตนด้วยความเอร็ดอร่อยในเนื้อปล่าย่าง ให้เองก็เช่นกัน ไม่คิดว่าปลามันจะอร่อยได้ขนาดนี้ แถมเนื้อยังนุ่มอีก

แต่ในตอนที่ 3 ชายกำลังพูดคุยกันอย่างอิ่มเอม แต่สาวๆกลับพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ราวกับว่าพวกเธอยังกินกันไม่พอเลยด้วยซ้ำ ผมเลยลุกขึ้นและไปเอาเนื้อกระต่ายที่แร่แล้วออกมาย่างชิ้นใหญ่ๆให้พวกเธอกันคนละตัวไปเลย

 

"แบบนี้พอใจรึยัง รีน ซิล?"

"แหม่~ เป็นพี่ที่เอาใจใส่จังเลยน้า~"

"ยังไงซะก็เพื่อพวกเรา ฉันทำเสนอนั่นแหละ"

ด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโตในคอกเดียวกัน ผมเลยเอ็นดูทั้ง 4 ตนมากกว่า ก็อบลินตัวอื่นๆ ในขณะที่ถามไถ่ทั้งสองสาวนั่นเอง พวกเธอก็ต่างยิ้มกันออกมาอย่างอิ่มเอมและพูดด้วยรอยยิ้มติดตลกอย่างไม่น่าจะหาได้จากโลกก่อนหน้า

ความรู้สึกที่ทำเพื่อคนอื่นและได้รับความรักกลับนี้มันดีไม่ใช่น้อยเลยจริงๆ... ผิดกลับชาติก่อนมากๆ ที่ช่องว่างระหว่างไวทำให้รู้สึกร้าวฉานขนาดนั่น... อยากจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานๆจังนะ

 

ในขณะที่กำลังนั่งทานอาหารเที่ยงกันอยู่ ผมก็พึ่งนึกขึ้นมาได้เรื่องเลเวลที่แจ้งเตือนขึ้นมาหลังจากที่ฆ่ามอนเตอร์ไปเป็นจำนวนมากแล้ว และนอกจากนี้เมื่อ 2 วันก่อนก็มีเสียงแจ้งเตือนเรื่องการเรียนรู้เวทย์ไฟกับไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเสียงนั่นคืออะไร แต่ก็คงเป็นเสียงบอกคุณสมบัติเพื่อวิวัฒตนาการอะไรทำนองนี้มั้ง?

จะว่าไปแล้ว... ทั้ง 4 คนเลเวลเท่าไหร่กันแล้วนะ?

 

"จะว่าไปทั้ง 4 ตนตอนนี้เลเวลเท่าไหร่แล้วหรอ? ตอนนี้ฉันเลเวล 98 แล้ว"

"ของฉันเลเวล 97"

"ของผมเลเวล 95 แล้วก็ได้ยินว่า มีใจเมตตาด้วยครับ"

"ของชั้นเลเวล 98"

"ส่วนของหนูเลเวล 96 ค่ะ"

เมื่อนึกได้ถึงเลเวลของตัวเอง ผมเลยอยากรู้ว่าตนอื่นๆเลเวลเท่าไหร่กันแล้วบ้างเลยลองถามดูและบอกเลเวลของตนว่าอยู่ที่เท่าไหร่แล้ว นั่นคือเลเวล 98 ส่วนของเบล เลเวล 97 เรนเลเวล 95 ซิลเลเวล 98 และรีนเลเวล 96

ทุกตนเลเวลนั่นไม่ห่างไม่ไกลกันมาก บ่งบอกว่าใกล้ถึงเลเวล 100 กันแล้ว และนั่นยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าถ้าเลเวล 100 แล้วจะเกิดอะไรขึ้น แถมสิ่งที่เรนบอกว่า มีใจเมตตานั่นทำให้ผมตงิดใจแปลกๆ

ทั้งๆที่โลกใบนี้ไม่มีระบบอะไรทำนองนั่นอยู่เลย แต่ทำไมกับได้ยินเสียงบางอย่างที่คล้ายระบบกันนะ? หรือว่าในโลกนี้มันอาจจะมี... สิ่งที่คล้ายๆกับเรื่องแมงมุมหรือเปล่านะ?

 

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ความเท่าไหร่ แต่ถ้าไปถามปู่ก็อบลินก็คงได้ความมากขึ้นหล่ะมั้งนะ

 

แซ็กๆ... แซ็กๆ...

ในขณะที่กำลังนั่งทานอาหารกลางวันกันอยู่นั่นเอง เสียงบางอย่างที่ดังมาจากพุ่มไม้ก็ดังขึ้นมาเบาๆ เสียงราวกับมีอะไรบางอย่างซุ่มซ่อนอยู่ภายในพุ่มไม้ ก่อนที่ผมจะรีบหยิบจับมีดสั้นขึ้นมาไว้ในมือ พรางตั้งท่าต่อสู้ในทันที

 

"ทุกตนระวังตัวด้วย!"

"เอ๊ะ? เกิดอะไรขึ้นหรอเอล?"

"ไม่รู้เหมือนกัน แต่มีอะไรบางอย่างอยู่ในพุ่มไม้"

ผมรีบเตือนระวังภัยให้กับทุกตนในทันที หลังจากสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่อยู่ในพุ่มไม้ ถึงแม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตัวของเบลที่ได้ยินเสียงเตือน ก็รีบคว้ากระบองมาไว้ในมือและตั้งท่าเตรียมต่อสู้ทันที

ด้วยความไม่รู้ เบลก็เอ่ยถามผม แต่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันจึงได้ตั้งท่ารอเอาไว้ก่อน ในขณะที่เรน ซิล รีนก็รีบคว้าอาวุธของตนเตรียมพร้อมสำหรับการปะทะในทันที

 

บรู๊ว!! แกร๊ก!!

รอแล้วอยู่ไม่นานนักเสียงหอนก็ดังขึ้นมาก่อนที่ สิง่มีชีวิตสีเงินดำขนาดใหญ่ ดวงตาสีเหลืองแดงราวกับสัตว์ร้ายก็ปรากฏพุ่งออกมาจากภายในพุ่มไม้ก่อนจะวิ่งเบี่ยงตัวเข้าไปกัดเรนอย่างว่องไว

 

ปัก!!! เปรี๊ยง!!

แต่โชคดีที่ซิลไหวตัวทัน เธอใช้ค้อนเหล็กที่จับมั่นไว้ในมือเหวี่ยงฟาดเข้าใส่เจ้าสิ่งมีชีวิตขนเงินตัวใหญ่นั่นอย่างรุนแรง แต่เสียงที่ดังขึ้นมานั่นราวกับเหล็กชนเข้าหากันก็มิปาน ก่อนที่เธอจะเหวี่ยงฟาดอย่างรุนแรง ป้องกันเจ้าตัวนั่นจนกระเด็นออกไปเล็กน้อย

ก่อนที่จะปรากฏรูปร่างที่ชัดเจนให้ผมได้เห็น

 

เจ้าของร่างสูงใหญ่ ขนสีน้ำเงินอ่อนออกไปสีดำเทา 4 ขาเหยียดออกจากกันตั้งท่าจู่โจมและพวงหางที่มีขนฟูไปหมด ดวงตาสีแดงฉานและฟันกรามเขี้ยวขนาดใหญ่นั่น.... ดรายวูฟ.... หมาป่าที่อันตรายที่สุดภายในป่าแห่งนี้....

 

"ดรายวูฟ แย่หล่ะสิ...."

"เอายังไงดีเอล?"

"ล่อมันเข้ามา ฉันพอคิดออกแล้วว่าจะจัดการมันยังไง"

เบลที่เห็นว่ามันคือดรายวูฟก็เอ่ยออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะถามผมว่าจะเอายังไงต่อกับเจ้าสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้ดี แน่นอนว่ามันมีผิวหรือขนที่แข็งเอามากๆ จากการที่โดนค้อนของซิลฟาดเข้าใส่ แต่ก็เกิดเสียงเหล็กกระทบเข้าหากัน

ถ้าหากผิวนอกของมันแข็ง แปลว่าข้างในก็ต้องอ่อนนุ่มเอามากๆ ผมเลยบอกให้ทุกคนเป็นคนล่อมันเอาไว้ก่อนที่จะเตรียมมีดเขากระต่ายออกมาและเริ่มงึมงำคำบางอย่างขึ้นมา

 

"หลังจากจัดการมันได้ เราก็กลับกันเลยเถอะ...."

"ฉันเข้าใจดีรีน วันนี้ถ้าฆ่ามันไม่ได้ เราก็ยังกลับไม่ได้ ต้องฆ่ามันก่อน"

รีนที่รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ก็รีบบอกว่าอยากจะรีบกลับเลยทันที แต่เราก็ต้องจัดการเจ้านี้กันก่อน ทำให้เบล รีน ซิลตั้งมั่นรับการโจมตีของมันเอาไว้ ก่อนจะพุ่งเข้าไปใช้อาวุธของตนเองทุบฟันใส่มันอย่างรวดเร็ว

 

ถึงแม้ว่าร่างกายของก็อบลินจะอ่อนแอ แต่ถ้าหากใช้จำนวนเข้าว่าก็ชนะได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่ แต่ในขณะที่ไม้กระบองและค้อนทุบเข้าใส่มัน ก็มีแรงกระแทกสะท้อนกลับมาอย่างรุนแรง จนแขนของทั้งเบลและซิลกระท้อนกลับไปด้านหลัง

ก่อนที่เข้าหมาป่านั่นจะพุ่งเข้ามาหาผมอย่างว่องไว ราวกับรู้ว่าผมคือคนสั่งการ

 

บรู๊ว~!!!!

"ไม่มีทางซะหรอกไอ้หมาโง่เอ๊ย!!!"

เจ้าหมาป่าดรายวูฟพรุ่งเข้ามาจะกัดผม แต่ผมก็เบี่ยงตัวหลบการโจมตีของมันได้ ก่อนจะผสานมือทั้งสองใช้มีดกระต่ายแทงเข้าไปที่สีข้างของมันอย่างรุนแรง และด้วยเขาอันแหลมคมของฮอร์นแรบบิทนั้นเองที่แทงเข้าใส่สีข้างของมันได้ลึกกว่าที่ผมคิดเอาไว้ และน่าจะเจาะเข้าไปถึงภายในเนื้อของมันได้ด้วย

 

"เสร็จฉันหล่ะ!! ไฟบลาส!!!!"

บรู๊ว!!!!!!!!!!!!!!!!! ฟุบ!!! พึ่ม!!!!!!!!

ด้วยการที่ผมใช้เวลาช่วง หลังล่าเสร็จในทุกวัน ปลีกตัวไปเรียนเวทย์ธาตุไฟมาหลายวัน ผมสามารถย่นระยะเวลาในการร่ายเวทย์ได้ในเวลาไม่กี่วันจนสามารถ ใช้เวทย์แบบไร้ร่ายได้ในที่สุด แต่ทว่าปริมาณพลังเวทย์ที่ใช้จะเยอะเอามากๆ และด้วยเวทย์ Fire Blast ที่ปลายมือเราจะพุ่มเปลวไฟออกมา แต่ผมใช้เวทย์นี้ผ่านปลายมีดกระต่าย ที่ส่งพลังมานาได้ระดับหนึ่ง และเข้าไปพ่นใส่ภายในร่างกายของมัน

เจ้าหมาป่าดรายวูฟที่โดนผมเผาร่างของมันจากภายใน มันก็ดิ้นไปดิ้นมาอย่างเจ็บปวด ก่อนที่จะล้มลงไปนอนตายกับพื้นและกลายเป็นหมาป่าย่างในที่สุด ผมก็ดึงมีดเขากระต่ายออกจากลำตัวของมันและล้มตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า

 

"แฮ่กๆ... ให้ตายสิ เหนื่อยชะมัด นี้ทุกคนฝากทีเหลือด้วยนะ"

"เอ๊ะ? เอล หมายความว่ายังไง?"

"พี่เอลใช้มานามากเกินไปแล้วนะครับ! เดี๋ยวก็สลบอีกหรอก"

"เห๊ะ? สลบหรอ?"

"ห๊ะๆ นั่นแหละๆ เพราะงั้นฝากที่เหลือด้วยนะทุกคน อ๊อก!"

หลังจากที่ผมพูดจบ ก็สลบไปในทันที โดยที่ตนอื่นๆยกเว้น เรน ต่างก็งุนงงกับคำพูดของผมและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่จะสลบไป

[เอล เบล ซิล รีน เรน เลเวล 100]

 

[เมื่อเลเวลถึง 100 ทำการรีเซ็ตกลับเป็น 1 ใหม่]

 

[ก็อบลิน นาม เอล เข้าสู่ช่วงวิวัฒตนาการ]

 

[ความเป็นไปได้ต่างๆที่สามารถวิวัฒตนาการได้ Hobgoblin และ Mage Hobgoblin]

[ทำการคำนวนความเหมาะสม... ถูกแทรกแซงโดยเจตจำนงของเทพีแห่งเวทยมนต์ มานัส]

 

[กำหนดการวิวัฒตนาการ - ฮ็อบก็อบลินเมจ]

 

[เจ้ามนุษย์ ที่ได้เกิดใหม่ในโลกแห่งมิดการ์เอ๋ย ข้ามานัส ในนามของเทพีแห่งเวทยมนต์ขออวยพรเจ้า]

[ก็อบลิน นาม เอล ได้รับการอวยพรจากเทพีมานัส]

 

[เจตจำนงของพระเจ้า เจ้าไม่ต้องกล่าวเหมือนระบบแบบนั่นก็ได้นี้]

[เราคือเจตจำนงของพระผู้สร้าง เรามิสามารถกล่าวพูดดั่งปกติได้ ขอสันติจงมาถึงในเร็ววัน]

[นั่นสินะ ขอให้สันติมาสู่มิดการ์ในเร็ววัน]

 

หลังจากสลบไปเป็นเวลานาน เมื่อเข้าสู่เช้าวันใหม่ผมก็ค่อยๆตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ

ความรู้สึกวิงเวียนศรีษะ มันหนักอึ้งจนผมแทบจะล้มลงอีกแล้ว ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา หลังจากที่ค่อยๆออกเดินออกจากที่ๆหน้าจะเป็นโถงนอนของเหล่าก็อบลิน

แต่เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมา ผมก็มองเห็นก็อบลินตัวเมีย ตนหนึ่ง ยืนเงยหน้ามองผมแบบตลึงตึง และผมเองก็ก้มหน้ามองเธออยู่

อ่า... รู้สึกแปลกๆชะมัด เหมือนว่าตัวเองสูงผิดปกติเกินไปหรือเปล่านะ?

 

เมื่อคิดว่าน่าจะเกิดจากอาการมึนเมาจากมานาที่ใช้มากเกินไปตอนปราบดรายวูฟ ผมก็ค่อยๆเดินไปที่โถงเก็บน้ำ ก่อนจะเอาน้ำในบ่อน้ำมาล้างหน้าและดื่มเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาของผมจะมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ

ร่างของหนุ่มหล่อ ที่มีผิวพรรณสีน้ำเงินอ่อนเนียนและผนึกอะไรบางอย่างอยู่กลางหน้าผากและม่านตาสีแดงฉานนั่น คือผมจริงๆงั้นหรอ? และตรงบริเวณหน้าผากและช่วงอกยังมีรอยสักที่ไม่เข้าใสปรากฏบนร่างด้วย

ผมไม่เข้าใจว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น เลยรีบวิ่งออกจากโถงเก็บน้ำและไปหาปู่ก็อบลินในทันที

 

"ปู่!!! นี้มันอะไรครับ? ร่างกายของผมเปลี่ยนไป!?"

"อ้าว! มาแล้วหรอฮ็อบเอล เบล รีน ซิล เรน กำลังรออยู่เลยแน่ะ..."

"เอ๊ะ? ทุกตน เปลี่ยนไปจากเมื่อวานมากเลยนะ...."

เมื่อผมวิ่งมาถึงโถงกลางภายในถ้ำเพื่อจะถามไขข้อสงสัยของตนเอง ปู่ก็อบลินที่เหมือนจะรอให้ผมมาถึง ก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกับบอกว่าตนอื่นๆก็รอกันอยู่ แล้วก่อนที่ผมจะเหลือบมองไปเห็น

เบล ซิล รีน เรน ที่เหมือนจะมีร่างกายผิดแปลกไปอย่างมาก เหมือนกับผมเช่นกัน โดยตอนที่ถูกเรียกชื่อ เหมือนแว่วๆว่าจะเปลี่ยนจาก ก็อบ เป็น ฮ็อบด้วยแหะ....

เบล ซิล รีน ทั้ง 3 ตนนั่นมีผิวกายสีเขียวเหมือนก็อบลิน แต่สีอ่อนกว่าเล็กน้อย มีผมมากกว่าเดิม ราวกับวัยรุ่นราวๆ 17-18 ปีแล้ว ส่วนเรนนั่นมีผิวกายสีขาวเนียนและมีรอยสักประหลาดอยู่ที่หน้าอกของตน

 

"นี้มันอะไรกัน ทุกตนทำไมถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้เนี่ย? มันเกิดอะไรขึ้นกันครับปู่?"

"ก็พวกเอ็ง 5 ตัวเลเวล 100 แล้วไง! เมื่อสิ่งมีชีวิตแบบเราเลเวล 100 จะเข้าสู่กระบวนการวิวัฒตนาการ!!! ตอนนี้พวกเอ็งน่ะเป็นฮ็อบก็อบลินแล้วยังไงหล่ะ!!"

"เอ๊ะ? ฮ็อบก็อบลินงั้นหรอ?"

ด้วยความงุนงง ผมก็รีบถามปู่ทันที แต่เหมือนพูดหูซ้ายทุละหูขวา จนผมได้เห็นปู่ก็อบลินโมโหเป็นครั้งแรกและตวาดใส่ผมด้วยความโมโหในทันที และอธิบายไปด้วยเลย

เมื่อรู้ว่าตอนนี้ตนเองเป็นฮ็อบก็อบลินแล้ว ความรู้สึกปวดใจเพราะดีใจก็จุกอกมาทันที จนผมยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับตนอื่นๆในทันที

 

"เอาหล่ะ เมื่อกี้ข้าพูดไปแล้ว เพราะงั้นจะถามอะไรก็ว่ามา"

"เอ่อ... ปู่ครับ แล้วไอ้รอยสักที่หน้าอกของผมมันคืออะไรหรอครับ?"

"ออ รอยสักกับสีผิวของเจ้าน่ะหรอเรน.... นั่นคือรอยสักและสีผิวที่เทพีแห่งชีวิตและความรักมิเดียประทานพรให้แก่เจ้า สายของเจ้าคงจะเป็น ฮ็อบก็อบลินเคลิกหล่ะมั้ง ก็พูดง่ายๆ เจ้าสามารถใช้เวทยมนต์สายรักษาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น"

"เอ๋.... หรอครับ แบบนี้ผมก็สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้แล้วสินะครับ เย้~"

เรนที่สงสัยในรอยสักของตนและสีผิวที่เกิดจากการวิวัฒตนาการ เจ้าน้องชายตนนี้ก็เอ่ยถามปู่ก็อบลิน และได้รับคำตอบอันน่าปลื้มปิติเป็นอย่างมาก ในความคิดของเรน และเหมือนจะดีใจมากๆด้วยแหะ....

จากคำพูดของปู่ก็อบลินแล้ว สีผิว รอยสักและผลึกบางอย่างที่อยู่บนหน้าผากของผม ก็คงจะมีที่มาแบบเดียวกันแน่ๆ

 

"แล้วของผมหล่ะครับปู่?"

"ของเจ้ารึเรน.... ผิวกายสีฟ้า ดวงตาสีแดง ผลึกบนหน้าผากและรอยสักทั้งหน้าอกและหน้าผากนั่น.. พลังเวทยมนต์อันมหาศาล เทพีแห่งมนตราอวยพรสินะ...."

"เทพีแห่งเวทยมนตร์หรอครับ?"

"ใช่ เจ้ามีน่าจะได้รับการอวยพรจากเทพีมานัส มีมานามหาศาลไหลเวียนในตัวอยู่แน่นอน"

"จริงหรอครับ!! ถ้างั้นผมก็สามารถใช้เวทยมนต์ได้แล้วสิินะ!!"

"อือ! ก็ตามนั่นแหละไอ้งั่งเอ๊ย!"

เมื่อผมลองถามปู่ก็อบลินบ้าง ดวงตาสีดำของปู่ก็หลี่ตามองผมแบบพินิจพิเคราะห์ในทันที และกำลังค้นหาความทรงจำอันเลือนลางของตนมาตอบข้อสงสัย และในที่สุดผมก็ได้รับคำตอบในทันที

พอรู้ว่าตนได้รับพรอันแสนวิเศษที่ต้องการจะเป็นตั้งแต่แรก ดวงตาสีแดงก็ประกายขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ ก่อนที่จะเอ่ยถามหลายๆอย่างกับปู่ก็อบลินในทันที แต่เพราะถามมากไปเลยโดนด่าเสียได้

 

ถ้าหากเป็นไปได้ตามที่ปู่ก็อบลินบอก ตอนนี้ผมน่าจะเป็น ฮ็อบก็อบลินเมจ แล้วแน่ๆ

เมื่อได้รับการชี้แนะและบอกเล่าข้อสงสัยเรียบร้อยแล้ว ปู่ก็อบลินก็สั่งให้ก็อบลินตนอื่นไปนำเสื้อผ้าชุดใหม่และอาวุธมาให้กับพวกเราทั้ง 5 ตนในทันที

 

"ไหนๆพวกเจ้าก็วิวัฒตนาการกันแล้ว ข้าคิดว่าใช้อุปกรณ์เดิมต่อไป คงมีประสิทธิภาพมากพอ ข้าเลยเอาเสื้อผ้ากับอาวุธในกองสมบัติของถ้ำเรามาให้พวกเจ้าใช้ ดีใจซะสิ โห่ๆ~!!"

"ขอบคุณมากเลยครับ/ค่ะปู่!!"

ด้วยเพราะว่าพวกผมวิวัฒตนาการอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่พึ่งเกิดมาได้แค่ 2 อาทิตย์นั่นเอง ปู่ก็อบลินก็เหมือนว่าจะใจดีเล็กน้อย และให้ก็อบลินจำนวนหนึ่งไปเอาอุปกรณ์และชุดเสื้อผ้าดีๆที่เก็บไว้ในคลังสมบัติของถ้ำ เพื่อให้พวกเรานั่นไม่ถ่วงลั่นด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ

เมื่อของเหล่านั่นถูกนำมาให้ พวกผมแล้ว มันก็เหมือนจะเป็นของกลางๆพอสมควรไม่ได้แย่ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นพวกเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย

เบล ซิล รีน เรน และผม ได้เสื้อผ้าชุดลำลองมาสวมใส่เพื่อปกปิดร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก

ก่อนจะตามมาด้วยเสื้อเกราะหนังให้กับ เบล ซิล รีน และดาบโล่ หอก ขวานตามแต่ที่ทุกตนถนัด รวมถึงหมวกเกราะสำหรับป้องกันการโจมตีจากด้านบนด้วย

ส่วนของเรนนั่น นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ก็ได้รับหนังสือเล่มหนึ่งมา มันเป็นหนังสือเวทยมนต์รักษานั่นเอง และคฑาสำหรับพระที่เป็นสื่อกลางเวท

ส่วนของผม เนื่องจากเป็นเมจ จึงได้รับไม้คฑาที่ตรงหัวนั่นคดโค้งเข้าหากันเป็นก้นหอยขนาดพอดีมือ พร้อมกันนั่นก็ได้รับเสื้อโค้ทเพื่อปกปิดร่างกายไว้อีกชั้นหนึ่งและหมวกไหมพรม นอกจากนั่นผมยังได้รับที่คาดเก็บหนังสือเวทย์และยังได้รับหนังสือเวทยมนต์อีก 2 เล่มด้วยกันนั่นคือ หนังสือเวทย์ธาตุ น้ำแข็งและน้ำ

 

ถึงแม้ว่าจะได้รับของมากกว่าคนอื่น แต่ผมก็คงจะอ่อนแอพอสมควรเลยหล่ะ ต่อจากนี้คงจะต้องได้รับการปกป้องจากเบล ซิลและรีนมากกว่าที่คิดเอาไว้แหะ

หลังจากที่แต่งตัวกันเรียบร้อย ผมก็หยิบเอาหนังสือเวทย์น้ำแข็งจากที่เก็บหนังสือมาอ่านเล็กน้อย เพื่อที่จะเรียนรู้ทฤษฏีเวทย์น้ำแข็งว่ามันใช้การยังไง แน่นอนว่า ผมต้องเข้าใจหลักการของเวทย์นั่นๆก่อนถึงจะสามารถใช้เวทย์แบบไร้ร่ายได้ และด้วยอะไรสักอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นพรที่ได้รับมาจากเทพีมานัส ทำให้ผมเข้าใจทฤษฏีเวทย์บทนั่นได้ง่ายกว่าเดิมมาก

[ฮ็อบเอล เรียนรู้ทักษะเวทย์น้ำแข็งแล้ว]

 

เสียงนั่นยังคงก้องอยู่ในหัวของผม ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เช่นเคยเพราะไม่ได้ถามปู่ แต่อารมณ์คงคล้ายๆพระวจนะของโลกเหมือนในตัวเหนียวนืดนั่นแหละมั้ง....

 

"เอาหล่ะทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหม?"

"พร้อมแล้วหล่ะเอล ไปกันเลยไหม?"

"ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ! รอบนี้ไปไกลกว่านี้หน่อยแล้วกันเนอะ"

"นั่นสิ อยากลองล่าอะไรที่แข็งแกร่งกว่านี้สักหน่อยแล้วหล่ะ"

หลังจากแต่งตัวกันเสร็จแล้ว ผมก็ถามทั้ง 4 ก่อนว่าวันนี้อยากจะออกไปล่ากันไหม แต่ก็ไม่ต้องพูดอะไรมากเลยเพราะทุกตนเหมือนอยากจะลองของใหม่กัน พวกผมคุยกันว่าจะลองออกไปไกลกว่าที่เคยไปมาก่อนหน้านี้ดู เพราะอาจจะได้เจอกับอะไรที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

แถมด้วยการวิวัฒตนาการ ทำให้พวกเราไม่ได้อ่อนแออีกแล้วด้วย

 

เมื่อทุกตนตกลงว่าจะออกไปล่ากัน พวกเราก็ออกจากถ้ำและออกไปไกลกว่าที่เคยไปมาก่อนหน้านี้เพื่อออกล่า